การแผ่เมตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย paang, 17 มีนาคม 2009.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326

    [​IMG]



    ความหมายและคุณค่า

    เมตตา หมายถึงความรัก ความปรารถนาดี ต้องการให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยปราศจากความอิจฉาริษยา และหมายถึงความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความจริงใจฐานมิตร ดังนั้น การแผ่เมตตาจึงได้แก่การส่งกระแสจิตของตนไปสู่ผู้อื่นทั้งที่เป็นเทวดา มนุษย์ และสัตว์ด้วยความหวังดีที่จะให้เขามีความสุข ได้รับความสมหวังในชีวิต เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของผู้แผ่เมตตา

    การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่โบราณบัณฑิตทั้งหลายปฏิบัติต่อกันมาตามลำดับ เพราะเห็นประโยชน์ว่า การแผ่เมตตานี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นประจำมีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็นลงได้ และทำให้มองเห็นว่าการที่มนุษย์หวังดีต่อกันนั้นเป็นทางนำให้โลกเกิดสันติสุขได้ และเมื่อตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องการให้เพื่อนร่วมโลกได้รับความสุขอย่างนั้นบ้าง จึงได้แผ่กระแสจิตอันเยือกเย็นและอ่อนโยนนั้นไปยังผู้อื่น ผู้ได้รับเมตตาจิตนั้นแล้วก็จะพลอยมีจิตอ่อนโยน เยือกเย็น และได้พบกับความสุขทางใจไปด้วย ด้วยเหตุแห่งการแผ่เมตตาไปยังเพื่อนมนุษย์เช่นนี้จึงทำให้มนุษย์และสัตว์อยู่กันด้วยความมีน้ำใจดีต่อกัน รักใคร่กันฉันพี่น้อง และหันหน้าเข้าหากันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้อยู่กันด้วยความอบอุ่นไว้วางใจกัน ปราศจากความระแวกันและกัน เป็นเหตุให้ไม่เบียดเบียนกันแต่จะอุดหนุนเกื้อกูลกันและกันด้วยน้ำใสใจจริง


    วิธีการแผ่เมตตา

    ท่านสอนว่า การแผ่เมตตานั้นควรแผ่ให้ตนเองก่อน คือต้องปรารถนาความสุขให้แก่ตัวเองเสียก่อนโดยวิธีสร้างความรักตัวเองในทางที่ถูกที่ควร คือไม่ทรมานตัวเองด้วยการกระทำ ด้วยความคิดที่ผิด ๆ ทำตัวเองให้มีอำนาจทางจิตด้วยความดีเสียก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายวงเมตตาออกไปยังผู้อื่น สัตว์อื่น ตามลำดับ แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ตนไม่ชอบหรือเป็นศัตรูกันก็ตาม เพราะถ้าหากสามารถแผเมตตาไปให้แก่ผู้ไม่ถูกกันได้ นั่นแสดงว่าผู้นั้นได้ยกระดับจิตให้พ้นจากอำนาจความโกรธเคืองหรือความอิจฉาริษยาได้แล้วด้วยเมตตา เพราะเมตตานี้เป็นเครื่องกำจัดกิเลสคือ โกธะ

    ความโกรธ โทสะ ความประทุษร้าย อรติ ความไม่ชอบใจด้วยอำนาจของความอิจฉาริษยาเสียได้ ต่อไปตัวเองก็จะประสบความสุขความสงบทางใจ ไม่มีความเดือดร้อนใจ ไม่มีความกระวนกระวายใจอะไรต่อไปอีก เพราะปล่อยวางความโกรธความไม่พอใจเสียได้แล้ว ซึ่งผิดกับตอนที่ยังโกรธอยู่ ยังอิจฉาริษยาเขาอยู่ ในตอนนั้นจิตใจจะมีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มอก กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันกินอันนอนอย่างเห็นได้ชัด

    วิธีที่ท่านสอนมา ท่านให้แผ่เมตตาทุกวัน อย่างน้อยก็ก่อนนอนทุกคืน ถ้าสามารถทำให้มากครั้งต่อวันได้ก็ยิ่งจะเป็นกำไรชีวิต เช่น นึกแผ่เมตตาทุกอิริยาบถ ขณะเดินไปตามถนนหนทาง ขณะนั่งรถไปทำงาน ขณะเดินทางไปต่างจังหวัด หรือขณะนั่งพักผ่อน ณ ที่ใดที่หนึ่งหลังจากว่างงาน เพราะในขณะนั้นจิตใจจะปลอดโปร่งเหมาะที่จะนึกแผ่เมตตาอย่างยิ่ง และในขณะนั้นเท่ากับว่าได้ทำกรรมฐานไปในตัวด้วย เพราะการแผ่เมตตานี้จัดเป็นกรรมฐานประการหนึ่ง ที่จะทำให้ใจสงบเย็นลงได้ และจะคอยควบคุมจิตใจให้นึกคิดไปในทางที่ถูกที่ควรได้รวดเร็ว ฉะนั้น แม้ว่าผู้แผ่เมตตาจะทำได้เพียงวันละเล็กวันละน้อย แต่ทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้


    คำแผ่เมตตา

    ผู้ต้องการจะแผ่เมตตา ให้นึกถึงคำภาวนาต่อไปนี้แล้วนึกภาวนาไป ๆ จะกี่เที่ยวก็ตามต้องการยิ่งมากเที่ยวก็จะยิ่งทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น ทำให้จิตมีอานุภาพมีพลังมากขึ้น


    แบบที่หนึ่ง

    คำแผ่เมตตาสำหรับตนเอง

    อหํ สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข อเวโร อพฺยาปชฺโฌ อนีโฆ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ ฯ

    ขอข้าพเจ้าจงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ

    คำแผ่เมตตาไปสู่ผู่อื่น

    สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ นิทฺทุกฺขา อเวรา อพฺยาปชฺฌา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ ฯ

    ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มี ความคับแค้นใจ จงมีความสุขการสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ




    แบบที่สอง

    คำแผ่เมตตาแบบทั่วไป

    สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    อเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

    สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    อพฺยาปชฺฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    อนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

    สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การแผ่เมตตาทั้งสองแบบนี้ จะใช้เพียงแบบใดแบบหนึ่งตามถนัดก็ได้หรือจะนึกภาวนาเฉพาะภาษาไทยหรือภาษาบาลีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือทั้งสองอย่างก็ได้ ฯ



    อานิสงส์ของการแผ่เมตตา

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระบาลีอังคุตตรนิกายว่า ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับ

    อานิสงส์ ๑๑ ประการ ดังนี้

    ๑.หลับเป็นสุข คือ หลับสบาย หลับสนิท

    ๒.ตื่นเป็นสุข คือเมื่อตื่นขึ้นมาก็สบายตัว สบายใจ หายอ่อนเพลีย ไม่มีอาการง่วงติดต่ออีก

    ๓.ไม่ฝันร้าย คือ จะไม่ฝันเห็นสิ่งเลวร้ายทำให้สะดุ้งตื่นกลางคัน หรือไม่ฝันหวาดเสียวต่าง ๆ

    ๔.เป็นที่รักของคนทั่วไป คือ จะเป็นคนมีเสน่ห์ ไปที่ใดก็ปราศจากศรัตรูผู้คิดร้ายแม้ผู้ไม่ชอบใจก็จะกลับมาชอบได้

    ๕.เป็นที่รักของอมนุษย์ทั่วไป คือแม้สัตว์ต่าง ๆ ก็รักผู้แผ่เมตตา ไม่ขบกัด ไม่ทำร้ายทำให้ปลอดภัยจากเขี้ยวงาทุกชนิด

    ๖.เทวดารักษาคุ้มครอง คือ จะเดินทางไปไหนมาไหนเทวดาจะคุ้มครองให้ความปลอดภัยตลอดเวลา จะไม่ประสบอุปัทวภัยต่าง ๆ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

    ๗.ไฟ ศาสตรา ยาพิษ ไม่แผ้วพาน คือสิ่งเหล่านี้จะทำอันตรายมิได้ จะปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้

    ๘.จิตเป็นสมาธิเร็ว คือ ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ถ้าทำสมาธิ จิตจะสงบนิ่งได้เร็ว หรือจะอ่านหนังสือจะทำงานอันใดก็ตาม จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมตั้งใจได้เร็ว ทำงานนั้นสำเร็จสมประสงค์

    ๙.หน้าตาผิวพรรณจะผ่องใส คือผู้มีเมตตาจิตเป็นประจำ หน้าตาและผิวพรรณจะมีน้ำมีนวลมีเสน่ห์เรียก

    ความสนใจได้ จะดูอิ่มเอิบตลอดเวลา แม้จะมีอายุมาก แม้รูปร่างจะไม่สวยงาม แม้จะไม่ได้รับการแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางใด ๆ หน้าตาผิวพรรณก็ผ่องใสน่าดูน่าชมได้เสมอ

    ๑๐. ไม่หลงเวลาตาย คือเวลาใกล้ตาย จะไม่หลงเพ้อ ละเมอ หรือโวยวายอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ดิ้นทุรนทุรายเป็นที่น่าเวทนาของผู้พบเห็น จะสิ้นใจอย่างสงบเหมือนนอนหลับไป ฉะนั้น

    ๑๑.เมื่อไม่อาจบรรลุธรรมชั้นสูง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก คือ ผู้มีเมตตาจิตเป็นประจำแม้ไม่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงขึ้นไปกว่านี้ ก็ย่อมจะไปบังเกิดในพรหมโลกอันเป็นที่เกิดของผู้ได้ฌาน

    เพราะฉะนั้น ผู้ประสงค์เป็นที่รักเป็นที่นับถือของผู้อื่น หรือหวังความสุขความสงบความเยือกเย็นแห่งจิตใจจึงควรได้แผ่เมตตากันดูเถิด สร้างเมตตาธรรมไว้ในใจดีกว่าจะมานั่งเดือดร้อนใจด้วยไฟโกรธไฟริษยาอาฆาต และดีกว่าจะมาเสียเวลาหานะหาเมตตามหานิยม นะหน้าทอง เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้แก่ตัวเอง เพราะวิธีปลูกต้นเมตตานี้ ไม่ทำ

    ให้หนักตัวเพราะพกพาไป ไม่ต้องกลัวหาย และไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เพราะมีติดตัวติตใจประจำอยู่ตลอดเวลา.



    บทความจาก

    http://www.geocities.com/watthasai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  2. pmicrobes

    pmicrobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    623
    ค่าพลัง:
    +112
    คิดดี พูดดี ทำดี โกรธน้อยใจอย่าให้มี ขอโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  3. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  4. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    โมทนา สาธุ ๆ
    บุญกุศลกับท่าน
    ที่ได้นำพระธรรมมาเผยแผ่ด้วยครับ
     
  5. ปืนไฟ

    ปืนไฟ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +63
    สาธุ จากใจ

    ขออนุโมทนาในบุญของท่านผู้เขียน รวมทั้งผู้นำข้อความกระทู้นี้มาลงครับ..
    <O:p
    ผมขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ โดยขออธิบายเสริมวิธีการแผ่เมตตาในภาคของจิตที่ได้ผลตรง ถูกต้องและรวดเร็ว ครับ

    1. ผู้แผ่เมตตาหายใจเข้า-ออก ให้ลึก ทำใจให้รู้สึกว่าโล่งและเบาสบาย (หากเข้าสู่ภาคของผลแล้ว จะมีปีติเกิด อย่าต่ำคือขนลุกชูชัน และเบาในอก หายใจได้ลึก เหมือนอยู่บนยอดเขาสูงที่อากาศดีมากๆ)

    2. ทำความรู้สึกให้อยู่ที่ทรวงอก บริเวณลิ้นปี่ วางความรู้สึกตรงนั้นให้จุดเล็กที่สุด คือ ทำ Focus จากทั้งแผ่นอกให้หดแคบลงๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งรวมเหลือเท่าปลายไม้ขีดไฟ (อาการปีติจะเกิดต่อเนื่องจากข้อ 1 มาเรื่อยๆ)
    <O:p</O:p

    3. ในเวลาที่กล่าวคำแผ่เมตตาตามที่ท่านเจ้าของกระทู้อธิบายนี้ ผู้แผ่เมตตาพึงสำรวมจิต (ความรู้สึก) ไปที่จุดเล็กๆนั้น แล้วรู้สึกให้ขยายออก แผ่ออกไป เหมือนวงคลื่นเวลาที่โยนหินตกในแผ่นน้ำ วงคลื่นกระจายออกๆ ไปเรื่อย <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หมายเหตุ ในช่วงเริ่มใหม่ๆ ให้ใช้วงคลื่นแนวราบไปพลางก่อน ... เมื่อชำนาญแล้วจึงทำให้วงคลื่นนั้นสมบูรณ์ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง จนครบทุกมิติ เป็นวง 360 องศาทุกมิติ กล่าวคือ ประหนึ่งว่าผู้แผ่เมตตา นั่งอยู่ตรงกลางฟองสบู่ใส และขอบฟองสบู่นั้นผุดออกจากลิ้นปี่ แล้วขยายออกไปเรื่อยๆจากลิ้นปี่ จนมาครอบทั้งตัว และขยายต่อออกไปอีกจนรอบทิศ (10 ทิศ คือ 8 ทิศสามัญ รวมไปครอบทั้งอากาศ และปฐพี อีก 2 ทิศ)...

    การแผ่เมตตานั้น ไม่ใช่ว่าแผ่แล้วจะได้ผลเสมอไปครับ เพราะผู้แผ่เมตตาจะต้องมีบารมีเสียก่อน การทำบารมีให้เกิดก็ได้แก่ การทำทาน ถือศีล เจริญภาวนา (สวดมนต์ โดยเฉพาะสวดพระธรรม เช่น ธัมมจักรฯ อนัตตลักขณะฯ หรือ อาทิตตะฯ ซึ่งพระสูตรเหล่านี้ ไม่ได้มีผลโดยตรงให้ผู้แผ่อธิษฐาน เพื่อลาภผลทั้งหลาย แต่เป็นการทำให้ผู้สวดหรือแผ่เมตตา มีปัญญาทางธรรมที่สูงขึ้น นั่นคือ บารมีใหญ่ที่สุด เพราะจะทำให้ผู้สวดและแผ่เมตตามุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์หนึ่ง จนไม่อยากรวย สวย อายุยืน หรือหายโรคภัย เรียกได้ว่า วางโลกียสุขได้ในระดับหนึ่ง และนี่คือที่มาของ "บารมีธรรม" พระพุทธศาสนาจึงสรรเสริญว่า "ภาวนา" เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้ว ทั้งทาน ศีล และ ภาวนา มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยครับ ทุกอย่างเดินเป็นวงจรเป็นวงกลม คือ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน จึงไปนิพพานได้ และเบาสบายจากทุกข์ และสุขในโลกีย์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อเมตตาเกิดจากใจ (ไม่ใช่เพียงคำพูด) แล้ว... วงกระแสเมตตาที่ผุดจากลิ้นปี่ จนแพร่ขยายไปก็จะมีพลานุภาพสูงมากจนกระทั่งสรรพสัตว์ ไม่ว่าจะ ชะลาพุชะ อัณฑะชะ สังเสทะชะ โอปปาติกะ สัมภเวสี ทั้งหลายสัมผัสแล้วจะเย็นสบาย

    รูปทั้งหลาย ไม่ว่าหยาบหรือทิพย์เหล่านั้น ย่อมติดตามไปหาผู้แผ่กระแสบุญเมตตา และคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างจากผู้เจริญเมตตาเป็นกิจวัตร ประหนึ่งว่า อากาศร้อน (จากไฟกิเลสตัณหา) แล้วท่านผู้เจริญเมตตากำลังเปิดแอร์เย็นๆ (กระแสแผ่เมตตาไม่มีประมาณ)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หากท่านยิ่งทำบารมี แล้วแผ่เมตตาได้ถี่เท่าใด ก็เหมือนกับว่า แม้บางครั้งท่านจะปิดแอร์ไปแล้ว ไอเย็นก็ยังคงมีอยู่ ท่านจึงต้องเปิดแอร์ให้บ่อยๆ (ไม่ต้องกลัวเปลืองไฟ หรือเปลืองบุญบารมี เพราะบุญบารมีนี้แปลกนัก ยิ่งแผ่ให้ ยิ่งกลายร่างเป็นมหาบุญ)...<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผู้ทรงอารมณ์เมตตาไม่มีประมาณได้ตลอดเวลา คือ ผู้ที่มีสติควบคู่ลมหายใจ คือ ผู้มีสติควบคู่เมตตา คือ ผู้รู้ค่าและปฏิบัติจริงใน "เมตตาไม่มีประมาณ" คือ ผู้ถึงปลายทางคือ พระนิพพาน....

    ขออนุญาตจบวิธีการเจริญเมตตา "ภาคจิต" แต่เพียงเท่านี้ หากเป็นการไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ หรือรบกวนจิตท่านผู้ใด กระผมขอกราบอโหสิกรรมมา ณ โอกาสนี้ ครับ... แต่นี้เป็นสิ่งตรงที่กระผมได้ประสบมาแล้ว กระผมได้ลองกระทำมาทุกวิธีแล้วตั้งแต่แผ่ไปงั้น แผ่ด้วยปาก แผ่ด้วยการพูดเร็วๆเข้าว่า แผ่ไปด่าไป และลองผิด ลองถูกมาจนได้ที่ จึงได้พบเห็นว่า ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นคือ ที่สุดของการ "หยุด" ความตกต่ำของจิตใจเราได้ครับ... แท้จริงแล้ว "บุญ" เกิดที่ใจนี้เอง หากเรารู้วิธีเสวยบุญ เราจะไม่มีวันหยุดเจริญเมตตาไม่มีประมาณโดยเด็ดขาดครับ

    <O:p</O:pขออนุโมทนา ครับ<O:p</O:p
    =========================

    <O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...