ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นไปรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับโลกในปี 2012

โชคดีที่กระทู้นี้มีเนื้อหาไม่ยาวนัก ไม่งั้นแปลคงเมื่อยน่าดูเลย

ก็..เอาเป็นว่า..ใครชอบแนวนี้ก็อ่านกันไป "เก็บไว้เป็นข้อมูล" ก็แล้วกันนะครับ
ส่วนใครที่ไม่ชอบแนวนี้..ก็ไปหาอย่างอื่นอ่านแทนก็แล้วกันนะครับ
หวังว่ากระทู้นี้คงไม่ไปทำให้ใครลำบากหรือเดือดร้อนอีกนะครับ

เพราะว่าผมก็จะบอกเหมือนอย่างที่เคยบอกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนั่นแหละ
ว่าผมแปล และ น้ำมาโพสต์ให้อ่านด้วยเฉยๆครับ หาได้เป็นเจ้าของข้อมูลไม่

ถ้าท่านใดมีปัญหาข้องใจอะไร อยากจะสอบถามข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
ก็เชิญได้ที่เวปต้นฉบับ คือลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ

An NDE with a vision of 2012

และโปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลทุกๆชนิดเสมอนะครับ

....................................................................

 

An NDE with a Vision of 2012

ที่มา: An NDE with a vision of 2012

ตอนที่ 1:


ในระหว่างที่กำลังทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสบการณ์ตายแล้วฟื้น (near-death-experience)
และเกี่ยวกับปี 2012 อยู่นี้ ผมก็ได้พบเรื่องราวนี้เข้าโดยบังเอิญ มันเป็นเรื่องราวของใครบางคน
ที่ชื่อ Cassandra Musgrave


(Cassandra Musgrave)


เธอผู้นี้ได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของเธอ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 40 ปีที่แล้ว
หรือในปี 1974 เอาไว้ ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก
เพราะว่ามันช่วยยืนยันหลายสิ่งหลายอย่าง ที่พวกเราก็เคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว
ผ่านทางข้อความสื่อสารจากต่างมิติทั้งหลาย เช่น เรื่องของแผนการอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับดาวเคราะห์โลก,
เรื่องความสำคัญของปี 2012 และเรื่องราวเกี่ยวกับการเลื่อนระดับขึ้น เป็นต้น

แต่ว่า..ก็อย่างที่มันเกิดขึ้นเสมอๆกับคำพยากรณ์ทั้งหลายนั่นแหละ..คือ
หลายสิ่งหลายอย่างในคำพยากรณ์นี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
เพราะว่ามันมีเส้นกาลเวลาอยู่หลายเส้น ที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
และก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ว่าเส้นกาลเวลาเส้นไหนมันจะเกิดขึ้นจริงๆซะด้วย
เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับ “การกระทำของเราเอง และ ของคนอื่นๆด้วย”

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งมี The Galactic Federation มาคอยให้ความช่วยเหลือ
ในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่แบบนี้ด้วยแล้ว
ดังนั้น ผลกระทบร้ายแรงอย่างเช่น การกลับขั้วของดาวเคราะห์โลก (pole shift)
จึงจะไม่เกิดขึ้น และก็จะไม่เกิดขึ้นด้วยในอนาคตอันใกล้นี้

แต่อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว เรื่องราวนี้
ก็ช่วยยืนยันและตรงกันกับข้อมูลหลายๆข้อมูล
ที่พวกเราได้ยินได้ฟังมา จากข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย
ค่อนข้างมากทีเดียว

และนอกจากนี้แล้ว มันยังเป็นเรื่องราวที่งดงาม เกี่ยวกับความรักและความเห็นอกเห็นใจกันอีกด้วย


ผู้คนที่เคยมีประสบการณ์เฉียดตายมาก่อน ส่วนมากก็มักจะฟื้นขึ้นมาพร้อมกับมุมมองของชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง
ซึ่งก็ไม่ยกเว้นแม้แต่ Cassandra เองด้วย เพราะว่าหลังจากนั้น เธอก็ได้เปลี่ยนชื่อของเธอเป็น Martha St. Claire
และนอกจากงานอื่นๆแล้ว เธอก็ยังทำหน้าที่เป็น “ผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิญญาณ” (spiritual counselor)
และเป็น “ผู้บำบัดรักษาโรคทางพลังงาน” (energetic healer) อีกด้วย

..........................................

 

An NDE with a Vision of 2012

ที่มา: An NDE with a vision of 2012

ตอนที่ 2:



ในปี 1974 ในขณะที่เธอกำลังเล่นสกีน้ำกับเพื่อนๆอยู่นั้น ตอนนั้นเป็นการเล่นรอบสุดท้ายของเธอในวันนั้นแล้ว
แต่เพราะว่ามีคลื่นจัด และพายุแรง จึงทำให้เธอต้องปล่อยเชือก แต่ในขณะที่เธอปล่อยเชือกและกำลังจะจมลงไปในน้ำนั้น
เชือกก็ตวัดมาพันแขนของเธอเข้า ทำให้ตัวเธอต้องถูกเรือลากไปทั้งๆที่ยังจมอยู่ใต้น้ำอย่างนั้นแหละ

และตอนนั้นแฟนหนุ่มของเธอก็เป็นผู้ขับเรือ แต่ก็เอาแต่ขับไป คุยไป และดื่มเบียร์ไปอย่างเพลิดเพลิน
เลยไม่ได้สังเกตเลยว่า เธอจมน้ำลงไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใดเลย ได้แต่คิดว่า

“นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งเท่านั้น ครั้งนี้ฉันพลาดไปแล้ว ถ้าฉันตายไปหละก็
แม่คงจะต้องโกรธฉันเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอนเลย”

ในขณะที่เธอกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะหายใจให้ได้อยู่นั้น เธอก็พบว่าตัวเองได้ลอยขึ้นไปในอากาศซะแล้ว
แต่เธอก็ยังคงมองเห็นว่าร่างกายของเธอเองยังคงอยู่ใต้น้ำเหมือนเดิมอยู่ กำลังถูกลากไปด้วยเรือด้วยความเร็วสูงอยู่
เธอมองเห็นผู้ชายสองคนที่อยู่บนเรือลำนั้น กำลังคุยกันอย่างเพลิดเพลินอยู่ โดยไม่ตระหนักรู้
ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอในตอนนั้นเลย และเธอก็มองเห็นลูกชายอายุสามขวบของเธอกำลังเล่นอยู่บนชายหาดด้วย

แล้วจากนั้น เธอก็ถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ๆหนึ่ง ซึ่งในนั้นเธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ดังเฟี้ยวๆและดังกริ๊กๆ
เธอเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในอุโมงค์นั้นด้วยความเร็วสูง จนไปถึงอีกปลายด้านหนึ่งของอุโมงค์ที่มีแสงสว่างอยู่
เธอรู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกว่า ที่แห่งนั้นคือที่ๆเธอเคยอยู่มาก่อนแล้ว

หลังจากที่เธอออกมาจากอุโมงค์นั้นแล้ว เธอก็พบว่ามีดอกไม้ล้อมรอบเธอเต็มไปหมด
มันเป็นดอกไม้ที่สีสันสดใสและสวยสดงดงามมากๆ จากนั้นเธอก็พบว่าตัวเองถูกล้อมรอบไปด้วยจักรวาล
เธอกำลังอยู่ในกาแล็กซี่ ที่มีดวงดาวมากมายรายล้อมเธออยู่ และแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นว่า
มีอะไรที่แข็งๆรองรับเท้าของเธออยู่ก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนอะไรซักอย่างยังงั้นแหละ



(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - Lord Melchizedek)


จากนั้นท่าน Melchizedek ก็ปรากฎตัวขึ้น และแม้ว่าท่านจะไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใคร
แต่เธอก็จดจำได้ว่าว่าท่านเป็นใคร และยังรู้อีกด้วยว่าเธอรู้จักท่านอยู่ตลอดเวลาซะด้วย
ตอนนั้น Cassandra เธออยู่ในภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดของเธอ คืออยู่ในแสงสว่างที่สวยงาม
ที่ดูคล้ายกับว่าเป็นของเหลวแห่งความรักอย่างนั้นแหละ เธอบอกว่า

“ฉันรู้สึกเป็นอิสระ และฉันก็ดีใจมากที่ได้เจอเขา!”

ท่าน Melchizedek ท่านไว้หนวดไว้เครายาว ความสูงของท่านขณะยืนราวๆ 8 – 9 ฟุต
ท่านสวมชุดสีเขียว, และสวมชุดคลุมยาวสีม่วงแดงและสีทองหรูหรา พร้อมกับมีผ้าโพกหัวแบบชาวมุสลิมด้วย
ตอนนั้นทั้งท่าน Melchizedek และนาง Cassandra ต่างก็สื่อสารกันด้วยภาษาจิต
ท่านพูดว่า “คุณพร้อมที่จะมานี่แล้วหรือ?”

………………….......................

 

An NDE with a Vision of 2012

ที่มา: An NDE with a vision of 2012


ตอนที่ 3:



เธอร้องตะโกนออกไปว่า “พร้อมแล้ว..ยังงั้นหรือ?”

แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนว่าเธอได้เคยทำพันธะสัญญาหรือข้อตกลงอะไรบางอย่างไว้กับท่านผู้นี้อย่างนั้นแหละ
เธอรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะต้องตาย เพราะว่าเธอทำภาระกิจที่เธอได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะมาทำ ยังไม่สำเร็จ

เธอเข้าใจดีว่าผู้คนที่อยู่บนโลกใบนี้ ต่างก็ได้เลือกที่จะลงมาเกิดบนโลกใบนี้เอง
และก็ได้เลือกบิดามารดาของตัวเองเอาไว้ก่อนแล้วด้วย รวมถึงได้เลือกเวลาที่จะลงมาเกิด
และได้เลือกบทเรียนที่จะลงมาเรียน และได้เลือกสถานการณ์ต่างๆที่ถูกออกแบบมา
เพื่อวิวัฒนาการของตัวเองเอาไว้เองอีกด้วย

แล้วเธอยังได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกว่า พวกเราไม่ใช่เหยื่อของโชคชะตา อย่างที่พวกเราคิดว่าเราเป็น
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก กว่าที่จะลงมาเกิดบนโลกใบนี้ และในช่วงเวลานี้ได้
และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดนี้ เธอก็ยังรู้อีกด้วยว่า พวกเราล้วนได้รับมอบทางเลือกอิสระมาแล้วทั้งนั้น

แม้ว่าท่าน Melchizedek จะทำให้เธอได้รู้ว่า หากเธอจะไม่กลับลงมายังโลกใหม่อีกก็ยังได้
แต่เธอก็รู้สึกตกใจอย่างมาก เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า เธอก็จะ “สอบตก” อยู่บนโลกเท่านั้นเอง

ท่าน Melchizedek พูดว่า “พวกเราไม่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเลย”
แต่เธอก็เถียงไปว่า เธอต้องการที่จะกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าเธอยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องทำ

เธอถูกดึงดูดให้เข้าไปหาเส้นแบ่งเขตแดนเส้นหนึ่ง ที่เธอรู้ว่าถ้าเธอข้ามไปแล้ว
เธอก็จะไม่สามารถกลับลงมาที่โลกได้อีก

ณ.ที่ๆอยู่ไกลโพ้น ทางซ้ายมือของเธอ เธอมองเห็นทางเข้าที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ
แต่มีแสงสว่างเรืองรองสว่างไสวอยู่ ซึ่งจะนำทางไปสู่มิติอีกมิติหนึ่ง
ที่ๆผู้คนกำลังเรียนรู้ และศึกษาข้อมูลมากมายอยู่

เกี่ยวกับมิติดังกล่าวนั้น เธอกล่าวว่า “ในที่แห่งนั้น คุณจะรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง”

ส่วนในอีกทิศทางหนึ่ง เธอก็มองเห็นสิ่งก่อสร้างหรือวิหารต่างๆที่มีลักษณะคล้ายๆผลึกคริสตัล
แต่โครงสร้างทำด้วยทองคำ

และเธอก็ยังมองเห็นดาวเคราะห์โลกอีกด้วย ว่าในขณะนี้
มันเป็นสถานที่ๆยากลำบากต่อการมาอยู่อาศัยมากๆ
แต่มันก็มีแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ (Divine Plan)
ที่ได้ถูกวางเอาไว้สำหรับดาวเคราะห์โลกอยู่

เพราะฉะนั้นแล้ว หลายสิ่งหลายอย่าง ก็จะค่อยๆดีขึ้นในที่สุด
และมันก็จะต้องใช้เวลา 20 ปี คือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 จนถึงปี 2012
สำหรับการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโลก เพื่อเตรียมความพร้อม
เพื่อเข้าสู่รุ่งอรุณแห่งสหัสวรรษนี้

…………………

 

An NDE with a Vision of 2012

ที่มา: An NDE with a vision of 2012


ตอนที่ 4:



(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


เธอยังเข้าใจอีกด้วยว่า ดาวเคราะห์แม่โลกดวงนี้ (Mother Earth)
คือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง และก็กำลังมีระลอกคลื่นแห่งพลังงานแสงสว่าง
จำนวนมากมายถูกส่งลงมาเพื่อช่วยเยียวยารักษาเธออยู่ด้วย
เพราะว่าเธอได้รับความทุกข์ทรมานจากมลภาวะมานานแล้ว
ซึ่งเพราะการเพิ่มขึ้นของพลังงานแสงสว่างนี้เอง
จึงทำให้เกิดความผิดปกติของสภาพภูมิอากาศขึ้น

เธอมองเห็นว่ามีการเกิดแผ่นดินไหวถี่ขึ้น, มีการเกิดคลื่นน้ำในทะเลใหญ่ขึ้น,
มีการเกิดการสลับขั้วของขั้วโลก (pole shift),
มีการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกทั้งสอง,
เธอมองเห็นว่าพื้นผิวโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
และเธอมองเห็นว่ามีชาวโลกจำนวนมากมายกำลังจะตาย

ซึ่งส่วนมากจะเป็นการตายหมู่ทีละเยอะๆ
เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถรับมือกับแสงสว่างและผลกระทบที่ตามมาของมันได้
และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า พวกเขาได้เลือกที่จะตายเอาไว้เอง
ก่อนหน้าที่จะลงมาเกิดแล้ว เพราะว่าจิตวิญญาณของพวกเขา
ต้องการที่จะไปวิวัฒน์ต่อในดาวดวงอื่นๆต่อไป

เธอมองเห็นผู้คนที่ได้เตรียมตัวเองด้านจิตวิญญาณดีแล้ว ถูกปกป้องคุ้มครอง
ในขณะที่คนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวพวกเขา ต้องตายลงไป

เธอมองเห็น “3 วันแห่งความมืดมิด” (3 days of darkness)
และเธอก็เข้าใจอีกด้วยว่า ภัยพิบัติเหล่านี้สามารถที่จะถูกชะลอ
หรือ ทำให้บรรเทาเบาบางลงได้ ด้วยพลังอำนาจแห่งการสวดมนต์และอธิษฐานจิต


เธอพูดว่าพวกเราต่างพากันเป็นโรคหลงลืมทางจิตวิญญาณชั่วคราวกันทั้งสิ้น
ดังนั้น พวกเราจึงพากันหลงลืมความรู้ที่ตัวเองเคยมีอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนการถือกำเนิดไปเสียสิ้น

และพวกเราแต่ละคนก็มี “จิตสำนึกที่สูงส่งกว่า” (Higher Consciousness) อยู่ด้วย
ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่พวกเราจะต้องเชื่อมต่อกับพระเจ้าผ่านการสวดมนต์และอธิษฐานจิต
และโดยการทำสมาธิ เพื่อให้ตัวเองตื่นขึ้น

เธอบอกว่าการสวดมนต์และอธิษฐานจิต คือการพูดกับพระเจ้า
ส่วนการทำสมาธิ คือการรับฟังพระเจ้า

…………………..

 

An NDE with a Vision of 2012

ที่มา: An NDE with a vision of 2012


ตอนที่ 5: จบครับ



ท่าน Melchizedek ได้แสดงให้ Cassandra เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเธอเลือกที่จะตาย
ซึ่งภาพที่เธอเห็นก็คือเธอเห็นร่างของตัวเองถูกนำขึ้นฝั่ง และถูกผายปอดแบบปากต่อปาก เพื่อช่วยชีวิต
แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แล้วเธอก็เห็นแฟนของเธอกำลังร้องไห้ และเธอก็ยังรู้อีกว่า
เขาจะต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตของเขาอย่างแน่นอน

เธอเห็นลูกชายของเธอ และเธอก็รู้ว่าเธอยังจากเขาไปในตอนนี้ไม่ได้
เธอยังไม่อยากให้ใครเป็นทุกข์ใจเพราะการตายของเธอในตอนนี้
และเพราะว่าเธอยังมีงานด้านจิตวิญญาณที่ยังจะต้องทำอยู่อีกมาก
ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะกลับมายังโลกใหม่อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากนั้นเธอก็พบว่าตัวเองได้กลับเข้ามาอยู่ในร่างของตัวเธอเองใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยวิธีไหน ตอนนั้นเธอรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัว เธอทั้งไอและทั้งพ่นน้ำออกมา
เธอโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำห่างจากท้ายเรือที่จอดอยู่ แล้วเธอก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า

“คุณปัญญาอ่อนหรือไง ถึงไม่เห็นว่าฉันกำลังจมน้ำอยู่?”

และเมื่อพวกเขาขึ้นฝั่งมาแล้ว ลูกชายของเธอก็พูดขึ้นว่า

“ทำไมคุณแม่ถึงไปนานจังเลยหละครับ? ผมคิดว่าคุณแม่จะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ซะอีก”

เธอจึงได้รู้ว่า บางทีลูกชายของเธออาจจะรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันมีมากกว่าการเล่นสกี
ไปรอบๆทะเลสาบเพียง 10 นาทีของเธอเท่านั้นก็เป็นได้


หลังจากได้พบกับประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้นแล้ว พลังงานยังคงอยู่กับเธอต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จนทำให้เธอสามารถมองเห็นออร่าของผู้คนได้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดถึงมันบ่อยนัก
เพราะว่าคนอื่นๆรู้สึกอึดอัดกับเรื่องของเธอ หรือไม่ก็ไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำไป

และเพราะความที่เธอปราถนาที่จะได้พบกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เธอได้ไปพบมา
ในขณะที่เธอพบกับประสบการณ์เฉียดตายอยู่นั้น จึงทำให้เธอทุ่มเทเวลา 20 ปีต่อมาของเธอ
ให้กับการท่องโลกภายในเพื่อศึกษาด้านจิตวิญญาณ ซึ่งก็รวมถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเป็นพระ
ใน Unity Church ด้วย

และนี่คือวีดีโอของเธอ (Martha) ที่เล่าเรื่องราวของเธอเอาไว้:


[ame=http://www.youtube.com/watch?v=Nzz-nG5pjFg&feature=player_embedded]Near Death Experience - In The Realm of God - YouTube[/ame]

ก่อนหน้านี้ พวกเราได้นำเสนอเรื่องราวประสบการณ์เฉียดตายของ
Anita Moorjani และ Mellen-Thomas Benedict มาแล้ว
ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้

"โลกหลังความตาย-จักรวาล-บิ๊กแบง-เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของนาย-mellen-t-benedict"

http://palungjit.org/threads/โลกหลั...ณ์ตายแล้วฟื้นของนาย-mellen-t-benedict.264647/

"แอนิต้า-ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น-และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน"

http://palungjit.org/threads/แอนิต้...วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน.265002/


........................................................

 

ขอบคุณครับที่แปลเรื่องราวดีดีแบบนี้มาให้ได้อ่านกัน

ขอบคุณครับ

 

ขอบคุณครับ

 

ขอบคุณมากครับที่หาเรื่องราว ดีๆมี
สาระสำคัญ มาให้ได้อ่าน จะได้เตือนสติครับ

 

ขอขอบคุณมากๆครับ ใครที่ได้ศึกษาเรื่องต่างๆมาหลายๆเรื่องรวมถึงสิ่งสำคัญของชาวพุทธเราด้วยคือพระพุทธศาสนา เมื่อนำมาประติดประต่อกัน จะเข้าใจได้ทันทีว่าคือเป็นเรื่องที่มาจากที่ๆเดียวกัน เรื่องเดียวกันแต่มีหลากหลายวาระ หลายสภาวะและต่างกาลเวลา อนุโมทนาครับ....สาธุ....สาธุ

 

อนุโมทนาสาธุคะ ขอบคุณคะสำหรับข้อมูลดีที่นำมาแบ่งปันคะ
ไม่เจอกันนานนะคะคุณชยุต สบายดีนะคะ

เดิมทีเท่าที่ได้ทราบทุกอย่าเลวร้ายมากเรียกว่า ยากเกินจะแก้ไข
เรียกว่ามา ก็ไปกันหมดเลยละคะ แต่คงเป็นเพราะกำหนดต่างๆ
หลุดออกไป จากสิ้นปี 2011 เป็นปีใหม่ 2012
จากปีใหม่ 2012 เลื่อนเป็นสงกรานต์ 2012
และจากสงกรานปี 2012 ก็เลื่อนออกไปอีก
กำหนดต่างที่เรียกว่า กำหนดการเกิดภับพิบัติเหล่านี้
หากรั่วไหลออก โดยปกติมัจะเคลี่อนคะ เคลื่อนออกไป
เดิมทีนั้นรุนแรงมาก ยากจะหลีกเหลี่ยง
แต่คงด้วยเมื่อข่าวสารเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดรั่วไหลออกไป
ทำให้ผู้คนจำนวนมากหันมาทำบุญสร้างกุศลใหญ่แบบฉับพลัน
อานิสงค์ตรงนั้นจึงหนุนให้กลายจากร้ายเป็นบรรเทาลงน่ะคะ
แต่ก็ยังจะเกิดนะคะ เท่าที่ทรายมาเป็น ภัยจากน้ำมือมนุษย์ จะตีกัน
จะฆ่ากันเอง ภัยพิบัติยิ่งต่างประเทศนี้เกิดเยอะคะ แต่จะไม่ถึงกับโลกแตกหายไปเลย คนที่รอดถึงเวลาจะรอดต่อให้อยู่ในเหตุการณ์วิกฤตก็จะรอดด้วยเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเหลืออำนาจบุญกุศลที่ได้ทำไว้มาปกปักษ์รักษาจะรอดเป็นปาฏิหารย์
และพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์ปัจจุบันจะมีอายุครบ5000ปี
ส่วนคนที่มายุคนี้ส่วนนึงเกิดมาอาสามาเกิดเพื่อช่วยเหลือสืบทอดพระศาสนา อาสามาทั้งนั้น เพียงแต่จำกันไม่ได้ อาสามาช่วยพระศาสนา ช่วยผู้คนทั้งหลาย แต่ลืมไปแล้ว จำไม่ได้ว่าแท้จริงอาสามาเอง...

 

ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ ที่น่ารู้สำหรับผู้ที่สนใจในความเป็นไปของโลก

 

ขอบคุณครับ เรื่องที่แปลออกมาอ่านสนุกมากครับ

 

ผมเชื่อนะครับ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ สาธุ สาธุ สาธุ

 

ขอบคุณ สำหรับสิ่งดีๆที่ได้รับรู้ค่ะ

 

ปูก็เชื่อนะ เรื่องนี้ เพราะว่า ตัวเองก็ผ่านความตายมาแล้วเช่นกัน... เหตุการณ์ต่างๆ ที่มองเห็นว่าจะเกิดแล้วมันก็เกิด... แต่ไม่รู้ว่า คนอื่นเขาจะเห็นเป็นภาพแบบปูไหม? แต่ของปูมันเป็นภาพก่อนถึงจะเกิดขึ้นจริงค่ะ

ไม่ต้องฝรั่งหรอก ในไทยเรา ก็มีนะที่เป็นเหมือนปู

 

ขอขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่าน

 

ชอบอ่านเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว...
ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ค่ะ

 

คุณ..ชยุตคนเป็นคนที่เสียสละ...ผู้นำความรู้มหาศาล..โดยไม่หวังอะไร..ขออนุโมทนาสาธุ

 

อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องที่นำมาลงแบ่งปันกันค่ะ
ได้เตือนสติกันอีกรอบ
ไม่อยู่ในความประมาท และให้สวดมนต์นั่งสมาธิกันเยอะๆให้มากๆ...