ท่านพุทธทาสเป็นพระอริยะเจ้ารึเปล่าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 29 ธันวาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    สิ่งหนึ่งที่เราคิดได้ หลังการศึกษาคำสอนของพระอริยะระดับครูหลายๆท่าน
    คือท่านพยามใช้ภาษา(ซึ่งต้องใช้ในโลกของบัญญัติ)
    อธิบายธรรมอันยาก(ธรรมง่ายๆคงไม่เป็นไร เพราะไม่ต้องอธิบายอะไรมาก)
    ด้วยความจำกัดของภาษาอย่างยิ่ง

    แล้วเราสามารถทะลวงขอบเขตของภาษานั้น เข้าถึงสิ่งที่ท่านอยากจะบอกได้ไหม
    หรือว่าได้เล็กน้อย หรือว่าผิดเพี้ยนไปหมด
    ธรรมฟังมาด้วยกัน แต่กลับเข้าใจไม่เหมือนกัน

    เรื่องนี้มีอุทาหรณ์ง่ายๆ เวลาที่เราบอกอะไรใคร
    เขาไปบอกต่อๆกัน ว่าชอบสิ่งที่เราบอกมาก ด้วยการอธิบายสิ่งที่เราบอกไปอีกทางเลย..
    ประสาอะไรกับธรรมระดับลุ่มลึกมากๆ
     
  2. ลมไหว

    ลมไหว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +9
    การสอนแต่ธรรมะโดยจี้ตรงไปที่อริยสัจ นั้นก็ถูกต้องแล้ว แต่อย่าไปลบล้างคำสอนเรื่อง เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม โดยเฉพาะเรื่องพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติจริงและรู้เห็นจริงมีอยู่
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เขาลบล้าง
    หรือไปกล่าวหาว่าเขาลบล้าง

    อันนี้ก็ต้องระวังเช่นกัน
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณอริยเทบ

    มาวิเคราะห์คำสอน พระครูเล็ก กัน

    สังเกตไหมครับ คนจะไปนิพพานเนี่ยะ เขาไม่เกาะอะไรเลย แม้แต่นนิพพาน

    แปลว่าอะไร

    แปลว่า นิพพาน มีอยู่ หรือไม่มีอยู่

    ถ้าการปรารภว่า นิพพานมีอยู่ หรือ กูเกาะอยู่ กูไปแน่ แล้วจะได้ไปไหมครับ
    ตามคำสอนของพระที่บอกว่า คนเป็นจริงๆเขาปล่อยนิพพานนะ

    ปล่อยนิพพาน ปล่อยของจริง ปล่อยไอ้สิ่งที่คุณบอกไปทั่วว่ามีจริงเนี่ยะ แล้วมัน
    จะได้ไปนิพพานไหม

    ดังนั้น

    คนเป็นนะ เขาก็จะแอบหยอดว่า จะไปจริงๆต้องปล่อยนิพพาน

    ทีนี้หากเรามีเวลาน้อย และ กะพูดเป็น อุบายให้คนฟังได้ทำ ธรรมวิจัยยะ
    กระเทือนสิ่งที่ยึดจับเสียหน่อยว่า "นิพพานไม่มีจริงหวะ" มันจะต่างกันการ
    บอกให้ "ปล่อยนิพพาน" ไหม

    ก็ลองพิจารณาดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  5. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452


    ศาสนาอื่นสอนเรื่องความเชื่อครับ ไม่ได้สอนเรื่องผลขอเราที่กระทำลงไป

    อิสลามฆ่าสัตว์ เพื่อปลดปล่อยไห้เขาเหล่านั้นสบายเพื่อไห้ไปเดบนสวรรค์ งี้เป็นต้น

    เชื่ออย่างนั้น เชื่องอย่างนี้ ขอไห้เชื่อ ขอไห้ศรัทธาพระเจ้าอย่างงี้เป็นต้น

    มีแนวการสอนแบบปรัชญาออกมามากมาย

    ที่ว่าด้วยเหตุ และก็ผล

    ศาสนาพุทธ ไปไกลกว่า ลึกซึ้งกว่า

    ตามพระบาลีนะครับ

    จากพระไตรปิฏก จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจุปันตรัสสอนไว้ชัดเจนครับ


    สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ
    [SIZE=+1]กรรมชั่วของตนเอง ย่อมนำไปสู่ทุคคติ[/SIZE]

    น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุยํ กตฺวา อนุตปฺปติ
    [SIZE=+1]ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำแล้วนั้นไม่ดี[/SIZE]

    ยาทิสํ วปเต พีชํตาทิสํ ลภเต ผลํ
    [SIZE=+1]กลฺยาณการี กลฺยาณํปาปการี จ ปาปกํ[/SIZE]
    [SIZE=+1]บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น

    [SIZE=+1]ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว[/SIZE]

    ฟันธงครับ[/SIZE]
     
  6. จิงทรงฌาณ

    จิงทรงฌาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +29


    เจตนาหํ -ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม


    กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย กรรมจำแนกสัตว์ให้ดีเลวแตกต่างกัน


    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สอนไว้ว่า

    สัตว์โลกมีกรรมเป็นแดนเกิด ก็บิดา มารดาของคุณ ของผมไง เป้นแดนเกิด

    ทำไมเราไม่ไปเกิดในราชวัง หรือเกิดในตระกูลโสภณพานิช หรือบิลเกรดล่ะ

    เกิดมันลนกองเงินกองทองเสียเลย เราเลือกไม่ได้ไง กรรมท่เราทำมันจัดสรรไห้เรา

    มีกรรรมเป็นเผ่าพันธ์



    มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย



    มีกรรมเป็นเครืองจำแนกสัตว์

    (มีผิวพันธ์ วรรณะแตกต่างกัน เกิดในตระกูลดีบ้าง เกิดในตระกุลต่ำบ้าง

    มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณหยากร้าน ก็เพราะกรรมเป้นเครื่งอจำแนก)





    เราจะดี จะร้าย ก็ขึ้นอยุ่กับกรรมที่เรากระทำนั่นเอง


    ทำกรรดี

    ละกรรมชั่ว

    แล้วค่อยไปนิพพาน

    ศาสนาพุทธมีขั้น มีตอน

    (ไม่ไช่อยู่กระต๊อบ แต่คุยแต่เรื่องรถเบนซ์ เอสคลาส 500

    หรือปัจุบันตัวเองยังกิเลสยังเต็มศรีษะ อ้าปากที่ไรก็หลุดพ้น

    เหนือสภาวะ เหนือกรรม เป็นพระอรหันต์ )


    เราเป็นอะไร ทรงคุณธรรมอะไร???















     
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    ไม่ใช่ละชั่ว ทำดี แล้วค่อยไปนิพพาน
    แต่ ..ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ (ดับกิเลส)
    การดับกิเลส เป็นเรื่องเหนือดีชั่ว

    ว่าแต่มีใครไม่พูดเรื่องกรรมหรือ
    ใครอยู่กระต๊อบ และพูดเรื่องรถเบนซ์อยู่หรือ
    คุณรู้หรือ ใครเป็นอะไร ทรงคุณธรรมอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  8. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมจบลง พระองค์ทรงหันไปตรัสถามพระสารีบุตรว่า

    สารีบุตร ที่เราแสดงมาทั้งหมดนั้น ท่านเชื่อว่ามันเป็นความจริงหรือไม่

    พระสารีบุตรได้กราบตอบว่า ไม่เชื่อพระเจ้าค่ะ

    พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสชื่นชมพระสารีบุตรว่า ถูกแล้ว ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว
    ก่อนจะเป็นที่มาของพระสูตรที่มีชื่อว่า กาลามสูตร

    กาลามสูตร คือพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

    1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    คนโง่ จะพึงเชื่อทุกๆอย่าง ทุกๆตำรา ทุกๆคำพูด ของทุกๆคน ที่นำมากล่าวอ้าง

    คนฉลาด จะพึงพิสูจน์ทุกๆอย่าง ทุกๆคำพูด ก่อนที่จะเชื่อ

    เรื่องนี้จึงเป็นแค่เรื่องของคน 2 ประเภท เท่านั้น

    มันเป็นเรื่องของคนโง่ ที่ไม่เข้าใจคนฉลาด ก็เท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  9. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    คุณ 5314786 คุณจำผิดแล้วล่ะครับ การสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร ไม่ได้เป็นต้นกำเนิดกาลามสูตร กาลามสูตรเกิดขึ้นจากการที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่ชาวกาลามะ

    ใจความสำคัญระหว่างพระพุทธเจ้าสนทนากับพระสารีบุตร

    พุทธะ "สารีบุตร เธอเชื่อหรือ? อินทรีย์ คือศรัทธา อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งถึงอมตะ มี<WBR>อมตะ<WBR>เป็น<WBR>ที่สุด."

    พระสารีบุตรตอบว่า "ไม่เชื่อ..."

    ภายหลังมีพระภิกษุไม่เข้าใจการสนทนานี้จึงมาถามพระพุทธองค์ พระองค์จึงอธิบายว่า
    ที่เราถามนั้นหมายความว่า "...สารีบุตร เธอเชื่อหรือว่า ‘ชื่อว่าบุคคลผู้ไม่อบรมอินทรีย์ ๕(ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ไม่เจริญสมถะและวิปัสสนา สามารถเพื่อทำมรรคและผลให้แจ้งมีอยู่"

    อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ พระพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า เชื่อไหมว่า คนจะบรรลุได้โดยอาศัยแต่ศรัทธา โดยไม่ต้องพึ่งพา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา และการเจริญสมถะวิปัสสนา
    พระสารีบุตรจึงตอบว่า ไม่เชื่อ...

    -------------------------------------------------------
    และที่คุณกล่ามาว่า
    คนโง่ จะพึงเชื่อทุกๆอย่าง ทุกๆตำรา ทุกๆคำพูด ของทุกๆคน ที่นำมากล่าวอ้าง

    คนฉลาด จะพึงพิสูจน์ทุกๆอย่าง ทุกๆคำพูด ก่อนที่จะเชื่อ

    เรื่องนี้จึงเป็นแค่เรื่องของคน 2 ประเภท เท่านั้น

    ผมว่าคงมีแต่คงมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหล่ะครับที่ จะพิสูจน์ทุกๆ คำพูด
    เช่น ผมอาจบอกคุณว่า น้องชายผม อายุ 23 ปี ได้เงินเดือน start ราวๆ 3 แสนบาท ทำงานในบริษัทอันดับ 1 ของโลก มีหน่วยรบติดอาวุธคอยอารักขา คุณจะเชื่อไหม? สมควรจะพิสูจน์ไหม? พิสูจน์ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร? ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงมีกาลามสูตรแว่นส่องธรรมะขั้นต้น

    ---------------------------------------------------

    ใจความสำคัญของกาลามสูตร ไม่มีตอนไหนบอกให้ไปพิสูจน์เลย เป็นแต่เพียงหลัการพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลขั้นต้นเท่านั้น กาลามสูตรจึงไม่ใช่หลักของการพิสูจน์ธรรม เป็นแต่เครื่องกลั่นกรองธรรมะที่เป็นกุศลขั้นต้นเท่านั้น

    สาระสำคัญของกาลามสูตร อยู่ที่ว่าควรที่จะเชื่อถือถ้อยคำเหล่านั้นไหม? และมีวิธีพิจารณาอย่างไร?

    วิธีพิจารณา
    ...เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
    ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว
    เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรม
    เหล่านั้นเสีย ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็น
    ประโยชน์. พวกชนกาลามโคตรต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
    พระเจ้าข้า.

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ มีจิต
    อันความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
    สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภ ย่อม
    ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ .

    กาลามชน. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น
    ในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่ใช่ประโยชน์ .

    กาลามชน. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า .

    พทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิต
    อันความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
    สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อม
    ชักชวนผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ .

    กาลามชน. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    ความหลง เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่ง
    ไม่เป็นประโยชน์ .

    กาลามชน. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ มีจิต
    อันความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
    สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้หลง ย่อม
    ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ .

    กาลามชน. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล .

    กาลามชน. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. มีโทษหรือไม่มีโทษ .

    กาลามชน. มีโทษ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ .

    กาลามชน. ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
    เพื่อทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร .

    กาลามชน. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อ
    ทุกข์ ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้..........................................

    ...... เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่า
    นี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้
    ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่าน
    ทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะ
    สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความไม่โลภเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดเพื่อ
    ประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ .

    กาลามชน. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่ถูกความโลภครอบงำ
    มีจิตไม่ถูกความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
    สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่
    โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น .

    กาลามชน. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    ความไม่โกรธ เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อ
    สิ่งไม่เป็นประโยชน์ .

    กาลามชน. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่โกรธ ไม่ถูกความโกรธครอบงำ
    มีจิตไม่ถูกความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
    สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โกรธ
    ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น .

    กาลามชน. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    ความไม่หลง เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อ
    สิ่งไม่เป็นประโยชน์ .

    กาลามชน. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงำ
    มีจิตไม่ถูกความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
    สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่
    หลง ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น .

    กาลามชน. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล .

    กาลามชน. เป็นกุศล พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. มีโทษหรือไม่มีโทษ .

    กาลามชน. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ .

    กาลามชน. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระเจ้าข้า .

    พุทธะ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
    ความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี้ ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร .

    กาลามชน. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
    ความสุข ในข้อนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ .

    ----------------------------------------------

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  10. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
     
  11. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452


    ยังไม่รู้ตัวอีก

    โง่จริง หรือแกล้งโง่กันแน่
     
  12. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปุณฑ์
    แหม่..
    ไอ้เราก็คิดว่า ศาสนาพุทธ เน้นเรื่องเหนือเวรเหนือกรรม ทำนิพพานให้แจ้งเสียอีก ถึงได้แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ

    พระอรหันต์ ก็เน้นเรื่องสิ้นทุกข์ (สิ้นเวรสิ้นกรรม) บางท่านขนาดไม่สนใจเรื่องบุญอะไรด้วย.. แต่สอนอริยสัจจ์สี่ อริยมรรคองค์แปด และสติปัฎฐานสี่.. ตลอด..

    ว่าแต่กฎแห่งกรรมนี่มันสำคัญมากเลยนะ สำหรับพวกยังตกอยู่ในวัฎฎะนี่น่ะ ...ว่าแต่ว่าหากสนใจเรื่องกรรมกันมากขาดนี้ กลับยังมีพวกแยกชั่วดีไม่ค่อยจะออก แล้วความสนใจจะช่วยอะไรเขาได้นะ ทำไงดีล่ะ





    ศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกสอนเรื่องกรรมล้วนๆ


    ศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกสอนเรื่องกรรมล้วนๆ!!!


    ศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกสอนเรื่องกรรมล้วนๆ!!



    และก็สอนถึงที่สุดแห่งทกข์ ก็คือการพ้นทุกข์!!

    มีมรรคแปดเป็นทางเดิน มีอริยสัจจสี่ เป็นกุญแจมุ่งสู่ประตูพระนิพพาน
     
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    ก็ไม่ยากนะ ใครไม่รู้ตัว ใครโง่จริง ก็ให้กรรมพิสูจน์ได้
    คนเชื่อกรรม ทำกรรมดีแล้ว ไม่เดือดร้อน
    ก็กรรมเป็นที่พึ่ง เป็นเผ่าพันธ์ เป็นแดนเกิด ฯลฯ นี่นา

    คนที่เชื่อกรรมจริง ก็ต้องรู้จักความดี ความชั่ว
    ความดี นี่มันก็หมายถึงสิ่งดีๆ ต่างๆ
    ทำแล้วมีความสุขทันที เป็นสวรรค์ในใจก่อน
    คิดดี พูดดี ทำดี สัมปรายภพ ก็มั่นใจได้ว่าจะไปที่ดี
    แบบนี้จึงว่าเชื่อกรรม มีสติ มีปัญญา


    หมายถึงศาสนาพุทธ เป็นศาสนาเดียวที่สอนเรื่องกรรม
    ศาสนาอื่น ไม่สอนหรือ

    หรือจะหมายถึง ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรมล้วนๆ
    และก็สอนที่สุดแห่งทุกข์
    แล้วตกลงมันล้วนไหม
    ที่สุดแห่งทุกข์ มันเหนือกรรม ไม่ต้องไปสวรรค์นรก ไม่ใช่หรือ
     
  14. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    โง่ได้อีก(ความดี มีชั้น มีลำดับ มีขั้น เช่นพระอริเจ้าเบื้องต้น

    ทรงควาดียังไม่ถึงที่สุดก้พระโสดาบัน พระโสดาบันกำลังใจอย่างอ่อนต้องมาเกิดอีกเจ็ดชาติ

    แต่ภพภูมิต่ำกว่าคน ไม่ไปเกิดแล้ว ปิดอบายได้แล้ว ไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรกเป็นต้น)

    การเรียนก้มีชั้นป1 2 3 และ 4

    สวรรค์ ก็มีแบ่งเขตของความดี ที่มีอยู่

    ต่ำสุดกภูมิเทวดา ที่อยู่ติดกับมนุษย์โลก ศาสนาพุทธก็สอนไว้

    เทวดาหางแถว ดีกว่สามนุษย์หัวแถว เช่นพระราชาเป็นต้น

    เทวดา มีความอยู่เป็นทิพย์ มีวิมานอยู่ ร่างกาย ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ไข้

    ไม่ต้องกระเสือกกระสนแข่งขันกันทำมาหากิน

    ความดีสุงขึ้นไปอีก อาศียจากการทำฌาณสามบัติ ฝึกสมาธิจนมีอามรณ์ใจสุงขึ้นไปอีก

    ตายจากมนุษย์ ก็ไปเกิดเป็นพรหม

    ความดีของพรหม ก็ไม่เท่ากันอีก มีแบ่งชั้นไว้้20ชั้น ซึ้งขึ้นอยุ่กับความดี

    ที่ทรงกันไว้

    ความดีสุงสุดในพระศาสนาก็คือนิพพาน พ้อนจากการเวียนว่ายตายเกิด


    แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ก็ไม่สามารถหนีกฎของกรรมที่ทำไว้

    ดังมีมาในพุทธประวัติมากมาย

    [​IMG]

    ภาค๑
    ครั้งหนึ่
    ๗๑
    เสด็จไปกรุงกุสินารา ทรงกระหายน้ำ โปรดให้พระอานนท์ ไปตักน้ำมาถวาย

    ระหว่างทางเสด็จไปเมืองกุสินารา ภายหลังทรงฉันสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้ว พระ
    พุทธเจ้าทรงประชวรด้วยพระโรคปักขันธิกาพาธอย่างหนัก จวนเจียนจะเสด็จนิพพาน ณ ที่นั้นเสีย ก่อน
    กำหนด แต่ทรงระงับอาพาธนั้นเสียได้ด้วยขันติบารมี คือ ความอดกลั้น

    ปักขันธิกาพาธเป็นพระโรคอย่างหนึ่งซึ่งเกิดประจำพระองค์พระพุทธเจ้า คือทรงพระบัง
    คนถ่ายออกมาเป็นโลหิต มีผู้สันนิษฐานกันว่าคงได้แก่ ริดสีดวงลำไส้

    เพราะเหตุที่ประชวรพระโรคดังกล่าว พระพุทธเจ้าจึงทรงลำบากพระกายมาก แต่ทรงมี
    พระสติสัมปชัญญะ ไม่ทรงทุรนทุราย

    เสด็จถึงระหว่างทางแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำเล็กๆ มีน้ำไหล พระพุทธเจ้าแวะลงข้างทาง
    เข้าประทับใต้ร่มพฤกษาแห่งหนึ่ง ตรัสบอกพระอานนท์ให้พับผ้าสังฆาฏิเป็น ๔ ชั้นแล้วปูลาดถวาย
    เสด็จนั่งเพื่อพักผ่อน แล้วตรัสให้พระอานนท์นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำ

    "เราจักดื่มระงับความกระหายให้สงบ" พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์

    พระอานนท์กราบทูลว่าแม่น้ำตื้นเขิน เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มของพวกพ่อค้าเกวียนเพิ่ง
    ข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เท้าโคล้อเกวียนบดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
    "อีกไม่ไกลแต่นี้ มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อกุกกุฏนที มีน้ำใส จืดสนิท เย็น มีท่าน้ำสำหรับลงเป็นที่รื่นรมย์ ขอ
    เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปที่แม่น้ำนั้นเถิด พระเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงอุ้มบาตร
    เดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำ ครั้นเห็นน้ำ พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจนักหนา พลางรำพึงว่า

    "ความที่พระตถาคตพุทธเจ้ามีฤทธิ์และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก แม่
    น้ำนี้ขุ่นนัก เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตัก น้ำกลับใสไม่ขุ่นมัว"

    ครั้นแล้วพระอานนท์ก็นำบาตรตักน้ำนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  15. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    [​IMG]

    ภาค๒
    สาเหตุที่ทำไห้พระพุทธเจ้า ต้องรอดื่มน้ำด้วยความกระหายไม่สามารถดื่มได้เลย

    ในทันทีทันใด ก็เพราะว่าอาศัยกรรมที่ทำไว้ในอดีต

    ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า

    อานนนท์ ดุกร อานนท์ สมัยหนึ่ง คถาคตเกิดเเป็นเด็กเลี้ยงฝูงโค

    ในขณะไล่ต้อนฝุงโคกลับจากหาอาหารเพื่อไห้ได้พักกินน้ำดับกระหาย

    ยามแดดแผดส่องแสงกล้า เผอิญน้ำในบ่อดิน มีการไช้ การตักกินกันมาก

    น้ำในบ่อจึงขุ่นขลัก คถาคตจึงยังยั้งไม่ไห้โคดื่มกินในทันใด

    คถาคตมีเจตนาเป็นกุสลมีเจตนาดี เพื่อที่จะรอไห้น้ำตกตรำกรอนใสเสียก่อน

    แล้วจึงไห้ ฝุงโคดื่มกิน

    เพราะเศษกรรมอันนี้ ตาามาเล่นงานเราคถาคตซึ้งเกิดชาตินี้ เป็นชาติสุดท้ายแล้ว

    กรรมตัวนี้จึงทำไห้คตคถาคตกระหายน้ำก็จริงแหล่ แต่ไม่สามารถดื่มกินได้ทันทีทันใด


    --------------------------------------------------------------------

    นี่จอมอรหะนต์นะครับ พระองค์ทรงเป็นจอมอรหันต์นะครับ

    ยังมีลมหลายใจอยู่

    ยังมีชีวิตอยู่ ก็หนีไม่พ้นกฏของกรรมที่ตัวได้สร้างเอาไว้ มันตามเล่นงาน

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัด


    พระอรหันต์ กิเลสกินได้แต่กาย กินใจไมใ่ได้แล้ว!!!

    แต่ปุถุชน โดนกิเลส กินทั้งกายและก็ใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  16. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    แล้วคุณปุณฑ์ เป็นนใครครับ???

    หรือจะเหนือกรรม เก่งเกินกรรม เก่งเกินพระพุทธเจ้า??
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พระอรหันต์รับผลกรรมเก่า ไม่ว่าจะดีหรือเลว
    แต่หยุดสร้างเหตุปัจจัยใหม่ เรียกว่าเหนือกรรมแล้ว
    ถ้ายังมีกรรมใหม่ได้ จะเป็น พระอรหันต์ทำไม

    ส่วนปุถุชน ขึ้นๆลงๆ ดีๆชั่วๆ ถ้ามีลำดับขั้นดีขึ้นเรื่อยๆได้คงดี
    แต่ขาดสติ ทำกรรมชั่ว ก็ตกอีก วัฏฏะวน จึงไม่รู้จบ
    ผู้เข้ากระแสแล้ว มีแต่ก้าวหน้า (เพราะปัญญาญาณเกิดแล้ว)
    คือปฏิบัติตามหนทาง ของการอยู่เหนือดีและชั่ว รู้เหตุแห่งการเกิดทุกข์ และรู้หนทางแห่งการดับทุกข์

    ความโง่ หรือ ปัญญา ไม่ได้อยู่ใครมาด่า
    แต่อยู่ที่การเลือกกระทำ ก็คือกรรมนั่นเอง

    ถ้าเชื่อกรรม ก็หวังว่า จะสร้างกรรมอันเป็นที่พึ่งได้นะ
    เพราะวัฏฏะยังยาว บุญจึงเสบียงอย่างดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  18. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    พระท่านหนึ่งสอนว่า... สัตว์ทำกรรม เพราะเขาไม่รู้..

    วัฏฏะสงสาร จึงวนเวียนและยาวนานอย่างไม่รู้จบ
     
  19. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พระพุทธเจ้าเก่งเกินกรรมซิ
    เราก็จะทำเช่นนั้น.. ตามรอยครู

    ถ้ายังพ้นกรรมไม่ได้ จะมานับถือศานาพุทธทำไม
     
  20. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    แถไปได้เรื่อยๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...