เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ความสุขที่ถูกมองข้าม [​IMG] ( ดอกป๊อปปี้เชอรี่แดง)
    ข้อคิดสะกิดใจ
    ความสุขที่ถูกมองข้าม

    คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อ ว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

    ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่….มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง” เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

    คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคน ทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

    แต่ ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

    ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มา ใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
    ต่อที่นี่
    ความสุขที่ถูกมองข้าม | บ้านสวนพอเพียง
    [​IMG]
     
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    โครงกระดูกที่ถ้ำกรุงชิง ท่าศาลา นครศรีธรรมราช คางเท่าฝ่ามือคนเรา มีดาบ หอก ล้วนใหญ่โต ครกบดยาเล็ก แต่เราแทบแบกมาไม่ไหว เอาขึ้นหลังช้างๆเอียงตัว ครกตกลงไปในซอกเหวเสีย มีจารึกเป็นภาษามคธด้วย (ชาวอารยัน..พุทธกาลหรือเปล่า)
    --หลวงปู่ปานพาท่านฤาษีลิงดำ ฤาษีลิงขาว ไปพบนักบวชบ้าๆ แต่งตัวรุงรัง ไว้ผมยาว ท่านถามว่า"เป็นพระมันสำคัญที่จีวร หรือหัวโล้นหรือไงล่ะ" แล้วเนรมิตไม้เท้าเป็นงู หลวงพ่อปานก็เนรมิตนกไล่จิกงู สารพัดที่จะนำมาต่อสู้กัน พระองค์นั้นเอาไม้เหลาเป็นปืน ชุบที่บ่อน้ำวิเศษ ยิงได้เสียงดังปังเลย
    --หลวงปุ่ปานบอก เขตรอยต่อจ.กำแพงเพชรนี่แหละครือ นคร "ตักศิลา" ที่คนอินเดียนิยามมาเรียนคาถาอาคม สารพัดศิลปวิทยาการที่นี่

    --นักวิทย์รัสเซียสำรวจอะไรต่างๆ สรุปได้ว่า ถ้าลากเส้นผ่านเหตุการณ์สำคัญของโลก จะพบว่า โลกคือผลึกที่เป็นห้าเหลี่ยมด้านเท่า จุดที่เชื่อมต่อกัน เรียกว่า โหนด เส้นเชื่อมเรียกว่ากริด(ตะแกรง) จุดนี้จะมีเส้นผ่านเขากรุงชิงพอดี
    ---บางคนบอกผมว่า พนมเทียนเขียนจากเรื่องจริง ที่มีสัตว์ยักษ์ต่างๆ ก็คือที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง-เขากรุงชิง พวกสัตว์จะใหญ่มาก กบภูเขาตัวเท่าเด็กสามขวบ เสือมันกินกบก็อิ่มแล้ว
    --ทุกๆที่ในป่า จะนอนด้วยความอบอุ่นเหมือนบ้าน
    ต้นไม้ทุกอย่างใหญ่โต คาดว่ามีพลัง"ชิ" พลังลมปราณสูง ต้นบอนป่า ใบเท่าร่มชายหาด เฟิร์นยักษ์ "มหาสะดำ" ก็ใหญ่โตมาก ต้นไม้สามคนโอบก็ล้มตอนมหาวาตภัยถล่มแหลมตะลุมพุก นอกนอกนั้นยังอยู่ดี มีป่าบางส่วนเต็มไปด้วยเต่ายักษ์ ส่งกลิ่นอึเหม็นทั่วป่า แต่คน5 คนนั่งบนหลังมันก็พาเดินไปได้ ---ชายสามคนเดินหลงทาง ไปพบต้นไม้มีลูกสีเหลือง รสหวาน ก็กินเข้าไป อีกสองคนไม่นอมกิน พอกลับถึงบ้าน สองคนนั้นป่วยตาย คนที่กินผลไม้อายุยืนเกิน100 ปี ครั้นกลับไปหาต้นไม้นั้นก็ไม่เจอแล้ว คาดว่าประตูมิติปิดแล้ว
    --ผมได้บวชเป็นพระแล้วพยายามไปที่นั่นจนได้ ลึกลับสมคำล่ำลือ ได้พบกับวิญญาณเจ้าที่ แต่สัมผัสที่ นศ.ถูกฆ่าตายมากมายก็ไม่พบแล้ว วิญญาณคงไปเกิดกันหมด มีเรื่องลึกลับอีกหลายเรื่อง ซึ่งท่านขุนพันธุรักราชเดชได้เล่าถวายในหลวงๆท่านฟังถึงกับรวบช้อน อิ่มพระกระยาหารในทันที--ถ้าเป็นเรื่องโกหก ใครจะกล้าเล่าถวายท่าน--เรื่องนีบันทึกในวารสารศิลปวัฒนธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2012
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เอ็ดการ์ เคยซ์ นักพลังจิตชื่อดัง ได้บันทึกนิมิตที่เขาเรียกว่า "การอ่านอดีต--รีดดิ้งส์" เขาเล่าว่าเดิมพวกเราเป็นมนุษย์ยักษ์ และมีพลังจิตสูงเท่าเทพองค์หนึ่ง
     
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพลังจิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งอเมริกา(จากเว็ปพลังจิต)

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> เมษายน 04, 2009 โดยคุณจิตทิพย์

    เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพลังจิตมหัศจรรย์อันดับหนึ่งของอเมริกา เอ็ดการ์ เคย์ซี เคยพยากรณ์ความตายของอดีตของประธานาธิบดีรูสเวลต์ และอดีตประธานาธิบดีเคนเนดีไว้ล่วงหน้า และปรากฏเป็นจริงตามคำทำนายของเขาทุกประการ นับว่าป็นเรื่องแปลกแต่จริง แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอเมริกาหลายท่านต่างก็ตะลึงของความ มหัศจรรย์ เกี่ยวกับความสามารถของเขาจนแทบไม่น่าเชื่อ


    และนอกจากนี้ เอ็ดการ์ เคย์ซี ยังได้เคยพยากรณ์ได้ถูกต้องว่า จะพบดินแดนบางส่วนที่สัมพันธ์กับอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน


    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้เคยพยากรณ์ไว้ในปี ค.ศ. 1940 ก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิตว่า ซากวิหารแห่งหนึ่งของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาปรากฏแก่สายตาของชาวโลกในบริเวณใกล้กับหมู่เกาะไบมินิ ในปี ค.ส. 1968 หรือ 1969 อย่างแน่นอน ปรากฏว่าคำพยากรณ์ของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่กล่าวไว้ก่อนสิ้นชีวิตช่างแม่นยำอะไรขนาดนั้น ซากปรักหักพังหรือซากวิหารได้ปรากฏขึ้นในปีที่เขาทำนายไว้ทุกอย่างถูกต้อง สามารถถ่ายภาพทางอากาศได้อย่างชัดเจน


    เอ็ดการ์ เคย์ซี คือใคร?

    เอ็ดการ์ เคย์ซี คือชาวเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกงานค้นคว้าเกี่ยวกับพลังจิต อี.เอส.พี(ESP) ของมนุษย์รุ่นแรกสุดในอเมริกา เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่มีความสามารถสูงในการรับรู้ เหตุการณ์และสิ่งต่างๆล่วงหน้าทางพลังจิต เอ็ดการ์ เคย์ซี เคยกล่าวว่า เรื่องราวของแอตแลนติสนั้นเป็นจริงทีเดียว เกี่ยวกับชีวิตของมวลมนุษย์ในเกาะแอตแลนติส และการเปลี่ยนแปลงของมันนั้น เขาบอกได้ชัดเจนราวกับตาเห็น

    ความสามารถของ พลังจิตของเขาทั้งการพยากรณ์ และการรักษาโรค การส่งพลังจิตหรือแม้แต่การรับรู้วาระจิต ขอบุคคลอื่นนั้น มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดสมาคมหรือองค์การมูลนิธิเอ็ดการ์ เคย์ซีขึ้น
    ต่อมาได้แตกสาขาย่อยออกไปตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯอีกเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ปรากฏว่าในดินแดนแห่งหนึ่งใกล้กับตอนเหนือของเกาะอันดรอส ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในหมูเกาะบาฮามาสทางตอนใต้ มีซากปรักหักพังของวิหารและป้อมปราการของนครในอดีต ปรากฏขึ้นมาใกล้ๆกับผิวน้ำ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในขณะที่พื้นน้ำสงบนิ่ง


    ประเด็น ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ บริเวณที่ซากสิ่งก่อสร้างอันเร้นลับโผล่ขึ้นมาท้าทายสายตาชาวโลกดังกล่าว นั้น ตรงกับตำแหน่งที่ เอ็ดการ์ เคย์ซี ทำนายไว้ทุกประการ มันเป็นไปได้อย่างไร?

    คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักร แอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในสมัยแรกของโลก
    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า

    ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
    รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก

    ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
    เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
    ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
    มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
    รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมด้วย

    โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
    เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
    โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
    ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
    และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
    รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
    รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
    คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
    มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
    ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
    ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
    เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
    ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
    ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
    แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

    วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
    ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
    เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
    และเทพเจ้า

    วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
    หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
    ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
    สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
    ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ
    ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
    หายไปจากโฉมหน้าของโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
    มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
    ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
    มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
    จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
    และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
    หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

    มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
    ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
    สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
    มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
    พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

    ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
    เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
    ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
    ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
    มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
    ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
    ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
    ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
    บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

    ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
    คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
    คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
    หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
    ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
    พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
    ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
    ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
    เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

    เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
    ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
    มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
    ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
    ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า
    ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
    10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
    เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
    ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
    อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมา
    จนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
    ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
    คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-
    900000 ปี

    เอ็ดการ์ เคย์ซี เป็นผู้ให้ความกระจ่างยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่จะได้ รับผลกระทบกระเทือนจากแผ่นดินไหวในนครนิวยอร์ก โดยในปี พ.ศ. 2475 เมื่อมีผู้ถามว่าในอนาคตจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในสหรัฐอเมริกาที่ใด บ้าง เอ็ดการ์ เคย์ซี นั่งทางในอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยจะมีความรุนแรงมากตามบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 เอ็ดการ์ เคย์ซี ระบุแน่ชัดยิ่งขึ้นว่าพื้นที่ในนครนิวยอร์ก และคอนเนคติคัตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเนื่องจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นครนิวยอร์กจะจมหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ นอกจากนั้นเขายังพยากรณ์ไว้ด้วยว่า ดินแดนในทางภาคใต้ของรัฐนอร์ทคาโรไลนา รัฐเซาท์คาโรไลนา และรัฐจอร์เจีย จะเกิดภาวะน้ำท่วมอย่างรุนแรง

    โหรอีกผู้หนึ่งที่ทำนายไว้ในทำนองเดียวกัน ได้แก่ นายจอห์น เพนดรากอน โหรชาวอังกฤษพยากรณ์ไว้ก่อนจะเสียชีวิตไม่นานว่า พื้นที่ทุกหนทุกแห่งตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับตั้งแต่เมืองบอสตันไปจนถึงเมืองบัลติมอร์ จะพบความวิบัติอย่างย่อยยับ ความวิบัติครั้งนี้จะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครนิวยอร์ก และจะส่งผลทำลายล้างออกไปภายในรัศมี 500 ไมล์ เมืองที่จะถูกทำลายในครั้งนี้รวมทั้งเมืองพิตต์สเบิร์กและเมืองฟิลาเดลเฟีย เมืองเหล่านี้จะถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย นอกจากผืนแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของเมืองเท่านั้น


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2012
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ภาคพิเศษ

    โหร เทวดา "เอ็ดการ์ เคย์ซี" ได้เปิดเผย (จากการรับรู้ ทางจิตของตัวเอง) ซึ่งข้อมูลไม่ได้พึ่งพาเอกสาร หรือการค้นคว้าใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ โดยมหาปิระมิดแห่งกิเซนั้น ถูกสร้างขึ้นราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 100 ปีเต็ม โดยใช้ "พลังจักรวาล" ที่มาตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี ซึ่งอียิปต์นั้นยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล แต่ที่ที่อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีแต่ทะเลทรายซาฮาร่ากับด ินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ เมื่อดินแดนอื่นๆ เริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังกินเวลาอีกนานกว่าที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ท ี่มีคนอยู่อาศัย และชนเผ่าแรกที่มาอาศัยอยู่นั้น เป็นพวกผิวดำ อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ที่ทรงพระปรีชาสามา รถมากเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล คำสอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" (the book of the death) พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี จนคนรุ่นหลังๆ บูชาพระองค์เปรียบเป็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์ การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนติสจม) มีชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ

    --------------------------------------------------------------------------------

    พระราตะ ได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจากอารเบียจะรุกรานเข้ามาในอียิปต ์ และต่อไปอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่ายอย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัทโ ดยพระองค์หันมาเป็นที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน ต่อมา ก็มาถึงยุคการปกครองของอารารัท ได้มีชาวแอตแลนติส อพยพมาอยู่อียิปต์เป็นจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้มีความสามารถสูง และมีความทะเยอะทะยาน จนพระองค์ต้องยกตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองให้แก่ชาวแอตแลนติส เพื่อมิให้คนเหล่านี้คิดการกบฏ ฝ่ายพระราตะ (โหร) ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสังฆราชแห่งอียิปต์ มีหน้าที่ในการค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณและอภิปรัชญ าต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน เพื่อเป็นการฝึกฝนตนได้พระราตะได้สร้างวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งบำบัดสุขภาพของประชาชน โดยเรียนรู้มาจากชาวแอตแลนติส ชื่อเฮปซาฟ ที่เป็นผู้นำทางจิตฝ่ายธรรมะของแอตแลนติสส่วนข้างน้อ ย วิหารที่สร้างขึ้น มีการรักษาผู้ป่วย นันทนาการต่างๆ แต่สิ่งที่พระราตะเน้นก็คือ "การทำสมาธิ"เพื่อ สัมผัสโดยตรงกับพลังของพระเจ้าเพื่อขจัดกิเลสให ้หมดไปจากใจ เพราะเป็นข้อบกพร่องทางกายภาพของมนุษย์ ในทัศนะของ "ราตะ" และในช่วงที่พระราตะไม่อยู่ ได้มีกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นชาวแอตแลนติส ที่กระหายในอำนาจ ได้วางแผนกำจัดพระราตะ โดยใส่ร้ายว่า พระราตะทำผู้หญิงท้อง พระเจ้าอารารัท หลงเชื่อในคำยุยง ได้เนรเทศพระราตะไปอยู่เมืองชายแดน แต่เมื่อความจริงกระจ่าง ชาวเมืองอียิปต์จึงเชิญพระราตะ กลับมาดังเดิมช่วงนี้เอง ที่พวกผู้นำของอียิปต์ ตัดสินใจที่จะสร้างปิระมิด กับสฟิงส์ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บความรู้ บันทึก และหลักวิชาศาสตร์ต่างๆที่เร้นลับของแอตแลนติส กับพระเจ้าไรและพระราตะ ให้ปลอดภัย และอยู่นานเท่านาน เพราะเขารู้ว่า โลกใบนี้จะต้องเผชิญกับการ "เคลื่อนย้ายของแกนโลก" เหมือนอย่างในยุคของแอตแลนติส จึงตัดสินใจสร้างและเลือกที่ราบกิเซนี้เป็นที่ตั้ง เพราะอยู่สูงปลอดภัยจากน้ำท่วม (ในทางตัวเลข ยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางของโลก ทำให้ได้รับภัยแผ่นดินไหวได้ยาก) สถานที่เก็บความรู้เร้นลับของชาวแอตแลนติสนี้ อยู่ในห้องลับ ที่เชื่อมระหว่างมหาปิระมิดกับสฟิงซ์ โดยมีทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ด้านขาหน้าข้างขวาของสฟิงซ ์ มหาปิระมิดถูกสร้างขึ้นในปี 10,490 ก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดยผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือ เฮลเมส ที่เป็นชาวแอตแลนติส


    เอ็ดการ์ เคย์ซี เริ่ม "อ่าน" เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสจาก "บันทึกจักรวาล" ในขณะที่เขาเข้าสู่ภวังค์ ครั้ง แรกเมื่อ ค.ศ.1923 และก็อ่านเรื่อยมา เป็นเวลา 23 ปีเต็ม อิทธิพลของชาวแอตแลนติส ที่กลับมาเกิดในยุคนี้ ส่งผลใหญ่หลวงต่ออารยธรรม ในยุคต้นๆของชาวแอตแลนติส "มนุษย์" กับ "เทพ" มีความแตกต่างกันไม่มาก เพราะมนุษย์สมัยนั้นมีตาที่สามสามารถพัฒนาต่อมไพนิลใ นสมองจนมีพลังจิตมีฤทธิ์เดชต่างๆ แต่เมื่อมนุษย์ยอมแพ้ต่อกิเลส ศีลธรรมเสื่อม โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นกับชาวแอตแลนติส 3 ครั้ง ครั้งแรกราวๆ 50,700 ปีก่อนคริสต์กาล เพราะมนุษย์นำสารเคมีมาทำเป็นระเบิด ขับไล่สัตว์ร้ายจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด ทำให้แกนโลกเอียง เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ครั้งที่สอง ราวๆ 28,000 ปีก่อนคริสต์กาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่คำภีร์ไบเบิลบอกว่าเป็นยุคของโนอาห์ โดย มีสาเหตุมาจากการใช้พลังคริสตัล ซึ่งเป็นพลังค้ำจุนอารยธรรมมากจนเกินไป จนเกิดภูเขาไประเบิดและแผ่นดินไหว และครั้งสุดท้าย ราวๆ 10,700 ปีก่อนคริสต์กาล
    แต่คราวนี้พวกผู้นำทางจิต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวแอตแลนติสได้มองเห็นเหต ุการณ์จึงได้อพยพและนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อมิให้สูญหายวิชาเหล่านั้นในยุคของเราร ู้จักกันในชื่อของ โยคะ , ตันตระ , เต๋า และพราหมณ์ นั่นเอง

     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <table id="post4068001" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175">k.kwan
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2007
    ข้อความ: 16,502
    Groans: 31
    Groaned at 163 Times in 149 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 52,862
    ได้รับอนุโมทนา 22,419 ครั้ง ใน 7,396 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2682 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4068001" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ยูริ เกลเลอร์
    บทความต่อไปนี้เป็นของนายยูริที่เล่าประวัติของตัวเองไว้นะครับ
    ผมเริ่มต้นด้วยอาชีพแสดงโชว์ในอิสราเอล โดยผมอยู่บนเวทีและอ่านใจผู้ที่เข้ามาชมงาน งอช้อน แหวน กำไล และบังคับให้นาฬิกาที่เสียแล้วกลับมาเดินได้ใหม่ ผมพอใจกับการแสดงนั่นในระดับหนึ่ง ถึงแม้ผู้คนที่นั่นจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เทคนิคมายากลก็ตาม


    การแสดงบนเวทีพวกนั้นจริงๆไม่มีอะไรต่างจากสิ่งที่ผมทำในชีวิตจริงเลย ผมโตมากับพลังจิตและผมก็อยู่กับมัน ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะทึ่งกับมัน ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังทึ่งอยู่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมสร้างขึ้นเพื่อให้ตนเองโด่งดังเลย เท่าที่ผมจำได้ พลังอันน่าพิศวงของผมตื่นขึ้นมาโดยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดสองครั้ง เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ครั้งแรกสมัยที่ผมอายุ 4 ขวบ ผมชอบไปเล่นในสวนร้างใกล้ๆบ้านในเมืองเทล-อะวี ผมชอบสวนนั่นมาก มันคืออาณาจักรส่วนตัวของผม และบ่ายแก่ๆวันหนึ่งขณะที่ผมเล่นอะไรไปตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป ผมได้ยินเสียงแหลมสูงประหลาดเสียงหนึ่งดังก้องในหู เสียงแบบนี้ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ผมรู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งลง และเมื่อผมมองไปรอบๆ ผมพบว่าท้องฟ้าและดวงอาทิตย์หายไป แต่กลับกลายเป็นแสงสีเงินจ้าเคลื่อนลงมาหาผมจากด้านบน มันเคลื่อนลงมาเรื่อยๆจนในที่สุด ผมก็หมดสติไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังพิศวงที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังกุมขมับ เมื่อรู้สึกตัวผมพบตัวเองนอนอยู่บนสนามหญ้าโดยไม่ได้รับอันตราย ผมรีบวิ่งกลับบ้านไปบอกแม่ และท่านก็ทำอย่างที่พ่อแม่ทั่วไปทำเวลาที่พวกท่านกังวล….แน่นอนท่านโกรธผม


    เหตุการณ์ประหลาดอีกครั้งหนึ่งที่อาจจะช่วยดึงพลังของผมออกมาหรือมอบให้ มันเกี่ยวกับไฟฟ้า แม่ผมทำงานเป็นช่างเย็บผ้าเพื่อหารายได้เสริมให้กับครอบครัว วันหนึ่งขณะที่แม่ผมทำงานอยู่ ผมสังเกตเห็นแสงสีฟ้าสว่างออกมาจากจักรเย็บผ้า ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ผมเดินเข้าไปแล้วยื่นมือไปแตะแสงนั่น พอมือผมถูกแสงนั่นก็เกิดแรงกระแทกโยนผมออกไปกลางอากาศ 3-4 ฟุต แล้วหล่นลงมาที่พื้นห้อง คุณคงไม่ต้องอาศัยพลังจิตก็เดาได้ว่าแม่ผมจะเกิดอาการอย่างไร



    และต่อมาเมื่อผมอายุประมาณ 5-6 ขวบ ผมเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ผิดปกติเกิดขึ้น ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งต่างๆพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีครั้งหนึ่งพ่อแม่ผมซื้อนาฬิกาข้อมือให้ ผมดีใจและเห่อมันมาก ผมจะหงุดหงิดมากเมื่อมันเกิดเสียโดยเดินเร็วกว่าปกติขึ้นมาเฉยๆ แต่ผมต้องเล่าให้ฟังว่าช่วงนั้นผมไม่ชอบการเรียนหนังสือที่โรงเรียนเลย ทุกวันผมจะรอคอยเวลาที่วิชาสุดท้ายเลิก และคุณคงพอจะจินตนาการได้ว่าผมผิดหวังแค่ไหนเมื่อผมมองดูที่ข้อมือเห็นว่า ได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่พอเงยหน้าขั้นมองนาฬิกาหน้าชั้นกลายเป็นว่าชั่วโมงเรียนเพิ่งจะผ่านไปแค่ ครึ่งเดียวเท่านั้น
    ทุกครั้งผมจะตั้งนาฬิกาของผมใหม่และนั่งกัดฟันรอเวลาให้ผ่านไปช้าๆนาที แล้วนาทีเล่า ผมบอกแม่ว่านาฬิกามีปัญหาแล้วถอดมันทิ้งไว้ที่บ้าน ให้ท่านดู แต่กลายเป็นว่ามันทำงานปกติสมบูรณ์ทุกอย่าง จนผมสวมมันที่ข้อมือ มันก็เสียอย่างเดิมแบบนี้ทุกครั้ง นาฬิกาเป็นกลไกที่ละเอียดอ่อนมาก และผมคงบังคับมันเข้าโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของผมต้องการให้เวลาเรียนผ่านไปเร็วๆ จิตของผมจึงไปหมุนเข็มนาฬิกาทุกครั้ง

    ในที่สุด พ่อแม่ผมยอมซื้อนาฬิกาใหม่ให้ ตอนนั้นผมคิดว่า ผมคงจะได้นาฬิกาที่ใช้ได้จริงๆเสียที และในวันแรกที่ผมใส่นาฬิกาใหม่ ผมก้มลงมองดูเวลาและพบว่าเข็มนาฬิกาหงิกงอราวกับพยายามเจาะกระจกหน้าปัดออก มา นับแต่นั้นมาผมไม่ใส่นาฬิกาไปอีกนาน และก็ยังไม่ใส่จนถึงทุกวันนี้


    ตอนนั้นผมค้นพบอย่างทุลักทุเลว่าผมสามารถงอช้อนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 4 ขวบ ผมกำลังกินอาหารกลางวัน แม่ผมทำซุปเห็ดและผมนั่งกินซุปบนโต๊ะในครัว ทันใดนั้นช้อนซุปเกิดงอตัวและดันเอาชามซุปหกราดลงบนตักผม ผมกับแม่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
    เมื่อผมโตขึ้น ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน ผมรู้ว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับผมและมันไม่เกิดกับคนอื่นทั่วๆไปแน่ๆ เหตุการณ์แปลกๆพวกนั้นเริ่มทำให้ผมเชื่อว่าเพียงความคิดนั้นเคลื่อนไหววัตถุ ได้จริงๆ สิ่งประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นโดยผมไม่ได้ต้องการและทำให้ผมอับอายและรู้สึก แปลกแยก


    แม้ตอนที่ผมพยายามแสดงพลังของ ผมเช่นบังคับเข็มนาฬิกา เพื่อนที่โรงเรียนก็หัวเราะเยาะผมเพราะคิดว่าผมได้แสดงกลหลอกเด็ก ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่สบายใจ พ่อแม่ผมถึงกับแนะนำให้ผมไปพบนักจิตบำบัดเพื่อหาคำตอบ และเมื่อผมโตขึ้น ผมเรียนรู้ที่จะไม่แสดงออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม เพราะนั่นจะทำให้ผมแปลกแยกจากคนอื่นๆทั้งหมด


    ต่อมา หลังจากที่ผมผ่านช่วงเกณฑ์ทหารให้กับกองทัพอิสราเอลไปแล้ว ผมเริ่มทำงานเป็นนักแสดงบนเวที ผมชอบที่จะอยู่บนเวทีแล้วใช้พลังของผม เวลาผ่านไปผมก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อท่านรัฐมนตรีโกลดา เมอิร ถูกสื่อมวลชนขอให้ทำนายความเป็นไปของอิสราเอลในปีที่จะมาถึง ท่านรัฐมนตรีตอบอย่างติดตลกว่า “อันนี้น่าจะไปถามยูริ เกลเลอร์ นะครับ”
    ในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1971 นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ อันดริจา พูฮาริค
    มาพบผมที่เทล-อะวี เขาได้ยินเรื่องราวของผมและต้องการพิสูจน์ด้วยตัวของเขาเองว่าสิ่งที่ผมทำ ได้เป็นความจริงหรือไม่และไม่นานหลังจากนั้นอันดริจาได้ตัดสินใจว่าควรจะให้ ผมเข้าโครงการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบภายใต้การควบคุมอย่าง เคร่งครัดให้ชัดเจนโดยสมบูรณ์



    </td></tr></tbody></table>
     
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ในฤดูใบไม้ผลิ ผมไปที่เยอรมนีเพื่อเปิดตัวต่อสาธารณะชน ในตอนแรกสื่อมวลชนประโคมข่าวว่าผมเป็นผู้ใช้เวทมนต์ ไม่ใช่นักพลังจิต แต่หัวข้อข่าวนั้นก็กลายเป็นเรื่องโคมลอยไปทันทีเมื่อผมได้ทำการหยุดรถเค เบิ้ลกลางอากาศและทำให้บันไดเลื่อนหยุดทำงานด้วยพลังจิตควบคุมวัตถุ


    และที่เยอรมนีนี่เองที่ผมตัดสินใจตกลงทำตามคำและนำของพูฮาริค ที่จะเข้ารับการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ผมได้ทำการทดสอบต่อหน้า ดอกเตอร์เฟรดเบริท คารเกอร์แห่งสถาบันพลาสมาฟิสิกส์แมกซ์แพลงค์ ในการทดลองคราวหนึ่งดอกเตอร์คารเกอร์ถือแหวนโลหะไว้ในมือ เมื่อผมแตะแหวนนั้นเล็กน้อยแหวนก็บิดอย่างแรงจนขาดออกจากกันเป็นสองชิ้น นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันนำแหวนไปตรวจสอบอย่างละเอียดและให้ข้อสังเกตว่ารอย บิดของเศษแหวนดูคล้ายกับถูกบิดไปคนละทางด้วยคีมสองอัน ซึ่งผมไม่ได้ใช้อุปกรณ์พวกนั้น ทางสถาบันจึงประกาศว่า “พลังของชายผู้นี้เป็นปรากฏการณ์ที่ทฤษฎีทางฟิสิกส์อธิบายไม่ได้”และนั่น เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ารับการทดลองทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายของผม
    จากเยอรมนี ผมเดินทางไปที่แคลิฟอร์เนียเพื่อเข้ารับการทดลองที่ยาวนานและยืดเยื้อที่ สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (ปัจจุบันคือสถาบันนานาชาติ SRI.)
    การทดลองได้รับการร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศ โดยการนำของนักฟิสิกส์เลเซอร์สองท่าน ดอกเตอร์ฮาล พูธอฟ และ ดอกเตอร์รัซเซล ทาร์ก คุณอันดริจาเองก็เข้าร่วมการทดลองนี้ด้วย รวมถึงกัปตันเอ็ดการ์ มิตเชลที่ได้ลงเหยียบดวงจันทร์เป็นคนที่ 6 ในภารกิจอพอลโล 14 ซึ่งกลายเป็นเพื่อนที่ดีของผมในเวลาต่อมา


    พวกเขาแทบจะผ่าตัวผมออกมาดูในการทดลองครั้งนั้นเพื่อจะหาว่าผมทำอะไรและทำ ได้อย่างไร พวกเขาเริ่มศึกษาสิ่งที่ผมแสดงในสมัยก่อน การอ่านใจ การงอช้อน และเริ่มให้ผมทดลองทำสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นใหม่ เช่นการลบข้อมูลในม้วนวีดีโอเทป และเบี่ยงเบนตาชั่งดิจิตอลที่มีก้อนน้ำหนักวางไว้ ซึ่งผลก็คือค่าที่ตาชั่งอ่านได้บางครั้งจะน้อยกว่าและบางครั้งจะมากกว่าที่ ก้อนน้ำหนักควรจะเป็น ในการทดลองเหล่านี้ผมจะนั่งเงียบๆรวบรวมความสนใจไปที่วัตถุนั้นๆและท่องคำ ที่เหมาะสมในใจ เช่นคำว่า “ลบ..ลบ”สำหรับม้วนวีดีโอเทปและ”ขยาย”ในกรณีก้อนน้ำหนักเพื่อให้มันหนักกว่า เดิม


    ในขณะที่ผมประหลาดใจกับการทดลองใหม่ๆที่สถาบันนี้ ผมรู้สึกรำคาญที่ต้องนั่งตั้งจิตอยู่เฉยๆนานมากขนาดนั้นทุกวัน และมันยิ่งไม่ง่ายเลยเมื่อพลังของผมเริ่มดึงดูดปรากฏการณ์แปลกๆออกมาอีก : วัตถุบางชิ้นลอยขึ้น,บางชิ้นหายวับไปเฉยๆต่อหน้าต่อตาผมเองและคนที่อยู่ด้วย ในขณะนั้น เทปบันทึกเสียงเริ่มบันทึกเสียงโดยที่ไม่ได้เปิดเครื่อง หรือเทปบางม้วยหายไปจากในเครื่องอัด หรือบางทีปุ่มอัดเสียงก็กดตัวมันเองให้ทำงานได้


    และแล้ว ประสบการณ์ที่แปลกที่สุดเกิดขึ้นในคืนหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนที่นิวยอร์ก
    ผมพักอยู่ในห้องเช่าในฝั่งตะวันออกของเมืองและไปเยี่ยมเพื่อนผม ไบรอนและมาเรีย เจนนิส ซึ่งอาศัยอยู่ในฝั่งตะวันออกเหมือนกัน ผมออกจากบ้านของเพื่อนทั้งสองเวลา 17:30 น. เพื่อซื้อของขวัญที่ห้างสรรพสินค้าแล้วกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเอาไปให้ เพื่อนเวลา 18:00 น. วันนั้น ที่ห้างสรรพสินค้า ผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าค่อนข้างมาก ผมจึงเปลี่ยนไปซื้อที่ร้านอื่นบริเวณนั้นและกลับบ้าน ผมเริ่มวิ่งเหยาะๆเพราะไม่ต้องการจะไปสายกว่าที่นัดไว้ ทันใดนั้น ผมรู้สึกแปลกอย่างที่สุด คล้ายๆกับว่าผมกำลังวิ่งถอยหลังและรู้สึกว่าตัวผมพุ่งขึ้นข้างบน สิ่งต่อมาที่ผมเห็นก็คือเขตระนาบรังสีแปลกๆอยู่เหนือหัวผมขึ้นไปในอากาศ และผมจึงพบว่าตอนนี้ผมอยู่กลางอากาศถูกดูดเข้าหาแผ่นรังสีนั่น โชคดีที่ผมรู้สึกตัวก่อนและมีเวลาเตรียมรับแรงปะทะที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ผมพุ่งทะลุแผ่นอะไรสักอย่างนั่น และหล่นลงบนโต๊ะกระจกตัวหนึ่ง ซึ่งผมตกใจมาก เพราะมันคือที่ที่ผมรู้จักดี มันคือบ้านของคุณอันดริจา พูฮาริคในเมืองออสซินิงก์ ซึ่งหากออกไปประมาณ 30 ไมล์จากนิวยอร์ก
    เวลา 18:15 หลังจากที่ผมตกลงมาบนโต๊ะกระจก อันดริจากำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านและก็ได้ยินเสียงกระจกบานใหญ่แตกจึงรีบ มาดู เขาแทบไม่เชื่อตาตัวเองที่เห็นผมนอนอยู่บนพื้นกับเศษกระจก ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และขณะที่ผมกำลังพยายามลุกขึ้น มาเรียก็โทรมาจากนิวยอร์ก และพอคุณอันดริจาเอาหูโทรศัพท์ให้ผมคุยกับมาเรียเธอถึงกับพูดอะไรไม่ออกด้วย ความประหลาดใจ ผมเพิ่งออกจากห้องเช่าของเธอเมื่อห้าสิบนาทีก่อนและไม่มีทางเดินทางมาที่นี่ ด้วยวิธีทีเดินทางปกติเลย



    ผมดีใจมากที่ สถาบัน SRI ประกาศ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว) ว่าสิ่งที่ผมทำเป็นผลจากจิตของผมโดยไม่เกี่ยวกับเทคนิคมายากลหรือการตบตาผู้ ชมแบบอื่นๆแต่อย่างใด ผมเคยถูกกล่าวหาว่าใช้เทคนิคแผลงๆในการทำสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นว่าแอบเอาเครื่องยิงแสงเลเซอร์ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ (คุณคิดว่าผมจะมีแขนเหลือหรือไม่ถ้าผมทำแบบนั้น) หรือซุกสารเคมีที่มีอำนาจบิดงอโลหะไว้ในฝ่ามือ (นิ้วผมจะเป็นยังไงนะแบบนั้น)ไปจนถึงสะกดจิตผู้สังเกตการณ์และซ่อนเครื่อง ส่งวิทยุไว้ในฟัน ข้อครหาที่กล่าวมาล้วนน่าตลกสิ้นดี




    ขณะที่เรากำลังจะจบโครงการทดลอง เราได้ยินว่านิตยสารTIMES กำลังจะตีพิมพ์เรื่องมั่วๆ (ขอใช้คำนี้นะคับ) อย่างหนึ่งเกี่ยวกับการทดลองนี้โดยไม่มีมูลความจริง พวกเขาร้องขอสำเนารายงานของทางสถาบัน ซึ่งไม่สามารถจะให้ได้ เพราะฮาล พูธอฟ กับ รัซเซล ทาร์ก กำลังจะนำเรื่องนี้ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร NATURE (ซึ่งพวกเขาลงจริงๆในเวลาต่อมา) เหตุการณ์ นี้เหมือนน้ำทะลักออกจากเขื่อน เราถูกโจมตีจากสื่อต่างๆรอบด้าน นิตยสาร NEW SCIENTIST นำเรื่องของเราในนิตสาร NATURE ไปขึ้นปกวิจารณ์และเชิญเหล่าผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแสดงความเห็นกันอย่างเป็นตุ เป็นตะ นิตยสารต่างๆวิจารณ์เราอย่างไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์จนผลการทดลองของเราดู เหมือนขยะที่ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เลย



    ผมเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของเขาเอง แต่สิ่งที่ไม่เคยทำให้ผมหยุดทึ่ง ก็คือการที่คนบางคนยินดีเสียเหลือเกินที่จะไม่ยอมรับเรื่องบางอย่างเพียง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจมัน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางคนซึ่งคุณเองก็คิดว่าเขาน่าจะฉลาดมาก ก็ยังปฏิเสธที่จะชื่นชมแนวคิดใหม่ๆเพราะมันขัดแย้งกับทฤษฎีของเขา เขาโจมตีแนวคิดใหม่นั้นว่าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้และไม่คู่ควรต่อการใส่ใจ


    ในยุคที่กำลังจะถึงปี 1970 ผมได้อำลาจากวงการสื่อมวลชน มีบางอย่างที่ผมต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้น รวมถึงสุขภาพและภารกิจส่วนตัว ผมต้องใช้พลังของผมในการแก้ภาวะผิดปกติในการกินอาหารของผม (Bulimia eating disorder)

    ผมแต่งงาน มีบุตรที่วิเศษสองคนคือแดเนียลและนาตาลี ผมรับงานลับๆที่บริษัท เอกชนและรัฐบาลจ้างผม และผมยังทำงานเป็นนักค้นหาตำแหน่งให้กับบริษัทน้ำมันและเหมืองแร่ขนาดยักษ์ ในกลางทศวรรษ 1980 ผมและครอบครัวย้ายจากอเมริกาไปอยู่ที่เกรท บริเทน ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ใกล้กรุงลอนดอน ซึ่งเราใช้ชีวิตที่นั่นอย่างสงบสุขเรื่อยมา

    นักพลังจิต ???
     
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ข้อความนี้แต่งขึ้นจากความจริงเล็กน้อยและมีความสมเหตุสมผลบ้าง ข้าพเจ้าให้มันเป็นเป็นทฤษฎีเชิงปรัชญา โดย Marton“เมื่อ2600ปีที่แล้ว มีมหาบุรุษผู้หนึ่งได้ประสูติขึ้น ณ ดินแดนชมพูทวีป พระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าคำว่าพระพุทธเจ้า เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ที่รู้ในทุกสรรพสิ่งแต่ด้วยความรู้แล้วอาจไม่ สามารถใช้คำว่าพระพุทธเจ้าได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละซึ่งกิเลสได้หมดสิ้นอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าคือ มนุษย์คนเดียวที่ละกิเลสได้หมดสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าแบบนั้น พระองค์มีกระบวนการคิด มีเหตุผล และอัจฉริยะยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อะคีมิดิส หรือไอน์สไตน์ อย่างน้อยสามคูณสิบกำลังแปดเท่าหรือมากมายมหาศาลกว่านั้นมาก เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วได้ทรงเทศนาสั่งสอนผู้คนในเชิงชีวิต ทั้งที่พระองค์มีความรู้ทุกเรื่อง ข้าพเจ้าคิดว่า วิทยาการที่มนุษย์จุบันมีหรือค้นพบพระองค์ทรงรู้เป็นแน่แท้แต่ พระองค์ไม่บอกเฉยๆเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นเลย เคยมีเรื่องเล่าว่า เมื่อข่าวคราวของการบังเกิดขึ้นของผู้รู้ได้แพร่ไปทั่วจนถึงหูของนักปราชญ์ ยุโรปผู้หนึ่งที่กำลังค้นคว้า หรือสงสัยว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไรเขาจึงคิดที่จะนำคำถามดั้นด้นจากดิน แดนยุโรปมาที่ชมพูทวีป และเขาก็ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้วถามไปว่า ใช่ท่านหรือไม่ที่ผู้คนบอกว่าเป็นผู้รู้ ถูกต้องแล้วท่านนักปราชญ์ พระพุทธเจ้าตอบ เขาเลยถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าอยากรู้เป็นยิ่งว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร พระพุทธเจ้าตอบคำถามของเขาด้วยนิทานเรื่องหนึ่งว่า มีนักรบผู้เกรียงไกรผู้หนึ่ง นำทับออกจากเมืองของเขาไปรบตีเมืองต่างๆไปทั่วสารทิศไม่มีที่ใดที่เขาตีไม่ ได้ ยึดดินแดนไปเกือบค่อนทวีปความยิ่งใหญ่ของเขาได้ส่งความหวาดกลัวไปทั่ว จนวันหนึ่งในขณะรบ เขามิได้ทันระวังตัวเขาจึงโดนยิงด้วยธนูที่กลางอกเขาเขาบาดเจ็บสาหัสเหล่า ทหารจึงถอยทับนำเขากลับมาที่เมืองของเขาเพื่อจะให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนูออก แต่นักรบผู้เกรียงไกรมีความทรนงในศักดิ์ศรีจะไม่ยอมให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนู ออก หากไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงศรธนู เป็นชนชาติใด โลหะที่ใช้ทำหัวศรคือโลหะใด ใช้ไม้ชนิดใดทำคันศรและตัวธนู ใช้วัสดุใดทำเชือก คนยิงอยู่ห่างตัวของเขาขณะยิงเท่าใด หากรู้สิ่งเหล่านี้แล้วจึงค่อยผ่าตัดออก ในขณะที่ชีพจรของเขาริบหรี่ลงเขาสั่งให้ทหารไปหาสิ่งที่เขาอยากรู้เขาจะรอ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัวมองเห็นแล้วว่าหากไม่รีบผ่าตัดเอาหัวศรออกบัดเดี๋ยวนี้ นักรบผู้เกรียงไกรจักต้องตายเป็นแน่แท้ แพทย์เลยบอกกับนักรบผู้เกรียงไกรว่า ท่านนักรบผู้เกรียงไกร ท่านจะรอที่จะรู้ทำไมเล่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นเลยมีแต่จะยืดเวลา ให้ศรธนูกินชีวิตท่านให้หมดสิ้นหากท่านไม่รีบผ่าตัดออกชีวิตของท่านคงไม่ เหลือบัดเดี๋ยวนี้ คำพูดของแพทย์ผู้ผ่าตัด ทำให้นักรบผู้เกรียงไกรตระหนักเห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากจะรู้คือ ชีวิตของเขา นักรบผู้เกรียงไกรจึงให้แพทย์ผ่าตัดเอาหัวศรออก โดยไม่รอแล้วว่าสิ่งที่เขาอยากรู้เป็นอะไร เพราะเขารู้รู้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ชีวิตของเขา พอพระพุทธเจ้าเล่าจบเลยบอกกับเขาว่าบางสิ่งไม่สำคัญเลย สังขารหายืนยงไม่ ชีวิตของท่านไม่เที่ยงแท้ ท่านอย่ามีชีวิตอยู่บนความประมาทเลย จงรีบขวานขวายทำความดีให้ชีวิตพนจากทุกข์เถิดเมื่อพระพุทธเจ้าพูดจบ ไม่มีใครรู้เลยว่านักปราชญ์จากยุโรปผู้นั้นคิดเยี่ยงไร เขาได้ลาพระพุทธเจ้าแล้วได้เดินทางกลับ พระพุทธเจ้าจะไม่ปฏิเสธคำถามแต่จะตอบคำถามในเชิงคำสอน ชึ่งจะเป็นนัยให้คิดได้ ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่เราต้องการคำตอบก็เป็นได้”“ในคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ ที่ไม่มีคำโกหกแม้แต่ 1/1000000000000000.........ของอิเล็กตรอน ได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่งก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นคนอื่นมาก่อนซึ่งเยอะมากซึ่งที่สำคัญ มีอยู่ 10 ชาติ เท่าที่ข้าพเจ้ารู้มา มีอยู่ 500 ชาติ ซึ่งทำให้เกิดแง่คิดที่สำคัญว่า เคยมีอารยะธรรมก่อนหน้านั้นมาก ซึ้งตาหลักแล้วที่ข้าพเจ้ารู้มาชีวิตเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี ทุกๆ 100 ปี หากเปรียบเทียบกับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ปัจจุบันแล้วอาจกล่าวได้ว่าสมัย พุทธกาล อายุเฉลี่ยของมนุษย์คือ 100 ปี หากอ้างตาม เรื่องราว 500 ชาติ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ให้ 1 ชาติ มีอายุ 100 ปี จะได้ว่ามนุษย์ได้มีอารยะธรรมมาแล้วอย่างน้อย 50000 ปี ซึ่งไม่เกินเวลาที่นักโบราณคดีปัจจุบันได้ศึกษาแล้วว่าช่วงเวลาที่นับว่ามี มนุษย์โดยไม่นับรวมช่วงที่ยังเป็นมนุษย์วานร คือ 100000 ปี ”“หากเราลองคิดถึงพัฒนาการด้านความสามารถ ความรู้ของมนุษย์ในช่วง 2000 ที่ผ่านมา จะเห็นสามารถทำให้มีเทคโนโลยีที่ดี และยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้ หากเราให้เวลาในการพัฒนาการของมนุษย์อย่างเต็มที่ 10000 ปี จะทำให้จะทำให้เรารู้ว่ามนุษย์เรามีความเจริญอย่างเต็มขีด หรือไม่ก็สูงส่งมาแล้วอย่างน้อย 10 ช่วง”“จากความเป็นมนุษย์ที่เราคุ้นเคยและรู้จัก มนุษย์ย่อมมีกิเลส ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า มีอาวุธร้ายแรง เช่น ไฟบรรลัยกัลป์ มนุษย์บ้าคลั่งในอำนาจ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดคือช่วงเวลาที่มนุษย์มีความเจริญถึงขีดสุดยอมทำให้ มนุษย์ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดทำลายล้างกันเองจนเกิดความหายนะแก่อนาจักร”
    Bermudathai: เบอร์มิวดา __________________
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เบอร์มิวดา


    <small class="date-header">Saturday, January 30, 2010</small>
    [​IMG]

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้าน ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle)
    ที่มา
    ศัพท์คำว่า "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" หรือ "Bermuda Triangle" นี้ มีที่มาจากบทความนิตยสารอาร์กอสซี่ เจ้าของบทความชื่อ Vincent H. Gaddis ได้นำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำ อธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 1964 แต่ แกดดิส ไม่ได้เป็นคนแรกที่สังเกตเรื่องนี้ ก่อนหน้าในปี ค.ศ. 1952 นาย George X. Sands เสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร Fate เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณ น่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุ

    ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยม เบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับเป็นคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิ วดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณา บริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้ . และมีนักบินขี่เครื่องบินสามลำแล้วหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ล่าสุดมีนักบินที่ขี่ผ่านบริเวณนั้นเห็นยานUFOและได้ถ่ายภาพเอาไว้ได้
    นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้

    ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่ จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจาก สมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่ สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ
    ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย
    ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้ สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก
    ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน
    ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล
    ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด

    [​IMG]
    [​IMG]
     
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG] ทฤษฏี ที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาล เวลาเปลี่ยนแปลงไป[1] หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ 1. ทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) เป็นดินแดนในมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่้อที่ประมาณ 1.5 ล้าน ตร.กม. ระหว่าง 3 จุด คือ เปอร์โตริโก้ ปลายสุดของรัฐฟลอริด้า (สหรัฐอเมริกา) และ ประเทศเบอร์มิวด้า (ประเทศในอาณานิคมของสหราชอาณาจักร) สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชน อย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐานสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle) สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ( Bermuda Triangle ) ดินแดนต้องคำสาปที่ชาวโลกต่างยกให้เป็นที่หนึ่งในเรื่องความเร้นลับและ อาถรรพ์ พื้นที่ตั้งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมในทะเลซึ่งมี เนื้อที่ 1.5 ล้านตารางไมล์ ซึ่งอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปถึงตอนใต้ของฟลอริดามุ่ง ตรงไปทางตะวันออก ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้งผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโกจากนั้นก็ย้อนเฉียง กลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวด้าทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นรูป สามเหลี่ยมและเป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เร้นลับขึ้นปรากฏการณ์ลึกลับและ เหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ได้กลืนกินเครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรอีกจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้นล้วนหายไปในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอยหรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นเลยและมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อ ไปโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ( Bermuda Triangle ) ดินแดนต้องคำสาปที่ชาวโลกต่างยกให้เป็นที่หนึ่งในเรื่องความเร้นลับและ อาถรรพ์ พื้นที่ตั้งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมในทะเลซึ่งมี เนื้อที่ 1.5 ล้านตารางไมล์ ซึ่งอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปถึงตอนใต้ของฟลอริดามุ่ง ตรงไปทางตะวันออก ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้งผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโกจากนั้นก็ย้อนเฉียง กลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวด้าทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นรูป สามเหลี่ยมและเป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เร้นลับขึ้น ปรากฏการณ์ลึกลับและเหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ได้กลืนกินเครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรอีกจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้นล้วนหายไปในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอยหรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นเลยและมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อ ไปโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชนชาติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างพยายามดำเนินการค้นคว้าหาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้ อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในอาณา บริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ มันคือสิ่งท้าทายความสามารถของมนุษย์ที่สุด ในการที่จะแก้ปมปริศนา นักวิชาการต่างเสนอทฤษฎีต่างๆ บ้างก็ว่าเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ อีกทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเพราะสามารถอธิบายสาเหตุของการสูญหาย ของเรือและเครื่องบินได้อย่างค่อนข้างครอบคลุม นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่าบริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นอุดม สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแก็สมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates) ซึ่งในบางครั้งแรงดันของแหล่งแก็สเหล่านี้จะมีมากจนดันผ่านรอยแตกของเปลือก โลกขึ้นมา มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน จึงไม่แปลกหากปรากฏการณ์นี้จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆ กันได้ในพริบตา มีเธนไฮเดรทนี้สามารถรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ทำให้วิทยุสื่อสารตลอดจนเรดาร์หมดประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนกลุ่มควันความร้อนที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา เพราะเคยมีการจำลองปรากฏการณ์นี้ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกามาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่พอใจกับคำตอบนี้แต่ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่ยังรอให้เราพิสูจน์ อย่างเช่น มีคนพบเห็นสัตว์ยักษ์ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจำนวนมาก มีตั้งแต่ปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต ไปจนถึงตัวอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนมังกรทะเล บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ มีนักเดินเรือหรือนักบิน มักพบเห็นUFO บ่อยเป็นพิเศษ บางครั้งสถานีเรด้าชายฝั่งก็จับสัณญาณวัตถุลึกลับได้ส่วนประเด็นสุดท้ายก็ คือ มิติที่ 4 การที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้นได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความ แปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น การเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติคือการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้งมันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้า ไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบันและผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็ จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางกลับสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย

    2.สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) เป็นดินแดนในมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่้อที่ประมาณ 1.2 ตร.กม. ระหว่าง 3 จุด คือ เปอร์โตริโก้ ปลายสุดของรัฐฟลอริด้า (สหรัฐอเมริกา) และ ประเทศเบอร์มิวด้า (ประเทศในอาณานิคมของสหราชอาณาจักร) สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชน อย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle) มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มาดังนี้

    1. ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่ จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจาก สมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมาก ที่สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    2. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย

    3. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอบเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้ สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก

    4. ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน
    3. มาคุยกันเรื่อง สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า กันดีกว่าครับ

    นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)... ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์ และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป... ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมาก เป็นส่วนหนึ่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมด ปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้า ไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออก ไปจนภึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุ่มพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Triangle)...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตราย ของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา... จากบันทึกของกองเรือยามฝังสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหาย อย่างผิดปกติในอาณาบริเวณนี้ เป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร? สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด อาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่น กันไม่รุ้จบระหว่างคนในระแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับ เป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่องโซน่าร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา... นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่าย ประกันไป จนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง... อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง ทั้งหมด 14 นายไดออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์... และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา .. นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย ออกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อ กับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณ เบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอน เป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ .. สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้ กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้า ต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่า นั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลง จนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea)
     
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจ ทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น ลงเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจ เพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ... สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่มีอะไรทั้งนั้น.. หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญอย่างไร้เงา ของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น... พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมา บอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามาถนำประติดประต่อกัน พอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกกันได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป... มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น คล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงง สนเท่ห์ใจให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรก เราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่.... 1)รายงานที่พบเป็นประจำ เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่ กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า... "เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขา ก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสารเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใส่มาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ... เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับ ที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.. "ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่า มีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่าง ที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"... สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่าง ที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก 2)เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล้กก็เอากับเขาด้วยวิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่า จนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพรึ่บลง ทีนี้มันก็มืดสนิท มองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท... ผมไม่เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่า เราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้... แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท.. ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุด เท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น .. ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือน/ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก.. เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจัให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"... 3)มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ จะถูกตัดขาดนี่คือข้อมูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้าย ของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสาบสูญ ของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ... หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช้ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ
     
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา... รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูง.ร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่ง กล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ... ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตาม เข้าไป... แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไป ในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทาง ทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด.. มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด..." นี่เราอยู่ที่ไหนกัน.. เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว "แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป.. ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้น กำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน "National airline บินดำดิงลงมา ผ่านเข้าหมูเมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกรดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่าว่าตกโหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น .. ทั้งนักบินและผู้โดยสานเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กัน เมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบิน ต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น .. เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบิน 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย.. ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.." คำตอบคืออะไร? ความประหลาด ความลึกลับ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ.. 1)การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรื่อเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะ ครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ.. 2)การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้าง ถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้ 3)"มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ".. นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝังที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาล ที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้น
     
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เปอร์เซ็นอุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวรเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติ และหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบัง ไม่กล่าวถึง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย.. เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้งเข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสานจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรละได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิตเขาหายไปไหน? 4)ทฤษฎีกาบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแว (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง ของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ... เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปสู่ทางเหนือของมหาสมุทรแอ สแลนติค ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกัน ของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไป จากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมกมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกัน ของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาล หลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลกระทบตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือน กับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น.. และนี่คือผลกระทบทีทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศ เมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้น ในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ ปรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจาร่อง.. นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณี ที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไป ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา .. ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผัน ของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลานาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้น เคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันไม่มากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกัน กับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้ และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูง หลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช้ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ก็จะติดอยู่ในห้วยแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขา ได้อีกเลย.. เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ.. แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยัน ให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า 5)บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทร ของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกันผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้ โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้ มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบก ตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎียังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุนได้ว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้อกับการศูนย์หายไปของเรือและเครื่องบิน การปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับ แห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาว จะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น เป้นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่าและยูเอฟโอ ที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้น ก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอ ใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ.. หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิด้า อาจเป็นบริเวณ ที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง หรือเป็นการเดินทางผ่านมิติในระบบของแสง ที่หนังหลายเรื่องเฝ้าฝันว่ามันจะเป็นความจริง
    แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา
    คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก
    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า
     
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลกชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติสเป็นชนชาติผิวแดง ที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่งมีความรู้ ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวงรวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรมและสถาปัตยกรรมด้วยโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้นเคย์ซี ได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียมรู้จักผลิต แสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิตคลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็ คือชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงานมหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งซึ่ง สามารถรวมเอาพลังธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสำคัญวัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนาเริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และ เทพเจ้าวัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติสหายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิดสั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไปใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลกเคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอดังนั้นวิญญาณของชาวแอ ตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งหรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆมหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัย ปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้ง แล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้น มาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริงคือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีตราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้เรียบ ร้อยและปราณีตเช่นนั้นเคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่าภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่ เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลกเคย์ซีกล่าวว่าในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้งยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรม ชาวแอตแลนติสอยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมาจนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-900000 ปีนี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปีซึ่งความเป็นจริงในสิ่ง ที่เขาพยากรณ์ไว้นั้นต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบัน พิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต
     
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้ แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทนโรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติสแต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมาก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของ สเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใดแอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟังมีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพซีคอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยงนครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ แล้ว ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม
    ข้อมูลจาก siamtalksdek-d.comwikipediahttp://www.pantip.comhttp://www.pantip.com
    ข้อความนี้แต่งขึ้นจากความจริงเล็กน้อยและมีความสมเหตุสมผลบ้าง ข้าพเจ้าให้มันเป็นเป็นทฤษฎีเชิงปรัชญา โดย Marton“เมื่อ2600ปีที่แล้ว มีมหาบุรุษผู้หนึ่งได้ประสูติขึ้น ณ ดินแดนชมพูทวีป พระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าคำว่าพระพุทธเจ้า เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ที่รู้ในทุกสรรพสิ่งแต่ด้วยความรู้แล้วอาจไม่ สามารถใช้คำว่าพระพุทธเจ้าได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละซึ่งกิเลสได้หมดสิ้นอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าคือ มนุษย์คนเดียวที่ละกิเลสได้หมดสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าแบบนั้น พระองค์มีกระบวนการคิด มีเหตุผล และอัจฉริยะยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อะคีมิดิส หรือไอน์สไตน์ อย่างน้อยสามคูณสิบกำลังแปดเท่าหรือมากมายมหาศาลกว่านั้นมาก เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วได้ทรงเทศนาสั่งสอนผู้คนในเชิงชีวิต ทั้งที่พระองค์มีความรู้ทุกเรื่อง ข้าพเจ้าคิดว่า วิทยาการที่มนุษย์จุบันมีหรือค้นพบพระองค์ทรงรู้เป็นแน่แท้แต่ พระองค์ไม่บอกเฉยๆเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นเลย เคยมีเรื่องเล่าว่า เมื่อข่าวคราวของการบังเกิดขึ้นของผู้รู้ได้แพร่ไปทั่วจนถึงหูของนักปราชญ์ ยุโรปผู้หนึ่งที่กำลังค้นคว้า หรือสงสัยว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไรเขาจึงคิดที่จะนำคำถามดั้นด้นจากดิน แดนยุโรปมาที่ชมพูทวีป และเขาก็ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้วถามไปว่า ใช่ท่านหรือไม่ที่ผู้คนบอกว่าเป็นผู้รู้ ถูกต้องแล้วท่านนักปราชญ์ พระพุทธเจ้าตอบ เขาเลยถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าอยากรู้เป็นยิ่งว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร พระพุทธเจ้าตอบคำถามของเขาด้วยนิทานเรื่องหนึ่งว่า มีนักรบผู้เกรียงไกรผู้หนึ่ง นำทับออกจากเมืองของเขาไปรบตีเมืองต่างๆไปทั่วสารทิศไม่มีที่ใดที่เขาตีไม่ ได้ ยึดดินแดนไปเกือบค่อนทวีปความยิ่งใหญ่ของเขาได้ส่งความหวาดกลัวไปทั่ว จนวันหนึ่งในขณะรบ เขามิได้ทันระวังตัวเขาจึงโดนยิงด้วยธนูที่กลางอกเขาเขาบาดเจ็บสาหัสเหล่า ทหารจึงถอยทับนำเขากลับมาที่เมืองของเขาเพื่อจะให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนูออก แต่นักรบผู้เกรียงไกรมีความทรนงในศักดิ์ศรีจะไม่ยอมให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนู ออก หากไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงศรธนู เป็นชนชาติใด โลหะที่ใช้ทำหัวศรคือโลหะใด ใช้ไม้ชนิดใดทำคันศรและตัวธนู ใช้วัสดุใดทำเชือก คนยิงอยู่ห่างตัวของเขาขณะยิงเท่าใด หากรู้สิ่งเหล่านี้แล้วจึงค่อยผ่าตัดออก ในขณะที่ชีพจรของเขาริบหรี่ลงเขาสั่งให้ทหารไปหาสิ่งที่เขาอยากรู้เขาจะรอ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัวมองเห็นแล้วว่าหากไม่รีบผ่าตัดเอาหัวศรออกบัดเดี๋ยวนี้ นักรบผู้เกรียงไกรจักต้องตายเป็นแน่แท้ แพทย์เลยบอกกับนักรบผู้เกรียงไกรว่า ท่านนักรบผู้เกรียงไกร ท่านจะรอที่จะรู้ทำไมเล่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นเลยมีแต่จะยืดเวลา ให้ศรธนูกินชีวิตท่านให้หมดสิ้นหากท่านไม่รีบผ่าตัดออกชีวิตของท่านคงไม่ เหลือบัดเดี๋ยวนี้ คำพูดของแพทย์ผู้ผ่าตัด ทำให้นักรบผู้เกรียงไกรตระหนักเห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากจะรู้คือ ชีวิตของเขา นักรบผู้เกรียงไกรจึงให้แพทย์ผ่าตัดเอาหัวศรออก โดยไม่รอแล้วว่าสิ่งที่เขาอยากรู้เป็นอะไร เพราะเขารู้รู้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ชีวิตของเขา พอพระพุทธเจ้าเล่าจบเลยบอกกับเขาว่าบางสิ่งไม่สำคัญเลย สังขารหายืนยงไม่ ชีวิตของท่านไม่เที่ยงแท้ ท่านอย่ามีชีวิตอยู่บนความประมาทเลย จงรีบขวานขวายทำความดีให้ชีวิตพนจากทุกข์เถิดเมื่อพระพุทธเจ้าพูดจบ ไม่มีใครรู้เลยว่านักปราชญ์จากยุโรปผู้นั้นคิดเยี่ยงไร เขาได้ลาพระพุทธเจ้าแล้วได้เดินทางกลับ พระพุทธเจ้าจะไม่ปฏิเสธคำถามแต่จะตอบคำถามในเชิงคำสอน ชึ่งจะเป็นนัยให้คิดได้ ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่เราต้องการคำตอบก็เป็นได้”“ในคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ ที่ไม่มีคำโกหกแม้แต่ 1/1000000000000000.........ของอิเล็กตรอน ได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่งก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นคนอื่นมาก่อนซึ่งเยอะมากซึ่งที่สำคัญ มีอยู่ 10 ชาติ เท่าที่ข้าพเจ้ารู้มา มีอยู่ 500 ชาติ ซึ่งทำให้เกิดแง่คิดที่สำคัญว่า เคยมีอารยะธรรมก่อนหน้านั้นมาก ซึ้งตาหลักแล้วที่ข้าพเจ้ารู้มาชีวิตเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี ทุกๆ 100 ปี หากเปรียบเทียบกับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ปัจจุบันแล้วอาจกล่าวได้ว่าสมัย พุทธกาล อายุเฉลี่ยของมนุษย์คือ 100 ปี หากอ้างตาม เรื่องราว 500 ชาติ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ให้ 1 ชาติ มีอายุ 100 ปี จะได้ว่ามนุษย์ได้มีอารยะธรรมมาแล้วอย่างน้อย 50000 ปี ซึ่งไม่เกินเวลาที่นักโบราณคดีปัจจุบันได้ศึกษาแล้วว่าช่วงเวลาที่นับว่ามี มนุษย์โดยไม่นับรวมช่วงที่ยังเป็นมนุษย์วานร คือ 100000 ปี ”“หากเราลองคิดถึงพัฒนาการด้านความสามารถ ความรู้ของมนุษย์ในช่วง 2000 ที่ผ่านมา จะเห็นสามารถทำให้มีเทคโนโลยีที่ดี และยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้ หากเราให้เวลาในการพัฒนาการของมนุษย์อย่างเต็มที่ 10000 ปี จะทำให้จะทำให้เรารู้ว่ามนุษย์เรามีความเจริญอย่างเต็มขีด หรือไม่ก็สูงส่งมาแล้วอย่างน้อย 10 ช่วง”“จากความเป็นมนุษย์ที่เราคุ้นเคยและรู้จัก มนุษย์ย่อมมีกิเลส ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า มีอาวุธร้ายแรง เช่น ไฟบรรลัยกัลป์ มนุษย์บ้าคลั่งในอำนาจ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดคือช่วงเวลาที่มนุษย์มีความเจริญถึงขีดสุดยอมทำให้ มนุษย์ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดทำลายล้างกันเองจนเกิดความหายนะแก่อนาจักร”
     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    แอตแลนติส
    บทความนี้เกี่ยวกับอาณาจักรโบราณ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ แอตแลนติส (แก้ความกำกวม)
    แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก

    กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีปๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจ และสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศ ด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา คำว่า แอตแลนติส มาจากแอตลาสบุตรของโพไซดอน แอตแลนติสอาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักประดาน้ำบางคนพบขุมทองบริเวณนั้นนั่นเอง

    เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีกเขียนไว้เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งยุคของเพลโต ห่างจากยุคของแอตแลนติสราว 9,000 ปี เพลโตเขียนถึงแอตแลนติสในหนังสือที่ชื่อว่า ทิเมอุส และ ครีทีแอซ โดยอ้างว่า โซลอน รัฐบุรุษคนหนึ่งของกรีกราวยุค 600 ปีก่อนคริสตกาล เป็นผู้นำมาเผยแพร่หลังจากรับทราบเรื่องราวของแอตแลนติสจากนักบวชชาวอียิปต์ ท่านหนึ่ง

    มีการกล่าวว่า อารยธรรมโบราณหลายๆ แห่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ รวมถึงบรรดาวัฒนธรรมเมโสโปเตเมียทั้งหลาย ไปจนถึงวัฒนธรรมโบราณของชนเผ่าอินคา มายา และแอซแต็กในแถบอเมริกากลาง รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่มหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นสโตนเฮ้นจ์ หรือปิรามิดในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ต่างก็เป็นมรดกจากชาวแอตแลนติสทั้งสิ้น

    [แก้] ทฤษฎีแอนตาร์กติกาคือแอตแลนติส
    ในหนังสือ แอตแลนติส ดินแดนที่สาบสูญ ได้ระบุไว้ว่า ทวีปแอนตาร์กติกา มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นดินแดนที่ตั้งของนครแอตแลนติส เนื่องจากมีการกล่าวไว้ว่า แอตแลนติส เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร และผืนแผ่นดิน ซึ่งเมื่อ 12,000 กว่าปีก่อน บริเวณช่องแคบแบริ่ง เคยเกิดทางเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปแอฟริกาและเอเชียเคยเชื่อมต่อกันมาก่อนที่จะขุดคลองสุเอซขึ้น และก่อนที่จะมีการสำรวจทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ทวีปทั้งสองเคยเชื่อมต่อกัน ก่อนที่ชาวสเปนจะทำการขุดคลองปานามา ทำให้ทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็น "เกาะสีขาวกลางมหาสมุทร" อันเป็นแอตแลนติสนั่นเอง[1]

    ช่วงเวลาที่แอตแลนติสล่มสลาย คือประมาณ 12,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย ซึ่งในช่วงนั้น แกนโลกเอียงไปมาก ทำให้แอนตาร์กติกาเล็ก (ดินแดนขนาดใหญ่ที่ถูกกั้นจากแอนตาร์กติกาใหญ่ด้วยเทือกเขาทรานส์แอนตา ร์กติกา) ตอนนั้นยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุม ด้านตรงข้าม บริเวณมหาสมุทรอาร์คติก ก็ยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุม แต่บริเวณตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และแอนตาร์กติกาใหญ่นั้น กลับมีน้ำแข็งปกคลุม จึงเชื่อว่า แอนตาร์กติกาเล็กคือที่ตั้งของแอตแลนติส[1]

    คำบอกเล่าของนักบวชอียิปต์ ได้กล่าวถึงร่องรอยของแอตแลนติส ไว้ 16 ประการ แต่ย่อได้ 5 ประการ ดังนี้

    ตั้งอยู่ในที่ราบใหญ่
    อยู่ใกล้มหาสมุทร
    อยู่กึ่งกลางระหว่างระยะทางที่ไกลที่สุดระหว่างทวีป
    มุ่งตรงไปยังเกาะ
    ล้อมรอบด้วยภูเขา
    ซึ่งบริเวณแอนตาร์กติกาเล็ก เมื่อ 12,000 ปีก่อน มีที่ราบถ้าลากจากกึ่งกลางทวีป ไปยังเกาะ จะเป็นเส้นที่ยาวที่สุด มีภูเขาอยู่อีกด้านของแอนตาร์กติกาเล็ก ดังนั้น แอตแลนติสจะต้องอยู่ระหว่างแอนตาร์กติกาเล็กกับเกาะๆ นั้น ซึ่งอยู่ระหว่างแหลมกู๊ดโฮกับแหลมแอนตาร์กติก[1]
    ภาพล่างนี้เป็นภาพลายเส้นและรูปวาดบนพื้นดินแห่งนัซกาและปัมปัสเดคูมานา


    [​IMG] เส้นนัซกา (Nazca Lines) เป็นลายเส้นลึกลับที่กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทราย​
     
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    นัซกา ระหว่างเมืองนัซกากับเมืองปัลปาในแคว้นอีกา ประเทศเปรู สันนิษฐานว่าชาวนัซกาโบราณ (ซึ่ง
    ครอบครองดินแดนเปรูมาก่อนยุคจักรวรรดิอินคา) ขุดลายเส้นเหล่านี้ขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนคริสต
    ภาพล่างนี้เป็นภาพลายเส้นนกฮ้มมิงเบิร์ต

    [​IMG]
    กาล ถึงประมาณปี ค.ศ. 500 ชาวนัซกาโบราณเป็นเกษตรกรเพาะปลูกอยู่บนที่ราบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย ที่พอจะเข้าใจได้บ้างก็มาจากการศึกษาสุสาน
    และข้าวของเครื่องใช้ในหลุมฝังศพเท่านั้น ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงทำลวดลาย

    [​IMG]
    เหล่านี้ขึ้นลายเส้นนัซกาที่ทำขึ้นเป็นแบบวิธีเดียวกันหมด คือ ขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก แล้ว
    เปิด ให้เห็นชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างใน ไม่มีร่องรอยการใช้ลายเส้นและสัตว์ช่วยแม้แต่น้อย และภาพ
    เป็นเส้นเดียวไม่ขาดตอน ภาพของลายเส้นนัซกาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือภาพที่เป็นรูปทรงและ
    ภาพที่เป็นเส้นลายเฉย ๆ มีภาพสัตว์ นก รูปเรขาคณิต เป็นต้น
    เส้นนัซกาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537 ภาพซ้ายนี้เป็นภาพลายเส้นสุนัข
    นครเปตรา นครเปตรา (จากภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ภาษาอารบิก البتراء) คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลา นานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)



    [​IMG]
    รูปบนนี้เป็นภาพวิหารใหญ่ในเมืองเปตรา

    นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า "เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ" (one of the most precious cultural properties of man's cultural heritage) [1] ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเท่านั้น
    เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ

    [​IMG]



    ประวัติ
    ก่อตั้งและเจริญรุ่งเรือง

    ชนกลุ่ม แรกที่เดินทางเข้ามาสู่เปตราคือพวกเอโดไมต์ ซึ่งเข้ามาราวปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองเปตราขึ้นมานั้นคือชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล[2] ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือนและอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่เปลี่ยนมาค้าขายและรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คนเผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เรียกเก็บจากผู้สัญจรก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิต ที่รุ่งเรื่องขึ้น

    [​IMG]
    รูปบนเป็นภาพอาคารที่ใหญ่ที่สุดในนครเปตราสาเหตุ ที่เปตราตั้งอยู่บนดินแดนอันแห้งแล้ง มีแต่หินกับทรายนั้นก็น่าจะเพราะเปตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของ โลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก คาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายสายเหนือ - ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส ซีเรีย นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งน้ำจืดสำคัญซึ่งต่อมาเรียกกันว่า วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส ซึ่งเล่ากันว่าเป็นน้ำที่ได้เมื่อโมเสสเสกออกมาเพื่อให้ชาวยิวได้กินแก้ กระหาย เหล่าพ่อค้าหรือนักเดินทางที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันว่างเปล่าและแห้งแล้ง ใกล้เคียงนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมุ่งมาที่เมืองเปตราอย่างเดียว

    [​IMG]



    เปตราเป็นศูนย์กลางค้าขนาดใหญ่ จนทำให้นักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความมั่งคั่งมาเล่าให้ฟัง ตามบันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกได้อธิบายไว้ว่า เมืองเปตราเป็นตลาดซื้อสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก ยางไม้หอม กำยาน เครื่องเทศของชาวอาหรับ ทองแดง เหล็ก เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น ผ้าย้อมของชาวฟินิเซียนล้วนถูกลำเลียงผ่านเมืองเปตราไปสู่ทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน และชาวเปอร์เซีย


    [​IMG]
     
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    วิหารใหญ่ในเมืองเปตราเปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องให้ว่า ฟิโลเดมอส (Philodemos) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน และด้วยความมั้งคั้ง ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันจากแก่การพิชิต จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากพาย นอก
    ชาวเปตรานับถือเทพเจ้าสององค์คือ เทพดูซาเรส (Dushares) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพอัลอัซซา (Al Uzza) ชายาของเทพดูซาเรส เทวีแห่งน้ำ
    การล่มสลาย


    ด้วย เหตุที่เกิดเมืองใหม่และเส้นทางค้าขายใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่าในช่วงเวลา ต่อมา เปตราที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าก็เริ่มสูญเสียอำนาจลง เมืองอ่อนแอและถูกต่างชาติโจมตีเข้าได้ง่าย จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 649 (ค.ศ. 106) พวกโรมันนำโดยจักรพรรดิทราจัน หรือ ไทรอะนุส(Traianus) ได้เข้ายึดครองเปตราและผนวกนครนี้เข้าเป็นจังหวัดในจักรวรรดิโรมัน แต่เปตราก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวปี ค.ศ. 300 เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มคลอนแคลน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 906 (ค.ศ. 363) แผ่นดินไหวก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานที่ถือว่าดีมากของเมืองลง

    [​IMG]



    ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 เปตรากลายเป็นที่ตั้งคริสต์ศาสนามณฑลของบิชอป แล้วถูกมุสลิมยึดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อยๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน
    การค้นพบ


    ถึง แม้ซากเมืองเปตราจะเป็นสิ่งที่น่าอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในช่วงยุคกลาง เช่นมีสุลต่านของอียิปต์ ไบบารส์ (Sultan Baibars) เดินทางเข้าไปเยี่ยมชนในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่การค้นพบเปตราที่นำไปสู่การเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) เมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) ซึ่งกำลังเดินทางจากจอร์แดนไปอียิปต์เพื่อไปศึกษาถึงแหล่งที่เป็นต้นกำเนิน ของแม่น้ำไนล์ บวร์กฮาร์ทได้เห็นด้านหน้าอันใหญ่โตของเปตรา แต่ผู้นำทางท้องถิ่นสั่งห้ามมิให้เขาลงไปทำอะไรที่นั่น บวร์กฮาร์ทจึงแอบบันทึกย่อไว้ขณะที่อูฐเดินผ่าน ถึงแม้จะเป็นเพียงบันทึกเล็กๆ คร่าวๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการที่เปิดเมืองสู่สายตาชาวโลก ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) เลออง เดอ ลาบอร์ด (Leon de Laborde) ชาวฝรั่งเศสที่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจเมืองและเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "Voyage de l'Arabie Pétrée" แปลว่า "การเดินทางในเปตราแห่งอาหรับ" (ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2373) ซึ่งการเขียนหนังสือครั้งนี้ถือเป็นการนำภาพและความรู้ต่างๆที่ชาวโลกไม่เคย เห็นมาเปิดเผยให้ได้รับรู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...