กุญแจดอกเอก หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 19 มกราคม 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    กุญแจดอกเอก


    หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ



    ธรรมะ หมายถึงตัวบุคคลทุกคน จะเป็นพระเป็นเณรก็เป็นธรรมะ จะเป็นผู้หญิงผู้ชายก็เป็นธรรมะ คำว่าธรรมะก็คือการทำดี การทำดีก็เป็นกุศลธรรม การทำชั่วก็เป็นธรรมเหมือนกัน เขาเรียกว่าอธรรม อธรรมนี้เป็นการทำไม่ดี ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัยทำไปตามใจชอบผิดถูกก็ไม่รู้จัก ทำไปตามอารมณ์ ไม่ได้ใช้สติปัญญา ไม่มีเหตุผล


    พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้ คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง


    เพียงดูความคิดนี่แหละ เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้


    พุทธ ศาสนาจริงๆ นั้นคือ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญาที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า เป็นเรื่องของบุคคลนั้น


    การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม


    ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป


    การ แสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี่ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น


    การบูชาพระพุทธเจ้านั้นต้องประพฤติธรรม ต้องปฏิบัติธรรม รู้ธรรม สมควรแก่ธรรม จึงจะชื่อว่าเป็นการบูชาอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ศาสนาพุทธนี้ จึงเป็นสากล เป็นของทุกคน จะสงวนลิขสิทธิ์ไม่ให้ผู้อื่นรู้นั้นไม่ได้ ถ้าหากผู้ใดแสวงหาและปฏิบัติให้ถูกต้อง ถูกทางแล้ว มีครูสอนก็รู้ ไม่มีครูสอนก็รู้


    หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้ เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย


    การ ที่เราเคลื่อนไหว แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับโทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา เราจะรู้สึกทั้งหมด เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดออกจากกัน-คนไม่มี นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย


    การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ


    รูป – ได้แก่ตัวเรานี่เอง นาม – ได้แก่สิ่งที่สัมผัสอยู่กับรูปนี้ รูป – นาม นี้แยกกันไม่ได้ รูป – นาม แยกออกจากกันเมื่อใด คนก็ต้องตายเมื่อนั้น ทำดีไม่เป็น ทำชั่วไม่เป็น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็เชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง


    การ รู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด มันคิดจากไหนไม่รู้ มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้


    การ รู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึก


    ที่ เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด ให้ตัดความคิดออกให้ทัน


    ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำ ขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว


    ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    "วิปัสสนา" คือ การเห็นแจ้งรู้จริง เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้ เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อันนี้แหละเป็น “วิปัสสนา” จริงๆ


    คำว่า “วิปัสสนา” นั้นเป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลาดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้วก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด


    พระ พุทธเจ้าท่านสอนให้เอาดีในโลกุตรธรรม แต่ว่าเรายังอยู่ในโลกียธรรมก็ได้ แต่เราอย่ามาอาศัยโลกียธรรมเป็นพื้นฐานให้เราอาศัยโลกุตรธรรมเป็นพื้นฐาน


    โล กียธรรมเป็นวิสัยของคนผู้ที่ไม่รู้ ไม่รู้ทิศทางออกนั่นเอง ไม่รู้ทางออกไปจากทุกข์ เป็นโลกียธรรม โลกุตรธรรมรู้จักทางออกจากนี่ไปเลย ไม่ต้องเข้ามาที่นี่


    โลกียธรรมกับโลกุตรธรรมจึงไปสาย เดียวกัน แต่ไปไม่ถึง คนใดไปไม่ถึง คือสลัดการขัดแย้งไม่ได้ เขาเรียกว่าโลกียธรรม คนใดไปถึง สลัดการขัดแย้งได้ เขาว่าโลกุตรธรรม คือไม่มีการขัดแย้ง


    ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ


    การที่เราเห็นความคิดนี่ เอง เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ อันกระแสความคิดนี้มันไว ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า ไวกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว ความไวของความคิดแล้ว เรียกว่า อรรถบัญญัติ


    การเห็นการรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การรู้คือการเข้าไปในการคิดและความคิดก็คงดำเนินต่อไป เมื่อเราเห็นความคิด เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้


    เมื่อเราเห็นความ คิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน


    การ ทำความรู้สึกตัวนั้น จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัวในขณะไหนเวลาใดแล้ว เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว หลงกายลืมใจ คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความหลงผิด ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะเรามีความโลภ ทุกข์เพราะเรามีความหลง ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์ ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์
    หลักพุทธศาสนาจริงๆ สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องเห็นที่ตรงนี้


    แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่


    ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ


    ให้ ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ มันจะมาอยู่กับความรู้สึก เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้วปัญญามันจะเกิด คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา


    ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด


    ความทุกข์ จะลดน้อยไปหรือถึงกับหมดไป จะไม่มารบกวนเราเลย ไม่ใช่หมดไปแต่เฉพาะความทุกข์นี้เท่านั้นนะ ทุกข์จากความสงสัยว่าตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ก็จะหมดไปจริงๆ และวิธีที่เราจะหมดลมหายใจก็ต้องรู้จริงๆ


    ถ้าหากเรารู้วิปัสสนาแล้ว นำเอาไปใช้กับการกับงานได้ทุกวิธี ได้ทุกลมหายใจ เพราะไม่มีทุกข์นั้นเอง คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราดับทุกข์ที่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าตายแล้วจึงจะไปดับทุกข์ ตายแล้วมันจะไปดับทุกข์ได้อย่างไร มันดับไม่ได้


    ทุกคนมันต้องตาย แต่เราไปเห็นแต่คนตายเน่าเข้าโลง เนื้อหนังตายเน่าเข้าโลง เราไปเห็นแต่อันนั้น แต่ความตายอันนี้เราไม่เห็น นี่เป็นอย่างนั้น นี่...ทางไปหาพระพุทธเจ้า ความสิ้นทุกข์มาที่ตรงนี้เลย แต่ทุกคนต้องประสบเรื่องนี้ หนีจากนี่ไปไม่ได้ จะถือศาสนาไหนลัทธิใดก็ตาม เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าก็ตาม ถ้าหากไม่รู้อันนี้ก็แสดงว่า เรายังไม่รู้เรื่องหลักพระพุทธศาสนาสอนแค่ไหน


    คัดลอกจาก truth
    กุญแจดอกเอก (หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  5. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    นานๆ จะเห็นบทความจากพระอาจารย์ที่ไม่ใช่ หลวงตามหาบัว

    อนุโมทนาครับ...
     
  6. kongyai3

    kongyai3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +162
    เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่


    ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ

    ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด
    คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา
    ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด


    อนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...