เปิดตำนานหลวงพ่อทิม วัดละหารไร่

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

[FONT=&quot] ( ต่อจากตอนที่แล้ว ) หลวงปู่ทิม อิสริโกแห่งวัดละหารไร่นั้นในยุคสมัยที่ท่านได้ศึกษาเรียนรู้กับศาสตร์ที่มันลี้ลับซึ่งด้วยกาลเวลาสัมผัสที่ใคร่ควรนั้นสามารถที่จะพิสูจน์ทราบได้ว่าศาสตร์ที่มันลี้ลับนี้กับสิ่งต่างๆหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเห็นได้กันอย่างประจักษ์ชัดขึ้นหรืออาจจะเป็นสิ่งที่มันเหลือเชื่อก็ว่ากันได้ โดยเฉพาะการใช้หลักของคาถาอาคมที่สามารถทำให้เกิดเป็นปรากฎการณ์ต่างๆหรืออภินิหารใดๆเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือหรือเพื่อให้รู้ว่าอาคมและไสยศาสตร์นั้นมีจริง เราจะเห็นว่าการลองของหรือการลองอาคมเพื่อให้รู้ว่าอานุภาพของความศักดิ์สิทธ์นั้นเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาลบลู่กัน บางครั้งเราจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า ไม่เชื่อแต่อย่าลบลู่ ซึ่งเป็นคำกล่าวที่มีกันมานานแล้ว มันเป็นคำกล่าวที่เป็นบทวิเคราะห์ความหมายอย่างที่จะต้องมีการแยกแยะกันเพื่อให้เข้าใจในหลักของความเป็นจริงได้ การที่จะมีการเชื่อถือกันได้ก็อยู่ที่การรับรู้ในจิตที่ดีที่จะวิเคราะห์กันในสิ่งที่มันถูกต้องหรือวิเคราะห์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและกับสังคมที่ยอมรับได้ เราจะเห็นว่าไสยศาสตร์และวิชาอาคมต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ลี้ลับ การที่จะมีการเชื่อถือให้สอดคล้องกับหลักของความเป็นจริงนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันเพื่อให้เป็นที่เชื่อถือและยอมรับกันได้ว่าสิ่งที่ลี้ลับหรือปาฏิหารย์ที่เกิดจากไสยศาสตร์และอำนาจของวิชาอาคมนั้นเป็นเรื่องจริงที่ควรค่าแก่การพิจารณาหรือวิเคราะห์กับสิ่งที่เป็นประโยชน์และโทษที่จะต้องเผชิญและสัมผัสกันได้ยิ่ง<o></o>[/FONT]
<o></o>
[FONT=&quot]เราเคยได้เรียนรู้บทธรรมจากหนังสือและเรื่องราวต่างๆที่บันทึกตามหลักของพุทธศาสนาและศีลธรรมอันดี โดยในหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้านั้นสอนให้ทุกคนทำความดีพึงละเว้นความชั่วหรือการปฏิบัติในศีล[/FONT] 5[FONT=&quot] เพื่อให้ชีวิตนั้นพบแต่ความสุขความเจริญในจุดมุ่งหมายของปั้นปลายชีวิตและจุดหมายปลายทางที่จะนำไปสู่ทางแห่งนิพพานได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนนั้นจะต้องดำเนินตามแนวทางชีวิตของตัวเอง การที่ได้กำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตของตัวเองเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่จะต้องดำเนินการให้มีความรับผิดชอบชั่วดีว่าเป็นอย่างไรหรือให้มีแง่คิดดีๆที่จะดำเนินความถูกต้องในหลักทิศทางการดำเนินของชีวิตได้ ซึ่งการกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตนั้นพระพุทธเจ้าท่านได้วางหลักคำสอนต่างๆไว้เพื่อให้คนเรานั้นมีจิตสำนึกที่ดีและถูกหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อให้รู้ถึงคุณค่าของความเป็นคนสามารถมีหลักและจุดยืนในชีวิตของแต่ละคน เราจะเห็นว่าทุกคนที่เกิดมานั้นทั้งอารมณ์ความเปลี่ยนแปลงหรือความรู้สึกนึกคิดนั้นต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายของชีวิตที่จะต้องเหมือนกันหรือไปสู่ทิศทางเดียวกันคือการดับหรือความตายที่ทุกชีวิตจะต้องมุ่งสู่ในจุดมุ่งหมายเดียวกันทั้งหมดได้ซึ่งมันเป็นเรื่องของสัจธรรมชีวิตที่เป็นไปโดยหลักของธรรมชาติที่กำหนดขึ้นมา<o></o>[/FONT]
<o></o>
[FONT=&quot]การแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของการยึดมั่นในหลักธรรมที่ดีที่ได้แสดงพลังอำนาจของพุทธานุภาพที่ดีออกมาหรืออิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นในหลักของศาสนานั้นพระพุทธเจ้าท่านมิได้กำหนดหรือสั่งสอนให้มีความเชื่อถือกันเพื่อเกิดประโยชน์อันดีหรือความสุขที่สรรค์สร้างก็ดีหรือทางแห่งการอำนวยความสะดวกก็ดี โดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์หรือทางแห่งนิพพานไปได้ เป็นเรื่องที่จะต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์กันอย่างจริงจังให้รู้ถึงที่มาแห่งผลของความเชื่อมั่นและศรัทธากันได้ ปาฏิหาริย์ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติแต่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไป คนเราประสบความสำเร็จได้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม เป็นไปตามกฎการกระทำของตัวเอง เพราะแต่ละคนทำกรรมมาไม่เหมือนกัน เราจะเห็นว่าในแต่ละคนนั้นจิตวิญญาณของความนึกคิดและการกระทำที่ได้ปฏิบัติตนไปในรูปแบบนั้นจะต่างกันออกไป ซึ่งการที่จะรู้ดีรู้ชั่วนั้นอยู่ที่การปลูกฝังของจิตสำนึก ซึ่งการปลูกฝังในจิตสำนึกที่ดีและถูกต้องนั้นเพื่อให้มีจุดมุ่งหมายในการยึดหลักธรรมที่ดีและเชื่อมั่นได้สามารถที่จะปฏิบัติตนให้เข้ากับสังคมได้ การที่ทุกคนได้เห็นหรือได้สัมผัสกับอานุภาพของหลักธรรมที่บ่งบอกถึงพลังแห่งพุทธานุภาพที่เชื่อมั่นได้ และพลังแห่งพุทธานุภาพที่ดีนั้นถือกันว่าเป็นพลังที่บริสุทธ์ที่ไม่มีพลังอำนาจใดที่จะเปรียบเหมือนหรือมาครอบงำได้ แต่การที่จะบ่งบอกได้ถึงพลังฤทธิ์อำนาจของพุทธานุภาพที่ดีนั้นอยู่ที่การเชื่อมั่นและความศรัทธาที่ดีกัน ซึ่งการที่ได้มีการเชื่อมั่นและศรัทธาที่ดีนั้นโดยเฉพาะการเชื่อถือในหลักพุทธศาสนาเพื่อให้ชีวิตได้ดำเนินไปให้ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมที่ดีซึ่งเมื่อได้ปฏิบัติให้ถูกหลักก็จะทำให้ปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นในจิตที่ดีได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าเมื่อเรามีจิตกุศลที่ดีปฏิบัติถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาหมั่นดำเนินในการปฏิบัติแต่คุณงามความดีแล้วปาฏิหาริย์นั้นย่อมก่อเกิดขึ้นได้ในจิตที่มั่นคงและใจที่ปรารถนาอยู่อย่างเสมอได้ ซึ่งปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นมาอยู่ที่การเชื่อมั่นและศรัทธาในการประกอบคุณความดีได้ ซึ่งเราจะเชื่อได้ว่าเมื่อเราประกอบแต่คุณงามความดีมีจิตที่เชื่อมั่นแล้วผลบุญนั้นก็จะส่งผลที่ดีต่อตัวเราเองได้ซึ่งผลบุญที่ได้ส่งผลไปนั้นเราจะเชื่อกันได้ว่าคือปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั่นเองได้ [/FONT]
<o></o>
[FONT=&quot]เราจะเห็นว่าการเกิดปาฏิหาริย์หรืออภินิหารนั้นไม่ได้บันทึกไว้ในหลักพระพุทธศาสนา แต่อาจเกิดขึ้นได้จากผลของบุญกุศลที่ดีที่สามารถมีพลังอำนาจพิเศษที่เกิดขึ้นได้ในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจที่จะมีได้ แต่ก็มิได้เกิดจากอภินิหารของคาถาอาคมหรือเวทย์มนต์ใดๆที่เกี่ยวเนื่องกันได้ ซึ่งก็เชื่อกันว่าอภินิหารอันบริสุทธิ์ที่เชื่อมั่นกันนี้เกิดจากบุญกุศลที่กระทำกันมาด้วยใจที่ยึดมั่นกันได้ การนับถือพระพุทธศาสนานั้นซึ่งการเกิดอภินิหารนั้นเริ่มตั้งแต่การสวดมนต์ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ซึ่งอะระหะโตนั้นแปลว่าพระอรหันต์ คือผู้ตัดกิเลสทั้งปวงให้หมดสิ้นไป ซึ่งเป็นกิเลสที่ปุถุชนคนธรรมดาไม่สามารถจะตัดสิ้นไปได้ การที่จะตัดได้จะต้องมีฌานพิเศษอันเป็นอภินิหารหรือจะต้องเป็นผลของบุญกุศล และคำว่าสัมมาสัมพุทธัสสะซึ่งก็แปลว่าพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ซึ่งการตรัสรู้เองโดยชอบก็เกิดจากอภิหารของบุญบารมีที่พระพุทธเจ้าได้สร้างสะสมมา [/FONT]500[FONT=&quot] ชาติ และการที่พระพุทธเจ้าสามารถมีพระโพธิญาณได้ด้วยด้วยอภินิหารที่เกิดจากการตรัสรู้เองโดยชอบได้ ซึ่งอภินิหารหรือปาฏิหาริย์ก็คือผลของบุญกุศลหรือบุญบารมี และการสร้างบุญสร้างกุศลแล้วได้ผลบุญขณะตายไปก็ได้ร่างเป็นเทพ เป็นพรม ได้วิมาน ได้ของทิพย์ ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นอภินิหารที่ได้เกิดจากการสร้างบุญ หรือการนั่นสมาธิได้จิตสงบเป็นอุปจารสมาธิแล้วได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดา หรือได้จิตสว่างรู้แจ้งในธรรมก็สามารถเรียกว่าเป็นอภินิหารได้ ซึ่งคนที่ไม่มีอภินิหารหรือไม่เห็นอภินิหารของกุศลที่ตนสร้างมาแสดงว่าไม่เชื่ออภินิหารไม่เชื่อผลของบุญกุศลต่างๆอภินิหารจึงไม่เกิดให้เห็น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องมีศรัทธาความเชื่อมั่นเสียก่อน แล้วอภินิหารหรือปาฏิหาริย์ต่างๆก็จะสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของแต่ละบุคคล ถ้าเพียงได้รู้และเห็นได้ไม่นำมาพิจารณาในจิตมุ่งแต่ในธรรมเราก็จะได้ธรรม ซึ่งเทวดาก็จะอนุโมทนาไปเพื่อให้จิตอยู่ในธรรม ซึ่งเมื่อเห็นเทพหรืออะไรก็ตามที่เป็นอภินิหารใดๆตามหลักของกรรมฐานนั้นจะไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งเหล่านี้ จงปล่อยวางทำจิตให้ว่าง แยกกันออกเทวดาก็ส่วนหนึ่ง ธรรมก็ส่วนหนึ่ง จิตในธรรมคือจิตที่ไม่ยึดมั่นต่อสิ่งใดในโลกนี้ เมื่อจิตอยู่ในธรรมหนักๆเข้า ปัญญาในธรรมก็จะเกิดขึ้นมาเอง ( ติดตามตอนต่อไป )<o></o>[/FONT]

 

กราบหลวงปู่ทิมครับ
สวัสดีพี่ๆทุกท่านครับ

 

อนุโมทนาบุญครับ.........

 

แสดงว่าเมื่อก่อนพริ้วเหมือนกันนะครับ
แหะๆ ไม่เหมือนผมตอนนี้ หันมาใส่เสื้อลายครับ เป็นเคล็ด..

 

อ้างอิง:
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ส่างปา
กำลังหาโอกาสอยู่เหมือนกันครับ ...

พอดีเมื่อก่อนเคยก่อคดีไว้แถวนั้น เลยไปแถวนั้นคนเดียวมิได้ ต้องเอาคนทีบ้านไปด้วย ..... ฮือ ๆๆๆๆ ไปเดี่ยว เดี๊ยวโดนเอาคดีเก่ามารื้อฝื้นอีก ... 555
</TD></TR></TBODY></TABLE>

แสดงว่าเมื่อก่อนพริ้วเหมือนกันนะครับ
แหะๆ ไม่เหมือนผมตอนนี้ หันมาใส่เสื้อลายครับ เป็นเคล็ด..<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เวทีชีวิต กว้างสุดประมาณ.....<!-- google_ad_section_end -->


สวัสดีครับช่วงนี้อากาศดี เย็นสบาย
ดีใจกับทั้ง2ท่านนะครับลีลาพริ้วสุดยอด มีโอกาสจะไปแจมด้วยครับ บางแสนลมเย็นสบาย จิบกาแฟไปด้วย อยากไปจัง

 

กราบหลวงปู่ทิม สวัสดีตอนเช้าพี่ๆทุกท่านครับ

 

สวัสดีครับ ทุก ๆ ท่านครับ

ไม่ได้มีลีลาพริ้วหรอกครับ มันเป็นจังหวะชีวิตครับ แต่มันเล่นเอาชีวิตช่วงนั้นย่ำแย่สุด ๆ เลย แต่สุดท้ายคิดอะไรได้เยอะครับ ไม่มีอะไรดีไปกว่าครอบครัวแล้ว ... เพราะสร้างมากับมือ ก็คงไม่ลบด้วยเท้า ............

..... ขอให้ทุกท่านรักครอบครัวให้มาก ๆ นะครับ ครอบครัวมีความสุข ชีวิตเราก็มีความสุข อะไร ๆ ก็จะดี ไปหมด .....

 

กราบหลวงปู่ทิม และสวัสดี อ.แก้วสว่าง, พี่รัก, พี่โต้ง, น้าต๋อย และพี่ๆน้องๆทุกท่านครับ

 

เป็นความคิดที่เยี่ยมมากครับ ขอให้มีความสุขครับ มีโอกาสแวะมาทางนี้เมื่อไหร่ ก็บอกได้นะครับ ขอเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ ผมจะได้มีเวลาสะดวกหน่อยครับ

สวัสดีครับคุณ bonnieboy สบายดีนะครับ

 

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

เมตตา……...แปลตรงตรง ว่าความรัก

กรุณา……....จักสงสาร มิหน่ายแหนง

มุทิตา...........จิตอ่อนโยน ไม่ร้อนแรง

อุเบกขา........ท่านแจ้งว่า จงปล่อยวาง

สวัสดีในยามเช้าทุกๆท่าน...........

 

สวัสดียามเช้าเช่นกันครับ อ. แก้วสว่าง ^^

 

ล็อกเก็ตที่เป็นรูปยันต์สารพัดกันนั้น ในยุคสมัยหลวงปู่ทิมนั้นสร้างไว้ตอนไหว้ครูเมื่อปี2518สร้างมา เพียง22อันครับ หลังจากนั้นก็ได้สร้างต่อกันมาเรื่อยๆครับซึ่งปีที่สร้างกันในยุคต่อๆมาไม่ทราบปีและจำนวนการสร้างได้ครับ ต้องลองถ่ายภาพมาให้ชมดูกันครับ....

 

กราบหลวงปู่ทิม
สวัสดีครับอาจารย์แก้วสว่าง โต้ง และเพื่อนๆครับ ยังเข้ามาติดตามอ่านอยู่ตลอดครับ โต้งสบายดีนะครับ

 

สวัสดีครับพี่ ผมสบายดีครับ พี่คงสบายดีเช่นกันนะครับ
ปีนี้ว่ากันว่าน้ำจะหนักกว่าปีที่แล้ว เพื่อความไม่ประมาท มองหาทางป้องกัน
ตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีนะครับพี่ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ

 

สวัสดีพี่ทุกท่านครับ วันนี้อากาศดีครับ นอนไม่อยากจะตื่นเลยผม

 

กราบหลวงปู่ทิมครับ

และสวัสดีพี่น้องทุกท่านนะครับ ขอบารมีหลวงปู่ปกป้องคุ้มครองลูกหลานด้วยครับ ช่วงนี้เหนื่อยใจกับงานมากมาย :z16

 

มาอ่านประสบการณ์เรื่องเล่าต่อนะครับ...

เมื่อวานนั่งเปิดเว็บโรงเรียนทั้งวันเลยรอลุ้นผลสอบ จน 3 ทุ่มกว่า ก็ยังไม่ลง เมื่อเช้าตื่นแต่ตี 5
เพื่อมาเปิดเว็บดูไม่รู้โรงเรียนเอารายชื่อลงตอนไหน เห็นชื่อลูกสาวแล้ว ดีใจมากเจ้าตัวเขามั่นใจ
มากว่าต้องติด แต่......นี่ซิลุ้นเพราะเด็กที่ไปสอบส่วนมากก็เก่งทั้งนั้น เด็กที่ไม่ค่อยเก่งก็ไม่กล้า
ไปกลัวพลาดขึ้นมาแล้วไม่รู้จะไปไหน เพราะสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ตอนนี้โล่งแล้วพี่

3 คืนผ่านไป อาการดีขึ้นมาก มากแบบเห็นผลได้ชัดเจน น้ำมนต์ที่เอามา 2 ขวดใหญ่ (ขวดลิตร)
หมดไปแล้ว 1 ขวด รอเวลาว่าจะไปเอาน้ำมนต์ใหม่

โรคภูมิแพ้ที่เขาเป็น รักษามาเป็นปี ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นโรคผิวหนังก็หาหมอผิวหนังรักษามา
เรื่อยๆ จนตอนหลังหมอถึงตรวจเจอว่าเป็นภูมิแพ้ขั้นรุนแรงไม่น่าเชื่อนะว่าอาการที่รักษา ทายา กินยา
มาทั้งปีจะมาดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจนภายในเวลาไม่กี่วัน

เมื่อวานคนที่ติดต่อโรงพยาบาลจุฬาให้เขามาบอกว่าให้ไปได้เลยเป็นการไปทดสอบภูมิแพ้ก่อนว่าแพ้
อะไร จำไม่ได้ว่ากี่จุด ......บอกเขาว่าตอนนี้อาการดีขึ้นเยอะแล้วแล้วถ้าจะทดสอบภูมิแพ้ก็ต้องรอให้
เขาหายจากอาการปัจจุบันก่อนเพราะไม่งั้นจะแพ้เข้าไปใหญ่แล้วก็เล่าให้เขาฟังว่าตอนนี้.....ให้เขาเอา
น้ำมนต์มาผสมน้ำอาบกับอธิษฐานขอเมตตาตาบารมีจากหลวงปู่เขายิ้มๆ เหมือนเป็นเรื่องตลกน่ะ นี่แหละ
พี่เหตุผลที่ไม่อยากเล่าให้หลายคนฟังไม่ว่าเขาหรอก เพราะแต่ก่อน.....ก็เป็นแบบนี้ เวลาเด็กปวดท้อง
หรือตัวร้อนจัดๆเตี่ยก็จะเอาเหรียญพระอะไรไม่รู้มาแช่น้ำแล้วให้เด็กกินตอนนั้น.....ก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่
ไม่อยากขัดความหวังดีของเตี่ยมาตอนนี้เจอกับตัวเองถึงได้เชื่ออย่างสนิทใจ

1 วันที่นั่งลุ้นผลสอบของคนเล็ก กับ 3 วันที่นั่งลุ้นอาการภูมิแพ้ของคนโต พอใจแล้วพี่ขออีกอย่าง ขอ
ถูกแจ๊คพ๊อตรางวัลที่ 1 จะดีใจมากเลย...

 

บ้านไม่ร้อนนะครับ ฮาๆๆๆ

 

ตามความคิดเห็น คุณส่างปาครับ

สวัสดีครับ เป็นคำสอนที่ดีมากๆ ครับ

 

ขอบคุณพี่โมทย์ด้วยครับที่กรุณานำมาเล่า และเตือนสติ

สวัสดีพี่โต้ง ด้วยครับ ลูกอมที่ให้มา ของผมไม่เห็นใครซักกกก คน แฮะๆ........แต่คล้องคอ ตลอดครับ 2 ชิ้นนี้ เด๋วมีเวลาหรือโอกาสจะนำไปใส่ให้สวยกว่านี้หน่อย