หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และพระคณาจารย์สายต่างๆ (ข้อมูลวัตถุมงคล หน้า 1-8)....

สาธุ.. อนุโมทนาครับพี่

 

สวัสดีครับ ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยเช่นกันนะครับ..

เห็นอากาศเย็นๆแบบนี้ คิดถึงสมัยอยู่กับหลวงปู่ที่วัดครับ ท่านชอบสั่งให้ไปจุดไฟ ที่โรงบูชาไฟ เพื่อเติมธาตุไฟ และจะสั่งให้เผาข้าวหลามกันช่วงในนี้ครับ ซึ่งจะมีโยมลูกศิษย์ชุดเก่าๆมาช่วยหาเครื่องปรุง และช่วยกันตัดไม้ไผ่ในบริเวณวัด เพื่อทำกระบอกใส่ข้าวหลาม แล้วช่วยกันกรอกข้าวใส่กระบอกไม้ไผ่ ช่วยกันจุดไฟ ช่วยกันเผา พอเผาสุกได้ที่ก็จะช่วยกันขนขึ้นมาถวายให้หลวงปู่ท่านทั้งหมด ท่านก็จะเสกให้ก่อน แล้วเก็บเอาไว้ฉันเอง 2 กระบอก ที่เหลือให้ไปแจกกันให้ทั่วๆ เป็นข้าวหลามเสกครับ



.

 

ขอนอบน้อมกราบบูชาองค์หลวงปู่ พ่อแม่ครูอาจารย์
นมัสเตน้อง x ข้าวหลามเสก เป็นทั้งยา บางส่วนถ้าเก็บไว้เป็นมวลสารชั้นเอก ทั้งมงคลทั้งความอุดมสมบูรณ์แห่งโภคทรัพย์...สาธุ

 

สวัสดีครับพี่โยคีเสือ.. ข้าวหลามเสกผมจัดการ(กิน) เรียบร้อยแล้วครับ.. มาฉุกคิดที่หลังเสียดายเหมือนกันนะครับ ฮะๆ

พวกข้าวหรืออาหารที่เหลือจากการฉันแล้ว หรืออาหารที่มีผู้นำมาถวาย จะได้ฉัน หรือไม่ได้ฉันก็ดี แม้แต่ของที่เสียแล้วก็ตาม หลวงปู่ท่านจะสั่งเสมอว่า " อย่าเอาไปทิ้งนะ ของเสกทั้งนั้น ให้เอาไปเลี้ยงไก่ ไก่กินได้ไม่เป็นไร จะได้ไม่เสียประโยชน์ "

แม้แต่ดอกไม้ที่บูชาพระ หรือมีคนเอามาถวายท่าน ท่านก็มักจะบอกว่า " ให้เอาไปตากแห้ง บดเป็นผงเก็บไว้สร้างพระ " หรือถ้าหากมีคนมาขอเอาดอกไม้เหล่านั้นไปสร้างพระ ท่านก็จะ " ส า..ธุ " ด้วย

เท่าที่ผมทราบมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะ องค์หลวงปู่ท่านเคยบอกกับผมว่า.. " เวลาใครเขาเอาของมาถวายเรา เราจะตั้งใจ ยกไปถวายให้พระพุทธเจ้าท่าน พอท่านรับแล้วก็เป็นของท่าน (พุทธบูชา) เวลาใครจะเอาของเหล่านี้ไปใช้ก็ต้อง เสสัง(มังคะลัง ยาจามะ)ก่อน เพราะเป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ใช่ของเรา วัตถุมงคลนี่ก็เหมือนกัน "




.

 

ขอเชิญร่วมประมูลวัตถุมงคล ปัจจัยทั้งหมดเพื่องานประชุมเพลิงสรีระองค์หลวงปู่พิศดู ในนาม..ลูกศิษย์สายเว็บพลังจิต.. ประมูล ปิดวันต่อวัน ตั้งแต่ 00.01 น. - 23.00 น. ครับ


คลิ๊กตามนี้เลยครับ..
http://palungjit.org/threads/ประมูล-วัตถุมงคลหลวงปู่พิศดู-ร่วมบุญงานประชุมเพลิงหลวงปู่.233862/page-459

 

สวัสดีทุกท่านครับ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ

 

กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีครับพี่ทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่าน พูดถึงข้าวหลามแล้วรู้สึกหิวขึ้นมาเลยครับ แหะๆ ของโปรดผมเลยนะครับนี่

 

หวัดดีคุณทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่านครับ

 

วันนี้ไปฟังสวดอภิธรรมที่วัดมาครับ คนมาเยอะเหมือนกันครับ เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดประชุมเพลิง โรงทาน ห้องสุขา..ฯลฯ มีความคืบหน้าไปเยอะแล้วครับ

 

คลิ๊กตามนี้เลยครับ..
http://palungjit.org/threads/ประมูล-วัตถุมงคลหลวงปู่พิศดู-ร่วมบุญงานประชุมเพลิงหลวงปู่.233862/page-465

 

วันก่อนผมได้คุยกับคุณป้าท่านหนึ่งครับ คุยกันถึงเรื่ององค์หลวงปู่ ว่าท่านมีความผูกพันธ์กับพญานาค และน้ำ แม้แต่.. ชื่อของสถานที่ ที่องค์หลวงปู่เคยอยู่มา ก็ยังเกี่ยวกับน้ำ มาตั้งแต่เกิด จนถึงวันที่ท่านละสังขารลงก็ยังคงผูกพันธ์กับน้ำอีก กล่าวคือ..

• องค์หลวงปู่ท่านเกิดที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา (เดิมที่นั้น เกาะกงเป็นของไทย แต่มาเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 5) ท่านเป็นลูกชาวเล ในสมัยเด็กก็เป็นหัวหน้าเขา ชอบเที่ยวเล่นทั้งตามบก และในน้ำ ด้วยความซุกซนทำให้เกือบจมน้ำหลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง
• ครั้งอายุได้ 14 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเกาะปอคงคาราม ต่อมาก็อบพยบหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่เมืองไทย โดยมาทางน้ำ แจวเรือมากับหลาน และน้องชาย รวมทั้งพระสงฆ์รูปอื่นๆ มาจึงได้มาอยู่ที่วัดคลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ขณะที่อยู่ที่วัดคลองใหญ่นี่เอง ท่านก็ได้เรียน เวทย์มนต์คาถาต่างๆ เพิ่มเติม เช่น คาถาโคมแก้ว คาถาเจริญคุณ คาถาลายลักษณ์ ..ฯลฯ รวมถึงวัตรปฏิบัติ พระวินัย และเบ็ดเตล็ด ทำให้ท่านมีความชำนาญ เชี่ยวชาญในความรู้ต่าง ๆ ท่านอาศัยอยู่ที่วัดคลองใหญ่ได้ประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มออกธุดงค์ครั้งแรก มาทางป่าแถบเทือกเขาบรรทัด ​

ท่านเดินธุดงค์อยู่บริเวณ แหลมตะก้อ จ.ตราด ท่านก็แวะพักในบริเวณนั้น ได้หลับ และฝันไปว่ามียักษ์ได้แปลงร่างเป็นพญานกปากแหลม(พญาครุฑ) ตัวใหญ่มากเข้ามาจะทำร้าย ก็ได้ต่อสู้ตีกันเป็นพัลวัน และท่านได้อธิษฐานจิตว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าจะได้อยู่รับใช้ในบวรพระพุทธศานาตลอดไป ก็ขอให้ได้ชัยชนะแก่พญานกนี้เทอญ” ในที่สุดท่านก็ได้รับชัยชนะ และจากนิมิตนี้เอง ทำให้ท่านมีความมั่นใจว่า ท่านสามารถอยู่ในร่มกาสาวพัตร แห่งพระบรมศาสดาได้ตลอดไป เพราะสามารถต่อสู้กับอธรรม และกิเลสดั่งเช่นพญานกยักษ์ได้ดังจิตอธิษฐาน​

• เมื่อท่านมีอายุครบบวช ประมาณปี พ.ศ.2487 ก็มาอยู่ที่ จ.จันทบุรี จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี และท่านพ่อลีได้อุปสมบทให้ ณ วัดจันทนาราม(ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจันทบุรี) โดยมีพระอมรมลีเป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพ่อลีเป็นพระกรรมวาจา ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าคลองกุ้ง(ซึ่งวัดนี้ก็ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจันทบุรีเช่นกัน)​
• หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ไปที่ ต.หนองบัว หลวงปู่เดินทางไปทีหลังโดยไปทางน้ำ สะพายบาตรไป 2 ลูกเป็นของครูบาเฟื่องลูกหนึ่ง แต่คนบนเรือมากไป เรือรับน้ำหนักไม่ไหว เรือจึงล่ม ท่านบอกว่าตอนก่อนจะลงเรือได้กำหนดจิตไว้ พอเรือล่ม หลวงปู่ท่านตีลังกาขึ้นฝั่งมาได้พร้อมบาตรทั้งสองยังอยู่ครบ (ก็งงกับตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าอยู่ดีๆตีลังกาขึ้นมาได้อย่างไร).. แล้วก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังหนองบัวต่อทันที พอไปถึงบ้านงาน จีวรก็แห้งพอดี จึงขึ้นสวดได้เลย​

  ​
• ในการธุดงค์ของท่าน ท่านมักจะไปแต่ผู้เดียว ในบางครั้งก็ไม่กลับวัดเลย ท่านชอบอยู่ในป่าในเขาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้หนีท่านพ่อลีออกธุดงค์ไปถึงเกาะหมาก เมื่อครั้นกลับมานึกว่าท่านพ่อลีจะดุ แต่ท่านกลับไม่ดุว่าอะไร กลับบอกว่าดี สงบดี อยู่คนเดียวสบายดีเสียอีก นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ยังได้ออกเดินธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ แทบทุกภาค โดยเฉพาะที่เขาสระบาป จ.จันทบุรี นี้ไปอยู่หลายรอบมากๆ​

  ​
• ท่านได้เดินธุดงค์ไปตามลุ่มแม่น้ำโขง แถบภาคอีสานลัดเลาะไปตามที่ต่างๆ จนไปถึง จ.เชียงใหม่ เพราะเคยได้ยินครูบาอาจารย์พูดกันว่า ที่ภาคเหนือภาวนาดี และมักจะมีเรื่องปาฏิหาริย์แปลกๆให้ได้เห็นกัน ซึ่งท่านก็ได้เห็นเรื่องอัศจรรย์แปลกตามนั้นจริงๆ(แต่ไม่ได้บอกว่าคืออะไร) การจาริกธงดงค์ของท่านนั้น ธุดงค์มากว่าค่อนชีวิต ​

  ​
• ก่อนที่หลวงปู่จะได้มาอยู่ที่วัดเทพธารทองนี้ หลวงปู่ได้ไปแวะพักอยู่ที่วัดเขาน้อยท่าแฉลบ และคืนก่อนหน้าที่จะกลับไปที่วัดป่าเนินดินแดง ก็ได้นิมิตว่ามีคนนำมีดด้ามทอง สวยงามมากมาให้ วันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับจากเขาน้อยมาที่วัดเนินดินแดง ยังไม่ทันได้เข้าพักก็ได้รับคำสั่งจากทางคณะสงฆ์ให้มาที่วัดเทพธารทอง ​

  ​
• วัดเทพธารทอง เดิมเป็นป่าธรรมชาติ เป็นดงเสือ ดงช้าง เก้งกวาง ไก่ป่า หมูป่าอาศัยอยู่ และมีลำธารธรรมชาติไหลลงมาจากบนเขาคิชฌกูฏ หลวงปู่ได้มาอยู่ที่วัดเทพธารทอง ครั้งแรกเมื่อปลายปี พ.ศ 2520 เมื่อแรกที่มาก็มีศาลาใหญ่อยู่เพียงหลังเดียว และกุฏิพระที่ทรุดโทรมไม่มีใครอาศัยเลย เนื่องจากที่ดินบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เป็นที่แรง มักมีจิตวิญญาณดุร้ายอยู่มาก ใครมาอยู่ก็ไม่ได้ แต่หลวงปู่ท่านก็อยู่ได้อย่างสบาย แถมเป็นที่สงบไม่มีใครรบกวน ​

  ​
• ต่อมาท่านเริ่มอาพาธ จึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด และโรงพยาบาลพระปกเกล้า ซึ่งโรงพยาบาลนี้ ด้านหน้าก็เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ​

  ​
• ต่อมาจึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ห้อง ICU ซึ่งองค์หลวงปู่ท่านจะได้อยู่ห้อง ด้านที่มองเห็นน้ำโดยตลอด ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ ก็อยู่ใกล้คลองปะปา จนถึงวาระแห่งอายุสังขารเข้าสู่ธรรมธาตุ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ​

  ​
• จากนั้นทางคณะศิษย์ได้เคลื่อนพระสรีระสังขารขององค์หลวงปู่พิศดูมายังวัดป่าคลองกุ้ง โดยมีองค์หลวงปู่สนั่น วัดธารเกษม พระอริยะสหธรรมมิกขององค์หลวงปู่ท่าน เป็นผู้มารับพระสรีระด้วยตนเอง เพื่อมาตั้งบำเพ็ญ ณ วัดป่าคลองกุ้ง ซึ่งสมัยที่องค์หลวงปู่พิศดูยังทรงสังขารอยู่นั้นท่านก็ได้เคยบอกกับลูกศิษย์ผู้หนึ่งเอาไว้ว่า " เราบวชก็มาอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง พอเราตายก็ต้องเอามาไว้ที่วัดป่าคลองกุ้งอีก " ซึ่งก็เป็นไปตามที่องค์หลวงปู่ท่านกล่าวไว้จริงทุกประการ​

  ​
• พอตั้งสรีระบำเพ็ญที่วัดป่าคลองกุ้ง เพื่อรอการจัดการสถานที่ๆวัดเทพธารทองเรียบร้อยแล้ว จึงเคลื่อนพระสรีระองค์ท่านกลับมายังวัดเทพธารทอง ซึ่งองค์หลวงปู่ท่านก็ได้เคยบอกกับลูกศิษย์ของท่านเอาไว้อีกว่า " พอเวลาเผาก็เผาที่วัดเทพธารทอง " ซึ่งองค์หลวงปู่ท่านได้เลือกสถานที่จัดประชุมเพลิงสรีระสังขารเอาไว้ก่อนแล้ว คือบริเวณพื้นที่ๆท่านสั่งให้ทำนาปลูกข้าวมา 2 ปี ก่อนจะมรณะภาพลง​

  ​

ถ้าท่านได้อ่าน และทำความเข้าใจตาม คำที่เป็นสีน้ำเงิน และขีดเส้นใต้ จะเห็นได้ว่า องค์หลวงปู่ท่านมีความผูกพันธ์กับน้ำมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งพอเรามานั่งนึก(เล่นๆ) ก็เห็นเป็นเรื่องแปลกชวนให้ขบคิดอยู่.. และยังมีเรื่องที่องค์หลวงปู่ท่านเคยเปิดเผยให้ลูกศิษย์บางคนได้ทราบด้วยว่า ใต้พื้นบาดาลที่ตั้งวัดเทพธารทองแห่งนี้ เป็นเมืองนาคราชภิภพ เมืองใหญ่มหึมา (ซึ่งมีทางเข้าออกอยู่ 3 ทาง) และจัดเป็นตระกูลนาคผู้ทรงศักดิ์ดามาก และนาคเหล่านั้นเป็นทั้งบริวาร โยมอุปัฏฐาก และผู้พิทักษ์รักษาองค์หลวงปู่ด้วย ซึ่งก็มีหลายคน โชคดีได้เห็นพญางูใหญ่นี้ด้วยตาเนื้อที่วัดแห่งนี้ ซึ่งตามปกติพวกนาคราชนั้นจะอาศัยอยู่ในที่ๆมีแหล่งน้ำ.. ซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยากครับ แต่หากผู้ที่ได้เคยสัมผัสกับเรื่องลี้ลับเหล่านี้มาบ้าง หรือผู้ที่เคยมาอยู่ปฏิบัติที่วัดเทพธารทองนี้มาพอสมควร คงจะพูดเข้าใจกันง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เรื่องลี้ลับเหล่านี้ก็ยังคงเป็นปริษณาที่ชวนให้ค้นหากันต่อไป..
หากแต่องค์หลวงปู่ ท่านก็ไม่ได้มุ่งเน้นสอนให้เราหลงติดอยู่กับตรงจุดนี้ ท่านสอนให้เราขวนขวายให้เราเร่งปฏิบัติ ทำความเพียร เพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากบ่วงผูกมัดของมาร นั่นคือกิเลสที่เกาะกินหัวใจของเรา ให้มืดบอด เลยทำให้ไม่รู้ไม่เห็นอะไรที่เป็นแก่นสาร สาระ ความจริงที่ควรจะเป็นนั้นๆ หลวงปู่ท่านเคยบอกประมาณบอกว่า.. " ของดีมันอยู่ที่ใจของเราเองนั่นแหละ ฝึกปฏิบัติให้มาก ทำให้มันถูกทาง พอถึงที่แล้ว มันก็มี(ฤทธิ์)เอง อยากรู้อะไรมันก็รู้ของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาบอก มันก็รู้เองได้.." ​

​

​

.

 

กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีครับพี่ทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่านยามเช้าครับ เรื่องนี้ถือเป็นประวัติท่านโดยย่อ ที่กระชับได้ใจความมาก สาธุ ๆ ๆ (good)

 

" ของดีมันอยู่ที่ใจของเราเองนั่นแหละ ฝึกปฏิบัติให้มาก ทำให้มันถูกทาง พอถึงที่แล้ว มันก็มี(ฤทธิ์)เอง อยากรู้อะไรมันก็รู้ของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาบอก มันก็รู้เองได้.."
ขอนอบน้อมกราบบูชาองค์หลวงปู่ พระพ่อแม่ครูอาจารย์
นมัสเต.น้องX ท่านสมาชิกอาวุโส..ภันเตครับ
เหมือนตรงกันในบทประโยคของครูอาจารย์ ต่างวาระในบุคคละ แต่ตรงกันในธรรมที่บอกกล่าวสอนสั่ง สังฆัง ชีวิตังเม ปูเชมิ

 

ขอบคุณท่าน X มากครับที่ลงเรื่องราว ของหลวงปู่ให้ลูกศิษย์ได้รับรู้ ทำให้รู้สึกได้ เหมือนว่า ได้ไกล้ชิด องค์หลวงปู่มากขึ้น ขอบคุณมากครับ ^0^

 

กราบหลวงปู่พิศดูและครูบากฤษดา บรมครูผู้เมตตาสัตย์โลกและสมาชิกทุกท่าน เข้าไปดูการประมูลมาสุดยอดมากครับท่านๆ ได้ปัจจัยเข้าวัดเทพธารทองคงมากอยู่ดีใจมากครับและขออนุโมทนากบท่านเจ้าของกระทู้และพี่บัติและผู้ประมูลทุกท่าน ขอบารมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ พระอุปคุฑ หลวงปู๋พิศดูและครูบากฤษดาโปรดคุ้มครองทุกท่านและครอบครัวให้มีความสุขตลอดไป

 

กราบหลวงปู่และสวัสดีทุกท่านครับแวะไปดูกระทู้ป๋าบัติมาหลบกระสุนแทบไม่ทัน แหะๆ ดุเดือดมากครับ ก่อนเข้าร่วมประมูลผมว่าผู้เข้าร่วมประมูลควรให้แพทย์ครวจเช็คหัวใจกันไว้ก่อนก็ดีนะครับ อิอิ

 

กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีครับพี่ทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่าน เห็นด้วยกับท่านกวาวชไมครับ ยิ่งช่วงใกล้ปิดนี่ใส่กันไม่ยั้งเลยครับ ฮ่าๆ

 

ยิ่งตอนใกล้หมดเวลานี่ยิ่งแรงมากครับ :'(

 

หลวงปู่ท่านอยู่ทุกที่ ที่เราไปถึง เพียงนึกถึงท่านท่านก็อยู่กับเราเสมอครับ(แค่เรามองไม่เห็นท่าน)

 

ไม่กล้าเข้าไปดูประมูลเลย.....ใจไม่กล้าพอ...อิ อิ

อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ