ข่าวสารจากจิตจักรวาล

ซาตานตัวที่ 11 ได้ปรากฎแล้ว และมาโผล่ที่ประเทศไทย

ส่วนคนที่จะมาต่อสู้กับซาตานตัวนี้

คนท้ายทอยแหลม หน้าผากโหนก ชื่อ " ส " ก็ไม่รู้ว่าใครนะเดากันเอาเอง

เดายากทั้งสองปริศนาเลยครับผม แต่ ส ผมคิดว่าคงน่าจะมีสุรยุทนะครับเดา

เอานะครับ มั่วๆไป แต่ซาตานตัวที่ 11 ไม่รู้เลยครับ

เห็นด้วยนะครับถ้าจะมีการทำสมาธิกันเพื่อรวมพลังให้พระองค์ท่านและคิดว่า

พลังของพวกเราน่าจะทำให้เหตุการณ์จากหนักมากผ่อนลงมาได้นะครับ

 

คนท้ายทอยแหลม หน้าผากโหนก ชื่อ " ส " ผมขอเดาว่าน่าจะเป็นท่านนี้ครับ

​

"สพรั่ง" ลั่นไม่รังเกียจนักการเมือง แต่รังเกียจพฤติกรรมนักการเมืองที่ทำลายชาติ ย้ำ ชีวิตนี้ไม่เคยกราบขอตำแหน่งใคร ขอดำเนินตามพระบรมราโชวาทของในหลวง-ราชินี ปกป้องประโยชน์ชาติบ้านเมือง ประชาชน​

ที่มา http://www.nationchannel.com/xtext/index.php?newsid=4930​

 

อิอิ ไม่ขอลงความคิดเห็นนะครับ กับซาตานและคุณ ส. บางท่านอาจจะรู้กันอยู่ว่ามีอะไรอยู่ในกอไผ่ และภัยพิบัติก็กำลังตามมา

จงรักษาความดีของตนไว้​

 

เห็นด้วยครับ ท่านเหนื่อยใจมากแล้วกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมา
ขอเชิญพวกเรามาร่วมทำพลังส่งมอบให้ท่านกันดีกว่าครับ
นัดเวลาให้ตรงกันยิ่งดีครับ คุณอ๋อดูวันไหนเหมาะสมก็บอกมาเลยนะครับ

 

เรียนพี่ๆ ทุกท่าน เรื่องท่านฮิตเลอร์ ผมว่าลองหาอ่านเรื่องของท่านในหนังสือของหลวงพ่อก่อนมั้ยครับ (เล่มไหนผมก็จำไม่ได้แล้ว) ผมกลัวว่าจะเป็นการเข้าใจผิดกันไปเยอะนะครับ หรือลองถามบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อก็ได้ครับ

 

*** เชื่อเถิด ****

*** หากคิดจะช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ****

ไม่เชื่อ "โลกุตตระ" ... แล้วจะไปเชื่อใครอีก
นั่งสมาธิ...ออกจะเสียเวลา
แต่ กำหนดเป็น "สัจจะ"....เกิดเป็น "การกระทำ" ทันที !!!!!!!
เพียงแต่กำหนด...ทำสิ่งที่ดี...กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
แล้วทำให้ได้จริง
ปฏิหาริย์เกิดขึ้นแน่นอน

- ข้าพระพุทธเจ้า " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

ที่จริงมีกิจกรรมนี้ที่พวกเราทำสมาธิรวมกันอยู่ครับ ผมก็พยายยามทำทุกวันเป็นปกติแทบไม่ขาดเลยนับแต่ตั้งกระทู้นี้มาครับ

http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=48227

หากจะทำเพิ่มเป็นพิเศษ ก็ลองดูเป็นทุกวันจันทร์อันเป็นวันประสูติของพระองค์ท่านครับ

 

"สัจจะ"... ของประชาชน
คือ ผู้ต่อสู้กับ....ซาตาน

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

สรุปว่าพร้อมกันทุกๆวันจันทร์ ช่วงเวลา 2 ทุ่มครึ่ง-3ทุ่มครึ่ง เป็นพิเศษให้ในหลวงแล้วกันครับ
ที่คุณหนุมานฯบอกมามีเหตุผลครับ ผมว่าเราเพิ่มการ"กำหนดสัจจะ"ตามความสะดวกของแต่ละท่าน ว่าจะรักษาศีลห้า หรือศีลแปด หรืองดเว้นการทานเนื้อสัตว์ สัก1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน หรือตลอดไปได้ยิ่งดี เป็นการแสดงออกจากจิตใจถวายให้ในหลวงและได้ผลดีกับตัวเองด้วย เพื่อนๆเห็นเป็นไงครับ เพราะสามารถเริ่มทำได้ทันทีด้วย นอกเหนือจากการปฎิบัติเทคนิคสมาธิ

(verygood)(verygood)(verygood)

 

ลองฟังบทสวดมนต์นี้แร้ว ก้ขนลุกซู่ๆแร้ว อนุภาพมหาศาลจิงๆ
เหมือนๆมีวิญญาญ มารับส่วนบุนเรย ความรุ้สึกบอกแบบนั้น จึ่ยๆ

 

แม่นายมลเขียนว่า

อาจารย์บอกลักษณะของคน ที่จะสู้กับซาตาน คือ
คนท้ายทอยแหลม หน้าผากโหนก ชื่อ " ส " ก็ไม่รู้ว่าใครนะเดากันเอาเอง

ทำไมไปบิดเบือนคำพูดเขาว่า เป็นซาตานละ?
คนที่บิดเบือนน่ะ ผมว่า "เป็นละอองขี้เล็บซาตาน" แน่นอน


มารชอบบิดเบือน มารชอบบิดเบือน สังเกตุดีๆ บิดเบือนบ่อยๆ

 

แม่นายมลเขียนว่า

อาจารย์บอกลักษณะของคน ที่จะสู้กับซาตาน คือ
คนท้ายทอยแหลม หน้าผากโหนก ชื่อ " ส " ก็ไม่รู้ว่าใครนะเดากันเอาเอง

ทำไมไปบิดเบือนคำพูดเขาว่า เป็นซาตานละ?
คนที่บิดเบือนน่ะ ผมว่า "เป็นละอองขี้เล็บซาตาน" แน่นอน


มารชอบบิดเบือน มารชอบบิดเบือน สังเกตุดีๆ บิดเบือนบ่อยๆ

-------------

หืม โอ้โหๆๆ คิดไปซะไกลเลยนั่นหาว่าเราเป็นขี้เล็บมารอีก ยอมรับว่า

อาจจะใส่รายละเอียดในคำตอบที่โพสลงไปไม่ชัดเจนตกไปนิดหน่อย

คิดว่าหลายๆท่านคงเข้าใจเจตนาดี ไม่ได้เจตนามาบิดเบือนอะไรให้เสีย


หายนะครับ คิดมากไปป่าวครับคิดไกลไปถึงไหนต่อไหนกัน

เห็นคำตอบของพี่เกษมที่วิเคราะห์แล้วเฉียบดีครับ คิดว่าเป็น พลเอก

สะพรั่ง

 

-------------------------------------------------------------------
อะไรที่ขาดตกบกพร่องไปก็ขออภัย ท่านใดต้องการความชัดเจนไปซื้อซีดี
คร้งที่ 130 มาดูชัวร์กว่านะจ๊ ได้ทำบุญด้วย

ซาตาน, มาร, ผู้ปฎิบัติธรรม ล้วนเป็นบุตรพระเจ้าทั้งสิ้น ต่างกันที่ใครรู้หน้าที่
ของตนที่ต้องมาทำบนโลกนี้

รับฟังมา ไม่ได้พูดขึ้นเองและไม่ขอคัดคานใครหรือก้าวล่วงผู้ใด
ขอบอกว่า อ.ปริญญา ท่านกล้าหาญมากๆ ทีกล้าบอกเรื่องนี้แลเรื่องอื่นๆอีก

 

-------------------------------------------------------------------
อะไรที่ขาดตกบกพร่องไปก็ขออภัย ท่านใดต้องการความชัดเจนไปซื้อซีดี
คร้งที่ 130 มาดูชัวร์กว่านะจ๊ะ ได้ทำบุญด้วย

ซาตาน, มาร, ผู้ปฎิบัติธรรม ล้วนเป็นบุตรพระเจ้าทั้งสิ้น ต่างกันที่ใครรู้หน้าที่
ของตนที่ต้องมาทำบนโลกนี้

รับฟังมา ไม่ได้พูดขึ้นเองและไม่ขอคัดคานใครหรือก้าวล่วงผู้ใด
ขอบอกว่า อ.ปริญญา ท่านกล้าหาญมากๆ ทีกล้าบอกเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆอีก

 

ข่าวสารจากจักรวาล และธรรมะยุคพลังงานใหม่..โดย อ.ปริญญา ตันสกุล
<HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ไปฟังบรรยายมาครับ ก็นำมาเล่าให้ฟังแบบสรุปใจความสำหรับผู้สนใจ เป็นครั้งที่ 124 เรื่องคนเหนือกรรม และวิกฤตโลก ..

เหตุแห่งโลกวิกฤต

เหตุแรก เพราะมนุษย์มีปัญหา
1.1 ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร?
1.2 ไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน?
1.3 ไม่รู้ว่าใครอนุญาตให้มาเกิด?
1.4 ไม่รู้ว่ามาเกิดกันทำไม?
1.5 ไม่รู้ว่าตนเองมีหน้าที่ต้องทำอะไร?
1.6 ไม่รู้ว่าทุกข์แท้จริงคืออะไร?
1.7 ไม่รู้ว่าสุขที่แท้จริงคืออะไร?
1.8 ไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร?

2. เพราะสังคมมนุษย์มีปัญหา
2.1 บ้าวัตถุเทคโนโลยี่
2.2 บ้าอำนาจ
2.3 ปัญญามืดบอด - ขาดสันติสุข - ขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน

3.โลกมีปัญหา
3.1 ขาดสันติภาพ
3.2 ขาดพลังงาน
3.3 ขาดความสมดุล

อาจารย์พูดถึงเรื่องเหตุที่โลกวิกฤตจากภัยธรรมชาติ สาเหตุสำคัญที่สุดก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถทำหน้าที่ร่วมกับโลกได้ตามพันธะสัญญา หรือเงื่อนไขภายในระยะเวลา 60,000 ปี ดังนั้นไม่สามารถยกเลิกโปรแกรมนี้ได้ ทำได้แต่เพียงให้วิกฤตนั้นทุเลาเบาบางลงได้ วิกฤตโลกที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็น ครั้งที่ 4 ซึ่งกำลังเข้าใกล้จุดวิกฤตเต็มทีแล้ว และจะเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดนับแต่เกิดโลกนี้ขึ้นมา

จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการทำตัวเองให้เป็น"มนุษย์พันธุ์ใหม่" เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อมอบพลังงานไฟฟ้าด้านบวกให้กับโลก ด้วยการเข้าถึง"ความรักอันสูงสุด"เท่าที่เราจะทำได้ โดยสั่นสะเทือนมันออกมาจากจิตสำนึกด้านบวกที่ทำงานร่วมกับกลไกสมองของเรา

การเป็นมนุษย์ให้เป็น คือการเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกๆสรรพสิ่ง เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ด้วยการดำรงอยู่อย่างเกื้อกูลและอาศัยซึ่งกันและกัน

สภาวะที่เราเกิดความนิ่ง ว่าง ความสงบใจจิตใจแบบปกติจนถึงสูงสุด รวมถึงการทำสมาธิ จิตและกลไกสมองจะผลิตเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดออกมาด้วย เป็นอารมณ์ที่เหนืออารมณ์ใดๆทั้งสิ้น เป็นความสุขที่แท้จริง ( จิตที่เป็นสุญญตาไม่ได้หมายความว่าว่างไปหมด แท้แล้วเป็นอารมณ์หนึ่ง ที่สั่นสะเทือนสูงสุดจนเกิดความสงบนิ่งจนดูเหมือนไม่สั่นสะเทือน )

สิ่งที่เป็นคลื่นความถี่แบบหยายๆ (โลภ โกรธ หลง งมงาย) เป็นความรู้สึกทางอารมณ์ด้านลบ ที่หากเราไม่รู้จักการบริหารจิต ก็จะเกิดความมักง่าย เรียนรู้อย่างขาดสติ เวลาที่มีสิ่งใดมากระทบมักจะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำๆก่อนเกิดเป็นอัตโนมัติทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็น หญิง-ชาย แม้แต่พระอรหันต์ก็ตาม เพียงแต่จะหยุดอารมณ์นั้นได้เร็วหรือช้า หรือปล่อยใจไปตามความอยากของอารมณ์นั้นๆ

เรื่องนี้อาจารย์แนะนำว่า หากเกิดอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นพยายามดับให้ได้ อย่าให้เกิน 3 นาที ก่อนที่ข้อมูลเหล่านั้นจะหล่นลงไปบันทึกในจิตใต้สำนึกให้ต้องตามแก้ไขกันต่อไป

***ความเร็วของคลื่นจิต จะเท่ากับความเร็วแสงที่เปลี่ยนค่าเป็น 2 เท่าในทุกๆวินาที***

คิดถึงใครจิตจะพุ่งไปเร็วและกลับมาเร็ว จิตปัจจุบันจะต้องว่องไวให้ทันกัน ให้เป็นธรรมชาติ
ความรักที่มนุษย์ต้องเข้าถึงกันให้ได้ คือความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ความรักที่มนุษย์ควรหยิบยื่นให้แก่กันคือ รักตนเอง - รักผู้อื่น - รักโลก
ความรักที่แท้จริง คือความสุขที่เกิดจากการหยิบยื่นสิ่งดีๆให้เขาไป มอบให้กับใครก็ได้ โดยมิต้องให้เขาร้องขอ และไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน (สั่นสะเทือนในจิตให้ได้อยู่ตลอดเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ)

ความรัก คือ
*ความปรารถนาที่จะ"ให้"
*ความพึงพอใจที่จะ "ได้ให้"

"ความรัก"ตรงข้ามกับ"ความใคร่"

ความใคร่ คือ
*ความต้องการที่จะ"ได้ - รับ - เอา"
*ความพึงพอใจจากการ "ได้รับ"

การสั่นสะเทือนทางอารมณ์ด้านลบ (-) เช่นโลภ (-) ลุ่มหลง (-) ลังเล (-) การไม่ตัดสินใจใดๆลงไปให้ชัดเจน ก็เป็นผลให้เกิดพลังงานด้านลบ เช่นเดียวกับความโกรธ (-) ความเกลียด (-) ความกลัว (-)

เราทุกคนกำลังเขียน บทละครชีวิต ให้ตัวเราเอง ที่เรามัก"สอบตก"กันมาตลอด หากเราสอบตกในเรื่องใดๆ เช่นในเรื่องความโกรธ หากเราไม่โกรธผู้ที่ทำให้เราโกรธได้ ด้วยการให้โอกาสและให้อภัยเขาไม่ว่าเขาจะทำให้เราโกรธสักกี่ครั้งก็ตาม ถ้ายิ่งโกรธมากเท่าไรแล้วเราสามารถเข้าถึงที่สุดแห่งการดับโกรธได้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นนาย ของตัวเราเองเราก็จะสอบผ่านในเรื่องนี้ และไปเจอกับบททดสอบในเรื่องอื่นๆต่อไปตามลำดับ นั่นคือการแสดงออกซึ่งความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกๆรูปธรรม..โลกก็จะได้รับพลังงานความรักจากเราเข้าไปสร้างแรงเหวี่ยง แรงบิดในใจกลางโลกให้เกิดการหมุนรอบตัวเองอย่างสมดุลต่อไป

ความทุกข์ จะเป็นเงาของ ความสุข ถ้าเราสร้างให้มันมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือ ถ้าเรายึดหรือติดกับมัน มันก็จะไม่รู้จักพอ- ก็ต้องหามันต่อไป-จะเจอหรือไม่ - แสวงหาต่อไป-หาอะไรกันแน่? หาไปเรื่อยๆ เคยถามไหมว่าหาอะไร?

สิ่งที่ควรหาคือ"สัจธรรมและความสงบ" เพราะเป็นอาหารของจิตและความว่าง ไม่มีอะไรให้ต้องยึดติดไม่ต้องไปหาไกลๆที่ไหน อยู่ใกล้ๆข้างในจิตเรานี่เอง

ความสุข และความทุกข์ เราต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน มิเช่นนั้นเราก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ ต้องรู้จักเลือก คัดแยก สิ่งที่เราไม่ประสงค์ก็ทิ้งไปซะ เรียนรู้ที่จะระบายออก หรือใช้มัน ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือมัน เอาชนะมันให้ได้ และดับมันให้สิ้นในที่สุด

มนุษย์ล้วนมีกรรมในการกำเนิด พรสวรรค์ก็เกิดจากการกระทำในอดีตชาติ การทำอะไรในภพชาตินี้ คือการเขียนบทละครให้ตัวเองในอนาคตชาติเช่นกัน หากเมื่อใดที่เราคืนสู่ความเป็นสามัญของจิตได้เมื่อใด เมื่อนั้นเราก็จะเดินทางกลับ และไม่กลับมาเกิดอีก ก็จะเรียกว่า ปรินิพพาน หรือว่าจะนิพพานธรรมดาก็ย่อมเลือกได้

คนเหนือกรรม คือคนที่อยู่เหนือการกระทำใดๆ ทางกาย วาจา จิตใจ หรือเหนือผลกรรมของตนเอง
- รู้ว่าช่องทางใด ที่จะเป็นเหตุทำให้เราเข้าไปเกี่ยวกรรมกับผู้อื่น
- ทำอย่างไรที่จะไม่ไปทำลายความสมดุลในระบบของเขา
- ไม่ตกเป็นทาสอารมณ์หยาบๆของตนเอง
- ต้องเป็นผู้ที่พ้นไปจากกรรม พ้นไปจากการเวียนว่าย ตายเกิด
- จิตต้องสงบและสมดุลย์เสมอ

 

มนุษย์ทุกคนอาษามาเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้

มนุษย์ผลิตไฟฟ้าด้านบวกได้เต็มที่ ( +Unlimited)
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก -โลกคือเรา เราคือโลก
พลังงานเหล่านั้นจะมอบคืนให้กับโลก แสดงว่าเรา กตัญญูกตเวที ต่อโลก
มนุษย์อาจกำลังสับสน และคิดไม่ถึงว่า ที่เรารักกันนั้นไม่น่าเกี่ยวอะไรกับโลก แต่เราอาจเข้าไม่ถึงว่าพลังอำนาจด้านบวกเหล่านี้ สามารถค้ำจุนโลก ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ รวมถึงค้ำจุนระบบทางช้างเผือกได้

มนุษย์ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ได้รับการผูกรหัสไว้ให้สั่นสะเทือนเชื่อมโยงกัน ทำหน้าที่ร่วมกัน ถูกหลอมรวมจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก แต่ก็ต้องปฏิบัติตัวเองตามกฎของจักรวาลด้วย

การเรียนรู้ร่วมกัน -------> สร้างพลังอำนาจด้านบวก เป็นพลังอำนาจที่เกิดจากความรัก ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อนำพาดาวเคราะห์อีก 8 ดวง โคจรรวมกันอย่างสมดุลย์ต่อไป และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อมนุษย์ทำหน้าที่บกพร่อง ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ก็เสียสมดุลไปด้วย
พื้นแผ่นดิน 1 ใน 4 ของน้ำทะเล ได้กำหนดที่ที่มันควรอยู่เอาไว้ น้ำทะเลจำนวนมหาศาลและมีความเค็มเพื่อลดแรงเสียดทานลดแรงตึงผิวจากแรงเสียดสีที่มีอุณหภูมิสูงในขณะที่โลกขับเคลื่อนไป

รังสีความร้อนจากใต้โลก เพื่อให้ผิวโลกอบอุ่น อาศัยอยู่ได้
ใจกลางโลกก็มีก้อนออกซิเจนเหลวสีเขียวปีกแมลงทับ ทำหน้าที่จุดระเบิด สร้างแรงบิดหมุนรอบตัวเอง สร้างแรงโน้มถ่วง สร้างสนามแม่เหล็ก และอากาศที่เราหายใจก็มาจากตรงนี้ แทรกซึมขึ้นมาจากพื้นดินและการคายความร้อนจากใต้พิภพ

มนุษย์ก็ทำหน้าที่กันคนละซีกโลก ให้มีกลางวันกลางคืนผลัดกันทำหน้าที่ ( เพื่อไม่ให้เกิดแรงต้านในทิศที่ตรงกันข้าม ) แต่กลายเป็นว่ามนุษย์ไม่หลับไม่นอน ทำงานเกินหน้าที่จนโลกก็สับสนไปหมด รวมถึงจิตใจที่เสียสมดุลย์ไม่สร้างความเป็นบวกไม่รักกัน ไม่ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง รวมถึงเหตุอื่นๆอีกมากมาย ที่ส่งผลให้ระดับพลังงานโลกต้องเปลี่ยนแปลงไป ความร้อนจากใต้โลกและแรงดันน้ำใต้โลก เกิดการสั่งสม เสียดสี และคายพลังงานขึ้น เมื่อแรงดันไม่สม่ำเสมอ แผ่นเปลือกโลกก็เกิดขยับตัว เปลือกโลกที่มีหลายๆขนาดก็เกิดการยกตัวกันอย่างไม่สมดุล บางแผ่นที่เบากว่าก็กระดกขึ้น เกิดการ crack แรงเหวี่ยงเปลี่ยนแปลง แกนโลกก็เบี่ยงเบนไม่สมดุลย์ เป็นเหตุให้สัตว์ประจำโลกหลายชนิดหลงทิศทาง ตัวอย่างเช่น ผึ้ง มด นกพิราบ หรือปลาวาฬ ซึ่งถูกติดตั้งกลไกพิเศษไว้ (digitallis) เพื่อไม่ให้หลงทิศทาง ต้องมาเกยตื้นจบชิวิตไปจำนวนมาก

น้ำแข็งขั้วโลกขนาดใหญ่ที่แตกตัวออกมา ก็ไหลเลื่อนลงมามากขึ้นเรื่อยๆ ที่มนุษย์คิดว่าเป็น green house effect จริงๆแล้วเหตุนั้นเพราะแกนโลกเอียงมากขึ้นต่างหาก โลกเอียงทำมุมก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้น

ถามว่าต้องแก้ที่ไหน?....( ที่จิตสำนึก )
นักวิทยาศาสตร์โลกให้แก้ไขเขาแก้ถูกจุดรึยัง? ( ยัง )
เมื่อใจกลางโลกมีแรงดันไม่สม่ำเสมอ แผ่นดินก็ไหว ภูเขาไฟก็จะเกิดระเบิดตามมาเมืองไทยก็จะมี 3-4 ลูก
ลูกแรก กาญจนบุรี- ราชบุรี
ลูกที่สอง แพร่ -น่าน
ลูกที่สาม ขอนแก่น (ภูเวียง)

ภัยธรรมชาติเป็น"บททดสอบ" มนุษย์โลกด้วยว่า จะเข้าถึงความรักที่แท้จริงได้หรือไม่?
จักรวาลเป็นผู้มอบ"ข้อสอบ" ข้อสุดท้ายให้กับมนุษย์โลก ทั้งๆที่ไม่ต้องการจะให้
มนุษย์จะต้องเป็นผู้เขียน"คำตอบ"ลงไปในจิตของตัวเองให้ได้ว่าจะสั่นสะเทือนออกมาอย่างไร?

ความกลัวตาย กลัวเพื่อนมนุษย์ต้องตาย คือการแสดงออกซึ่ง "ความรักที่แท้จริง" และเป็นสิ่งที่โลกใบนี้ต้องการจากมนุษย์
ด้วยความรักและความห่วงใยพี่น้องๆ เราจึงต้องมาบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า