เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    อธิบายเรื่องแมททริกซ์ เป็นชุดของจำนวนทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ซึ่งมีตั้งตัวแปร รูปแบบสมการ และผลที่ได้ จะเห็นในหนังมีอีกษรเป็นสายๆ
    --เรื่องทางคณิตศษสตร์แบบนี้ เข้าใจยากมาก อธิบายยิ่งยากกว่า 100 เท่า
    --ทางฟิสิกส์ ทฤษฎี แมกทริกซ์ สตริงก็มี

    สมุติว่ามีภาพที่เกิดจากจุดแมททริกว์จำนวนมาก มีทั้งจุดเริ่ม และจุกผลในตัวของมัน มันดูเบลอก ไม่เห็นชัดนัก แต่ด้สวนความรู้ทางคณิตศาสตร์ เราสามรถหาสมการที่ให้ผล โดยการคำนวณจากจุดรอบๆจุดสนใจ อาจจะมีสมการหนึ่ง พร้อมค่าสัมประสิทธิ์ ก่อให้เกิดผลที่"ทำให้ภาพขัดขึ้น" หรือ "ทำภาพให้เบลอ" หรือมีลูกเล่น"ให้เหมือนภาพวาด"
    เหล่านี้เป็นระบบสมการคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น เช่นหาขอบภาพ ทำให้เหมือนภาพนูนต่ำ
    ซึ่งพวกโปรแกรมต่างๆ ใช้สมการเหล่านี้เขียนเป็นโปรแกรมแต่งภาพ ด้วยความสามารถของคอมพิวเตอร์-----ภาพที่ได้จะเกิดขึ้นเร็วมาก
    --หากจะคิดว่า การฉายภาพลวงตา เป็นรูปแบบแมททริกซ์แบบหนึ่ง ก็ใช่ แต่มันเป็นสามมิติ
    ชนิดหนึ่ง ซึ่งสัมผัสได้
    --แมททริกซ์เหมือนเป็นระบบจำนวนลึกลับ เป็นภาพลึกลับ เป็นโลกเบื้องหลัง ซึ่งมันมีตัวชัดเจนในคณิตศาสตร์


    • )
    • บทที่ 7 เมตริกซ์ (Matrix)

      บทที่ 7. เมตริกซ์ (Matrix). เมตริกซ์เป็นค่าที่ยากที่จะนิยามความหมายให้ชัดเจน แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเมตริกซ์มี. ลักษณะเป็นชุดข้อมูลที่มีการเรียงกันเป็นแนวแถว (Row) ...
    ---หลุมดำ เป็นสิ่งลึกลับที่ดูดทุกอย่างแม้แต่แสง กลืนกินมันเข้าไปอย่างช้าๆ ก้นของหลุมดำ อาจจะทะลุไปยังเอกภพอื่น แต่ถ้าเราจะผ่านมันไป จะมีแรงโน้มถ่วงสุดโหด ที่จะกระชากฉีกเราเป็นชิ้นๆ
    --ว่ากันว่า มีหลุมขาว เกิดที่อีกฟากของหลุมดำ เพื่อนำวัตถุ และพลังานทุกชนิด ไปเพิ่มเติมให้เอกภพมิติอื่น ซึ่งคำว่าว่า หลุมขาวนี้ พวกเราชาวมนุษย์ ยังค้นไม่พบ---พุดง่ายๆว่า ในตำราทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์มีเรื่องนี้พูดเอาไว้เพียงในแง่ทฤษฎีนะครับ

    "หลุมขาว" (White Hole) คือ บริเวณที่สสสารและพลังงาน จะปรากฏออกมาจาก เอกภพหนึ่งไปยังอีกเอกภพหนึ่ง ในช่วง หนึ่งจะแสดงตัวเป็น "หลุมขาว" (White Hole) ในที่และเวลาอีกแ
    ห่งหนึ่งของ อวกาศ และจะป้อนสสารพลังงาน จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นักวิชาการบาง ท่านมีความแน่ใจว่า "หลุมดำ" และ "หลุมขาว" นี่เอง คือคำตอบสำคัญของการนำมาอธิบายปรากฏการณ์ของควอซาร์ ซึ่งเป็นแหล่งมีพลังงานสูงมากมหาศาลและ เชื่อว่า ควอซาร์ คือสถานที่ของหลุมขาว
    ------------------------------------------
    ตามที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันหน่ะคะ เขาว่ามี เหมือนอย่างเรื่องหลุมดำ เมื่อก่อนไม่มีใครเชื่อว่าจะมีจริง

    อีก หน่อยก็น่าจะมีการค้นพบหลุมขาว อย่างไอสไตน์ ยังเผื่อทฤษฎีไว้สำหรับรูหนอน ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ก็ยังไม่เคยค้นพบรูหนอนที่มีในทฤษฎีนี้เลยค่ะ
    -------------------------------------
    -------------------------

    วันนั้นดูสารคดีอ่ะ เค้าบอกว่า ตามทฤษฎีแล้ว ถ้ามีหลุมดำ มันก็ต้องมีหลุมขาว.. คือ พวกนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีหลุมขาวแน่ๆ เพียงแต่ยังหาไม่เจอ

    ก็เหมือนกับทฤษฎีของไอน์สไตน์แหละ เมื่อก่อนที่ไอน์สไตน์บอกว่ามีหลุมดำ ก็ยังไม่มีการค้นพบ จนไอน์สไตน์ตาย.. ค่อยมาพบว่า มีหลุมดำอย่างที่ไอน์สไตน์ว่าไว้จริงๆด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ในปี 1982 เคยมีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ที่มหาวิทยาลัยแห่งปารีส
    โดยทีมนักวิจัยซึ่งนำทีมโดยนักฟิสิกส์ชื่อ Alain Aspect ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง
    ที่ยังผลให้งานวิจัยชิ้นนั้นกลายเป็นงานวิจัยชิ้นสำคัญแห่งทศวรรษที่ 20 ไปแล้ว

    คุณอาจจะไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับมันเลยในข่าวภาคค่ำ อันที่จริงแล้ว ถ้าคุณไม่ชอบอ่านวารสารทางวิทยาศาสตร์หละก็
    คุณก็อาจจะไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Aspect คนนี้ด้วยซ้ำไป
    แม้ว่าหลายคนอาจจะเชื่อว่าผลงานการค้นพบของเขาอาจจะพลิกโฉมหน้าของวิทยาศาสตร์ไปเลยก็ได้


    นาย Aspect และทีมงานของเขาได้ค้นพบว่า
    ภายใต้สภาวะบางอย่างอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอมบางชนิด
    เช่น อิเล็กตรอน เป็นต้น สามารถสื่อสารกันได้ในทันทีทันใด
    โดยไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางระหว่างพวกมันแต่อย่างใดเลย
    ไม่ว่าพวกมันจะอยู่ห่างกันแค่ 10 ฟุต หรือว่า 10 ล้านไมล์ก็ตาม
    ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า
    พวกมันแต่ละอนุภาคจะรู้ว่าอนุภาคอื่นๆกำลังทำอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ
    แต่ปัญหาก็คือพฤติกรรมดังกล่าวนี้
    มันจะไปแหกกฎของไอน์สไตที่เชื่อถือกันมานมนานแล้วว่า
    ไม่มีการสื่อสารชนิดใดที่จะไปได้เร็วกว่าความเร็วของแสงได้
    เพราะว่าถ้าเดินทางได้เร็วกว่าแสงแล้วหละก็
    ก็เท่ากับว่ามันไปทำลายกำแพงของกาลเวลาโดยสิ้นเชิง

    ซึ่งการคาดการณ์ที่น่าเป็นกังวลนี้เอง ที่ทำให้เหล่านักฟิสิกส์ทั้งหลายพยายามประดิษฐ์ประดอยคำพูดขึ้นมา
    เพื่อใช้อธิบายผลการค้นพบนี้ของนาย Aspect ไปต่างๆนาๆกัน แต่ในขณะเดียวกัน ผลการค้นพบนี้
    ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายๆคน ในอันที่จะค้นหาคำอธิบายที่เป็นสาเหตุมูลฐานที่แท้จริงของมันให้เจอด้วย


    ตัวอย่างของคนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผลการค้นพบของนาย Aspect ก็คือ
    นาย David Bohm จากมหาวิทยาลัยแห่งลอนดอน เขาเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้
    มันแสดงให้เห็นว่า “โลกแห่งวัตถุธาตุ” (Objective reality) “ไม่มีอยู่จริง”

    เพราะว่า ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนว่าเป็นของแข็งๆและทึบตันก็ตาม
    แต่แก่นแท้ของจักรวาลแล้วก็คือ “ภาพลวงตา” หรือจักรวาลทั้งจักรวาลนี้
    ก็คือ “ภาพโฮโลแกรมสามมิติ” ขนาดใหญ่อันหนึ่ง
    ที่ถูกใส่รายละเอียดเอาไว้อย่างวิเศษและยอดเยี่ยมมากๆนั่นเอง



    เพื่อจะให้เข้าใจว่าทำไมนาย Bohm ถึงยืนยันน่าตกใจเช่นนั้น
    เราต้องเข้าใจหลักการณ์เบื้องต้นของภาพโฮโลแกรมซะก่อน

    ภาพโฮโลแกรม ก็คือ ภาพสามมิติที่ถูกสร้างขึ้นมาจากแสงเลเซอร์ ซึ่งในการสร้างภาพโฮโลแกรมนั้น
    เราต้องยิงลำแสงเลเซอร์อันแรกไปอาบวัตถุที่เราจะนำมาสร้างเป็นภาพสามมิติซะก่อน
    จากนั้นเราก็จะใช้ลำแสงเลเซอร์ชุดที่สองยิงไปที่ภาพที่ได้จากการยิงเลเซอร์ชุดแรก
    และภาพที่เกิดจากการแทรกแซงกันของลำแสงเลเซอร์ทั้งสอง
    (ตรงบริเวณที่ลำแสงเลเซอร์ทั้งสองมาผสมผสานกัน) ก็จะถูกบันทึกไว้บนฟิล์ม

    และเมื่อฟิล์มถูกล้างออกมาแล้ว มันก็จะดูเหมือนเป็นภาพของลำแสงที่หมุนวน และเส้นสีดำๆมากมาย
    ซึ่งอาจจะดูไม่มีความหมายอะไร แต่พอเอาฟิล์มมาทำให้สว่างเรืองรองขึ้นด้วยลำแสงเลเซอร์อีกชุดหนึ่งแล้ว
    มันก็จะได้ภาพ 3 มิติของวัตถุที่นำมาใช้เป็นแบบอันนั้น
    จักรวาลแห่งภาพสามมิติ -
    โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพนี้ มันมีอยู่จริงหรือเปล่า?"


    โดย: Michael Talbot
    12/3/2006


    ตอนที่ 3:



    ความเป็น 3 มิติของภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่คุณลักษณะพิเศษเฉพาะที่สำคัญเพียงอย่างเดียวของภาพโฮโลแกรมเท่านั้น
    แต่ภาพโฮโลแกรม มันยังมีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะอย่างอื่นอยู่อีก คือ

    ถ้านำเอาฟิล์มของภาพโฮโลแกรมของดอกกุหลาบมาตัดแบ่งครึ่ง
    แล้วนำเอาฟิล์มชุดนั้นไปทำให้เรืองแสงขึ้นด้วยลำแสงเลเซอร์
    ก็จะพบว่า แต่ละครึ่งของฟิล์มชุดนั้น
    ก็ยังจะแสดงภาพของดอกกุหลาบทั้งดอกออกมาอยู่ดี!

    อันที่จริงแล้ว แม้แต่การที่เราจะเอาฟิล์มครึ่งหนึ่ง
    ของภาพดอกกุหลาบชุดนั้นไปตัดแบ่งครึ่งอีกทีก็ตาม
    เราก็ยังจะพบว่า แต่ละส่วนของฟิล์มชุดนั้น
    ก็ยังจะแสดงภาพของดอกกุหลาบทั้งดอกออกมาอยู่ดี
    แม้ว่าภาพที่ได้จะเล็กกว่าภาพที่เกิดจากฟิล์มแบบเต็มฟิล์มก็ตาม

    ซึ่งต่างจากภาพถ่ายธรรมดาทั่วไป เพราะว่า

    “ทุกๆส่วนของภาพโฮโลแกรม
    จะมีข้อมูลข่าวสารของส่วนรวมทั้งหมด
    อยู่ในนั้นอย่างครบถ้วนเสมอ”

    การ “มีทั้งหมดอยู่ในทุกๆส่วนย่อย” ของภาพโฮโลแกรม ทำให้พวกเรามีความเข้าใจใหม่อย่างสิ้นเชิง
    เกี่ยวกับการจัดองค์ประกอบและการจัดระเบียบของสิ่งต่างๆ เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบทั้งหมด
    ของประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ของซีกโลกตะวันตก มักจะปักใจเชื่ออยู่แต่ว่า
    วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เข้าใจพฤติกรรมด้านกายภาพของอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกบหรืออะตอมก็ตาม
    ก็คือการผ่าหรือชำแหละมันออกมาดูเท่านั้น แล้วจากนั้น จึงค่อยศึกษาชิ้นส่วนของมัน ทีละชิ้นๆไป

    แต่ภาพโฮโลแกรมสอนเราใหม่ว่า บางสิ่งบางอย่างในจักรวาลนี้
    อาจจะไม่เหมาะสมกับวิธีนี้ก็ได้

    ดังนั้น ถ้าเราพยายามที่จะไปตัดแยกชิ้นส่วนของอะไรก็ตาม
    ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการเดียวกันกับภาพโฮโลแกรมนี้
    เราก็จะไม่ได้ชิ้นส่วนย่อยที่ถูกประกอบเข้ามาเป็นมัน
    แต่เราจะได้ชิ้นส่วนที่เป็นทั้งหมดแต่เล็กกว่าแทน
    ตอนที่ 4:


    ความเข้าใจนี้ทำให้ Bohm พยายามที่จะอธิบายผลการค้นพบของ Aspect ด้วยวิธีการใหม่

    Bohm เชื่อว่าเหตุผลที่อนุภาคระดับที่เล็กกว่าอะตอมทั้งหลายนั้น
    ยังสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อยู่ แม้ว่าระยะห่างของพวกมัน
    จะเป็นเท่าไหร่ก็ตามนั้น นั่นก็เพราะว่า
    ไม่ใช่เพราะว่าพวกมันส่งสัญญาณลึกลับบางอย่างไปมาหากันหรอก
    แต่เป็นเพราะว่า “ภาวะการแยกจากกันของพวกมันนั้น คือมายา”

    เขาให้เหตุผลว่าในระดับที่ลึกยิ่งกว่าของโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว
    อนุภาคเหล่านั้นไม่ได้มีการอยู่กันเป็นแบบตัวใครตัวมันเลย
    แต่แท้ที่จริงแล้ว พวกมันคือส่วนขยายของสิ่งๆเดียวกัน
    ที่เป็นสิ่งมูลฐานอะไรซักอย่าง

    และเพื่อที่จะช่วยให้คนทั่วไปสามารถมองเห็นภาพได้ว่าเขาหมายถึงอะไร
    Bohm จึงใช้วิธีเปรียบเทียบตัวอย่างดังต่อไปนี้


    ลองจินตนาการไปว่ามีตู้ปลาอยู่ตู้หนึ่ง ซึ่งในนั้นมีปลาอยู่ 1 ตัว
    และสมมุติว่า คุณไม่สามารถมองเห็นตู้ปลาได้โดยตรง
    ดังนั้น ความรู้ที่คุณมีเกี่ยวกับตู้ปลาตู้นั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในนั้นทั้งหมด
    ล้วนมาจากกล้องวงจรปิด 2 ตัวทั้งสิ้น

    ซึ่งกล้องวงจรปิดทั้งสองตัวที่ว่านี้ ตัวหนึ่งติดตั้งไว้ด้านหน้าของตู้ปลา
    ส่วนอีกตัวหนึ่งติดตั้งไว้ที่ด้านข้างของตู้ปลา

    ดังนั้นเมื่อคนจ้องมองดูที่หน้าจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดทั้งสอง
    คุณอาจจะคิดไปว่าปลาที่เห็นอยู่ในหน้าจอทั้งสองนั้นเป็นคนละตัวกัน
    แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่ามุมของกล้องทั้งสองตัวนั้นต่างกัน
    ดังนั้น ภาพที่เห็นจากหน้าจอทั้งสองนั้น จึงแตกต่างกันเล็กน้อย

    แต่เมื่อคุณจ้องมองดูปลาทั้งสองตัว ในหน้าจอมอนิเตอร์ทั้งสองนั้นต่อไป

    ในที่สุดแล้ว คุณก็ตระหนักได้ว่าปลาทั้งสองตัวนั้น
    พวกมันมีความสัมพันธ์อะไรกันอยู่ซักอย่าง

    เพราะว่าเมื่อปลาตัวหนึ่งเลี้ยวกลับ ปลาอีกตัวหนึ่งก็เลี้ยวกลับด้วยเหมือนกัน

    แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม และเมื่อปลาตัวหนึ่งหันหน้ามา
    อีกตัวหนึ่งก็จะหันด้านข้างมาเสมอ

    ดังนั้น ถ้าเรายังไม่รู้ถึงภาพรวมของสถานการณ์นี้อยู่ต่อไป

    คุณอาจจะถึงกับสรุปไปว่าปลาทั้งสองตัวนี้มีการติดต่อสื่อสารกันอยู่แบบทันทีทันใด
    แต่แน่นอนว่า มันไม่ใช่แบบนั้นเลย


     
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    …………….
    ตอนที่ 5:


    ตัวอย่างที่ Bohm ยกมานี้ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมทั้งหลาย
    จากการทดลองของ Aspect นั่นเอง

    ดังนั้น ถ้าตามนัยยะที่ Bohm หมายถึงนี้ ปรากฎการณ์ที่ดูเหมือนว่า
    คือ “การสื่อสารกันด้วยความเร็วกว่าแสง”
    ระหว่างอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมทั้งหลายเหล่านั้น
    จริงๆแล้วมันกำลังบอกเราว่า

    “มันมีโลกแห่งความเป็นจริง
    ในระดับที่ลึกลงไปกว่านี้อยู่อีก ที่พวกเรายังไม่รู้”

    ซึ่งหมายถึงมิติที่ซับซ้อนยิ่งกว่ามิติที่เราอยู่นี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตู้ปลานั่นเอง
    และ Bohm ยังเพิ่มเติมอีกว่า

    ที่พวกเรามองเห็นสิ่งต่างๆ เช่นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมเหล่านี้
    ว่าพวกมันอยู่กันแบบแยกขาดจากกันนั้น
    ก็เพราะว่าพวกเรามองเห็นเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง
    ของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกมันเท่านั้นเอง


    อันที่จริงแล้ว อนุภาคเหล่านั้นไม่ได้อยู่แบบแยกขาดจากกันเลย
    แต่พวกมันคือ “เหลี่ยมมุมหนึ่ง” ของ “องค์รวม” ที่สำคัญกว่า
    และอยู่ลึกมากกว่านั่นเอง ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว
    พวกมันก็เหมือนกับภาพโฮโลแกรมสามมิติ
    ที่ไม่อาจแบ่งแยกออกจากกันได้
    เหมือนกับตัวอย่างของฟิล์มภาพสามมิติของดอกกุหลาบ
    ที่กล่าวถึงไปแล้วนั่นเอง

    และเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของวัตถุธาตุทางกายภาพนี้
    ล้วนประกอบไปด้วย “ผี” เหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น จักรวาลทั้งจักรวาลนี้
    ก็คือภาพที่ถูกฉายขึ้นมาอย่างหนึ่งนั่นเอง หรือก็คือภาพโฮโลแกรมอย่างหนึ่งนั่นเอง

    นอกจากจักรวาลจะมีธรรมชาติที่เหมือนผีแล้ว มันก็อาจจะยังมีสิ่งอื่นๆที่จะทำให้เราตกใจอยู่อีกก็ได้
    เพราะว่าถ้าสิ่งที่ดูเหมือนว่าคือ “ความแบ่งแยก” ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมที่ว่านี้
    คือ “มายา” แล้วหละก็ มันก็จะหมายความว่า ในระดับที่ลึกลงไปกว่านี้อีกของโลกแห่งความเป็นจริงนี้
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ ล้วนมีความเชื่อมโยงกันอยู่ทั้งหมดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    เพราะฉะนั้น อิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุคาร์บอนที่อยู่ในสมองของมนุษย์
    จึงกำลังเชื่อมต่ออยู่กับอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมทั้งหลายที่อยู่ในปลาซาลมอนที่กำลังว่ายน้ำอยู่
    และก็กำลังเชื่อมต่ออยู่กับหัวใจทุกๆดวงที่กำลังเต้นอยู่ และกำลังเชื่อมต่ออยู่กับดวงดาวทุกๆดวง
    ที่กำลังส่องแสงแวววาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้านั้นด้วย

    ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกำลังแทรกซึมอยู่ในซึ่งกันและกันอยู่
    และแม้ว่ามนุษย์จะมีธรรมชาติที่ชอบไปจัดหมวดหมู่, จำแนกแยกแยะ
    และแบ่งประเภทย่อยๆให้กับปรากฎการณ์ต่างๆของจักรวาลก็ตาม
    แต่การแบ่งประเภทเหล่านั้นก็หาได้มีความจำเป็นอย่างแท้จริงตามธรรมชาติไม่

    เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว ธรรมชาติทุกๆชนิด
    ล้วนมีความเชื่อมโยงกันอยู่แบบใยแมงมุมและแบบไร้รอยต่อทั้งสิ้น
    ตอนที่ 6:


    ในจักรวาลที่เป็นภาพโฮโลแกรมนี้ แม้แต่ช่องว่างและกาลเวลาเอง
    ก็ยังไม่อาจจะถูกมองแบบปกติธรรมดาได้อีกต่อไปแล้ว
    เพราะว่าหลักการณ์เกี่ยวกับสถานที่ก็จะนำมาใช้ไม่ได้ด้วย
    เพราะว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่แบบแยกขาดจากสิ่งอื่นๆอย่างแท้จริง
    ดังนั้น ช่องว่าง และ กาลเวลา แบบ 3 มิตินี้ จึงเหมือนกับภาพของปลา
    ในหน้าจอมอนิเตอร์ ที่ควรจะถูกมองว่ามันคือภาพที่ถูกฉายออกมา
    จากระดับที่อยู่ลึกลงไปอีก ของโลกแห่งความเป็นจริงนี้ด้วย

    ในโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในระดับที่ลึกลงไปกว่านั้นของมัน
    มันจะเป็นอะไรที่คล้ายๆกับ “ซูเปอร์โฮโลแกรม”
    ที่อดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต จะดำรงอยู่พร้อมกันหมด

    ซึ่งนี่ก็หมายความว่า ถ้าเรามีอุปกรณ์ที่เหมาะสม มันก็เป็นไปได้แม้กระทั่งว่า
    ซักวันหนึ่งเราจะสามารถเข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงระดับซูเปอร์โฮลโลแกรมได้
    และไปดึงเอาบางฉากบางตอนของอดีตที่ลูกลืมไปนานแล้วออกมาได้ด้วยซ้ำ

    ถ้าถามว่ามีอะไรอีกไหมที่อยู่ในซูเปอร์โฮโลแกรม ก็จะเป็นคำถามปลายเปิด
    ทำให้ต้องหาเหตุผลมาตอบว่า

    "ซูเปอร์โฮโลแกรม" คือ เมตริกซ์ที่เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลของเรา
    เพราะว่าอย่างน้อยที่สุด มันก็ได้ให้กำเนิดอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมทุกๆชนิด
    ที่มีอยู่แล้ว หรือที่จะถูกให้กำเนิดต่อไปในอนาคตหละ
    มันประกอบไปด้วยสสารและพลังงานทุกๆชนิดที่เป็นไปได้
    ตั้งแต่เกล็ดหิมะ ไปจนถึงควอซ่าร์ (quasar) ไปจนถึงปลาวาฬสีน้ำเงิน
    ไปจนถึงรังสีแกรมม่า

    มันจะต้องถูกมองว่าเป็นคลังเก็บสินค้าของเอกภพ
    หรือของ “ทุกสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่” (All That Is) อย่างหนึ่ง


     
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    ตอนที่ 7:


    แต่ Bohm ก็ไม่ใช่นักวิจัยเพียงคนเดียวที่ค้นพบหลักฐานว่าจักรวาลนี้คือโฮโลแกรม
    เพราะว่ายังมีนักวิจัยอีกคน หนึ่งคือ Karl Pribram ซึ่งเป็นนักประสาทสรีรวิทยา
    จากมหาวิทยาลัย Stanford ที่ทำงานวิจัยอิสระด้านสมอง
    เขาก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริงนี้
    มีธรรมชาติเป็นแบบภาพโฮโลแกรมด้วยเช่นกัน


    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - นาย Karl Pribram)

    Pribram เริ่มหันมาให้ความสนใจในแบบจำลองด้านโฮโลแกรมนี้ ตั้งแต่ตอนที่เขามีคำถามว่า

    “ความทรงจำถูกเก็บเอาไว้ในสมองได้อย่างไร และถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน”

    เพราะเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วที่ผลการศึกษาและวิจัยทั้งหลายชี้บ่งว่า
    ความทรงจำไม่ได้ถูกเก็บไว้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในสมองเป็นการเฉพาะ
    แต่มันถูกเก็บไว้แบบกระจายอยู่ทั่วทั้งสมองเลยทีเดียว


    มีการทดลองที่สำคัญอยู่ชุดหนึ่งที่เกิดขึ้นในราวๆปี 1920 โดย Karl Lashley
    เขาได้ค้นพบว่า ไม่ว่าเขาจะตัดชิ้นส่วนของสมองของหนูทดลองทิ้งไปมากเท่าไหร่ก็ตาม
    แต่เขาก็ยังมิอาจที่จะกำจัดความทรงจำของมัน ที่เกี่ยวกับวิธีการทำงานบางอย่าง
    ที่มีความซับซ้อน ที่มันเคยเรียนรู้มาก่อน ก่อนการผ่าตัด ให้หมดสิ้นไปได้

    ปัญหาเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในตอนนั้นก็คือ
    ไม่มีใครสามารถอธิบายกลไกการเกิดของปรากฎการณ์ประหลาด
    เกี่ยวกับการบันทึกความทรงจำของสมอง
    ที่เรียกว่า “มีองค์รวมอยู่ในทุกๆส่วนย่อย” (Whole in every part) ได้


    แม้ว่า Bohm จะยอมรับว่าพวกเราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่า ยังมีอะไรอีกบ้างที่ซ่อนอยู่ในซูเปอร์โฮโลแกรมนี้
    แต่เขาก็กล้าเสี่ยงที่จะพูดว่า พวกเราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปคิดว่ามันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นมากกว่านั้น
    หรืออย่างที่เขาบอกออกมาว่า

    บางทีในระดับที่เป็นซูเปอร์โฮโลแกรมของโลกแห่งความเป็นจริงนี้
    อาจจะเป็น “สภาวะแห่งความบริสุทธิ์” ก็ได้นะ
    ซึ่งเป็นระดับที่อยู่เหนือกว่าระดับที่มีการพัฒนาขึ้นของอนาคตอย่างไร้ขีดจำกัด

    ตอนที่ 8:

    จากนั้น ในราวปี 1960 Pribram ก็ได้มาพบกับหลักการณ์ของภาพโฮโลแกรมโดยบังเอิญ
    และเขาก็ได้ประจักษ์ว่าเขาได้ค้นพบคำอธิบายที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองทั้งหลายกำลังค้นหากันอยู่นั้นแล้ว

    Pribram เชื่อว่าความทรงจำทั้งหลายถูกเข้ารหัสไว้ไม่ใช่ในเซลประสาท
    หรือในกลุ่มของเซลประสาทกลุ่มเล็กๆกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลย
    แต่อยู่ในรูปแบบของระลอกคลื่นประสาท ที่เคลื่อนที่ไขว้กันสลับไปมาอยู่ทั่วทั้งสมอง
    ซึ่งเหมือนกันกับรูปแบบของแสงเลเซอร์ ที่ไขว้กันไปมาอยู่ทั่วทั้งพื้นที่
    ของชิ้นงานบนฟิล์มที่มีรูปภาพโฮโลแกรมอยู่

    หรือถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ Pribram เชื่อว่า
    “สมองเองก็เป็นโฮโลแกรมอย่างหนึ่งด้วย!”
    )

    ทฤษฎีของ Pribram สามารถอธิบายได้ด้วยว่า สมองของมนุษย์
    สามารถเก็บความทรงจำจำนวนมากมายไว้ภายในพื้นที่เล็กๆได้อย่างไร
    ซึ่งโดยประมาณแล้ว สมองของมนุษย์มีความสามารถในการเก็บความทรงจำ
    ได้ราวๆ 1 หมื่นล้านบิตส์ ตลอดช่วงอายุขัยของมนุษย์โดยเฉลี่ย
    (หรือพอๆกับข้อมูลที่บรรจุอยู่ในหนังสือสารานุกรม Britannica จำนวน 5 ชุด)


    ในทำนองเดียวกัน ยังมีการค้นพบอีกว่า นอกจากโฮโลแกรม
    จะมีความสามารถอย่างอื่นอยู่อีกแล้ว
    มันยังมีความจุในการเก็บข้อมูลมากจนน่าทึ่งอีกด้วย

    เพราะว่าเพียงแค่เราเปลี่ยนมุมของการตกกระทบของแสงเลเซอร์ทั้ง 2 ชุด
    ที่จะมาปะทะแผ่นฟิล์มเท่านั้น มันก็เป็นไปได้ว่า
    เราจะสามารถบันทึกภาพอื่นๆลงไปในพื้นที่เดียวกันของฟิล์มแผ่นนี้ได้ด้วย

    เคยมีการประมาณการกันเอาไว้ว่าพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตรของแผ่นฟิล์ม
    สามารถที่จะเก็บข้อมูลได้มากถึง 1 หมื่นบิตส์เลยทีเดียว
     
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอนที่ 9:


    ความสามารถที่แปลกประหลาดจนไม่สามารถอธิบายได้ของพวกเรา
    ที่สามารถเรียกเอาข้อมูลอะไรก็ตาม ที่ต้องการ ออกมาดูได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
    ท่ามกลางข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในความทรงจำของเราจำนวนมากมายมหาศาลนั้น
    ตอนนี้ เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ถ้าสมองทำงานบนหลักการณ์ของโฮโลแกรมอยู่จริง

    ถ้ามีเพื่อนมาถามคุณว่า คุณคิดถึงอะไรถ้าได้ยินคำว่า “ม้าลาย” คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลา
    เข้าไปค้นหาข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ถูกจัดเก็บเป็นไฟล์ไว้ในสมองของคุณก่อนเลย
    เพื่อให้ได้คำตอบนั้นมา เพราะว่ามันจะมีความคิดเชื่อมโยงต่างๆผุดขึ้นมาในหัวคุณในทันทีทันใดนั้น
    เช่น คำว่า “แถบลายๆ” หรือ “เหมือนกับม้า” หรือ “สัตว์พื้นเมืองในทวีปแอฟริกา” เป็นต้น


    อันที่จริงแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดเกี่ยวกับกระบวนการคิดของมนุษย์
    ก็คือ ทุกๆส่วนของข้อมูล ดูเหมือนว่ามันจะมีความเกี่ยวข้อง
    และเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่อย่างทันทีทันใด
    ซึ่งนี่ก็คือลักษณะเฉพาะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของภาพโฮโลแกรมหละ

    เพราะว่าทุกๆส่วนของภาพโอโลแกรม ก็มีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่
    แบบไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
    หรือว่านี่คือตัวอย่างอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
    ที่ต้องการแสดงให้เราเห็นถึง “ระบบความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน”

    เรื่องเกี่ยวกับการเก็บความทรงจำที่ว่านี้ ไม่ใช่ปริศนาด้านประสาทสรีรวิทยาเพียงปริศนาเดียว
    ที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้มากขึ้น โดยใช้แบบจำลองของ Pribram ที่ว่าสมองคือโฮโลแกรมเท่านั้น
    เพราะว่าปริศนาอีกข้อหนึ่งที่สามารถอธิบายได้โดยแบบจำลองนี้ก็คือ

    เรื่อง สมองสามารถแปลสัญญาณคลื่นความถี่ที่ทะลักทะลายเข้ามามากมายผ่านทางประสาทสัมผัสต่างๆ
    (เช่น คลื่นแสง, คลื่นเสียง และอื่นๆ) ให้ไปเป็นการรับรู้ของเรา ภายในโลกที่เป็นรูปธรรมนี้ได้อย่างไร

    “การเข้ารหัส” และ “การถอดรหัส” คลื่นความถี่ นั่นแหละคือสิ่งที่โฮโลแกรมทำได้ดีที่สุดหละ
    มันเหมือนกับว่าโฮโลแกรมทำตัวเหมือนเป็นเลนส์ชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คืออุปกรณ์ในการแปลข้อมูล
    ที่สามารถแปลสัญญาณคลื่นความถี่ที่เบลอๆ และดูเหมือนว่าจะไม่มีความหมายอะไรเลย
    ให้ออกมาเป็นภาพที่สอดคล้องกันได้

    Pribram เชื่อว่าสมองก็ประกอบด้วยเลนส์แบบนี้เหมือนกัน
    และก็ใช้หลักการณ์ของภาพโฮโลแกรมนี้
    ในการแปลงสัญญาณทางคณิตศาสตร์ของคลื่นความถี่
    ที่มันได้รับมาผ่านทางประสาทสัมผัสทั้งหลาย
    ให้กลายไปเป็นโลกแห่งการรับรู้ภายในของเราเองเหมือนกัน

    หลักฐานที่น่าประทับใจชิ้นหนึ่งชี้ว่า สมองทำงานโดยใช้หลักการณ์ของภาพโฮโลแกรม
    อันที่จริงแล้ว ทฤษฎีของ Pribram กำลังได้รับการสนับสนุน
    จากบรรดานักประสาทสรีรวิทยาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอยู่
    ตอนที่ 10:

    นักวิจัยชาวอาร์เจนตินา-อิตาเลี่ยน ชื่อ Hugo Zucarelli
    ได้ขยายขอบเขตการทำงานของแบบจำลองโฮโลแกรมนี้ไปสู่พฤติกรรมด้านเสียงด้วย
    ปริศนามันมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์สามารถระบุที่มาของเสียงต่างๆได้อย่างไร
    โดยที่ไม่ต้องขยับศรีษะไปไหนเลย (แม้แต่ตอนที่พวกเขาฟังด้วยหูเพียงข้างเดียวก็ตาม)

    Zucarelli ได้ค้นพบว่าหลักการณ์ของโฮโลแกรมนี้
    สามารถนำมาใช้อธิบายความสามารถนี้ได้

    นอกจากนี้ Zucarelli ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีด้าน “holophonic sound” ขึ้นมาอีกด้วย
    ซึ่งมันก็คือเทคนิกในการบันทึกเสียง ที่สามารถเลียนแบบสถานการณ์ต่างๆได้เหมือนจริงมากๆจนแทบไม่น่าเชื่อ

    (หมายเหตุ: ข้างล่างนี้ เป็นตัวอย่างของไฟล์เสียง Holophobic sound
    ที่เลียนแบบเสียงใกล้ - ไกล, ด้านซ้าย – ด้านขวา และอื่นๆ ได้เหมือนมาก
    ซึ่งผู้บรรยายอธิบายว่า สิ่งที่ทำให้เราได้ยินว่าเสียงมันมาจากทางนั้นทางนี้
    ก็คือสมองของเราเองนั่นเอง ทั้งๆที่จริงแล้ว เสียงมันแค่ถูกทำให้มีความแตกต่างกัน
    ในด้านความถี่เท่านั้นเอง

    ลองฟังกันดูนะครับ แต่ต้องใช้หูฟังด้วยนะ เสียงถึงจะคมชัดครับ – ผู้แปล)

    Holophonic Audio Illusions - YouTube

    http://www.youtube.com/watch?v=U ... e=player_embedded#!

     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอนที่ 11:

    Pribram มีความเชื่อว่าสมองของคนเรา คือผู้คิดคำนวณและสร้างโลกแห่งความเป็นจริง
    ในแบบที่เป็นของแข็งและจับต้องได้แบบนี้ขึ้นมา โดยขึ้นอยู่กับ Input ที่ป้อนเข้ามา
    จากขอบเขตของความถี่นั้นๆ ซึ่งแนวความเชื่อนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
    และมีผลการทดลองสนับสนุนมากมายด้วยเช่นเดียวกัน

    เช่น มีการค้นพบว่าประสาทสัมผัสของคนเราแต่ละอย่าง
    มีความไวต่อช่วงคลื่นความถี่มากกว่าที่พวกเราเคยเข้าใจกันมากมายนัก
    ตัวอย่างเช่น นักวิจัยหลายคนได้ค้นพบว่าระบบการมองเห็นของคนเรา
    มีความไวต่อคลื่นความถี่ของเสียงด้วย,
    และระบบการรับกลิ่นของคนเราส่วนหนึ่ง
    ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตอนนี้ถูกเรียกว่า “คลื่นความถี่เอกภพ” ด้วย,
    และมีการค้นพบว่า แม้แต่เซลในร่างกายของคนเรา
    ก็ยังมีความไวต่อคลื่นความถี่ในช่วงที่กว้างด้วย


    การค้นพบเหล่านี้ชี้บ่งว่า มีเพียงในขอบเขตของโฮโลแกรม
    ของความตระหนักรู้เท่านั้น ที่คลื่นความถี่เหล่านี้
    จะถูกคัดแยกออกมา และถูกแบ่งแยกออกมาเป็นส่วนที่เราจะรับรู้ได้ตามปกติ

    (สรุปว่าความตระหนักรู้ของคนเรา คือตัวคัดกรอง, คัดแยก และตัดแบ่งคลื่นความถี่ออกมา
    เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบการรับรู้ตามปกติของเรา เท่าที่ขอบเขตโฮโลแกรมของมันจะยินยอมได้
    แม้ว่าจริงๆแล้วประสาทสัมผัสของคนเรา จะสามารถรับคลื่นความถี่
    ในช่วงที่กว้างกว่าที่เราสามารถ “รับรู้” ได้นั้นมากมายนักก็ตาม – ผู้แปล)
    ตอนที่ 12:


    แต่คุณสมบัติที่ทำให้งุนงงมากที่สุดของแบบจำลองโฮโลแกรมของสมองของ Pribram
    ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมันถูกนำมารวมเข้าด้วยกันกับทฤษฎีของ Bohm!

    เพราะว่าถ้าความเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ของโลกใบนี้
    เป็นแค่โลกแห่งความเป็นจริงชั้นรองเท่านั้นหละ?
    และถ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกใบนี้
    จริงๆแล้วพวกมันก็คือภาพโฮโลแกรมที่เบลอๆของคลื่นความถี่ต่างๆเท่านั้นหละ?

    และถ้าสมองก็คือโฮโลแกรมอย่างหนึ่งด้วยหละ?
    ที่ทำหน้าที่คัดเลือกช่วงคลื่นความถี่แค่บางคลื่นออกมาจากภาพเบลอๆที่ว่านี้
    แล้วแปลงพวกมันโดยอาศัยหลักการด้านคณิตศาสตร์
    ไปเป็นการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของเราหละ?

    แล้วอะไรหละคือ “โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพนี้” ?

    คำตอบมันค่อนข้างง่าย คือ.. “มันก็ไม่มีอยู่จริงหนะสิ”

    ก็อย่างที่ศาสนาทางซีกโลกตะวันออกทั้งหลายได้พร่ำสอนกันมานานแล้วว่า

    “โลกนี้คือมายา” ไง!

    และแม้ว่าพวกเราอาจจะคิดว่าพวกเราคือสิ่งมีชีวิตทางกายภาพ
    ที่กำลังไปไหนมาไหนอยู่ในโลกทางกายภาพใบนี้อยู่ก็เถอะ

    ..นี่ก็ด้วย..มันคือมายา..


    จริงๆแล้วพวกเราคือ “ตัวรับสัญญาณ” ที่กำลังล่องลอย
    อยู่ในท้องทะเลคาลิโดสโคปแห่งคลื่นความถี่
    (Kaleidoscopic sea of frequency)


    และสิ่งที่เราแบ่งรับเอามาจากทะเลนี้ และแปลงรูปมันไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของเรา
    ก็เป็นแค่ช่องสัญญาณเพียงช่องเดียว ท่ามกลางช่องสัญญาณจำนวนมากมาย
    ที่มีอยู่ในซูเปอร์โฮโลแกรมนี้เท่านั้นเอง

    (หมายเหตุ: Kaleidoscope คือ กล้องภาพลวงตาที่เกิดจากการสะท้อนภาพ
    ของแผ่นกระจกหลายแผ่นประกบกันในกล้อง – ผู้แปล)
     
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอนที่ 13:

    การปะติดปะต่อเรื่องราวของ Bohm และทัศนคติของ Pribram
    ได้นำไปสู่ภาพลักษณ์ใหม่ของโลกแห่งความเป็นจริง
    และได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า

    “กระบวนทัศน์แห่งภาพโฮโลแกรม” (Holographic paradigm)

    และแม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์หลายคน ให้การต้อนรับมันแบบทั้งๆที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ก็ตาม
    แต่มันก็ได้ช่วยไปกระตุ้นนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆที่เหลือด้วย

    กลุ่มของนักวิจัยเล็กๆแต่กำลังเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆกลุ่มหนึ่ง
    เชื่อกันว่ามันอาจจะเป็นแบบจำลองที่ถูกต้องมากที่สุด
    เท่าที่เคยมีมา ของวิทยาศาสตร์แห่งความเป็นจริง (reality science) ก็ได้

    ยิ่งกว่านั้น บางคนยังเชื่ออีกว่า มันอาจจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความลึกลับบางอย่าง
    ที่ยังไม่เคยมีใครอธิบายได้ด้วยหลักการณ์ทางวิทยาศาสตร์มาก่อนก็ได้
    และมันอาจจะช่วยให้เราสามารถสถาปนาเรื่องที่เป็นปาฏิหาริย์ (paranormal) ทั้งหลาย
    ให้เป็นส่วนหนึ่งของ “ธรรมชาติ” ก็ได้

    มีนักวิจัยมากมาย ซึ่งรวมถึง Bohm และ Pribram ด้วย ที่ระบุว่า
    ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติด้านจิตทั้งหลาย ตอนนี้สามารถเข้าใจได้มากขึ้นแล้ว
    เมื่ออธิบายด้วย “กระบวนทัศน์แห่งภาพโฮโลแกรม”

    เพราะว่าในจักรวาลแห่งนี้ สมองของมนุษย์แต่ละคน แท้ที่จริงแล้ว
    คือส่วนที่ไม่อาจแยกขาดจากส่วนของโฮโลแกรมที่ใหญ่กว่าได้

    และเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    ล้วนมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    ดังนั้น การสื่อสารทางโทรจิต จึงอาจจะเป็นแค่การเข้าไปรับรู้ข้อมูล
    ที่อยู่ในระดับโฮโลแกรมนั้นเฉยๆก็ได้


    มันจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามาก ที่จะเข้าใจว่า ข้อมูลข่าวสาร
    สามารถเดินทางจากจิตใจของคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่งได้อย่างไร
    ในระยะทางที่ห่างกันปานนั้น และมันยังช่วยให้เราเข้าใจปริศนาหลายๆข้อ
    ที่เกี่ยวกับด้านจิตวิทยา ที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Stansilov Grof รู้สึกว่า “กระบวนทัศน์แห่งภาพโฮโลแกรม” นี้
    ช่วยให้เกิดความเข้าใจในปรากฎการณ์ที่ทำให้งุนงงหลายอย่าง
    ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ใน “สภาวะที่ความตระหนักรู้ถูกปรับเปลี่ยน”
    (altered states of consciousness) ด้วย
    ตัวอย่างของคนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผลการค้นพบของนาย Aspect ก็คือ
    นาย David Bohm จากมหาวิทยาลัยแห่งลอนดอน เขาเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้
    มันแสดงให้เห็นว่า “โลกแห่งวัตถุธาตุ” (Objective reality) “ไม่มีอยู่จริง”
    เพราะว่า ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนว่าเป็นของแข็งๆและทึบตันก็ตาม
    แต่แก่นแท้ของจักรวาลแล้วก็คือ “ภาพลวงตา” หรือจักรวาลทั้งจักรวาลนี้
    ก็คือ “ภาพโฮโลแกรมสามมิติ” ขนาดใหญ่อันหนึ่ง
    ที่ถูกใส่รายละเอียดเอาไว้อย่างวิเศษและยอดเยี่ยมมากๆนั่นเอง


    อ่านแล้วก็ทำให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าในทันใดที่ว่า "ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมตทั้งสิ้น" เล่นเอาทึ่งไปเลยที่วิทยาศาสตร์ เพิ่งจะค้นพบสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบมานานกว่า 2600 ปี (ถ้านับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆนี้ ก็เป็นหลายกัปหลายกัลป์มาแล้ว)
    -----------------------------------------
    ขอบคุณมากๆ สำหรับเรื่องราวดีๆ อย่างนี้ ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ยิ่งทึ่งยิ่งมหาศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น
    ถ้ามีบทความดีๆ อย่างนี้อีก ช่วงแปลและนำมาลงให้อีกนะคะ จะคอยติดตามค่ะ

    ขอบคุณ คุณชยุตมากๆอีกครั้งหนึ่งนะคะ
    ที่แปลบทความที่เยี่ยมยอดแบบนี้มาให้เราๆได้อ่านกัน
    ว่าแล้วก็นึกถึงประโยคนี้เลยค่ะ
    "รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป"

    ขอบคุณครับพี่ มันตรงกับบทสัมภาษณ์ของ Lacerta บทที่2 เลยครับ ที่เคยพูดไว้

    คำถาม: มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพลังที่เหนือธรรมชาติ,อย่างเช่นพลังแห่งความคิด[พลังจิต]ของคุณไหม?

    คำตอบ: มีสิก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง,คุณต้องรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของ sphere of influence{Feldraum} ฉันจะลองอธิบายดู...ขอเวลาคิดสักพัก...คุณจะต้องแยกความคิดของคุณออกจาก ภาพลวงของวัตถุที่คุณเห็นว่าเป็นธรรมชาติของจักรวาล,มันเป็นเหมือนแค่ผิว หน้าจินตนาการว่าตัวคุณและวัตถุต่างๆ ที่อยู่ตรงนี้-คุณ, โต๊ะตัวนี้, ดินสอด้ามนี้, อุปกรณ์ทางเทคนิคนี้, กระดาษแผ่นนี้- มันไม่มีอยู่จริง, แต่มันเป็นแค่ผลของการเปลี่ยนไปมาอย่างคงที่ของพลังงาน[oscillation] และความเข้มข้นของพลังงาน วัตถุทุกๆ ขิ้นที่คุณเห็น, สัตว์ทุกๆ ตัว, ดาวเคราะห์และดวงดาวทุกดวงในจักรวาล,ต่างก็มี "information-energy equivalent[การเท่ากันของพลังงานที่เป็นข้อมูล?]" ใน sphere of influence ที่อยู่ในพลังงานหลัก-ระดับที่ปกติ{ของสิ่งของ}เหมือนกันซึ่งระดับพลังงาน นี้ไม่มีแค่ระดับเดียว,แต่มีหลายๆ ระดับครั้งที่แล้ว,ฉันได้พูดถึงเผ่าพันธุ์ที่มีการพัฒนาสูงมากที่ซึ่งสามารถ เปลี่ยนระดับ(ที่ซึ่งบางทีทำให้เป็นไปโดยสิ้นเชิง,จาก bubbles ที่เป็นส่วนหนึ่งและทุกๆส่อนของทุกระดับชั้น) คุณเข้าใจหรือเปล่า? มิติ,ตามที่คุณเรียกอย่างนั้น,เป็นส่วนนึงของ bubble ที่อยู่โดดๆ, bubbles หรือ foam[ฟอง] ของจักรวาลเป็นส่วนนึงของระดับๆนึง,และมีหลายระดับอยู่ใน sphere of influence, โดยที่ sphere of influence ทำหน้าที่เหมือนส่วนบรรจุข้อมูลทางกายภาพที่มีขนาดเป็นอนันต์; มันประกอบด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล-ข้อมูลนั้นก็คือระดับชั้นของพลังงานและ ระดับปกติมันมีระดับพลังงานหลายชั้นมากใน sphere of influence; ที่เหมือนกัน, แต่ว่าต่างกันตรงสภาวะทางพลังงานของพวกมัน ฉันคิดว่าคุณคงสับสนแล้วล่ะตอนนี้ฉันคิดว่าควรจะหยุดอธิบายแต่เพียงเท่านี้
    อมายืนยันอีกคน ช่วงที่ปฎิบัติได้ดี เคยไปดูรายละเอียดมาก่อนที่จะได้อ่านเรื่อง Lacerta ถึงกับอึ้งไปพักเหมือนกันว่าสิ่งที่เราไปเห็นมามันของจริง !!! พูดแล้วมันก็ยากจะทำใจเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้น เอาเป็นว่าลักษณะที่ มนตด. เขาพยายามจะอธิบายให้มนุษย์เราๆ ท่านทราบกันนั้นมันซับซ้อนเกินกว่าภาษามนุษย์จะอธิบายจริงๆ ผมเองเคยพยายามถ่ายทอดให้กับน้องๆ ที่สงสัยฟัง ก็ใช้เวลาไปกว่า 3 ชม. ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ถ่ายทอดไปมันยังไม่หมดไม่ครบกับที่ไปเห็นมาจริงๆ สักที

    ก็ได้แต่แนะนำให้ลองปฎิบัติสมาธิจนถึงระดับนึงแล้วอธิษฐานจิตขอบารมีพระไปดู ในส่วนนั้นกันเอง แต่ก็อย่างว่าใครมันจะอยากรู้เพียงพอที่จะสละเวลาและการกระทำไปกระทำแบบนั้น เพราะถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ ก็คงจะเลิกกันไปก่อนทำได้ผล

    ขอทิ้งเรื่องที่เห็นมาคราวๆ นะครับ ที่นักวิทยาศาสตร์เรากำลังคิดนั้นถูกทางแล้ว แต่ขอบอกนั่นแค่เปลือกนอกสุดๆ เลยนะครับ ของกระบวนการอันซับซ้อนของเอกภพ ยังมีเรื่องของสิ่งที่ในความเข้าใจเราอาจจะเรียกว่ามิติ แต่เป็นการแบ่งชั้นออกตามระดับของพลังงาน ซึ่งจะมีชั้นนึงที่โดดเด่นที่สุดคือชั้นรอยต่อของพลังงานในรูปแบบรูปธรรม เชื่อมต่อกับพลังงานในรูปแบบนามธรรม ซึ่งจุดนี้ถ้ามองกันด้วยจิตแล้ว จะไม่สามารถอธิบายเห็นเป็นรูปร่างได้ แต่สามารถจะเปรียบเทียบเป็นอุปมาแทนได้ เหมือนกับรูปร่างของอากาศ กับความว่างเปล่าของอวกาศที่ไม่สามารถใช้คลื่นแสงเป็นตัวรับข้อมูลรูปร่าง ได้ ต้องใช้การวัดจากระบบปิดภายนอกอื่นๆ อีกที อันนี้แค่ยกมาให้คิดต่อกันเล่นๆ นะครับ
    __________________
    มีเมตตาอยู่ในจิต เยือกเย็นเป็นนิจ ชีวิตไม่มีอะไร แค่เล่นไปตามบท จุดจบก็แค่ตาย สุดท้ายก็เสมอแท้จิตเดียวกัน
     
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ยังไงก็ช่วยอนุรักษ์ภาษาไทยให้ถูกต้องด้วยนะครับ เว้น วรรคแยกคำขนาดนี้ใช้กับภาษาต่างชาติส่วนมากนะครับ เดี๋ยวรุ่นลูกหลานเราจะนำไปใช้กันจนไม่รู้ว่าภาษาแม่ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เข้าใจว่าเป็นการทำให้คนอ่านง่ายขึ้น หรือไม่ก็เป็นการแสดงเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่มันเป็นผลเสียโดยที่เราคิดไม่ถึงกันนะครับ ช่วยๆ กันหน่อย

    เรื่องโครงสร้างจริงๆ ของเอกภพทั้งหมด โดยพื้นฐานจะอยู่บนความไม่แน่นอนเสมอในทุกๆ จุด คือหมายความว่าในทุกๆ นามความหมายที่จะถูกถ่ายทอดออกมาในภาพลักษณ์ที่เป็นวัตถุธาตุหรือถ้าคำสมัย นี้น่าจะเรียกได้ชัดเจนกว่าก็คือข้อมูล

    สิ่งเหล่านี้จะถูกตั้งบนพื้นฐานใหญ่สุดคือความถี่(ลักษณะการเกิดแบบมีวนรอบ ซ้ำไปซ้ำมา) ความถี่ต่างๆ เหล่านี้เริ่มแรกสุดจะเป็นความถี่สัมบูรณ์คือมีการแกว่งต่ำมาก จนในความเข้าใจเราเห็นว่ามันไม่แกว่ง นั่นคือ สภาวะคู่ คือต่อให้เอกภพจะซับซ้อนขนาดไหน มันจะคงคุณลักษณะเดิมของมันตั้งแต่ต้นไว้เสมอ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ค้นพบเรื่องความเหมือนภาพโฮโลแกรม

    สิ่งเหล่านี้เป็นกุญแจดอกแรกๆ ที่เราต้องเปลี่ยนความคิดความเชื่อในสิ่งที่เราสัมผัสเสียใหม่หมด ถ้าเราอยากจะเข้าใจพื้นฐานที่ละเอียดไปกว่านี้ได้ ก็ต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจมูลฐานนี้แต่แรกในการค้นคว้า

    ถ้าจะมีรูปแบบใดที่พอจะอธิบายความซับซ้อนของเอกภพนี้ได้ชัดเจนที่สุด ให้ลองศึกษาเรื่องการเขียนโปรแกรมแบบ OOP กันดูนะครับ จะเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานและการทำงานที่เป็นระบบ ไม่ต้องศึกษาถึงกับเขียนโปรแกรมจนเก่งหรอกนะครับ เพราะพื้นฐานการออกแบบระบบเหล่านี้ถูกสร้างบนภาพจำลองทางความคิดของจิตเป็น พื้นฐาน ซึ่งที่น่าอัศจรรย์ก็ตรงที่มันเป็นพื้นฐานเดียวกับที่จิตสร้างเอกภพนี้เกิด ขึ้น ต่างกันที่รูปแบบและวิธีการเท่านั้น !!!
    __________________
    มีเมตตาอยู่ในจิต เยือกเย็นเป็นนิจ ชีวิตไม่มีอะไร แค่เล่นไปตามบท จุดจบก็แค่ตาย สุดท้ายก็เสมอแท้จิตเดียวกัน
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    จุดประสงค์ใหญ่ของการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ก็คือ การนำส่วนต่าง ๆ ของวัตถุที่สร้างขึ้นกลับมาใช้ใหม่หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า “Reuse” เมื่อผู้เขียนโปรแกรมสร้างวัตถุมีจำนวนมากพอก็สามารถนำวัตถุที่สร้างขึ้นมา ประกอบเป็นวัตถุใหม่ หรือที่เรียกว่าคอมโพสิตชั่น “Composition”
    นอกจากวิธีการคอมโพสิตแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถ Reuse ส่วนของวัตถุโดยการใช้การสืบทอดคุณสมบัติ (Inheritance) จากคลาส ลักษณะเช่นนี้ คือ เป็นการนำส่วนของวัตถุทั้งหมดมาใช้ ซึ่งปกติแล้ววัตถุที่นำมาใช้ในลักษณะนี้จะมีขนาดใหญ่ ถ้าเป็นการคอมโพสิตจะประกอบขึ้นจากส่วนของวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่า อย่างไรก็ตาม ขนาดของวัตถุมิได้เป็นตัวกำหนดที่แน่นอนตายตัวเสมอไป
    การพ้องรูป (Polymorphism)
    รากฐานของการพ้องรูป (Polymorphism) ก็คือ การถ่ายทอดคุณสมบัติ เพราะถ้าไม่มีการถ่ายทอดคุณสมบัติก็จะไม่เกิดสภาวะการพ้องรูป การถ่ายทอดคุณสมบัติเป็นเครื่องมือยืนยันได้ว่าคลาสลูกที่เกิดจากคลาสแม่ เดียวกันย่อมมีคุณสมบัติเหมือนกัน
    การเขียนโปรแกรมและการออกแบบระบบงาน
    ก่อนที่ผู้เขียนโปรแกรมจะสามารถเขียนคำสั่งได้ จะต้องมีการออกแบบระบบงานก่อนแล้วจึงเขียนโปรแกรมเป็นภาษาต่าง ๆ ตามชนิดของงานและความเหมาะสม การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุก็เช่นกัน ตะต้องมีการออกแบบระบบงานก่อน หลักสำคัญสำหรับการออกแบบเชิงวัตถุ ก็คือ การหาวัตถุให้พบ เมื่อพบแล้วจะต้องจำแนกวัตถุออกเป็นส่วนที่เปลี่ยนแปลงและส่วนที่อยู่คงที่ วัตถุที่ไม่เปลี่ยนแปลงสามารถนำไปใช้ได้เมื่อมีการปรับปรุงระบบงานใหม่ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ต้องมีการออกแบบระบบงาน วัตถุที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยก็ได้แก่ วัตถุที่ทำหน้าที่เป็นอินเตอร์เฟส เป็นต้น

    อ้างอิงจากเว็ปไซต์ บทที่ 1 แนะนำการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุคุณ GenerationXXX ยกหลักการ OOP มาทั้งดุ้นเลย กลัวคนจะอ่านแล้วงงจริงๆ ขอสรุปง่ายๆ ตามที่ผมเข้าใจแล้วกัน

    OOP ก็คือหลักการเขียนโปรแกรมแบบหนึ่ง โดยจะมองสิ่งต่างๆ เป็นวัตถุ เช่น ถ้าจะเขียนโปรแกรมเครื่องคิดเลขมาโปรแกรมนึง ก็จะมองว่าโปรแกรมเครื่องคิดเลขเป็นวัตถุชิ้นนึง ถ้าเป็นสมัยก่อนเราจะมองแค่ว่าโปรแกรมเครื่องคิดเลขจะมีแค่ function ในการบวก ลบ คูณ หาร แล้วก็มีส่วนให้ใส่ตัวเลขมาคำนวณ แต่ OOP จะมองว่าเป็น Object เครื่องคิดเลข แล้วเครื่องคิดเลขนี้ก็จะมี method บวก ลบ คูณ หาร

    และก็มีหลักการอยู่ 3 อย่างคือ Encapsulation, Inheritance และ Polymorphism

    Encapsulation ก็เหมือนแคปซูลยาที่มีตัวยาอยู่ข้างใน ซึ่งเราไม่ต้องรู้ว่ามันมียาอะไรบ้าง โปรแกรมเครื่องคิดเลขเราก็จะมีตัวแปรไว้เก็บค่าตัวเลขที่คนใช้ใส่ค่าเข้ามา เก็บไว้เพื่อเอาไว้คำนวณ แต่เราไม่ต้องรู้หรอกว่าตัวแปรเหล่านั้นมันชื่ออะไรบ้าง

    Inheritance ก็คือการสืบทอด Object เราสามารถสร้าง Object ใหม่ที่เหมือนกับ Object เดิมได้ โดยมีตัวแปร มี method เหมือนกันหมด และ Object ที่สร้างใหม่เราก็สามารถเพิ่มเติม method หรือตัวแปรเข้าไปได้อีกด้วย เช่นว่า เราต้องการที่จะสร้าง method ถอดรูท แต่ Object เครื่องคิดเลขมีแต่ บวก ลบ คูณ หาร เราก็สามารถสร้าง Object ใหม่ที่สืบทอดมาจาก Object เครื่องคิดเลขเดิมแล้วเพิ่ม method ถอดรูทเข้าไปได้

    Polymorphism ก็คือว่าเราสามารถปรับการทำงานใน method ของ Object ใหม่ที่ inherite มาจาก Object หลักได้ เช่น มี Object ที่ชื่อว่าเครื่องยนต์อยู่ แล้วมี method ที่ชื่อว่า ขับเคลื่อน เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนให้รถเคลื่อนที่ ทีนี้เครื่องยนต์มีอยู่หลายแบบ แต่ละแบบมันก็ทำงานต่างกันไป เครื่องยนต์ 2 จังหวะก็ทำงานแบบนึง เครื่อง 4 จังหวะก็ทำงานแบบนึง แต่ผลลัพธ์มันก็เหมือนกันคือขับเคลื่อนให้รถเคลื่อนที่ ทีนี้ก็จะมี Object 2 ตัวที่ inherite มาจาก Object เครื่องยนต์คือ Object เครื่อง 2 จังหวะ กับ Object เครื่อง 4 จังหวะ ทั้งสอง 2 Object นี้ก็จะมี method ขับเคลื่อน เหมือนกัน แต่รายละเอียดการทำงานใน method จะไม่เหมือนกัน เป็นต้น

    ประมาณนี้แหล่ะ ว่าจะเขียนสั้นๆ กลับมายาวได้
     
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    ในช่วงปี 1950 ในขณะที่กำลังทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการใช้ตัวยา LSD ในการบำบัดทางจิตอยู่นั้น
    Stanilov Grof ก็พบว่า มีผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งของเขา ที่อยู่ๆก็มีอาการเชื่อว่า
    เธอเคยเกิดเป็นสัตว์เลื้อยคลานยุคดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์เพศเมียตัวหนึ่งมาก่อน
    ซึ่งในระหว่างที่เธอกำลังเกิดภาพหลอนอยู่นั้น เธอไม่เพียงแต่จะบอกรายละเอียดของความรู้สึก
    ที่กำลังอยู่ในร่างของสัตว์ตัวนั้นได้อย่างน่าทึ่งเท่านั้น แต่เธอยังบอกถูกอีกด้วยว่า
    ส่วนหนึ่งของสรีระของเพศชายของสัตว์พันธุ์นั้น ก็คือแผงเกล็ดที่มีสีสันต่างๆที่อยู่ด้านข้างของหัวของมัน

    สิ่งที่ทำให้ Grof งุงงงก็คือ แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย
    แต่จากการสนทนากับนักสัตวศาสตร์คนหนึ่งในภายหลัง ก็ได้รับการยืนยันว่า สำหรับสัตว์เลื้อยคลานบางสายพันธุ์แล้ว
    ส่วนที่มีสีสันฉูดฉาดที่อยู่บนหัวของมันนั้น ก็มีความสำคัญต่อการกระตุ้นทางเพศอย่างมาก

    แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ผู้ป่วยเพียงรายเดียวที่มีประสบการณ์แบบนี้
    เพราะว่าในช่วงระหว่างการศึกษาวิจัยของเขา Grof ได้พบกับตัวอย่างของผู้ป่วยอีกมากมาย
    ที่สามารถระลึกชาติย้อนกลับไปแบบนี้ได้ และแสดงออกว่าเคยเป็นสัตว์ต่างๆแบบนี้ด้วย
    จนเกือบจะครบทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่บนต้นไม้แห่งวิวัฒนาการเลยทีเดียว
    (ผลการวิจัยนี้ได้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดฉากหนึ่งของภาพยนต์เรื่อง Altered States
    ที่ชื่อตอนว่า “man-into-ape” ขึ้น)

    ยิ่งกว่านั้น เขายังพบอีกว่าประสบการณ์การระลึกชาติแบบนั้น บ่อยครั้งที่จะมีรายละเอียดด้านสัตวศาสตร์ที่คลุมเครือ
    จนขาดความความถูกไปก็มี

    แต่อย่างไรก็ตามปรากฎการณ์การระลึกชาติย้อนกลับไปสู่อาณาจักรสัตว์นี้ ก็ไม่ใช่ปริศนาเดียวด้านจิตวิทยา
    ที่นาย Grof เผชิญอยู่ เพราะว่าเขายังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ที่ดูเหมือนว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในอะไรซักอย่าง
    ที่เป็น “จิตไร้สำนึกร่วม” (collective unconscious) หรือ “จิตไร้สำนึกแห่งเชื้อชาติ” (racial unconscious)
    ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยมีการศึกษามาก่อนหรือมีแต่น้อยมาก
    กลับบอกรายละเอียดของการทำพิธีฝังศพของผู้ที่นับถือศาสนาโซโรเอสเตอร์ (Zoroastrian)
    ได้อย่างถูกต้อง และแบบปัจจุบันทันด่วนด้วย เช่นเดียวกับผู้ป่วยบางคน
    ที่สามารถบอกรายละเอียดของบางฉากบางตอน ของตำนานลึกลับของชาวฮินดูได้อย่างถูกต้อง

    ส่วนประสบการณ์แบบอื่นๆก็เช่น ผู้ป่วยบางราย ก็สามารถเล่าถึงประสบการณ์

    ในขณะที่อยู่นอกกายเนื้อได้อย่างน่าเชื่อถืออย่างมาก
    หรือไม่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์บางอย่างที่จะเกิดในอนาคตได้
    หรือไม่ก็สามารถระลึกชาติย้อนกลับไปสู่อดีตชาติบางภพชาติได้

    ในช่วงหลังของการวิจัยนี้ Grof ยังพบว่า ปรากฎการณ์แบบเดียวกันนี้

    สามารถเกิดขึ้นได้กับวิธีการบำบัดแบบที่ไม่ได้ใช้ยาช่วยอีกด้วย

    และเพราะว่าสาระสำคัญที่เหมือนๆกันของประสบการณ์เหล่านี้ก็คือ

    มันเหมือนกับว่าเป็นการทะลุผ่านหรือข้ามผ่านลงไปในจิตสำนึกของคนๆนั้น
    ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตปกติของ ego และ/หรือข้อจำกัดของช่องว่างและกาลเวลา

    ดังนั้น Grof จึงเรียกปรากฎการณ์แบบนี้ว่า
    “ประสบการณ์เหนือตน” (transpersonal experience)

    และในราวๆปลายทศวรรษที่ 60 เขาก็ได้ช่วยสถาปนาสาขาหนึ่งของวิชาจิตวิทยาขึ้นมา
    และตั้งชื่อว่า สาขาจิตวิทยาเหนือตน (Transpersonal Psychology) เพื่ออุทิศให้กับการศึกษาของพวกเขาทั้งหมด
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอนที่ 15:

    แม้ว่าสมาคมจิตวิทยาเหนือตนที่ Grof เพิ่งช่วยสถาปนาขึ้นมาใหม่นี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความคิดคล้ายๆกัน
    เข้ามารวมกลุ่มกันจนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม และจนกลายเป็นสาขาทางจิตวิทยาสาขาหนึ่ง
    ที่ได้รับการนับถือกันมากก็ตาม แต่จนเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ทั้ง Grof และเพื่อนร่วมงานของเขา
    ต่างก็ยังไม่มีใครสามารถที่จะอธิบายกลไกในการเกิดของปรากฎการณ์ทางจิตที่แปลกประหลาดเหล่านี้ได้เลย

    แต่แล้ว..สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อกระบวนทัศน์ของภาพโฮโลแกรมปรากฎตัวขึ้น

    อย่างที่ Grof ได้กล่าวไว้เมื่อเร็วๆนี้ว่า

    “ถ้าจิตใจเป็นส่วนหนึ่งของห้วงแห่งปรมัตถ์ (continuum) จริงๆแล้ว

    ถ้าเช่นนั้น เขาวงกตอันนี้ มันก็ต้องเชื่อมโยงไปทั่วหนะสิ
    และไม่ใช่จะเชื่อมโยงแต่เฉพาะกับจิตใจทุกๆดวงที่มีอยู่หรือกำลังมีอยู่นี้เท่านั้นด้วย
    แต่ยังจะเชื่อมโยงกับทุกๆอะตอม,กับสิ่งมีชีวิตทุกๆชนิด
    และกับทุกๆบริเวณที่อยู่ภายในห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
    และเชื่อมโยงกับกาลเวลาเองอีกด้วย

    ดังนั้น ความจริงที่ว่า มันเป็นไปได้ที่จะรุกล้ำเข้าไปในเขาวงกตนี้ได้เป็นครั้งคราว

    และเกิดประสบการณ์เหนือตนแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว”



    กระบวนทัศน์แห่งโฮโลแกรมนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เก่าทั้งหลายในหลายด้านอีกด้วย
    เช่น วิชาชีววิทยา เป็นต้น นาย Keith Floyd นักจิตวิทยาแห่ง Virginia Intermont College ได้ชี้ให้เห็นว่า

    ถ้าความเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ของโลกแห่งความเป็นจริงที่เรารู้จักนี้
    มันไม่ใช่อะไรเลย แต่มันคือภาพสามมิติที่ลวงตาเราเท่านั้นหละ

    ดังนั้น มันก็จะไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว ถ้าจะกล่าวว่า

    “สมองคือผู้สร้างจิตสำนึกขึ้นมา” (brain produces consciousness)
    เพราะว่า “จิตสำนึกต่างหากหละ ที่เป็นผู้สร้างสมองขึ้นมา”

    ร่างกายเนื้อนี้ก็เหมือนกัน และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเรา

    ที่เราเข้าใจกันไปว่ามันคือวัตถุธาตุทางกายภาพนี้ก็เหมือนกัน
    ล้วนถูกจิตสำนึกสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น

    ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เกี่ยวกับวิธีการมองโครงสร้างทางชีวภาพต่างๆแบบนี้
    ได้ทำให้นักวิจัยทั้งหลาย หันมาจับตาดูว่า ยารักษาโรค และความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการบำบัดรักษาโรค
    ก็อาจจะถูกเปลี่ยนรูปแบบไปโดยกระบวนทัศน์ของโฮโลแกรมนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

    เพราะว่าถ้าโครงสร้างทางกายภาพทั้งหลายของร่างกายเนื้อนี้
    เป็นแค่ภาพสามมิติที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึกเท่านั้นหละ
    มันก็จะมีความชัดเจนขึ้นมาทันทีเลยว่า การที่สุขภาวะของพวกเราแต่ละคน
    จะเป็นอย่างไรนั้น มันขึ้นอยู่กับตัวพวกเราเองอย่างมาก
    มากกว่าที่แพทย์แผนปัจจุบันจะยอมรับซะอีก

    ดังนั้น สิ่งที่ตอนนี้พวกเราพากันมองว่ามันคือการหายป่วยแบบปาฏิหาริย์นั้น
    อันที่จริงแล้ว มันอาจจะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านจิตสำนึกของคนๆนั้นก็ได้
    ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโฮโลแกรมของร่างกายเนื้อของเขาขึ้นมาด้วย

    ในทำนองเดียวกัน วิธีการรักษาโรคแบบใหม่ๆทั้งหลาย ที่มักจะก่อให้เกิดการโต้แย้งอยู่เสมอ
    เช่น การสร้างมโนภาพ (Visualization) เป็นต้น
    จริงๆแล้ว มันอาจจะใช้ได้ผลเป็นอย่างดีก็ได้

    เพราะว่าในขอบเขตของภาพโฮโลแกรมแล้ว
    ภาพต่างๆที่ถูกจินตนาการขึ้นในความคิด
    ยังไงๆเสีย พวกมันก็มีความเป็นจริงไปไม่น้อยกว่า
    “โลกแห่งความเป็นจริง” ของเราหรอก

    ดังนั้น ตอนนี้ แม้แต่การมองเห็นนิมิต และประสบการณ์ที่เข้าข่าย
    “ไม่ปกติธรรมดา” ทั้งหลาย ก็สามารถที่จะอธิบายได้
    ด้วยกระบวนทัศน์ของโฮโลแกรมนี้แล้ว
     
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    อ.เจษครับ.....ที่อ.เจษ...สะหาความรู้ให้มาอ่านในมิติของความเป็นวิทยา ศาสตร์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง.....ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเราและ ร่างกาย.....อันเป็นแค่คลื่นความถี่
    สรรพสิ่งทุกอย่างมองไปก็เป้นคลื่นความถี่แต่แฝงมารูปของรูปตามจิตของ เรา......ท่านแม่ก็บอกว่าสวรรค์และนรกอยู่กันเป็นชั้นด้วยคลื่นความถี่ที่มา จากจิตของเรา......ท่านสอนเรื่องการสร้างสนามพลังในตนเองและจิตใจก็จะเกิด คลื่นความถี่ที่เป็นออร่า....ถ้าเราทำให้เข็มข้นจะเป้นกระป้องกันภัยใด้ครับ .......และเรื่องมิติต่างๆที่ก็สอนให้ฟังเสมอเหมือนกันครับแทนท่านในเชิง วิทยาศาสตร์บวกพุทธศาสตร์......แล้ววันนี้อ.เจษเอาเรื่องนี้มาลงให้อ่านอีก เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่ผมมากขึ้นอีก.....ผมจะได้นำไปพิจารณาเพื่อ ความถ่องแท้มากขึ้น
    ขอบพระคุณเป้นอย่างสูงครับ...[​IMG].....[​IMG]....
    ดีใจด้วยครับที่มีผู้อ่านได้นำไปเพิ่มความรู้ครับ
    --แม่อุมา พูดเรื่องความถี่ของระดับจิต ตอนผมอายุ 17 ปี เรียนมหาลัยปี1
    --คุณรุ้งครับ ปูฤาษีนารอท ได้ไปเข้าฝันบอกคุณแมวให้ซื้อเลขท้ายรถ-- รถมอไซค์คันนี้ผมนำมาจากพัทยา คือมีการแย่งกันไปมา แล้วเพื่อนโขมยไปอีก ตำรวจยึดได้ ไม่มีป้ายทะเบียน จึงเช็คเลขเครื่องกับคอมพิวเตอร์ได้(เช้ามาปู่ยังโทรต่อว่าคุณแมวอีก--คุณ แมวงง เคยเจอแต่กุมารเท่านั้น)
    --เลขทะเบียนเดิม คือ 312 (ออกรางวัลที่1 หลังจากมันนำมากคืนครั้งได้1 เดือน) และเปลี่ยนทะเบียนใหม่ เป็น 877 ครับ เป๊ะเลย แทบสลบกันเป็นแถว จอดอยู่ข้างถนน คนชี้กันใหญ่ แถมยังต้องซ่อมอีกรอบ--ไม่สะกิดใจ--(ถ้าไม่รู้จะเล่นอะไร มันจะมาแบบนี้ทันที ของใกล้ตัว เลขท้ายโทรศัพท์ รอบตัวผมทั้งนั้นครับ)

    --แต่ช่วงนี้ผมมีความสุขมาก เมื่อเช้าภรรยาฝันเห็นพระศิวะ "เรามาเริ่มชีวิตกันใหม่"ท่านพูด ตอนบ่าย ท่านพระศิวะได้มาคุยกับผมและพูดอีกครั้งหนึ่ง ท่านใจดีครับภาคนี้ (10 ปีเจอแค่3 ครั้ง )ท่านบอกว่าจะช่วย และทุกองค์จะช่วย เพียงแต่"ห้ามทะเลาะกัน" ผมก็อย่าบ่น เท่านั้นเอง
    --ตอนนี้ข้อมูลทางนี้มีเยอะเกินไป ช่วยอ่านไปก่อน ทางโน้นมีภาพเยอะเกินไปอีกตะหาก
    --วันนี้ได้ดาบ 1เล่ม มีดสองเล่ม ยินดีให้ท่านเป็นเจ้าของในราคาท้องตลาด ดูๆแล้วเหมือนมันจะขึั้นราคามาเท่าตัว ผมจึงได้รีบซื้อไว้ไง ตอนนี้มันยังมีในสต็อกบ้าง เวียนขายออกไป เดือนนี้น่าซื้อไว้ทันอีกรอบ มีดสวยจริงๆ คมเท่าคัตเตอร์ น้ำหนักดี เหมาะมือครับยี่ห้อนี้ ฝรั่งยังว่า"สุดยอด" สนใจ พีเอ็มมาได้ครับ(ไม่อยากมาขายของแต่เงินมันจม คิดว่าเป็นของขลังก็แล้วกัน อาจารย์เจษ เสกเป่าเองจ้า)


    [​IMG]

     
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    How To Time Travel

    <center> [​IMG] </center> How to time travel: Yes it is possible says David Wilcock. He and others reveal how the government has been covering up the construction of time machines - star gates as well as a Looking Glass device into the future.
    Does it sound like science fiction? is time travel possible?
    Yes - according to Wilcock. This is not a time travel theory. This is how to time travel.
    How to time time travel? David Wilcock explained it all at the Conscious Life Expo -08.
    But who is David Wilcock?
    <center> David Wilcock on: UFOs, 2012, Pineal Gland and
    How To Time Travel


    </center> [​IMG] David Wilcock is a professional lecturer, filmmaker and researcher of ancient civilizations, consciousness science, and new paradigms of matter and energy. His upcoming Hollywood film Convergence unveils the proof that all life on Earth is united in a field of consciousness, which affects our minds in fascinating ways.
    David is also the subject and co-author of the international bestseller, The Reincarnation of Edgar Cayce?, which explores the remarkable similarities between David and Edgar, features many of David's most inspiring psychic readings, and reveals documented NASA scientific proof of interplanetary climate change and how it directly impacts our DNA.
    He has read an enormous amount of books and interviewed like minded people on different subjects relating to parapsychology, UFOs, EPS, medium, ancient civilizations, consciousness science, matter and energy and how to time travel.
    Already at the age of 7, David read his first full-length adult paperback book about ESP, entitled How to Make ESP Work for You, by Harold Sherman. He conducted successful telepathic experiments with his friends, and demonstrated repeated psychic accuracy while still in second grade, culminating in a classroom demonstration of his abilities.
    He is like a walking, talking encyclopedia.
    He has also done extensive research into the 2012 phenomenon. In the last few years he has received information from insiders in Pentagon, the NSA and people working with the Roswell crash giving him evidence that time travel is real. How to time travel is no longer a mystery. He talks about how we have been visited by aliens, and about high level conspiracy (government cover-ups) going on and much more.
    All the way back since the second world war people with power have been hiding information on how to time travel from the public, but Davids research and all this incredible information went public in 2008.
    The book The Shift in Consciousness covers more about space-time vs time-space. You can now get access to free chapters from the book:
     
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    วิธีการเดินทางข้ามเวลา: ใช่ก็เป็นไปได้ที่ดาวิด Wilcock กล่าวว่า เขา และคนอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่รัฐบาลได้รับการครอบคลุมถึงการก่อสร้างของเครื่อง เวลา - ประตูดาวเช่นเดียวกับอุปกรณ์กระจกมองในอนาคต

    มันเสียงเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์? การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้หรือไม่

    มี - ตาม Wilcock นี้ไม่ได้เป็นทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลา นี้เป็นวิธีการเดินทางข้ามเวลา

    วิธีการเดินทางข้ามเวลาเวลาหรือไม่ เดวิด Wilcock อธิบายได้ทั้งหมดในชีวิต Conscious Expo -08

    แต่ดาวิด Wilcock เป็นใคร?
    เดวิด Wilcock เมื่อ: ยูเอฟโอ, 2012, และต่อมไพเนีย
    วิธีการเดินทางเวลา
    เด วิด Wilcock เป็นวิทยากรมืออาชีพที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์และนักวิจัยของอารยธรรมโบราณ วิทยาศาสตร์สติและกระบวนทัศน์ใหม่ของสสารและพลังงาน

    ที่ จะเกิดขึ้น Convergence ของพระองค์ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเปิดตัวพิสูจน์ว่าชีวิตบนโลกทั้งหมดเป็นปึกแผ่น ในเขตของจิตสำนึกซึ่งมีผลต่อจิตใจของเราในรูปแบบที่น่าสนใจ

    ดา วิดยังเป็นเรื่องและผู้เขียนร่วมของหนังสือที่ขายดีระดับนานาชาติ, กลับชาติมาเกิดของเอ็ดการ์เคซี? ซึ่งสำรวจความคล้ายคลึงกันที่น่าทึ่งระหว่างดาวิดและเอ็ดการ์, คุณสมบัติมากมายของดาวิดอ่านกายสิทธิ์สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดและพบเอกสาร หลักฐานนาซาทางวิทยาศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนพเคราะห์ และวิธีการผลกระทบโดยตรงต่อดีเอ็นเอของเรา

    เขา ได้อ่านจำนวนมหาศาลของหนังสือและการสัมภาษณ์เช่นคนใจกว้างในเรื่องที่แตก ต่างกันเกี่ยวกับยูเอฟโอ, จิตศาสตร์, กำไรต่อหุ้นขนาดกลางอารยธรรมโบราณวิทยาศาสตร์สติ, สสารและพลังงานและวิธีการเดินทางข้ามเวลา

    แล้ว ที่อายุ 7, เดวิดอ่านครั้งแรกเต็มความยาวปกอ่อนหนังสือของเขาที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่ ESP สิทธิวิธีการทำงาน ESP สำหรับคุณโดยฮาโรลด์เชอร์แมน เขา ทำการทดลองที่ประสบความสำเร็จกระแสจิตกับเพื่อน ๆ ของเขาและแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องกายสิทธิ์ซ้ำในขณะที่ยังคงอยู่ในระดับ ที่สองสูงสุดในการสาธิตในชั้นเรียนของความสามารถของเขา

    เขาเป็นเหมือนการเดิน, การพูดคุยวิกิพีเดีย

    เขาได้ทำยังเป็นงานวิจัยที่กว้างขวาง 2012 ปรากฏการณ์ ใน ไม่กี่ปีสุดท้ายที่เขาได้รับข้อมูลจากบุคคลภายในในเพนตากอน, NSA และคนที่ทำงานด้วยความผิดพลาดของรอสเวลให้เขาแสดงหลักฐานว่าการเดินทางข้าม เวลาเป็นเรื่องจริง วิธีการเดินทางข้ามเวลาไม่ลึกลับ เขาพูดถึงวิธีการที่เราได้รับการเข้าชมโดยคนต่างด้าวและการสมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับการระดับสูง (รัฐบาลปก-UPS) เกิดขึ้นและมากขึ้น

    [​IMG]

    [​IMG]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ThmKZU9Qf3I"]David Wilcock - Stargate, Project Looking Glass & Contact - 2012 - YouTube[/ame]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  15. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ญาณทั้งเจ็ด ในผลทางปฏิบัติ ท่านจะเห็นว่า ญาณที่กล่าวมาแล้วทั้งเจ็ดอย่างคือ

    ๑.จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดที่ใด สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน

    ๒.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์

    ๓.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกันชาติ

    ๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ไม่จำกัดกาลเวลา

    ๕.อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา

    ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของสถานที่ได้ตามความจริง

    ๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน

    ญาณทั้งเจ็ดนี้ เมื่อท่านอ่านอยู่ ท่านอาจจะหนักใจว่า ตั้งเจ็ดอย่างมากมายเหลือเกินชีวิตนี้ทั้งชีวิด หรือเดิมอีกหลาย ๆ ชาติอาจไม่มีหวัง ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ผู้เขียนก็เห็นใจท่านทั้งผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกับท่านมาก่อน แต่พอได้โอกาสสอบทานตามพระไตรปิฎกและสนทนาปราศรัยกับท่านผู้ทรงคุณธรรมพิเศษ ตามที่ท่านได้ญาณทั้งเจ็ดอย่างในสมัยผู้ที่เขียนเองเป็นนักนิยมไพรของชาวบ้าน ชาวบ้านขอบนิยมทำลายไพรและทำลายสัตว์ในไพร แต่ผู้เขียนเป็นนักนิยมเดินในไพรนอนค้างอ้างแรมในไพร และนิยมคอยหลบหลีกหนีสัตว์ในไพรไม่ชอบรบราฆ่าฟันสัตว์ในไพร ตั้งแต่เข้าป่ามาแล้วเกินสิบวาระ คราวละไม่น้อยกว่าสามเดือน ไม่เคยทำลายต้นหญ้าให้ขาดติดมือมาเลยแม้แต่ต้นเดียว ทั้งนี้หมายถึงมีเจตนาอย่างนั้น แต่ถ้าเดินไปหญ้าขาดหรือตายเพราะการเดินไม่ติดเอามารวม นั่นเป็นไปเพราไม่เจตนาอย่างนั้น

    ทานผู้ทรงญาณที่อยู่ในป่า ท่านพูดตรงตามพระไตรปิฎกว่า ญาณทั้งเจ็ดอย่างนี้ ไม่มีอะไรมากเมื่อได้ฌาน ๔ คล่องแคล่วเสียอย่างเดียว ญาณทั้ง เจ็ดก็ได้หมด ทุกท่านอธิบายเหมือนกันอย่างนี้ ขอท่านผู้อ่านลองทำตามดูบ้างอาจจะมีผล สำหรับผู้เขียนเชื่อแน่ ไม่มีอะไรสงสัย

    อนาคตังสญาณ และ ปัจจุปปันสญาณ คืออะไร
     
  16. ดินน้ำลม

    ดินน้ำลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +131
    ขอบคุณข้อมูลความรู้ที่ดีของพี่เจษฎาครับ
    เรียนถามครับ ในวันที่ 21-12-2012 เวลาห้าทุ่มครึ่ง ที่เปลี่ยนมิติจาก3 ไปมิติที่5 ใช่เป็นการเปลี่ยนไปสู่ยุคศิวิไลย์หรือเปล่าครับ
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    จะว่าอย่างนั้นนก็ใช[​IMG]-------จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ครับ คูณ ดินน้ำลม-------------------------------

    --โห เสี่ยปอนี่ได้ญาณ 7 อย่างเลยนะครับนี่ น่าจะเป็นของอดีตชาติ

    มา

    Inca Stone Cutting: How Did They Make This? - YouTube

    ชาวอินคา ตัดหินยังกะตัดเนย
    The Hidden History of the Human Race - YouTube

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=wcUUY2X0hXg&feature=related"]Hidden History of the Human Race 2 - YouTube[/ame]
    ประวัติศาสตร์ที่ถูกปิดบังของมนุษย์1-2

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=k6pEZf8P_RE&feature=related"][Must Watch] Full The Painful Truth and lies behind 9/11 - A documentary you dont want to miss - YouTube[/ame]
    ความจริงที่น่ารู้ และน่าเศร้าใจ ตึกที่ไม่ถูกเครื่องบินชน ได้ยุบตัวลง เหมือนถูกระเบิดตัดเสา

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=uF-F67OUEAw&feature=related"]Aliens Come From Hell - YouTube[/ame]
    คนทำงานในแอเรีย 51 บอกว่า ชาวต่างดาวหลอกลวง จะทำลายมนุษย์ในเมืองใหญ่ คนที่เหลือจะคงบคุมได้ง่ายจึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=KC1zcixPaQA&feature=related"]Ufo's and Aliens Contact 2012 (Full Documentary) - YouTube[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_uIXOl61qRI&feature=related"]Leaked Footage UFO Sightings Top Secret Super Sonic Military Aircraft! Groom Lake Nevada! - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=3VmyWSpzBmo&feature=relmfu"]UFO Sightings Calling All Debunkers 100% Proof Glowing Golden ORBs Over L.A. - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=GvK8UY1td-M&feature=relmfu"]UFO Sightings Clear Footage Metallic Disk Hovers Broad Daylight May 2, 2102 Best UFO Footage! - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=nM3tHqYXjmM&feature=related"]Amazing UFO opening Stargate Portal in the Sky - YouTube[/ame]
    ชาวต่างดาวเปิดประตูมิติ ให้เห็นๆ

    YouTube - Broadcast Yourself
    NR=1&v=aNj9mbQztHI

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=GDgyhIfTbkU&feature=related"]Believe Your Own Eyes - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=KpEct4q4z9o&feature=related"]The missile that hit WTC 2 in Slow Motion - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=xVslP2SdVWo&feature=related"]WTC ***HARD EVIDENCE*** explain this if you can - YouTube[/ame]

    9/11 Inside Job:Bombs in Buildings - YouTube

    ระเบิดมีในตึกพร้อมอยู่แล้ว
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rUzrHHDu96U&feature=related"]Proof that 9/11 flight 93 did not crash at Shanksville - YouTube[/ame]

    http://www.youtube.com/watch?feature=endscreen&NR=1&v=J2zJ53S_drc
    ไม่ปรองดอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    พระคาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” หรือพระคาถา “อิติปิโสเรือนเตี้ย” | กลุ่มจุดตะเกียง

    พระคาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” หรือพระคาถา “อิติปิโสเรือนเตี้ย”[/size][/color]


    “อิติปิโสวิเสเสอิ
    อิเสเส พุทธะนาเมอิ
    อิเมนา พุทธะตังโสอิ(พูดชื่อคน)
    อิโสตังพุทธะปิติอิ” (สัก9 คาบ แอบพ่นลมใส่)


    พระคาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” หรือพระคาถา “อิติปิโสเรือนเตี้ย” ที่ยกมาข้างต้น เป็นหนึ่งในพระคาถาที่มีผู้รู้จักกันอย่างกว้างขวาง มีพระเกจิอาจารย์นำเอาพระคาถานี้ทั้งในรูปบทพระคาถา และในรูปของยันต์ไปประกอบในวัตถุมงคลหลายรูปแบบ ทั้งเหรียญ พระผง และผ้ายันต์ พระเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาบทนี้

    เรื่องราวหนึ่งที่ทำให้พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง คือเรื่องราวที่หลวงปู่เอี่ยมถวายพระคาถาบทนี้แด่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ในครั้งที่ทรงประภาสยุโรปเป็นครั้งแรก (ปีพ.ศ.๒๔๔๐) แม้ว่าเรื่องราวนี้จะไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขา หรือพระราชนิพนธ์ "ไกลบ้าน" แต่อย่างใดก็ตาม แต่ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในพระบุญญาธิการขององค์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ และความเคารพนับถือในปฏิปทาของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ประกอบกับคำบอกเล่าของคนแก่คนเฒ่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ จึงเป็นที่เชื่อกันว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง


    มหาบุญฤทธิ์พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า


    บทความในตอนนี้ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ใน“พระราชหัตถเลขา” หรือพระราชนิพนธ์ "ไกลบ้าน" แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาจากบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ และปู่ย่า ตาทวดละแวกวัดโคนอน เขตภาษีเจริญ ที่ได้รู้ได้เห็นได้ประสบเหตุการณ์ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" เจ้าอาวาสวัดโคนอนในสมัยนั้น เพื่อขอรับการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าในการเสด็จประพาสยุโรป จริง เท็จ ประการใด เชื่อได้หรือไม่? ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่านก็แล้วกันนะครับ

    ขอเริ่มเรื่องที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน" หรือ "เจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง" ที่หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่อง รู้จักกันดี เหรียญรูปเหมือนของท่านทั้งสองรุ่นที่ทันท่านปลุกเสก ค่านิยมในการบูชาอยู่ในหลักแสนมานานนับสิบปีแล้ว เหตุที่มีชื่อเรียกอีกนามหนึ่งนั้น เพราะภายหลังท่านได้มาปกครองวัดหนัง ภาษีเจริญ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระภาวนาโกศล" ก็คงจะเป็นด้วยคุณงามความดีของท่านที่ถวายคำพยากรณ์ โดยที่ผลของคำพยากรณ์ออกมาเป็นจริง ทำให้ไทยเราไม่ต้องสูญเสียองค์พระปิยมหาราช ในขณะที่เสด็จรอนแรมอยู่กลางทะเลมหาสมุทร และแผนอันชั่วร้ายของ "เศษฝรั่ง" ที่คิดปลงพระชนม์ชีพพระองค์อย่างแยบยล ชนิดที่ชาวโลกไม่กล้าตำหนิ


    (ให้ท่านพ่อขึ้นขี่ม้าพยศ ที่ตัวใหญ่มาก แต่ท่านได้เสกหญ้าด้วยคาถานี้ให้ม้ากิน ม้าก็เชื่อง พวกฝรั่งฮือฮามาก และยอมรับในบุญญบารมีขององค์พ่อท่าน-น้ำตาจะไหล-ผู้เขียน)

    http://onknow.blogspot.com/2011/12/blog-post_6995.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  20. John Lee

    John Lee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +424
    ผมเข้าใจว่า มีเพียงแค่ E = mc^2 ถูกต้องแล้วครับ เท่านั้นเอง
    เรื่องอื่นๆที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวกัน เช่น 11 มิติ 7 มิติ และ 5 มิติ ผมว่ามันเป็นเรื่อง "การ์ตูน" จาก misperception ของพวกนักวิทยาศาสตร์มากกว่า

    คือว่า "เออเร่อร์" เหมือนกับที่คุณ Chandayot กำลังบอกว่า มีคนเข้ามาจัดระบบตัวคุณล่ะครับ พอสมองเขา เออเร่อร์ เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็เลย "เออรัก" ซะเลย กับสิ่งที่เข้าใจผิดนั้นต่อไป

    (ผมก็คิดแบบนี้ล่ะ หวังว่าผมคงไม่เออเร่อร์เอง ฮ่าๆ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...