แปลคาถาพาหุงและสรุปเรื่องราวอย่างย่อๆ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย naroksong, 2 เมษายน 2012.

  1. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    เชื่อว่าบทสวดพาหุงจะช่วยป้องกันภัยอันตรายได้ครับ เลยขอนำคำแปลภาษาไทยมาฝาก พร้อมทั้งสรุปเรื่องราวแบบย่อๆ

    1. มารพันมือถืออาวุธสุดพันลึก
    ขี่ช้างศึก ครีเมขละจะห้ำหั่น
    ยกเสนาโห่ก้องฟ้ามาประจัญ
    หมายฟาดฟันภควันต์ให้บรรลัย

    จอมมุนีประทับระงับจิต
    นิ่งสนิทพระทัยมั่นไม่หวั่นไหว
    อาศัยทานบารมีฤทธิไกร
    บันดาลให้พระทรงภพสยบมาร

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แด่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน


    พญามารรู้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะ จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจึงลงจากเทวโลกชั้นมารเสด็จตามเจ้าชายสิทธัตถะประดุจเงาตามตัว คอยหาโอกาสว่าวันใด พระกุมารองค์นี้ จะมีจิตเวียนไปในกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก(ความ คิดเบียดเบียตน/ผู้อื่น) แต่พระโพธิสัตว์ก็ข่มวิตกลามกไว้ได้ตลอดมารจึงไม่ได้โอกาส แม้แต่ตอนทีพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยาจนมีรูปร่างเหมือนเปรต มีหนังท้องติดกับกระดูกสันหลัง มีตาบุ๋มลึกเข้าไป อยู่จรดความตาย พระโพธิสัตว์ก็ไม่เกิดความท้อถอยว่าคนเช่นเราคงไม่บรรลุ แต่ทรงตรึกว่าถ้าคนเช่นเรายังไม่บรรลุ ก็ไม่ต้องพูดถึงชนเหล่าอื่น

    จนสุดท้ายได้ดำเนินไปตามมรรคเก่าที่พระอริยะในปางก่อนได้ดำเนินมา พญามารรู้ว่า วันนี้แหล่ะ สิทธัตถะคงตรัสรู้ ไมสามารถอดกลั้นความริษยาได้( พญามารเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในอนาคตกาล) จึงยกพรรคพวกบริวารมา ขับไล่พระโพธิสัตว์จากรัตนบัลลังค์( เป็นที่นั่งที่เกิดขึ้นเองเมื่อพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้)

    พระโพธิสัตว์ไม่เห็นที่พึ่งอื่นใดที่จะต่อต้านกับพญามาร เพราะเมื่อ พญามารยกพลมา เทวดาทั้งหมดก็หนีหายไป พระพรหมก็หลบหน้าไม่อยากสู้รบกับมาร พระโพธิสัตว์จึงระลึกว่า "ที่พึ่งเหล่าอื่น มีมารดา บิดา ภรรยา บุตร เทพเทวาไม่มี เห็นมีแต่ ทศบารมี มี ทานบารมี เป็นต้น ที่เราสั่งสมไว้ในอดีตหาประมาณไม่ได้จะเป็นที่พึ่ง" เมื่อพระโพธิสัตว์ระลึกอย่างนี้ แผ่นดินและอากาศก็หวั่นไหว สายฟ้าฟาดใส่เหล่ามาร จนมารทั้งหลายอยู่ไม่ได้ต้องหนีกลับไป

    2. อาฬวกะยักษ์ร้ายใจฉกาจ
    หมายพิฆาตจอมมุนีให้ปี้ป่น
    ตลอดคืนยันรุ่งมุ่งผจญ
    พระทรงใช้ความอดทนสู้เหตุการณ์

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แด่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน


    พระราชาพระองค์หนึ่งได้เสด็จประภาสล่าสัตว์ในป่าลึกด้วยพระองค์เอง จนเหนื่อยอ่อนจึงเข้าไปพักใต้ต้นไทรต้นหนึ่ง ซึ่งมียักษ์ชื่ออาฬวกะสิงสถิตย์อยู่

    ยักษ์ตนนั้นจึงได้ปรากฎกายออกมาเพื่อจะจับพระราชากิน พระราชาร้องขอชีวิต แต่ยักษ์ปฎิเสธ เพราะได้รับอนุญาติจากท้าวเวสุวรรณให้จับคนกินได้เฉพาะคนที่มาอยู่ใต้เงาของต้นไทรนี้เท่านั้น พระราชาให้คำสัตย์สาบานว่าจะส่งคนในเมืองให้ยักษ์กินทุกวันถ้าไม่มีคนส่งไป ก็มาจับตนกินได้เลย อาฬวกยักษ์จึง
    ยอมปล่อยพระราชาไป เมื่อพระราชากลับไปถึงเมืองก็จัดการส่งนักโทษมาทุกวัน คนที่มาส่งนักโทษเห็นยักษ์ปรากฎตัวออกมากินนักโทษก็หวาดกลัว กลับไปเล่าขานว่าพระราชาทรงส่งนักโทษให้ยักษ์กินจนกระทั้งไม่มีนักโทษเหลือ

    พระราชาจึงเอาถุงเงินไปวางไว้ตามถนน ใครเผลอไปหยิบเข้าก็จะถูกเจ้าหน้าที่จับในข้อหาเป็นโจรแล้วก็ถูกส่งไปให้ยักษ์กินทันที พระองค์ทรงทำอย่างนี้จนกระทั่งไม่มีใครในเมืองกล้าแม้แต่จะเด็ดหญ้า

    สุดท้ายไม่มีนักโทษ พระราชาจึงแอบจับเด็กส่งไปให้ยักษ์กิน จนชาวเมืองส่งลูกหลานหนีไปอยู่เมืองอื่น พระราชาไม่มีใครที่จะส่งไปให้ยักษ์กินอีกยกเว้นพระราชโอรสของพระองค์อายุ 7 ขวบ
    ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์ออกจากมหากรุณาสมาบัติทรงตรวจสัตว์โลกว่า ใครที่จะบรรลุมรรคผลเห็นว่าพระกุมารและยักษ์มีบุญวาสนาแก่กล้าพอที่จะบรรลุมรรคผล จึงเสด็จไปโปรด พระพุทธองค์จึงเสด็จไปประทับในที่อยู่ของยักษ์ทำให้อาฬวกยักษ์โกรธมาก ไม่พูดไม่จา พยามฆ่าพระพุทธองค์แต่ไม่สามารถทำได้ จนสุดท้ายรู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะฆ่าพระพุทธองค์ จึงพูดว่า "สมณะท่านจงไป" พระพุทธเจ้าก็ออกไปโดยดี

    อาฬวกยักษ์เห็นว่าสมณนี้ว่าง่ายดี เลยเล่นสนุก ใช้ให้ไปนั่งตรงนั้น ตรงนี้ ตลอดคืน จนอาฬวกยักษ์เบื่อ คิดฆ่าพระพุทธองค์อีก เมื่ออาฬวกยักษ์เกิดความคิดลามก พระพุทธองค์ก็ไม่ทำตามคำของยักษ์อีก ยักษ์จึงเปลี่ยนมาถามปัญหาให้พระพุทธเจ้ามึนเล่นแทน ซึ่งปัญหานี้ไม่มีใครเคยตอบได้ (เป็นปัญหาที่ มารดาบิดาของยักษ์ในภพก่อนได้สอนไว้ซึ่งมารดาบิดาของยักษ์ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าแล้ว และทั้งสองท่านได้เล็งเห็นว่าพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลจะสามารถแก้ความหยาบช้า ของยักษ์ตนนี้ได้ จึงให้ปัญหาไว้ )

    ปัญหาที่อาฬวกยักษ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค เช่น

    "อะไรเล่าเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดของบุรุษใน
    โลกนี้ อะไรเล่าที่บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
    อะไรเล่าเป็นรสยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย นัก
    ปราชญ์ทั้งหลาย ได้กล่าวชีวิตของบุคคลผู้เป็นอยู่อย่างไรว่าประเสริฐที่สุด"


    พุทธะ "ศรัทธาเป็นทรัพย์ เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดของบุรุษใน
    โลกนี้ ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
    สัจจะแลเป็นรสยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย นัก
    ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของบุคคลผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐที่สุด"
    เป็นต้น

    เมื่อพระพุทธเจ้าแก้ปัญหาเหล่านั้นได้หมด อาฬวกยักษ์ก็บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนพระราชกุมารบรรลุอนาคามีผล


    3. ช้างตกมันหันใส่ดุจไฟป่า
    ร้องแปร๋นแปร๋นแล่นมากลางถนน
    หมายขยี้บี้บดพระทศพล
    แด่พ่ายมนต์เมตตาพระทรงญาณ

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แต่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน


    พระเทวทัตคิดฆ่าพระพุทธเจ้า จึงมอมเหล้าช้างศึกนาฬาคิรีซึ่งปกติช้างตัวนี้ก็เหี้ยมโหดชอบเอางาแทงช้างด้วยกันไม่ต้องพูดถึงคนเลย เมื่อช้างเมาได้ที่จึงปล่อยไปทางที่พระพุทธองค์เสด็จมา ช้างตัวนี้ก็ไล่ขวิดผู้คน ทำลายร้านค้า บ้านเรือน จนมาถึงกลุ่มพระภิกษุที่กำลังบิณฑบาตรอยู่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระหลายร้อยที่แวดล้อมพระพุทธองค์ก็หนีหายหมดเหลือแต่พระอานนท์พุทธอนุชาเสด็จออกมาขวางไว้

    แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้พระอานนท์สบายใจว่าช้างตัวนี้ไม่สามารถทำร้ายพระองค์ได้ พระองค์ตรัสเสร็จก็แผ่เมตตาไปที่ช้างนาฬาคีรีและกล่าว่า "การ ฆ่าพระพุทธเจ้า เช่น เราไม่ดีเลย เพราะผู้ฆ่าพระพุทธเจ้าย่อมไปสู่ทคติ ท่านเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะกรรมลามกในภพก่อน อย่าได้เสพกรรมลามกต่อไปเลย"

    ช้างนาฬาคีรีได้สติ จึงคุกเข่าด้วยขาทั้งสอง เอางวงสูดละอองธุลีพระบาทแล้วพ่นลงบนหลังตัวเอง แล้วเดินกลับไปยังกรงอย่างสงบ


    4. โจรทะนงองคุลิมาลหาญกล้า
    สองมือคว้าดาบชูสู่สถล
    วิ่งไล่ล่าตถาคตทศพล
    สิ้นสามโยชน์( 48 กิโลเมตร)อดทนมุ่งราวี

    พระมุนินท์ชินสีห์มิมีขลาด
    ย่างพระบาทปกติตามวิถี
    โจรยิงไล่ยิ่งห่างในทันที
    พระทรงมีฤทธิ์วิเศษเผด็จพาล

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล

    แด่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน

    อาจารย์เจ้าสำนักตักศิลาคิดฆ่าอหิงสกะซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตน ตามคำหลอกลวงเป่าหูของเหล่าลูกศิษย์ที่เกลียดชังอหิงสกะ และเพื่อไม่ให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงคิดยืมมือคนอื่นฆ่าอหิงสกะโดยหลอกอหิงสกะว่า ตนมีวิษณุมนต์ที่มีอานุภาพมากอยู่ แต่ผู้ฝึกจะต้องฆ่าคนพันหนึ่งเป็นเครื่องบูชาก่อนจึงจะสามารถศึกษาได้ อหิงสกะอยากเรียนวิชาจึงไปเป็นโจรดักฆ่าผู้คน เมื่อฆ่าคนไปมากๆ ก็ไม่สามารถจดจำนวนคนที่ฆ่าไป จึงต้องเอานิ้วหัวแม่มือมาร้อยเป็นมาลัยแล้วคล้องไว้ที่คอ หลังจากนั้นท่านจึงได้ชื่อว่า โจรองคุลีมาล(โจรนิ้วหัวแม่มือ)

    5. นางจิญจามารยาสารพัด
    ยั่วยวนชวนกำหนัดทุกแห่งหน
    เอาเยื่อไม้เคียนพุงมุ่งผจญ
    กล่าวอ้างพระทศพลคือสามี

    พระมุนินท์ชินสีห์มิได้หวั่น
    พระทัยมั่นสงบสง่ามีราศี
    นางกล่าวร้ายอย่างไรมิไยดี
    ใช้ขันตีข่มจิญจามารยามาร

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แด่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน

    เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เจ้าลัทธิอื่นๆ ก็สูญเสียลาภสักการะและในชมพูทวีปมีหญิงงามคนหนึ่งชื่อนางจิญจาเป็นผู้หญิงที่มีความงามอย่างมาก มีจิตเลื่อมใสในเจ้าลัทธิอื่นๆ เมื่อนางไปหาเจ้าลัทธิเหล่านั้น ได้เห็นเจ้าลัทธิคอตกซบเซาจึงถามหาสาเหตุ เมื่อนางรู้ว่าเป็นเพราะพระพุทธองค์จึงคิดแก้แค้นนางใช้อุบาย

    เมื่อตกเย็นนางก็ไปยังวัดพระพุทธเจ้าประอยู่โดยเข้าทางประตูหน้า โดยเดินตรงไปยังที่อยู่ของพระพุทธเจ้าแล้วก็แอบหนีไป พอใกล้รุ่งนางก็แอบกลับไปยังวัดแล้วเดินออกมาทางประตูหน้า และยังทำผมกระเซอะกระเซิน เสื้อผ้าหลุดๆลุ่ยๆ นางทำแบบนี้บ่อยๆ ผู้คนเห็นก็เกิดความสงสัยว่านางคนนี้มาทำไม? นางก็ตอบ "เรื่องของข้า" แล้วนางก็ทำอาการเหมือนตั้งครรภ์ และปล่อยข่าวลืออกไปว่าท้องกับพระพุทธองค์ ข่าวลือแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว

    และวันหนึ่งในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ในเรื่องโทษของกามและอานิสงส์ของเนกขัมมะ นางก็ลุกขึ้นกล่าวต่อหน้าพระพุทธองค์และมหาชน โดยที่นางแสดงว่าว่าตนเองท้องแก่ใกล้คลอด "ครรภ์ ของหม่อมฉันที่เกิดขึ้นเพราะพระองค์แก่แล้ว เมื่อพระองค์ไม่ดูแลหม่อมฉันไม่เป็นไร ขอพระองค์จงจัดให้พระสาวกที่คอยอุปฎากพระองค์ มีพระเจ้าโกศล ท่านอนาถบิณเศรษฐีหรือนางวิสาขา มาดูแลหม่อมฉันก็ได้ พระองค์ทรงดีแต่หาความสำราญ แต่กลับไม่ดูแลหม่อมฉัน"

    พระองค์จึงตรัสว่า "น้องหญิง คำอันเจ้ากล่าวแล้วจะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้."

    นางจิญจาจึงตอกลับว่า "เป็นอย่างนั้น ท่านมหาสมณะ ท่านและหม่อมฉันทราบดี.

    เทพที่อารักขาพระพุทธองค์ทนไม่ได้ จึงแปลงกายเป็นหนูไปแทะเชือกที่ผูกเยื้อไม้ที่เป็นท้องปลมของนางจิญจาจนหลุดลงมา มหาชนเห็นดังนั้นจึงขับไล่

    เมื่อนางหนีพ้นออกมาจากวัด ก็ปรากฎไฟอเวจีปรากฎขึ้นเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าสีแดงแล้วหายไปไม่เหลือแม้แต้เถ้า

    6. นิครนถ์ชื่อสัจจกะพหูสูต
    เป็นนักพูดเก่งกล้าท้าทุกหน
    หาญโต้พระพุทธะเจ้าด้วยเมามน
    ทศพลใช้ปัญญาชำนะมาร

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แต่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน


    สาวกลัทธิชีเปลือยชื่อสัจจกะเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์คำสอนเคยโต้กับเจ้าลัทธิมาแล้วทั่วชมพูทวีป เมื่อเจ้าลัทธินั้นจนด้วยเหตุผลที่จะเถียงกับสัจจกะก็ได้แต่นั่งก้มหน้าและสั่นด้วยความโกรธ

    วันหนึ่งสัจจกะได้ยินพระสาวกสั่งสอนหมู่ชนว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่สมควรมั่นหมายว่าเป็นตัวเราของเรา สัจจกะจึงถามพระสาวกองค์นั้นว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้จริงหรือ? เมื่อแน่ใจแล้ว จึงคิดไปโต้คารมกับพระพุทธเจ้า

    สัจจกะมั่นใจในความรู้และศิลปะการโต้วาทีรวมถึงความมีเหตุมีผลของตน จึงกล่าวกับมหาชนขึ้นว่า "ไม่มีเจ้าลัทธิ ศาสดาองค์ไหนที่จะสนทนากับเราแล้วไม่หวั่นไหว คนเช่นเราพูดกับเสา เสายังสั่นสะเทือน"

    แล้วสัจจกะจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วแสดงเหตุผลเป็นอันมากว่าขันธ์ 5 เป็น ตัวเรา ของเรา

    พระพุทธองค์จึงถามกลับว่า " กษัตริย์ทั้งหลายสามารถลงโทษท่าน มีการตัดมือตัดเท้า เป็นต้น ได้ไม่ใช่หรือ? บัดนี้ท่านยังเห็นขันธ์ 5 ว่า เป็นเรา เป็นของเราอยูอีกไหม?" สัจจกะจึงก้มหน้าเงียบไม่พูดไม่จา พระพุทธองค์จึงถามอีกครั้ง สัจจกะก็ก้มหน้านิ่งไม่ตอบ

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสถามปัญหาโดยธรรมแก่บุคคลใดถึง 3 ครั้ง แล้วบุคคลนั้นไม่ยอมแก้โดยธรรม ผู้นั้นจะมีศีรษะแตกละเอียด"

    ทันใดนั้นก็มีเทวดาตนหนึ่งบันดาลรูปของตนให้น่าสะพรึงกลัว ควงไม้ตะบองอยู่ในอากาศ แล้วตะโกนด้วยเสียอันดังว่า "ถ้าท่านไม่ยอมแก้ ปัญหาของพระพุทธองค์อีกครั้ง ข้าจะให้ตะบองนี้ทุบศีรษะท่านให้แหลกละเอียด" สัจจกะตกใจกลัว ตัวสั่นงันงก ขออาราธนาพระพุทธองค์เป็นสรณะ ที่พึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าถามอีกครั้ง สัจจกะจึงกล่ายอมรับว่า ตนไม่มีความเห็นเช่นนั้นแล้ว

    7. นันโทฯนาคราชฉกาจฤทธิ์
    พ่นควันพิษพันพัวมืดมัวหน
    โมคคัลลาน์ โอรสทศพล
    ใช้ฤทธิ์ดลดับพิษสนิทนาน

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แด่เราท่านถ้วนทั่วทุกตัวตน


    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์อีก 500 องค์ เสด็จไปยังเทวโลกชั้นดาวดึงส์ได้เหาะผ่านวิมานของนาคราชตนหนึ่ง นาคราชตนนั้นโกรธคิดว่าสมณะหัวโล้นพวกนี้ถือตัวว่ามีฤทธิ์เหาะผ่านวิมานเรา ทำขี้ตีนหล่นใส่ จึงบันดาลให้เกิดความมืดขึ้น พระพุทธองค์และพระสาวกรู้ว่านาคราชโกรธแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระราหุล พระรัฐบาล เป็นต้น อาสาปราบพญานาคนั้น แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาติ

    จนกระทั่งเมื่อพระโมคคัลลานะอาสาเป็นผู้จัดการ พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาต พระโมคคัลลานะจึงใช้ฤทธิ์เข้าไปอยู่ในศีรษะของนาคราช แล้วเดินจงกรมในศีรษะของนาคราชทำให้นาคราชปวดศีรษะทนไม่ไหวต้องของขมาพระเถระ แต่พญานาคยังไม่หายโกรธ ในขณะที่กำลังขอขมาก็พ้นควันพิษซึ่งมีฤทธิ์ร้ายแรงแต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายพระเถระได้

    ( อรรถกถากล่าวว่า ที่พระพุทธเจ้าไม่ให้พระสาวกองค์อื่นจัดการนาคราชตนนี้ เพราะเมื่อนาคราชพ่นควันพิษนี้พระเถระองค์อื่นจะไม่สามารถทำจิตเป็นสมาธิและ ใช้ฤทธิ์แก้ไขได้ทัน และจะแหลกเป็นจุญไป)


    8. พกาพรหมบรรทมสถานทิพย์
    สูงลิบลิบลิ่วลิ่วโพยมหน
    เห็นผิดผิดคิดว่าตนอยู่คงทน
    ดุจพิษร้ายทำลายคนทรามปัญญา

    จอมมุนีกรุณารักษาพิษ
    ด้วยตัวยาอมฤตคือญาณกล้า
    ให้พรหมเห็นชั่วดีมีปรีชา
    รู้ว่าสังขาราไม่ยืนนาน

    ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
    บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
    เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
    แด่เราท่านด้วยทั่วทุกตัวตน


    พกาพรหมเป็นฤาษีผู้บำเพ็ญตบะธรรมในปางก่อน ฤาษีตนนี้เป็นผู้มากด้วยกรุณา ไม่นิ่งเฉยในความทุกข์ของสัตว์เหล่าอื่นและในชาตินั้นยังเป็นอาจารย์ของพระโพธิสัตว์ด้วย เมื่อฤาษีตนนั้นละโลกมนุษย์ไปก็ไปสถิตย์ยังพรหมโลกเป็นเวลานาน มีปกติอยู่ด้วยความสุขอันประเสริฐมีรสเลิศเป็นความสุขอันไม่มีโทษ ไม่ก่อให้เกิดความกำหนัดลุ่มหลง (พรหมบริโภคปิติและสุข ที่เกิดจาก เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต อุเบกขาจิต เป็นอาหาร) จนลืมไปว่าตนจุติมาจากมนุษย์โลก

    และเมื่อพรหมนั้นเห็นกาลพินาศของจักวาลและสัตว์โลกที่อยู่ในภพที่ต่ำกว่าตนมาหลายร้อยครั้ง ก็เข้าใจผิดว่าเรานี้เป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่ตาย ถ้าสัตว์โลกอยากพ้นจากความแก่ความตายก็แค่บำเพ็ญกุศลกรรมให้มาเกิดในพรหมโลกให้ได้ก็พอ

    พระพุทธองค์จึงเสด็จไปยังพรหมโลกทรงกล่าวถึงอายุที่เหลืออยู่ของพกาพรหม รวมถึงตบะและวัตรที่ พกาพรหมบำเพ็ญเมื่อยังเป็นมนุษย์ พกาพรหมระลึกได้จึงเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก

    -----------------------------

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 เมษายน 2012
  2. gomm

    gomm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +4
    เป็นประโยชมากเลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...