ใจเป็นอัตตาหรืออนัตตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฟางว่าน, 7 ธันวาคม 2011.

  1. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เรียนถามครับ จากพุทธพจน์ที่ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายสำเร็จได้ด้วยใจ สงสัยว่าใจที่สละกิเลสได้แล้วในส่วนหนึ่ง(บางส่วน) ใจนี้จัดเป็นอัตตาหรืออนัตตาครับ และถ้าบรรลุธรรมขั้นใด(ขึ้นไป) ใจจึงจะกล่าวว่าเป็นอัตตาครับ หมายเหตุ ผมกำลังงงๆครับ ตั้งคำถามถูกหรือเปล่า ขอบพระคุณครับ
     
  2. สมณะโมกข์

    สมณะโมกข์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +91
    นี้คือความคิดของผมนะอาจถูกหรือไม่ถูกก็ได้
    พระพุทธองค์ทรงตรัจว่าสัพเพธรรมาอนัตตา เพราะสรรพส่ิ่งเป็นของไม่เที่ยงมีความเกิดดับเสมอเลยมีปกติเป็นทุกข์แก่ผู้ไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวตนมันเป็นไปเองตามเหตุปัจจัย แต่ถ้าเราสำเร็จอรหันต์สิ้นทุกข์โดยสิ่นเชิงเราก็อาจกล่าวได้ว่า ใจเป็นของเราก็ได้เพราะตอนนั้นจะว่าไงมันก็ไม่ทุกข์แล้ว และใจก็ไม่ใช่ใจด้วย เพราะมันเลยสมมุติ และคำพูดต่างๆมันก็แค่บัญญัติ เหมือนพระอรหันต์ใช้คำพูดว่า ผม เรา โดยที่ท่านละความเห็นเป็นตัวเป็นตนแล้ว และผู้ที่จะใช้บัญญัติได้ถูกที่สุดเหมาะสมที่สุดก็มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นและท่านก็ว่า สัพเพธรรมาอนัตตา
     
  3. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    "ใจ" ตกอยู่ในสภาพภายใต้ของกฎ"ไตรลักษณ์" คือ "ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา"

    "ไม่ว่าจะบรรลุขั้นไหนก็ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ครับ"

    "ก็คงต้องงงแหละจะให้ใจเป็นอัตตา"​
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ใจมันจะเป็นอัตตาหรืออนัตตามันก็ขึ้นอยู่กับเราแหละครับ แต่มันคืออะไรนี่มันอีก
    เรื่องหนึ่ง อย่างเราเล่นละครเป็นนั่นเป็นนี่แต่ตัวเราจริงๆ มันเป็นอีกเรื่องใช่ไหม
    อัตตากับอนัตตาเป็นสิ่งที่ต้องเปรียบเทียบกัน มันเป็นของที่เป็นคู่ ถ้ามีอนัตตาก็
    ต้องมีอัตตา
     
  5. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ให้เหตุผลอย่างนี้นะครับ

    จิตเป็นสภาพรู้ คือ รู้เฉยๆ

    ส่วนเรื่องราวที่จิตรู้ เป็นกิจของสัญญา สังขารปรุงแต่ง เกิดพร้อมกับรู้ ดับพร้อมกับรู้

    สิ่งที่รู้เมื่อวาน กับสิ่งที่รู้วันนี้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

    สิ่งที่รู้ก่อนหน้านี้ กับสิ่งที่รู้ขณะนี้ และสิ่งที่กำลังจะรู้ ก็ไม่ใช่ขณะเดียวกัน

    แม้แต่ภาวะที่รู้อารมณ์ กับรู้เสพอารมณ์ และภาวะปัญญาเข้าใจในสัจจะที่ปรากฏ ก็ไม่ใช่ภาวะเดียวกัน

    ฉนั้นแล้ว การที่เข้าใจว่า จิตรู้ตลอดสาย ไม่เกิดไม่ดับ

    ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ดับได้ แต่ขอให้เหลือจิตผู้รู้ไว้ ไม่ต้องไปดับมัน

    ความเห็นนี้ เป็นอัตตา จึงเป็นความเห็นผิด

    ธรรมเหล่านี้ พิสูจน์ได้ตลอดเวลา รู้ได้ตลอด ไม่จำกัดกาล
     
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    จิตเกิดดับตามการเข้าไปรู้ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ

    หากไม่มีการรับรู้ จิตจะอยู่ตรงไหน?

    หากไม่เห็นจิต จะบอกว่า มี หรือ ไม่มี ได้หรือไม่?

    อย่าแสวงหาความเป็น อัตตา หรือ อนัตตา จากจิตนี้เลย...

    ปล. ขอใช้คำว่า จิต แทน ใจ
     
  7. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    อย่าไปไกลเกินไปครับ
    ความคิดเรานี่แหละเอาให้ดีก่อน
    ละความฟุ้งได้เดี๋ยวมันก็สงบรู้เอง เห็นเอง
    มัวสงสัยนี่ผมว่ามันเสียเวลาปฏิบัติครับ
    ขออภัยหากตอบไม่ถูกใจ
     
  8. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ตาเห็นไหม อะไรที่รู้เห็น

    หูได้ยินไหม อะไรที่รู้ได้ยิน

    กายสัมผัสไหม อะไรที่รู้สัมผัส

    ความจำได้ อะไรที่รู้จำ

    เห็นแล้วคิด คิดแล้วได้ยิน ได้ยินแล้วชอบ ชอบแล้วไม่ชอบ ไม่ชอบแล้วรู้รส รู้รสแล้วกลับมาเห็น ฯลฯ

    สติระลึกรู้เกิดดับอยู่อย่างนั้น



    คำว่า ภควา เป็นคำสรรเสริญ พระผู้ทรงจำแนกแยกธรรม

    คำนี้ แม้แต่พระปัจเจกก็ไม่สามรถ แยกแยะธรรมต่างๆ เพื่อบัญญัติ สั่งสอนได้

    อีกนัยหนึ่ง

    ปรมัตถ์ธรรม ความเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสามัญลักษณะ

    มีอยู่แล้วในธรรมชาติ จิต เจตสิก รูป

    วิเสสลักษณะ ลักษณะธรรมเฉพาะ ที่จำแนกออกมา ตามคุณลักษณะต่างๆของสภาพธรรม

    ทำให็เข้าใจด้วยปัญญา ว่า อะไรคือ จิต อะไรคือ เจตสิก อะไรคือ รูป และมีลักษณะ กิจ หน้าที่อย่างไร

    ของพวกนี้ศึกษาไม่เข้าใจ จนกว่าจะประจักษ์ถึงสภาพธรรมนั้นๆเอง
     
  9. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    หวัดดี ท่านซัวเจ๋ง อูหลง ผู้แลดู ไม่รู้ว่าเคล็ดของการดื่มไวน์ กับดื่มชานี่จะเหมือนกันหรือป่าว

    เค้าบอกก่อนจะดื่มชา อย่าผลีผลามจับยกซด แบบหน้าตาเฉย
    เพราะจะไม่ได้รับรู้รสชาด ของชาอย่างแท้จริง

    ให้ยกถ้วยชาขึ้นมา แล้วค่อยๆ สูดกลิ่นพร้อมกับหลับตา เชิดหน้านิดนึง
    วางใจให้นิ่ง ต่อการรับกลิ่น เป็นอันว่า ได้รับรู้กลิ่นของชา นั้นแล้วทางจมูก
    พร้อมใช้ใจสัมผัส ก็จะรู้ได้ว่าชานั้น กลิ่นหอม ไม่หอม เป็นที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ

    จากนั้น ยกถ้วยชา มาแตะที่ริมฝีปาก พร้อมกับเปิดตา เผื่อสัมผัสถึงไออุ่น และอย่าเป่า
    เพราะกลิ่นชาจะเสียไป จากนั้นยกเอียงถ้วยชา พร้อมที่จะดื่ม

    แต่อย่าเพิ่ง ในช่วงนี้ต้องอยู่ในจังหวะลมหายใจออก
    แล้วสูดลม และกลิ่นชา เข้าปากลงไปให้ถึงปอด
    แล้วเอียงถ้วย ค่อยๆซดน้ำชา แต่อย่าเพิ่งกลืนลงไป

    ให้อมไว้ก่อนชั่วขณะ พร้อมกับผ่อนลมออกจมูก
    แล้วค่อยกลืนเอือกลงไป สูดลมหายใจเข้านิดนึง
    พร้อมกับปล่อยลมออกมา กลิ่นของชา จะออกมาทางทวาร ให้รับรู้อีกที

    เป็นอันเสร็จ จบกระบวนการดื่มชา พร้อมกับท้องอืดได้มาเป็นของแถม
    หากผ่อนลมเข้าออกไม่ถูกจังหวะ
     
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พี่หม้อ เขาว่า ชาแช่น้ำค้างคืน กะใบชาที่ต้มในน้ำเดือด เป็นพิษ
    จริงหม้ายยยย
     
  11. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ไม่รู้ชิ ผมชอบบทนี้อ่ะ

    -------

    มะนัสสะมิงปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ (คือใจ)

    ธัมเมสุปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย

    มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมโนวิญญาณ,
    คือ ความรู้อารมณ์ทางใจ,

    มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมโนสัมผัส, คือสัมผัสทางใจ,

    ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง,
    เวทนาคือ ความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้, เกิดขึ้นเพราะอาศัยมโนสัมผัส, คือ สัมผัสทางใจเป็นปัจจัย แม้อันใด,

    สุขัง วา ทุกขัง วา, อะทุกขะมะสุขัง วา ตัสสะมิงปิ นิพพินทะติ,
    เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี หรือไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก็ดี, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา, คือความรู้สึกเสวยอารมณ์นั้น,
     
  12. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ถั่วต้มนะค๊าบ :cool:

    ขั้นตอนดื่มชา ถูก !

    แต่ยังแยกไม่ได้ว่าอะไร ถูก อะไร ไม่ถูก ไม่ต่างกับจิบชาเป็นพิษสำคัญว่ารสเลิศ

    ข้อนี้เป็นไฉน

    ความร้อนกระทบลิ้น หาใช่กระทบตา จึงเห็นความร้อนด้วยตา ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจาก คิด

    ความร้อนกระทบลิ้น ร้อนเกินไปย่อมไม่รู้รส แต่รู้ความร้อนได้ ร้อนนั้นมิใช่รสชา แต่เป็น เตโชธาตุ

    ลิ้นลิ้มรส รู้เกิดรส ตรงกระทบลิ้น หาใช่ชา แค่ได้รสเป็นจบกิจชิวหา

    สิ่งตามมา รูปจืด รูปหวาน กะนั้นก็หาใช่ชาไม่

    แม้สำคัญว่าถ้วยนี้มีชาเลิศรส กลืนลงคอคือชาชั้นดี ก็หาใช่ชาไม่ แต่เป็น ความคิด ความจำ ความติดใจ ที่ใจยึดรสเป็นขณะๆ

    ชาอยู่ที่สำคัญว่านี้คือชา สิ่งนั้นคือชา ทั้งที่ชาก็ไม่มี ที่มีคือ รู้รส แล้วดับไป

    ขณะกระทบรับรสชา ขณะนั้นโลกหาย มีตาก็ไม่เห็น ใจเคยมีเรื่องราวก็จางหายชั่วขณะ

    นี่ไม่ใช่เพราะรสชา แต่เป็นโมหะปิดบังรู้ ให้รู้มายา โลภะหยุดให้ละเมียดในสุขรสชาชั้นดี

    สิ่งหนึ่งสู่สิ่งหนึ่ง สืบทอดส่งต่อ เห็นผิด ย่อมเพียรผิดเป็นธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ธันวาคม 2011
  13. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ขณะนี้ ชาเป็นพิษเกิดขึ้นหรือยัง น้องบ่าว

    หรือ แค่พิษอยู่ในหัวหม้ายยยย

    :cool:
     
  14. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ไม่ต่างไปจากจระเข้ไม่มีลิ้น ปูไม่มีเลือด
     
  15. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    เข้าใจว่าอย่างไรหรือ

    ขณะที่เห็นกองไฟ สูเห็นสิ่งใด สี หรือ ความร้อน

    ความร้อนขณะนั้นเป็น ความจำ หรือไม่
     
  16. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ข้อไหนเอ่ย ที่ว่าแยกได้ แยกไม่ได้ อะไรยังไง
     
  17. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ก็สัญญา เวทนา ไง มาคราวนี้ไฟแรงเนาะ

    จะมาสนทนาเรื่องแยกรูปนาม ว่ายังงั้นเหอะ

    หายไปนาน ช่วงน้ำท่วม ยังไม่ผ่านตรงนี้ อีกหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2011
  18. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ที่น้าหม้อกล่าวทุกขั้นตอนจิบชา ข้อนี้ถูกในทางสติปัฏฐาน

    ซึ่งใช้ได้ เกิดได้ในอิริยาบถชีวิตจริง

    แต่ ผลของการเห็น ปัญญาที่รู้จังหวะ รู้จักวางในวิปัสสนาภูมิ

    น้าหม้อไม่มีกล่าวไว้ เมื่อไม่กล่าว แสดงว่าปัญญาก็ดับความติดข้องไม่ได้

    ก็ได้แต่รู้ไปเรื่อยๆในท่วงที อาจแยกรูป ออกจากนามได้

    แต่ไม่ได้รู้ชัดลงลักษณะจริง ซึ่งเหล่านี้เป็นทุกขสัจที่เกิดเดี๋ยวนั้น

    ก็ลักษณะจริงของ อายตนะ ขันธ์ ธาตุ อินทรีย์ ฯลฯ คือไฉน

    ก็ลักษณะจริงของ อายตนะ ขันธ์ ธาตุ อินทรีย์ ฯลฯ คือสิ่งที่ปรากฏ ความเป็นใหญ่ให้ระลึกรู้ในขณะนั้น

    เหล่านี้คือทุกข ไม่ใช่ทุกขกาย ทุกขใจ

    แต่เป็นทุกขจากการเห็นลักษณะเกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่ใช่คนสัตว์

    เมื่อไม่เห็นทุกข แล้วจะเห็นทุกขดับได้อย่างไร


    ทั้งหมดนี้จึงกล่าวอย่างย่อว่า วิธีถูก ทำเหตุมาถูก แต่ผลของเหตุไม่ถูก
     
  19. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    เอ้า ว่าไปฝ่ายอภิธรรม ข้าน้อยขอรับฟัง

    ยอมรับว่าอภิธรรมไม่จัด
     
  20. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    รูปนาม ผ่านไปได้เลย

    ตอนนี้ คุยเรื่องน้าหม้อ ไม่ใช่คุยเรื่องนายซัวเจ๋ง

    ขณะรู้นี้สัญญา นี้เวทนา เป็นไงบ้าง

    สักว่ารู้ๆไป หรือ รู้จนมันดับไปเอง

    และขณะรู้นั้น ดับไปพร้อมกับขันธ์ หรือ รู้ยังอยู่หนอ :cool:

    ลองภูมิอาหม้อหน่อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...