ความรู้แห่งปัญญา+บทเรียนแห่งแสงสว่าง :=: บันทึกลับของนักเรียนโรงเรียนจิตวิญญาณโบราณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย MASTERCLASS, 27 เมษายน 2012.

  1. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ความรู้แห่งปัญญา บทเรียนแห่งแสงสว่าง..โมทนากระทู้ดีๆจ๊ะ....ขอเพิ่มเติมนิดดด.
    เคยเห็นบางท่านปฎิบัติธรรมชนิดที่่เรียกว่าขั้นเทพ เทวดากันเลยทีเดียว แต่ปฎิบัติอีท่าไหนไม่ทราบ กลับไม่ปฎิวัติใจตัวเอง เห็นแล้ว ได้แต่ ปลง อนิจจัง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2012
  2. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    พลังชีวิต มาจากไหน...

    อยู่ข้างในกาย....

    เป็นพลังที่เหล่า อมนุษย์ ต้องการ...

    อมนุษย์ ไม่ว่าจะสูงส่ง หรือ ต่ำทราม ต่างต้องการ....

    พลังชีวิต เป็นมิติอยู่ในกายมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่รู้คุณค่า...

    พลังชีวิต มาจากไหน ....

    พลังชีวิตมาจาก ... ธรรมชาติ (ธรรมชาติ คือ God)

    มนุษย์ไม่ใช่ God แต่ God อยู่ภายในตัวมนุษย์ ทุกตัวตน

    God จะทำอย่างไร ก่ ไ้ด้กับมนุษย์ ให้ดำรงอยู่ต่อ ให้ตายแล้วเกิดใหม่

    ดำรงอยู่ต่อ เพราะได้รับภาระกิจ

    ให้ตายและเกิดใหม่ เพราะ ของเก่าปฏฺบัติไม่ถูก ต้องไปเกิดใหม่เพื่อ แก้ตัวใหม่ ปฏิบัติใหม่

    God คือผู้ให้พลังชีวิต แต่หาไม่พบดอก เป็นมิติที่ซับซ้อนมาก แต่จะรับรู้ด้วยใจเท่านั้น
    การนั่งฝึกสมาธิ หรือฌาน ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะเป็นพลังที่ต่ำทรามอยู่
    เมื่อเทียบกับ God

    God สามารถเข้าหาได้ทุกตัวตน หากท่านทั้งหลายเปิดใจ ตน

    ..................................................................
     
  3. Pichart

    Pichart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณครับ ขอบคุณกระทู้ดีๆ
    ขอบคุณทุกๆคน จากใจจริงๆ
     
  4. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    22 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    ผมอยากรู้ว่าโลกนี้เป็นมายา
    ผมอ่านมาก็เยอะ โลกมายาเป็นอย่างไรครับ
    คุณอวตารบอยพอมีความรู้เรื่องพวกนี้ไหมครับ
    อวตารบอย
    ทุกๆอย่างเป็นการเล่น เป็นการสร้างของพระเจ้า
    ออกมาจากความว่างเปล่ากันครับ
    จากความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด

    หากความว่างเปล่า
    ไม่ต้องการรู้จักตัวมันเองว่าเป็นเช่นไร
    พวกเราทุกๆคน และทุกๆสิ่งคงไม่ได้ออกมาเป็นตัวตนที่เป็นอยู่ทุกๆวันนี้

    ความว่างเปล่าสร้างพระเจ้าเป็นดวงจิตวิญญาณ
    จากนั้น ดวงจิตวิญญาณก็ช่วยกันสร้าง
    จากความว่างเปล่า หรือไม่มีอะไรเลย
    เป็นความหนาแน่นแตกต่างกันออกไป
    จากความหนาแน่นน้อยสุดมาสู่ความหนาแน่นมากสุด
    และมีพลังงานความสั่นสะเทือนแตกต่างกันไป
    แล้วแต่ละระดับของความหนาแน่นนั้น

    ทั้งหมดมี 7 ระดับ
    ระดับ ที่1เรียกกันว่า คอสมิคเรย์
    ระดับ ที่2เรียกกันว่า แกรมม่าเรย์
    ระดับ ที่3เรียกกันว่า เอ็กซ์เรย์
    ระดับ ที่4เรียกกันว่า อุลตร้าไวโอเล็ต
    ระดับ ที่5เรียกกันว่า แสงสว่าง
    ระดับ ที่6เรียกกันว่า อินฟราเรด
    ระดับ ที่7เรียกกันว่า เฮิร์ท

    นี้คือสิ่งที่พระเจ้าเล่นกันหรือมีการสร้างจากความว่างเปล่า
    อัดแน่นความว่างเปล่า มาเป็นโลกมายา
    ที่ทำให้ตาเนื้อที่พวกเราเห็นๆกัน อยู่ทุกๆวัน
    มีทั้งหมด 7 ระดับ

    ระดับสุดท้ายพวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
    และมีการวัดพลังงาน ความสั่นสะเทือนว่าเป็น เฮิร์ท HERTZ

    นี้คือวิทยาศาตร์แห่งจิตของโลกมายา
    เพื่อการเรียนรู้และค้นหาประสบการณ์ชีวิตและรู้จักตัวมันเอง

    หากถามว่าจริงๆแล้วใครช่างอัจฉริยะ สร้างจักรวาล
    ระดับความหนาแน่น และ พลังงานมีความสั่นสะเทือนต่างๆกัน
    ก็จะใครอีกล่ะครับ ก็พวกเราทุกๆคนๆนั้นแหละครับ
    ที่เป็นดวงจิตวิญญาณ

    สร้างกันเอง ลืมกันเอง หลงลืมสิ่งที่สร้างกันเอง
    ว่าสร้างกันมาทำไม ???
    สนุกดีไหมครับ (หัวเราะกันดังลั่น)


    [​IMG]
     
  5. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    23 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    แสดงว่าแต่ละระดับแห่งพลังงาน
    ก็มีการเล่นการสร้างต่างๆกันออกไป
    อวตารบอย
    อ่า ดีมากครับ ที่รู้จักฟังและสังเกตุกัน
    แต่ละระดับมีจิตสำนึกที่แตกต่างกันไปครับ
    เหมือนเช่นมีเจ็ดฐานในปิระมิด และ
    จักระในร่างกายมนุษย์ก็มีเจ็ดจักระ
    และพวกเราเคยได้ยินในอดีตว่ามี
    สวรรค์ชั้นเจ็ด เป็นสวรรค์สูงสุด
    สวรรค์เจ็ดชั้นก็มีพลังงาน ความสั่นสะเทือน และความหนาแน่นต่างๆกัน

    อ๋อเดี่ยวผมเพิ่มต่ออีกนิดหนึ่ง

    ระดับ ที่1เรียกกันว่า จิตสำนึกระดับอุลตร้า
    ระดับ ที่2เรียกกันว่า จิตสำนึกระดับไฮเปอร์
    ระดับ ที่3เรียกกันว่า จิตสำนึกระดับซูเปอร์
    ระดับ ที่4เรียกกันว่า จิตสำนึกแห่งการเชื่อมต่อ
    ระดับ ที่5เรียกกันว่า จิตสำนึกแห่งการตระหนักรู้
    ระดับ ที่6เรียกกันว่า จิตสำนึกของสังคม
    ระดับ ที่7เรียกกันว่า จิตใต้สำนึก

    จุดสูงสุดของปิระมิด จำกันได้ไหม ???
    ผมบอกเรื่องจุดสุดยอด หรือพระเจ้าสูงสุด
    เห็นไหมครับลองเอา
    เนื้อหาต่างๆที่ผมเล่าไปแล้วมาเชื่อมต่อกัน
    แล้วจะเข้าใจและเห็นภาพใหญ๋ขึ้น

    บางคนยังคิดว่าพระเจ้าอยู่นอกตัว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่จำกัด
    บางคนก็คิดและเข้าใจถูกว่า พระเจ้าอยู่ในตัว
    แต่ยังคิดว่ามีพระเจ้า อื่นๆอีกนะที่มาควบคุมพวกเราอีก
    แบบนี้ ก็ยังเข้าใจกันไม่หมด

    ตัวพวกเรานั้นเองครับ
    ที่เป็นจิตวิญญาณช่วยกันสร้างโลก และ จักรวาล
    และชีวิตส่วนตัวของพวกเรากันเอง ไม่ใช่สิ่งภายนอกเลย

    นี้คือเหตุผลหนึ่งในปีนั้น
    ทำไมผมไม่อยากเล่นกับกลุ่มเก่าๆ
    ผมมีใจเป็นอิสระ จิตวิญญาณอิสระ
    ทำไมพยายามจับผมเข้ากรงขัง ความเชื่อเก่าๆกันนะ (หัวเราะ)

    ผมอยากสร้าง สร้าง และ สร้างอย่างเดียว
    หากพวกเราเคยอ่าน หนังสือ "สนทนากับพระเจ้า"
    จะเห็นได้ว่า หนังสือเล่มนั้น
    ไม่ได้สอนให้พวกเราตามล่าหาความจริง จากโลกภายนอกหรือที่ใดๆเลย
    แต่ให้ สร้าง สร้าง สร้าง จากภายใน
    และเรียนรู้สิ่งที่พวกเราสร้างขึ้นมาในชีวิตจริง มันก็ท่านั้นเอง
    โรงเรียนโบราณก็สอนกันมาแบบนี้ให้สร้างมันออกมา
    แล้วพวกเราจะมีประสบการณ์ตรงในชีวิตจริงๆ

    จิตวิญญาณของพวกเราทุกๆคน เป็นจิตวิญญาณอิสระครับ
    ไม่ต้องขึ้นต่อพระเจ้าองค์อื่นๆจากภายนอก
    ไม่ต้องมีพันธะสัญญากับจิตจักรวาลองค์โน้น องค์นี้ ที่เล่นกันอยู่
    หรือต้องรับใช้พวกมนุษย์ต่างดาว
    หรือ พระเจ้าภายนอก หรือ มหาเทพชั้นต่างๆ
    ทุกๆอย่างเป็นทางเลือกของพวกเรากันเอง

    ในทางเดินแห่งจิตวิญญาณ
    ยังมีการเล่น การเข้าใจ แบบแตกต่างกันไปมากมายครับ
    ยังมีความเชื่อจำกัด ไม่ไร้ขอบเขต

    ทุกๆคนมีทางเลือก
    คนอื่นเขาจะเลือกหาความรู้ภายนอก
    หรือ รับใช้สิ่งภายนอก
    ก็ปล่อยพวกเขาไปสิครับ
    นั้นคือทางเลือกพวกเขา

    ผมดีใจที่พวกเรากลุ่มเล็กๆไม่เลือกเข้ากลุ่มแสงสว่าง
    พวกเราทุกๆคนในที่นี้เห็นแก่ตัวกันจังเลยนะ (หัวเราะ)
    การเห็นแก่ตัว และการไม่เป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม
    การแยกมาจากสังคมโลก
    การเอาใจเข้าภายในนี้แหละ
    ที่ทำให้คนตรัสรู้แล้วเข้าถึงพระเจ้ามามากนักต่อนักแล้วครับ

    หากพวกเราทุกๆคนจริงๆแล้วเป็นพระเจ้า
    ทำไมต้องไปกลัวพระเจ้าจากภายนอกกัน ล่ะครับ (หัวเราะ)
    หากยังมีพระเจ้าภายนอกคอยควบคุมพระเจ้าภายในของพวกเราอีกที
    พวกเราจริงๆแล้วก็ไม่ใช่พระเจ้าแท้ๆจริงสิครับ
    เป็นพระเจ้าจอมปลอมกัน(หัวเราะ)

    หากโลกชีวิตส่วนตัวของพวกเรายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
    ยังไม่มีความสุข
    แต่พยายามช่วยคนอื่นๆก่อน ให้แก่คนอื่นๆก่อน
    รับใช้พระเจ้าหรือสิ่งต่างๆภายนอกกันก่อน
    สังคมโลกมนุษย์เขาคิดกันแบบนี้กัน

    โลกจะเข้าสู่มิติที่ห้า หรืออะไรก็ตามแต่
    หากยังมีปัญหา และแก้ปัญหาชีวิตส่วนตัวไม่ได้ พวกเราจะมีความสุขกับโลกมิติใหม่หรือ
    โลกภายนอกจะเปลี่ยนแบบไหนก็ได้
    หากไม่เปลี่ยนภายใน โลกภายนอกไม่ว่าสวรรค์ชั้นฟ้าเทียมใด
    ก็ไม่สามารถทำให้พวกเรามีความสุขกันได้

    อาจได้ความรู้สึกดีๆจากภายนอก
    การชื่นชม ความขอบคุณจากภายนอก
    การยกย่องสรรญเสริญจากภายนอก
    แต่ัปัญหาชีวิตส่วนตัวภายในใกล้ๆนี้เอง ยังแก้กันไม่ได้เลย
    แต่มีความรู้กันมากมายระดับนอกโลกกันเลยนะ (หัวเราะ)

    พวกเราที่นั่งฟังกันอยู่ที่นี้
    โง่และเห็นกันตัวแบบสุดๆเลยนะ (หัวเราะ)
    ผมดีใจที่เลือกกลุ่มเข้าหาพระเจ้าในตัวเอง
    และ ฟังเสียงเรียกร้องจากภายใน
    และสร้างโลกชีวิตส่วนตัว
    เมื่อโลกส่วนตัวชีวิตของพวกเราได้ในสิ่งที่ต้องการ และมีความสุข
    ก็จะแผ่ขยายต่อสังคมโลกในอนาคตเป็นอย่างธรรมชาติของมันเอง

    ความสุขจากชีวิตเล็กๆโลกส่วนตัว
    สู่สังคม ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ
    โลก กาแลคซี่ จักรวาล เอกภพ ไม่มีที่สิ้นสุด

    ต้อนรับทุกๆคนในที่นี้ เข้ากลุ่มเล็กๆ แล้วพวกเราจะ
    บินไปสู่สุดขอบฟ้า ไร้ขอบเขต ไร้ข้อจำกัดใดๆ
    ด้วยความสุขและเสียงหัวเราะตลอดกาลและตลอดไป
    [/B]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2012
  6. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    24 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    ผู้ตรัสรู้แล้วยังมีอีโก้กันอยู่อีกหรือไม่ครับ ???
    อวตารบอย
    ยังมีอีโก้กันอยู่ครับ !!!
    แต่เรียกว่า อีโก้แบบพระเจ้า (หัวเราะ)
    อีโก้แบบมนุษยหมดไป แต่อีโก้แบบพระเจ้ายังมีอยู่
    แต่ละดวงจิตวิญญาณยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
    ทำให้จักรวาลมีสีสัน น่าอยู่ขึ้น
    ไม่เช่นนั้นแล้วทุกๆองค์เหมือนกันหมดนะสิ (หัวเราะ)

    พวกเราคิดว่าเป็นจิตวิญญาณกันแล้ว
    วันๆไม่ต้องทำอะไรกัน นั่งยิ้มแฉ่ง และให้ ให้ ให้
    มีความสุข น่าเบื่อตายเลยนะครับ (หัวเราะกันใหญ๋)
    หากจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด
    นั่งกันมีความสุขแบบนี้ ต้องเบื่อแน่ๆเลย
    มีความสุขกันจนเบื่อจนเลี่ยนเลยก็ว่าได้นะ (หัวเราะกันใหญ๋)

    จริงๆแล้วยังมีการวิวัฒนาการกันต่อไป
    หลังจากรู้แจ้งกันแล้วครับ
    ยังมีอะไรสนุกๆ น่าตื่นเต้นกว่านี้อีกครับ
    ตอนนี้อยาก รู้แจ้ง กันมากกว่าเดิมไหมครับ ???
    เริ่มเข้าใจจักรวาล และพระเจ้ามากกว่าเดิมไหมครับ ???

    จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ต้องเข้าใจตัวเราเองก่อนนะครับ

    หากไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำครับ
    หากไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้
    หากไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด
    หากไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน

    สมาชิก
    สังคมโลกสอนกันว่า "ยิ่งให้ยิ่งได้"
    อวตารบอย
    หากพวกเราไม่มีความสุขในตอนให้
    แต่หวังอยากจะได้ สิ่งที่พวกเราให้ก็เสียเปล่าครับ

    ผมบอกพวกเรามากี่ครั้งแล้วว่า
    ทุกๆอย่างมาจากภายใน
    หากพวกเราไม่มีความสุขในการให้ แต่ให้
    เพราะว่าสังคมเขาว่ากันว่าต้องทำ เป็นอย่างนี้นะ
    พวกคุณก็ไม่ได้ครับ
    "ยิ่งให้ยิ่งไม่ได้อะไรเลย" (หัวเราะ)
    ผมก็หยุดให้ในอดีตเช่นกัน (หัวเราะ)

    หากคุณให้เพราะคุณต้องการให้จริงๆ
    พวกเราก็ยิ่งได้ครับ

    เห็นไหมไม่ใช่ว่าภายนอกเขาว่ากันอย่างนั้น
    อย่างนี้ แล้วพวกเราต้องทำ
    เมื่อพวกเราทำในสิ่งที่พวกเราต้องการ จากภายในลึกๆ
    ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร
    จะขัดแย้งกับสังคมโลก เพียงไหนก็ตาม
    พวกเราก็มีความสุข

    พระเจ้าจะลงโทษพวกเราก็ได้
    พวกเราจะยินดี และแฮ็ปปี้แบบสุดๆ
    กับสิ่งที่พวกเราได้ทำอะไรก็ตามแต่
    พวกเรายอมรับโทษแต่โดยดี ด้วยความสุขแบบสุดๆ
    ผมกล้ารัประกันเลยว่า
    พระเจ้าเปลี่ยนใจแน่ๆเลย
    คงไม่กล้าทำโทษพวกเราตอนพวกเรามีความสุขสุดๆแน่ๆเลย
    พระเจ้าคงมีความสุขกับพวกเราไปด้วยจนลืมสิ่งที่พวกเราเคยทำมา
    พระเจ้าต้องทำโทษพวกเรากันไม่ลง (หัวเราะดังลั่น)

    ผมแค่พูดไปเปรียบเทียบให้ฟังกันเล่นๆนะครับ
    จริงๆแล้วไม่มีพระเจ้าภายนอกที่จะมาลงโทษตัวเราเองหรอกครับ
    มีแต่ตัวเราเอง ลงโทษตัวเรากันเอง
    และคนอื่น และสังคมโลกภายนอก
    พยายามตีกรอบให้พวกเราอยู่ในโลกแห่งจำกัด

    การเป็นจิตวิญญาณ รู้แจ้งกันแล้ว
    ต้องเป็นแบบนี้นะ เป็นแบบอื่นไม่ได้
    ทุกๆคนหวังว่าต้องเป็นแแบนี้ เป็นแบบอื่นไม่ได้อีกแล้ว
    ต้องเดินแบบนี้ ต้องคิดแบบนี้ ต้องทำแบบนี้

    พวกคุณรู้ไหมพระพุทธเจ้าในโลกจิตวิญญาณ
    หัวเราะเก่งมากๆเลยนะ ผมยังทึ่งเลย
    ท่านเป็นหัวหน้าแห่งจิตวิญญาณและ
    เป็นตัวตลกทำให้จิตวิญญาณองค์อื่นๆ
    หัวเราะกันมีความสุขเชียวล่ะ

    โอ้พระเจ้าช่วย ผมจะบ้าตาย
    มีหลายคน หลายสำนักนี้ขนาดศึกษาเรื่องจิตวิญญาณ
    และมีความรู้มากกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ยังหลงติดความเชื่อของมนุษย์กันอีก
    ยังขังกรงความคิดในคุกกันอีก
    ออกมาจากกรงขังมนุษย์ ก็บินเข้ามาสู่อีกกรงขังหนึ่ง ที่ใหญ่กว่า
    แต่ก็ยังอยู่ในกรงขัง อยู่ดีนั้นแหละ (หัวเราะกันดังลั่น)
    ทำไมไม่บินออกจากทุกๆกรงขัง ออกมากันให้หมดเลยล่ะครับ

    ทุกๆอย่างคือจิตวิญญาณ ทุกอย่างๆคือพระเจ้าครับ
    พวกเราคือจิตวิญญาณมาหาความรู้ประสบการณ์การเป็นมนุษย์
    ไม่ใช่มาหาประสบการณ์การเป็นจิตวิญญาณ
    เพราะพวกเราเป็นจิตวิญญาณกันอยู่แล้วครับ ซึ้งไหมครับ (หัวเราะ)

    เมื่อพวกเราเรียนรู้รักตัวพวกเราเอง
    ทำไมพวกเราต้องตัดสิน และ
    ลงโทษตัวพวกเรากันเองล่ะครับ
    เมื่อเข้าใจจุดนี้ ความกลัวต่างๆว่ามีสิ่งภายนอก
    บอกให้ทำโน้นนี้นั้น ก็หมดไป
    เปลี่ยนใจก้ยังได้เลย (หัวเราะ)

    ความรักและเข้าใจเรื่องจักรวาล และ พระเจ้าแท้ๆ และตัวเราเอง
    จะเกิดขึ้นในหัวใจโดยธรรมชาติ ด้วยตัวของมันเอง


    [​IMG]
     
  7. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    25 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    คำถามหนึ่ง
    งั้นแสดงว่า
    กลุ่มแสงสว่างในต่างประเทศ และในไทย ยังไม่ใช่จุดสูงสุด
    โลกมิติที่ 5 ก็ไม่ใช่ที่สิ้นสุดแห่งการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ
    คำถามสอง
    ผมฟังเรื่องพระเจ้าและจักรวาล ทำไมมันง่ายจังเลย
    อวตารบอย
    คำถามหนึ่ง
    ใช่แล้วครับ เป็นเพียงแค่ทางผ่านครับ
    โลกมนุษย์มิติที่3ถูกทำลายกันมาเยอะ เดินต่อไปไม่ได้
    ต้องเปลี่ยนเป็นโลกมิติที่5เพื่อรักษาให้โลกดำรงอยู่ต่อไปได้

    โลกเข้าสู่ความสงบสุข คงอยู่ได้ หลายพันปี
    หลังจากนั้นโลกก็มีการวิวัฒนาการกันต่อไปอีก
    โลกมิติที่ 5 ไม่ใช่จุดสุดยอด

    ผมถามกลับว่าทำไม
    อยากติดอยู่ในกรงขังแต่ในโลกมิติ5 กันล่ะครับ
    ยังมีโลกอื่นๆมากมายกว่าโลกมิติ5 ครับ

    คำถามสอง
    การเข้าใจจักรวาลและพระเจ้า
    ไม่สามารถเข้าใจได้แบบนักวิทยาศาสตร์
    แต่ต้องเข้าใจแบบมุมมองแบบเด็กๆครับ

    คนดีเกินไปก้ไม่สามารถเข้าใจจักรวาลได้ เพราะดีเกินไป
    คนชั่วเกินไปก็เข้าใจจักรวาลไม่ได้เพราะชั่วเกินไป

    ต้องออกมาจากกรอบแห่งความชั่วดี
    แล้วพวกเราสามารถเข้าใจจักรวาลและรักพระเจ้าอย่างหมดหัวใจ

    การสร้างจักวาลสร้างกันมาแบบเด็กๆไร้เดียงสา แบบเรียบง่าย


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2012
  8. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    26 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    คุณอวตารบอยบอกว่า
    พวกเราเป็นจิตวิญญาณมาหาประสบการณ์และเรียนรู้การเป็นมนุษย์
    ช่วยอธิบาย และขยายความหน่อยได้ไหมว่าเป็นอย่างไร

    อวตารบอย
    ใช่แล้วครับ
    พวกเราทุกๆคนเป็นจิตวิญญาณกันอยู่แล้ว
    พวกเราไม่สามารถไม่เป็นจิตวิญญาณ
    เพราะธรรมชาติของพวกเราคือจิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณคือธรรมชาติของตัวพวกเราเอง
    ไม่สามารถแบ่งแยกออกมาจากกันได้
    หากพวกเราสามารถแยกออกมาจากจิตวิญญาณได้
    พวกเราก็ไม่ใช่จิตวิญญาณ ใช่ไหมครับ (หัวเราะดังลั่น)

    มีเพียงแต่พวกเราหลงลืมกันไปเอง หรือไม่ตระหนักรู้
    ในขณะที่พวกเราหลงลืมตัวพวกเราเอง
    พวกเราก็ยังเป็นจิตวิญญาณอยู่นั้นแหละ
    ทีนี้สว่างกันขึ้นมาไหมครับ (หัวเราะอย่างเข้าใจ)

    การที่พวกเราเป็นจิตวิญญาณ
    พวกเรามีทฤษฎีมากมายว่า
    การเป็นคนอกหัก เป็นอย่างไร
    พวกเราไม่เคยมีประสบการณ์ตรง ไม่เคยลิ้มรส ไม่เคยรู้สึกว่า
    การเป็นมนุษย์ถูกอกหักเเล้วความรู้สึกเป็นเช่นไรหนอ
    จิตวิญญาณของพวกเราต้องการมีประสบการณ์ตรง
    แล้วเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในรูปพลังงาน ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ
    แล้วสิ่งที่พวกเราประสบการณ์ที่ถูกเก็บไว้ก็ถูกส่งต่อไปยังจักรวาล

    พวกเราคล้ายๆเป็นแขนเป็นขาให้แก่จักรวาล
    เพื่อการหาประสบการณ์ต่างๆ
    ทุกๆอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ว่าเป็น
    พรมเช็ดเท้า ยีราฟ ดอกทานตะวัน
    นางงามประกวดได้รางวัลระดับโลก
    นักกีฬาผู้พ่ายแพ้ในการแข่งขัน
    เด็กหนุ่มทำเงินล้านออนไลน์
    คนแก่ถูกรถชน
    สาวแม่หม้ายถูกล็อตเตอรี่
    ขวดฝาพลาสติคชาเขียวโอโอชิ
    อื่นๆอีกมากมาย

    ทุกๆสิ่งทุกๆประสบการร์จะถูกบันทึกในวิญญาณของพวกเรา
    แล้วก็ส่งต่อไปยังแก่จักรวาล
    นี้แหละสิ่งที่จักรวาลต้องการ
    และสะสมประสบการณ์ต่างๆเป็นความรู้

    พวกเราดูสิโลกมนุษย์
    มนุษย์ตื่นเช้ากันมา
    รีบออกจากบ้านแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาสิ่งที่ต้องการ
    แต่บั้นปลายของชีวิตก็เอากันไปไม่ได้สักคนเดียว (หัวเราะกันใหญ่เลย)

    แต่เมื่อจิตวิญญาณหลงลืมตัวเอง
    หลงในโลกมายา คิดว่าเป็นของจริง
    จิตวิญญาณดวงนั้นก็ติดกับดักของโลกแห่งมายา
    พระเจ้า หรือ จักรวาลสร้างโลกและจักรวาลเพื่อการหาประสบการณ์
    ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมาหลงหรือยึดติด

    ปัญหาคือ
    เมื่อจิตวิญญาณมาเล่นเป็นมนุษย์
    พวกเราหลงกับมันมากจนเกินไป และยึดติดจนเกินไป
    บางครั้งพวกเราต้องการมีประสบการณ
    อยากเป็นเจ้าของ รถสปอร์ตสีแดงๆ
    พวกเราทำงานเก็บเงินกี่ปีก็ไม่ได้สักที
    พอจิตวิญญาณออกจากร่างหรือเรียกว่าตาย ในภาษามนุษย์
    จิตวิญญาณดวงนั้นยังคงร่ำให้
    อยากได้ รถสปอร์ตสีแดงๆอยู่อย่างนั้นแหละ
    ด้วยกฎของแรงดึงดูด
    ก็พาจิตวิญญาณดวงนั้นกลับมายังโลกอีก รอบแล้ว รอบเล่า
    ที่พวกเราเรียกกันว่า เวียนว่ายตายเกิด
    สิ่งที่หวังและต้องการไม่ได้ทำ หรือ เป็น หรือ มีสักที
    เลยไม่เสร็จธุระบนโลกมนุษย์เสียที (หัวเราะดังลั่น)

    เมื่อพวกเรามีประสบการณ์เพียงพอแล้ว
    พวกเราก็ไปผจญภัยและหาประสบการณ์โลกอื่น มิติอื่น
    แล้วแต่หัวใจแห่งจิตวิญญาณเรียกร้อง ตามใจปราถนาแห่งความเป็นอิสระ


    [​IMG]
     
  9. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    ความรู้เรื่องความว่างเปล่า ของพี่อวตารบอย เขียนได้คล้ายๆกับคนนี้เลย
    ผมกูเกิ้ลเรื่องความว่างเปล่า เจอข้อความนี้เอามาแชร์กัน

    ความว่างมี 2 อย่าง 1. ว่างที่ไม่มีอะไรเลย(อนัตตา) 2. ว่างที่มีิจิตนิพพานอยู่ ตอน 1

    ความว่างมี 2 ชนิด
    1. ว่างที่ไม่มีอะไรเลยอย่างหนึ่ง = อนัตตา
    2. ว่างที่ไม่สูญ มีจิตบริสุทธิ์ดำรงอยู่ ว่างตัวนี้แหละเรียกว่า "นิพพาน" หรือนิพพานจิต หรือมหาสุญญตา

    ว่างที่ไม่สูญ คือ "นิพพาน" หรือนิพพานจิต หรือมหาสุญญตา มันมีอำนาจควบคุมความว่างที่ไม่มีอะไรเลย(อนัตตา) ให้อนัตตาเปลี่ยนรูป แปลงกายเป็นอะไรก็ได้ สิ่งเหล่านั้นที่เปลี่ยนรูปจากความว่างจะดูเสมือนจริงมากที่สุด ทั้งๆที่มันเป็นความว่าง(อนัตตา)เท่านั้น ความว่าง(อนัตตา)หรือสิ่งที่เปลี่ยนรูปไปล้วนเป็นสิ่งมายาทั้งสิ้น

    ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นโลก เป็นจักรวาล เป็นร่างกายของคน สัตว์ ต้นไม้ น้ำ แร่ธาตุต่างๆ เทพ ยักษ์ มาร พรหม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความว่างเปล่าที่ถูกบีบอัดกันจนแน่น

    แต่ผู้ที่จะเห็นความจริงว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นความว่าง เป็นอนัตตา ต้องเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง

    สำหรับมนุษย์ธรรมดาทั้วไปทุกคน จิตของพวกเขายังไม่บริสุทธิ์ถึงระดับนั้น จึงยังหลงผิดคิดว่า ความว่างเปล่า หรืออนัตตา ที่นิพพานเนรมิตขึ้นมา เป็นของจริง มีบ้านช่อง มีรถ มีเงิน มีทอง มีตัวกู มีของกู มีตัวมึง มีของมึง ฯลฯ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นเป็นมายาของความว่างเปล่าที่"นิพพาน" หรือนิพพานจิต หรือมหาสุญญตา เนรมิตขึ้นมาลวงจิตไม่บริสุทธิ์ต่างๆ

    แล้ว"นิพพาน" หรือนิพพานจิต หรือมหาสุญญตา ก็คือ จิตปภัสสรบริสุทธิ์ของคุณนั่นเอง คุณ ผม และจิตอื่นๆ ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่า นิพพานธาตุ นิพพานธาตุหรือนิพพานจิตต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว พร้อมด้วยฤทธานุภาพอันมหาศาล พวกเราหรือเราก็ต้องหาอะไรทำ หาอะไรเล่นสนุกๆเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ดีกว่าอยู่เปล่าๆชั่วนิรันดร

    พวกเราพระเจ้าจึงเล่นเกมค้นหาตัวเองให้เจอว่าเราเป็นพระเจ้า เป็นนิพพานจิต

    โลกภายนอกกว้างไกลใครใครรู้
    โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
    จะมองโลกภายนอกมองออกไป
    จะมองโลกภายในให้มองตน
     
  10. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    อ่านแล้วคล้ายๆกันเลย

    ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.

    "ต้องเข้าหา" ก่อน จึงจะรู้ว่าต้อง "หยุดเข้าหา"...

    ตอบ

    พระพุทธเจ้าเสียเวลา 6 ปีในการเข้าหาทางหลุดพ้น ไม่มีความทุกข์ ทั้งๆที่ทางหลุดพ้น ไม่มีความทุกข์ กองอยู่ตรงหน้าพระองค์ตลอด

    ทุกข์ คือเข้าไปยึดถือ ไปยึดติด ในเรื่องราวภายนอกจิต
    หมดทุกข์ คือไม่เข้าไปยึดถือ ไม่เข้าไปยึดติด ในเรื่องราวภายนอกจิต

    พระอานนท์ก็เช่นกัน เมื่อเข้าไปยึดถือ ไปยึดติด ในเรื่องราวภายนอกจิต จะต้องถึงนิพพานให้ได้ จะต้องเป็นอรหันต์ให้ได้ จะต้องเข้าไปร่วมการปฐมสังคายนาพระไตรปิฎกให้ได้ ให้ทัน = ไม่มีทางหมดทุกข์ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์

    พอจิตวางความยึดถือเหล่านั้นลง ช่างมันปะไร จะเป็นอรหันต์หรือไม่ก็ช่างหัวมัน หัวถึงหมอน พระอานนท์บรรลุอรหันต์ทันที
     
  11. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    อ่านแล้วคล้ายๆกันเลย กับโรงเรียนโบราณ

    ความจริงเรื่องสมมุติ วิมุติ และการสร้างโลก/จักรวาลของพวกเรา...เหล่าพระเจ้า ตอน 2

    ความจริงเรื่องสมมุติ วิมุติ และการสร้างโลก/จักรวาลของพวกเรา...เหล่าพระเจ้า ตอน 2
    « เมื่อ: เมษายน 03, 2012, 02:28:35 PM »


    สุดยอดของความจริง

    เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราคือจิตมหาบริสุทธิ์ เราคือนิพพานธาตุ เราได้กระจายตัวเองออกเป็นอนันต์พระเจ้า ด้วยเหตุนี้... พวกเราทั้งหมดจึงล้วนเป็นพระเจ้า พวกเราเหล่าพระเจ้าหรือพุทธะ เป็นผู้รู้ควมจริงว่า ทั้ง"สมมุติ" และ "วิมุติ" ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความว่างทั้งนั้น

    พวกเราแค่ออกมาเล่นเกมค้นหาตัวเองว่าเราเป็นใครเท่านั้น เพราะพวกเราพระเจ้าต้องอยู่ตามลำพังกับความว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไรเลยชั่วนิรันดร เนื่องจากในความว่างที่ไม่มีอะไรเลย ดันมีเราจิตปภัสสรอยู่กับมัน พร้อมด้วยฤทธานุภาพอันไม่จำกัด

    ....เราจึงหาเกมส์อะไรเล่นกับตัวเราเองสักหน่อย....

    แล้วเกมส์ที่เราเล่นได้นานหน่อย.... เล่นแค่ชั่วกัลปาวสาน ซึ่งน้อยกว่าชั่วนิรัดร มีอยู่แด่เกมส์เดียว คือ hide an seek ตัวเราเอง

    ด้วยเหตุนี้ เราจึงให้พวกเราจิตปภัสสรทั้งหมด ที่เรากระจายออกมาแล้ว จึงสั่งให้ตัวเองลืมว่า ตัวเองเป็นพระเจ้า แล้วให้กิเลส ตัณหา อวิชชา สามารถเข้ามาลวงจิตเราได้ เสร็จแล้วเราก็สร้างโลกและจักรวาลจากความว่างเปล่า ขึ้นมาลวงจิตที่หลงไปกับกิเลส ตัณหา อวิชชา

    พวกเราได้ออกกฎแห่งกรรม นอกจากนี้ก็ได้สร้างสวรรค์นรกพรหมโลกขึ้นมารองรับจิตระดับต่างๆด้วย เรื่องละเอียดลึกกว่านี้ยังมีเยอะครับ แต่มันเป็นอจินไตย ผมจึงขอเอาไว้แค่นี้ก่อ
     
  12. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    อีกหนึ่งความว่าง คล้ายๆกัน

    อนัตตาธรรม และ มหาสุญญตา

    อนัตตาธรรม มี 2 อย่าง อนัตตา และ อัตตา เป็นกาย+ใจ มหาสุญญตา เป็นใจอย่างเดียว

    อนัตตาธรรม นั้นมี 2 อย่าง

    1. อนัตตา = ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
    2. อัตตา = เที่ยง ไม่ทุกข์

    ทั้งอนัตตาและอัตตาพระพุทธองค์หมายถึง กายที่มีใจครอง ส่วนจิตหรือใจเฉยๆ ที่เป็นความว่างเฉยๆ ที่เที่ยง ไม่ทุกข์ คือ มหาสุญญตา

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั้นคือ พระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น....วิถีจิตอันปรกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติ และ สัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆทั้งสิ้น!!! เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์ ภาวะอันนั้น จะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือเรียกว่า "พระนิพพาน"

    - จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ของมนุษย์และสัตว์โลก ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = อนัตตา = เบญจขันธ์ หรือนามรูป.....นี่เป็นสมมุติ

    - จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ของเปรต เทพ พรหม ยักษ์ ฯลฯ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = อนัตตา =นามกาย.....นี่เป็นสมมุติ
    - จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ของพระอรหันต์ในอายตนะนิพพานภายใน+นอก ที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ = อัตตา = ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์ อาศัยอยู่ในนิพพานที่เป็นพุทธเกษตร หรือเมืองพระนิพพาน.....นี่เป็นวิมุติติ

    - นิพพาน = มหาสุญญตา = ความว่างเดิมของจักรวาล ไม่มีทั้งสมมุติและวิมุตติอะไรอยู่ทั้งนั้น มีแต่นิพพานจิตที่ว่างอยู่ แต่ไม่ใช่สูญนะแก

    หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า - นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล
     
  13. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    เรื่องนี้ก็คล้ายๆกันเลย เข้ากันได้ดีกับ โรงเรียนโบราณเลย
    ใครอยากอ่านเพิ่มค้นหาดูจากลิ้งค์กัน

    ใจจะสุขได้อย่างไร?

    ใจจะสุขได้อย่างไร?
    « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 01:25:51 AM »


    ใจจะสุขได้อย่างไร?

    ตอบ

    ต้องให้นิยามคำว่าสุขทางใจก่อนซิครับ เพราะสุขทางใจ มันมีหลายอย่างหลายระดับ

    1. สุขทางใจ ที่เกิดจากร่างกายต้องเสพหรือได้ สิ่งใดในโลกมาบำเรอ ปรนเปรอ หรือได้จากเสพสิ่งที่ตนพอใจ บางคนบ้ากามมาก ยิ่งเสพกามยิ่งสุข แต่เป็นสุขไม่ถาวร บางคนบ้าเงิน บ้าอำนาจ ยิ่งเสพเงิน เสพอำนาจยิ่งสุข แต่ก็เป็นสุขไม่ถาวรเช่นกัน ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสุขไม่ถาวร พอไม่ได้เสพ ความทุกข์ก็จะตามมา

    สุขทางใจจากการได้เสพ ที่ถาวรกว่าการเสพแบบอื่น คือ เสพความสุขทางใจอยู่กับคนที่เรารัก เช่น ได้อยู่กับ ย่า ยสย ปู่ แม่ ลูก เมีย(ผัว) หลาน เป็นค้น

    2. สุขทางใจ ที่ได้จากการให้ เช่น บางคนชอบช่วยเหลือคนอื่น เขาก็มีความสุขจากการให้ หรือได้ช่วยเหลือคนอื่น

    สุขทางใจจากการให้ ประเสริฐกว่าสุขทางใจจากการได้สิ่งของมาเสพ แล้วมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะตกไปสู่อบายภูมิเมื่อตายจากโลกนี้ไป

    3. สุขอีกชนิดหนึ่ง คือสุขจากฌานในแต่ละระดับ สุขตัวนี้ถาวรกว่าสุขจากการให้ และสุขจากการเสพสิ่งต่างๆในโลก และก็หาสุขนี้ได้ตลอดด้วยตัวเอง

    4. มีอีกสุขหนึ่งที่ถาวรกว่าสุขแบบอื่น นั่นคือสุขจากการไม่ยึดมั่นถือมั่น และละวางจากสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบใจทั้งหมด ถ้าละวางได้หมด ไม่ยึดมั่นในทุกอย่างในโลก เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะตลอดไป เมื่อร่างกายมนุษย์ตายไป จิตพุทธะของเขาก็จะไม่ตาย และจิตพุทธะนั้น จะสร้างร่างกายที่ถาวรขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องเสพหรืออาศัยสิ่งใดให้ดำรงอยู่ ร่างกายที่จิตพุทธะสร้างขึ้นมา เรียกว่า "อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย"
     
  14. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    เรื่องนี้ก็เข้ากันได้ดีทีเดียวกับ โรงเรียนโบราณ

    เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต

    เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต
    « เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:11:26 AM »


    เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต


    เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูกรคฤหบดี ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล.

    นี่แหละครับ เคล็บลับของความไม่ทุกข์ เมื่อสามารถรับรู้และแยกจิตออกจากกายได้แล้ว กายมันจะเป็นทุกข์อย่างไร ถ้าจิตมันไม่ทุกข์ซะอย่าง ไม่ยอมรับ คือ ไม่นำเข้าข้อมูลจากโลกที่เข้ามาสู่จิตตน ไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นตัวกู ของกู แล้วความทุกข์มันจะมีได้อย่างไร

    ลองดูซิว่า คุณเห็นคนป่วย และข่าวความทุกข์ทรมานของคนมากมาย แต่ทำไมคุณไม่ทุกข์ล่ะ

    ตอบ

    กูไม่ทุกข์ ก็เพราะไม่ใช่เรื่องของกู ไม่มีตัวกู ของกู อยู่ตรงนั้น แต่ว่าเมื่อไรที่กูไปคิดว่า มีตัวกู ของกู อยู่ด้วย กูย่อมเป็นทุกข์มันทุกข์เรื่อง

    ความสุขทุกข์ล้วนเกิดขึ้นในใจ ถ้าใจไม่คิดปรุงแต่งในเรื่องต่างๆที่เข้ามากระทบแล้ว ความทุกข์มันจะไม่มี
     
  15. dimension12

    dimension12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +107
    มีการพูดเรื่องแสงสว่าง
    การสร้างคล้ายๆกับโรงเรียนโบราณกันเลย
    ใครสนใจลองหาอ่านกันได้ น่าสนใจมาก

    ประวัติศาสนาโลกฉบับที่ถูกต้อง อยู่ที่นี่แล้ว ผมphonsak เขียนเอง

    ศาสนาโซโรอัสเตอร์

    เป็นศาสนาเดิมของอิหร่าน ซึ่งก่อนหน้านั้น มีการนับถือศาสนาพระเจ้าหลายองค์ แต่ถูกศาสนาโซโรอัสเตอร์ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวเข้าแทรก ทำให้ศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ ไม่เป็นที่เลื่อมใสอีกต่อไป

    ศาสนาโซโรอัสเตอร์เข้าใจได้ถูกต้องใน หลักการเบื้องต้นแล้วว่า พระเจ้าคือแสงสว่าง แต่ศาสนาโซโรอัสเตอร์ไปเข้าใจผิดว่า แสงสว่างนั้นคือไฟ จึงมีเรื่องการบูชาไฟ เพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ทั้งๆที่แสงสว่างที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น เป็นแสงสว่างในใจของเรา ที่เห็นและรับรู้ได้จากการทำสมาธิขั้นสูง

    สรุปภาค 1

    เรื่องศาสนาของโลก เป็นเรื่องของการค้นหาตัวของเราเองว่ามาจากไหน และจะทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างเป็นสุขชั่วนิจนิรันดร แม้ว่าคำสอนในศาสนาต่างๆจะแตกต่างกันมาก แต่ความแตกต่างนั้นก็มาจากมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ ที่ใช้สมองในการตีความ ไม่ใช้การปฏิบัติให้ถึงปัญญา แล้วตีความ จึงทำให้ถูกอวิชชาหรือพญามารแทรกแซงความคิดที่ถูกต้องได้ เป็นเหตุให้เขาตีความข้อเท็จจริงผิดไป

    พุทธภาวะ 3 ระดับ พุทธภาวะมหาสุญญาตา(ปรินิพพาน) พุทธภาวะธรรมกาย พุทธภาวะวิญญาณบริสุทธิ์


    "เพราะว่ามหาสุญญตาเป็นจักรวาลเดิมที่มีแต่ความว่าง ทีนี้จิตนิพพานมันไปเลียนแบบความเป็นมนุษย์มาแล้ว มันก็สามารถไปอยู่แบบมนุษย์ได้"
    ถามครับ
    ในความว่างแห่งจักรวาลเดิมดวงจิต 1 ดวงอันโดดเดี่ยวนั้นมีรูปร่างความเป็นมนุษย์หรือยังครับ คอยติดตามครับ

    ตอบ

    นิพพานธาตุที่เป็นพุทธภาวะดั้งเดิมอันว่างเปล่าจากทุกสรรพสิ่ง

    1... พุทธภาวะคือธรรมชาติการรู้แจ้ง เป็นแสงแห่งปัญญา พุทธภาวะดั่งเดิมเป็นแสงสุกใจสว่าง

    หลวงปู่ดู่ บอกว่า "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก” นี่แหละคือพุทธภาวะดั้งเดิม

    พุทธภาวะดั้งเดิม มันว่างอย่างเดียว แต่ไม่ได้สูญ เพราะมีตัวของมันอยู่ในความว่างนั้น ความว่างนั้น คือ อนัตตา หรือ สญญตา ไม่ใช่สูญที่อยู่ในความว่างนั้น เรียกว่า "มหาสุญญตา" มหาสุญญตาแทนตัวมันเองด้วยแสง = ปัญญา

    เวลาคุณทำสมาธิ จิตว่างถึงระดับหนึ่ง คุณจะเริ่มเห็นแสงสว่างภายในจิตของคุณ ก็คือคุณกำลังย่างก้าวเข้าไปอยู่ในพุทธภาวะดั้งเดิมบ้างแล้ว

    พุทธภาวะดั้งเดิม = มหาสุญญตา = ความว่าง แต่ไม่ใช่สูญ = แสงภายในคือปัญญาสูงสุด ที่ต้องแสดงเป็นแสง เพื่อจะได้แตกต่างจากความว่างที่เป็นอรูปหรืออนัตตาแบบอื่น เช่น อรูปพรหม หรือนิพพานพรหม

    อย่างไรก็ตาม พุทธภาวะดั้งเดิม = มหาสุญญตา = ความว่าง แต่ไม่ใช่สูญ = แสงภายในคือปัญญาสูงสุด อยู่โดดเดียวตามลำพังในความว่างเปล่าที่เป็นอนัตตา

    2... พุทธภาวะดั้งเดิมมหาสุญญตาจึงทำให้เกิดพุทธภาวะอีกระดับขึ้นมา เรียกว่า "ธรรมกาย"

    เวลาหลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ฯลฯ ท่านพูดถึงนิพพานที่มีบ้านเมือง มีวิมานของพระพุทธเจ้าต่างๆอยู่ นั่นเป็นธรรมกาย และสัมโภคกาย ซึ่งเป็นพทธภาวะแท้ดั้งเดิมอีกระดับหนึ่ง

    3... สัมโภคกายเป็นพุทธภาวะอีกระดับหนึ่ง สิ่งนี้"พระธรรมกาย"ใ ช้พุทธบารมี หรือพุทธนิมิตของท่านแสดงออกมา ถือเป็นการแผ่ขยายอำนาจของธรรมกาย ออกเป็น สัมโภคกาย นั่นเอง เรื่องมันเป็นอย่างนี้

    หลังจากที่พุทธภาวะเริ่มต้น(มหาสุญญตา)ต้องอยู่โดดเดียวแบบไม่มีวันสิ้นสุดมานาน โดยไม่มีกาลเวลามาคอยกำหนดวัดว่านานแค่ไหน รู้แต่ว่ามหาสุญญตาต้องอยู่แบบนั้นตลอดไปชั่วนิจนิรันดร มหาสุญญตาจึงได้ตัดสินใจกระจายตัวเองออกเป็นธรรมกายหรือพุทธภาวะอีกระดับหนึ่ง แล้วให้ธรรมกายองค์ปฐม แยกตัวเองออกเป็นอนันต์พระเจ้า(ธรรมกาย)หรืออนันต์อรหันต์ ธรรมกายองค์ปฐมมีอำนาจสั่งการให้ธรรมกายองค์อื่นในอนันต์พระเจ้าหรืออนันต์อรหันต์ สร้างกาลเวลาและสรรพสิ่งในจักรวาลขึ้นมา

    พูดง่ายๆ ธรรมกายองค์ปฐมหรือธรรมกายต้นกำเนิด กระจายตัวเองออกเป็นอนันต์พระเจ้าหรืออนันต์ธรรมกาย และทำการสร้างหรือก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งปวงที่เป็นจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นสสาร กาลเวลา และธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ(จิตประภัสสร ที่ว่างเฉยๆ พร้อมจะรับข้อมูลอวิชชาหรือกิเลสตัณหามา และพร้มรับข้อมูลของวิชาคือ การดับกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป)

    ทุกอย่างเป็นการเตรียมพร้อมให้พุทธภาวะเริ่มต้น ที่ต้องโดดเดี่ยวอยู่ในความว่างเปล่าแห่งอนัตตา ได้เริ่มเล่นเกมค้นหาตัวเองได้แล้ว ดีกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นสูญในความสูญ(อนัตตา)ที่เรียกว่า "มหาสุญญตา"

    ตอบคำถามของคุณได้ว่า พระเจ้าที่เป็นมนุษย์ คือ เป็นธรรมกาย และสัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ก็ได้ หรือจะเป็นธรรมกายและสัมโภคกายที่เป็นแสงก็ได้ทั้งนั้น แต่เมื่อพระพุทธเจ้ามาหมายเคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน จิตนิพพานของท่าน มันไปเลียนแบบความเป็นมนุษย์มาแล้ว ธรรมกายและสัมโภคกายชองท่าน จึงสามารถไปอยู่แบบธรรมกายที่เป็นมนุษย์ได้

    อย่างไรก็ตาม ในสากลจักรวาล มีมนุษย์ต่างดาวมากมายอยู่ด้วย ก็มีพุทธภาวะที่เป็นธรรมกาย และสัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ของมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ด้วย

    สรุป

    1...พุทธภาวะดั้งเดิม = มหาสุญญตา = ความว่าง แต่ไม่ใช่สูญ = แสงภายในคือปัญญาสูงสุด ที่ต้องแสดงเป็นแสง เพื่อจะได้แตกต่างจากความว่างที่เป็นอรูปหรืออนัตตาแบบอื่น เช่น อรูปพรหม หรือนิพพานพรหม เพราะพุทธภาวะดั้งเดิม จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น มีรูป หรือไม่มีรูป เป็นแสงหรือไม่เป็นแสงก็ได้ทั้งนั้น

    2...พุทธภาวะแท้ดั้งเดิม มหาสุญญตา อยู่อย่างโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร จึงได้ทำให้เกิดพุทธภาวะอีกระดับขึ้นมา เรียกว่า ธรรมกายองค์ปฐม แล้วให้ธรรมกายพุทธภาวะแท้ดั้งเดิมตัวนี้ แยกจิตธรรมกายออกเป็นอนันต์ แล้วสร้างสรรพสิ่งในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นกาลเวลา สสาร ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ แม้แต่จิตวิญญาณ

    3...ธรรมกายองค์ปฐมได้อวตารธรรมกายของตน เป็นธรรมกายพระเจ้าหรืออรหันต์มากมาย

    4...ธรรมกายองค์ปฐม และธรรมกายอื่นๆ ได้นิรมิตพุทธเกษตร หรือสวรรค์นิรันดร แบบต่างๆขึ้นมา รวมได้ใช้ทำให้เกิด(นิรมิต)ตัวเองเป็น พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพยบริสุทธิ์ หรือสัมโภคกายขึ้นมา เพื่อติดต่อสังสรรค์และทำกิจกรรมอย่างอืน พุทธนิมิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพยบริสุทธิ์ หรือสัมโภคกาย)นี่ก็เป็นพุทธภาวะอีกแบบหนึ่ง

    5...ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าของมนุษย์และมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นธรรมกาย และสัมโภคกายของมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวจึงมี แต่ถ้าจะอยู่แบบความว่างเปล่าที่เป็นมหาสุญญตา หรือแบบธรรมกาย หรือแบบพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ทั้งนั้น
     
  16. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    27 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    อวตารบอย
    ขอเป็นคำถามสุดท้ายในวันนี้
    ก่อนที่พวกเรานั่งสมาธิกัน และจบการพบปะวันนี้ นะครับ
    สมาชิก
    พวกเราไม่มีคำถามอีกแล้วครับตอนนี้
    นั่งฟังกันอิ่มจุใจ แล้วแต่พี่อวตารบอยจะพูดครับ
    อวตารบอย
    โอเคครับ ดีแล้วครับ
    ได้เวลาอันสมควรแล้ว
    สิ่งที่ผมจะอยากบอกคือ
    สิ่งที่ผมแชร์ความรู้ต่างๆ และจะสอนในอนาคต
    ขอให้รู้ว่า ทุกๆคนต้องปฎิบัติกันอย่างเคร่งครัด
    อย่าเป็นเหมือนในเวปไซต์
    ที่อ่านกันสนุกสนานแต่ไม่ได้นำไปปฎิบัติ
    หรือมีการถกเถียงว่าจริงหรือไม่จริง
    ด้วยเหตุหรือผล เชื่อหรือไม่เชื่อ
    พวกเราไม่ทำกัน พวกเราน้อมรับความรู้และเคารพต่อผู้สอน
    โดยการนำทุกๆคำสอนไปฝึกปฎิบัติ
    แล้วพวกเราจะมีประสบการณ์ตรงโดยตัวของพวกเราเอง
    เห็นเอง รู้เอง แจ้งเอง โดยตรง

    โรงเรียนแห่งการรู้แจ้ง เป็นโรงเรียนปฎิบัติครับ
    รู้แจ้งโดยการนำความรู้ไปปฏิบัติกัน และเข้าใจประสบการณ์ตรงๆ
    ไม่ใช่เก็บสะสมความรู้ไว้ในหนังสือหรือในคอมพิวเตอร์
    อย่างนั้นพวกเราไม่ทำกัน

    ทุกๆบทเรียนปฎิบัติกันจริงจัง
    แล้วบทเรียนขั้นสูงก็จะได้รับการถ่ายทอดและสอนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    ผมดีใจที่พวกเราทุกคนที่นี้เป็นกลุ่มเล็ก
    ถึงแม้จะเล็กแต่ประสิทธิภาพสูงด้วยความตั้งใจจริง
    เก็บความรู้ที่เรียนกันมาเป็นความลับของกลุ่มเล็กๆ
    อย่างเช่นที่โรงเรียนปฎิบัติกันมาช้านาน
    ความรู้จะได้ศักดิ์สิทธิ์ และ ไม่สูญหาย หรือมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
    ความคิดขัดแย้งหรือตรงข้ามอื่นๆไม่สามารถแทรกแซงได้

    พวกเรายังเหมือนเด็กทารกที่กำลังฝึกเดินด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
    การเข้าใจพระเจ้า และจักรวาล และตัวเราเอง
    ไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือ หรือจากภายนอก
    แต่เป็นการมีประสบการณ์ตรงจากภายใน
    โดยคนอื่นไม่สามารถทำแทนกันได้

    นักเรียนโรงเรียนโบราณ
    สงสัยหรือมีคำถามหรือปัญหาใดๆ ทุกๆคนเข้าหาพระเจ้าในตนเอง

    นักเรียนโรงเรียนโบราณ
    ไม่เคยไปหาหมอรักษาเมื่อป่วย ทุกๆคนเข้าหาพระเจ้าเพื่อการบำบัดรักษา

    นักเรียนโรงเรียนโบราณ
    ไม่เคยไปหาความรู้จากที่อื่น หากไม่จำเป็นพวกเรา ดาว์นโหลดมาจากพระเจ้าภายใน

    นักเรียนโบราณ
    ไม่พึ่งความรัก หรือ ความสุขจากภายนอก
    แต่เข้าหาความรักและความสุขจากพระเจ้าภายใน

    นักเรียนโบราณต้องการอะไรในชีวิต
    ก็หาจากพระเจ้าภายในทุกๆอย่าง

    นักเรียนโบราณ เข้าใจธรรมชาติของพระเจ้าภายในและจักรวาล
    และดำเนินชีวิตเป็นอยู่อย่างพระเจ้าภายใน

    นักเรียนโบราณส่วนใหญ่มีสังคมในกลุ่มเฉพาะ
    ทุกๆคนมีความสุขและอายุยืนยาว

    ขอให้พระเจ้าภายในจงคุ้มครองพวกเราทุกคน
    ให้มีความสุขและเสียงหัวเราะ ตลอดกาลและตลอดไปครับ


    ทั้งหมดเป็นความรู้ ความคิดและความเชื่อ และ การดำเนินชีวิต
    ของมนุษย์กลุ่มหนึ่งบนโลกของพวกเรา
    หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย



    [​IMG]
     
  17. รักหมดใจ

    รักหมดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +290
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=tgx0k6DX3m8&feature=related]ความลับลึกของพระคัมภีร์ไบเบิล... - YouTube[/ame]
     
  18. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
  19. Pichart

    Pichart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมก็เหมือนกันเข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้ว
    สว่างมากขึ้น มีปัญญามากขึ้น สุขสงบมากขึ้น
     
  20. melilea

    melilea สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    I want to read too, please add me in facebook at "Krittika Apple" Thank you !
     

แชร์หน้านี้

Loading...