เรื่องเด่น พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาล

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 29 มีนาคม 2007.

  1. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#ffa01f cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=2 valign="top"><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffa01f colSpan=3><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>คติเรื่องอดีตพุทธเจ้า</TD><TD align=right><NOBR></NOBR></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#feffcb colSpan=3><!------------ส่วนของเนื้อหา------------------><TABLE height=270 cellSpacing=0 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    คติเรื่องอดีตพุทธเจ้าและจิตรกรรมอดีตพุทธในศรีลังกา

    คติอดีตพุทธฝ่ายเถรวาท

    &middot; พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนั้นถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธ

    เจ้า) เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ได้สั่งสมบารมีไว้มาก จนสามารถบรรลุโพธิญาณได้ ถือว่าพระองค์ทรงเป็นศาสดาผู้นำศาสนิกชนให้เข้าสู่ความสงบสุขของชีวิตโดยอาศัยธรรมะที่แสดงและวินัยที่บัญญัติไว้เป็นหลัก[1]


    &middot; คติพุทธศาสนาเก่าแก่ของเถาวาทในมหาปทานสูตร(ทิฆนิกาย)กล่าวถึง

    พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ คือ 1. วิปัสสี 2. สิขี 3. เวสสะภู 4. กะกุสันธะ 5.โกนาคม 6. กัสสป 7. โคตมะ[2] คือเป็นอดีตพุทธเจ้า 6 พระองค์ และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


    &middot; คัมภีร์ภาษาบาลี พุทธวงศ์ ได้กล่าวถึงรายชื่อพระพุทธเจ้า 25 พระองค์

    ดังนี้1. ทีปังกร 2. มังคละ 3. สุมนะ 4. เรวตะ
    5. โสภิตะ 6. โกณฑัญญะ 7. ปทุมุตตระ 8. สิทธัตถะ
    9. วิปัสสี 10. สุเมธ 11. สุชาตะ 12. ติสสะ
    13. ผุสสะ 14. สิขี 15. เวสสภู 16. อโนมทัสสี
    17. ปทุม 18. นรทะ 19. ปิยทัสสี 20. อัตถทัสสี
    21. ธัมมมทัสสี 22. กกุสันธะ 23. โกนาคม 24. กัสสปะ
    25. โคตมะ[3] คือมีอดีตพุทธเจ้า 24 พระองค์ และในคัมภีร์ยังได้กล่าวอีกว่าพระพทธเจ้าโคตรมะในอดีตชาติทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงได้ศึกษาบำเพ็ญเพียรในสำนักของพระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์[4] อีกทั้งยังได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ว่าพระองค์จะได้เสร็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต


    ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้าในอดีต 24 พระองค์และพระโคตรมะ

    อดีตพุทธเจ้าพระโคตมะในอดีต

    1. พระพุทธเจ้าทีปังกร ชลิสดาบส นามว่า สุเมธ

    2. พระพุทธเจ้าโกณทัญญะ พระจักรพรรดินามว่า วิชิตาวี

    3. พระพุทธเจ้ามงคล พราหมณ์ นามว่า สุรุจิ

    4. พระพุทธเจ้าสุมน พระยานาคราช นามว่า อดุล

    5. พระพุทธเจ้าเรวัต พราหมณ์ นามว่า อดิเทพ

    6. พระพุทธเจ้าโสภิต พราหมณ์มหาศาล นามว่า สุชาต

    7. พระพุทธเจ้าอโนมทัสส เสนาบดียักษ์

    8. พระพุทธเจ้าปทุม พระยาราชสีห์

    9. พระพุทธเจ้านารทะ ชฎิลผู้มีตบะสูงสุด

    10. พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ เจ้าผู้ครองรัฐในพระนคร นามว่า ชฎิล

    11. พระพุทธเจ้าสุเมธ มาณพ นามว่า อุดร

    12. พระพุทธเจ้าสุชาติ พระจักรพรรดิเป็นใหญ่ในมหาทวีป

    13. พระพุทธเจ้าปิยทัสสี มาณพ นามว่า กัสสป

    14. พระพุทธเจ้าอัตถทัสสี พราหมณ์มหาศาล นามว่า สุสิมะ

    15. พระพุทธเจ้าธัมมทัสสี ท้าวสักกเทวราช

    16. พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ พราหมมหาศาล นามว่า มงคล

    17. พระพุทธเจ้าติสสะ กษัตริย์ พระนามว่า สุชาติ

    18. พระพุทธเจ้าปุสสะ กษัตริย์ พระนามว่า วิชิตาวี

    19. พระพุทธเจ้าวิปัสสี พระยานาคราช นามว่า อดุล

    20. พระพุทธเจ้าสิขี กษัตริย์ พระนามว่า อรินทมะ

    21. พระพุทธเจ้าเวสสภู กษัตริย์ พระนามว่า สุทัศน์

    22. พระพุทธเจ้ากกุสันธะ กษัตริย์ พระนามว่า เขมะ

    23. พระพุทธเจ้าโกนาคม กษัตริย์ พระนามว่า บรรพต

    24. พระพุทธเจ้ากัสสป มาณพ นามว่า โชติปาล

    พุทธวงศ์บางฉบับก็ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าอีก 3 พระองค์ รวมเป็นจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์และพระพุทธโคตมะได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์และทรงศึกษาจากสำนักของอดีตพุทธ 3 องค์แรกที่เพิ่มมาภายหลัง คือ อดีตพุทธตัญหังกร เมธังกร และสรณังกร แต่พระองค์ยังไม่ได้รับพุทธทำนายว่าจะได้เสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัลป์นี้ พระองค์เริ่มได้รับพุทธทำนายจากอดีตพุทธองค์ที่ 4 คือ อดีตพุทธทีปังกร เรื่อยลงมาเป็นลำดับจนองค์สุดท้ายคือ อดีตพุทธกัสสปะ พระองค์จึงได้รับพุทธทำนายจากอดีตพุทธ 24 พระองค์ เพราะฉะนั้นจำนวนอดีตพุทธอีกชุดคือ จำนวน 28 พระองค์ จึงนับรวมอดีตพุทธ 3 องค์แรกและพุทธโคตมะ[5]

    &middot; เอกสารของลังกา ปกที่ 2 ของเอกสารโบราณ (อายุราวพุทธ

    ศตวรรษที่ 24 ศิลปะแบบสิริวัฒนบุรีหรือแคนดี) เป็นภาพเกี่ยวกับคำพยากรณ์ คือ คำทำนาย 24 คำรบ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับระยะเวลาต่างๆแห่งการปรากฏขึ้นของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ซึ่งหลักฐานเกี่ยวกับความเชื่อดังกล่าวนี้ได้มีการค้นพบเป็นจำนวนมาก ณ พระมหาสถูปสาญจี อินเดีย มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 24 พระองค์ ซึ่งแบ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอดีต พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และอนาคตพุทธเจ้า ในด้านความเชื่อเรื่องนี้ได้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าศรีศากยมุนีได้ทรงเคยพบกับพระอดีตพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตลอด 24 ชาติ และทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ปกของเอกสารโบราณนี้ ได้แบ่งภาพเขียนออกเป็นช่อง ช่องละ 1 ภาพ รวมทั้งสิ้น 24 ภาพ ในแต่ละภาพมีอักษรสิงหลกำกับอยู่[6]

    เรื่อง คำทำนาย 24 คำรบนั้น นับเป็นหนึ่งในบรรดาเรื่องที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการสร้างสรรค์ศิลปะทางพระพุทธศาสนาของชาวสิงหล โดยเฉพาะในช่วงปลายศิลปะแบบแคนดี[7]

    คติอดีตพุทธเจ้าฝ่ายมหายาน

    ตามคติมหายานเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ได้มีพระพุทธเจ้ามาก่อนหน้าพระโคตมพุทธเจ้าแล้ว และจะมีต่อไปจนจวบชั่วกาลปาวสาน และถือว่า พระพุทธเจ้าโคตมะเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นไม่มีความพิเศษอันใด

    อีกทั้งยังเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีประจำอยู่เสมอในโลกทั่วทุกทิศไม่ใช่เสด็จมาตรัสรู้แล้วนิพพานเหมือนคติเถรวาท นิกายมหายานจึงขนานนามพระพุทธเจ้าทั้งปวงโดยรามว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2007
  2. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    อ่า....รวบรวมข้อมูลเยอะๆ แล้วมากรองเรียบเรียงใหม่ ทำเป็นหนังสือดีไหม ตอนนี้กำลังทำหนังสือเพื่อชาวพุทธภูมิโดยเฉพาะ เล่มแรกไกล้เสร็จแล้ว แต่เล่มนี้ไม่เผยแพร่นะ อยากได้ PM มาขอเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2007
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    โมทนาสาธุ..สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ
    อ่านตาโต..เอ๊ย! ตาลายเลยค่ะ

    ^_^
     
  4. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +283
    อนุโมทนาครับ
    แสดงว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ได้อุบัติขึ้นบนโลกนั้นพอสิ้นแต่ละกัป โลกก็อวสาน แล้วก็เกิดขึ้นใหม่ในแต่ละกัป ผมเข้าใจถูกไหมครับ
     
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542



    คำว่า "กัป" หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก ท่านให้เข้าใจด้วยอุปามาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ 1 โยชน์ (๔๐๐ เส้นหรือประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ทุก 100 ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น
     
  6. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2007
  7. Aung CapA

    Aung CapA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +274
    ขออนุโมทนาและอวยพรให้บุญบารมีทั้งหมด เป็นปัจจัยในปัจจุบันและอนาคตให้คุณ Wisdom สมหวังในสิงที่ได้ขออฐิษฐานไว้

    ขออนุโมทนา กับคุณ KeLBeRoS
     
  8. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,255
    <O:p พระ.jpg


    พระพุทธนามพระพุทธเจ้า 88 พระองค์ ที่มีกล่าวในบทพุทธบูชาขมาปนกรรม ซึ่งเป็นบทสวดในการทำวัตรเย็นของพระภิกษุในพระพุทธศาสนามหายาน เพื่อนอบน้อมขมากรรมในอกุศลที่ได้ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ มิให้เป็นกรรมขัดขวางการบำเพ็ญเพียรเพื่อพระโพธิญาณในอนาคต

    นโมพระสมันตประภาสตถาคต
    นโมพระสรรววิทตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสมันตวิศุทธตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระตามรวจันทนคันธตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระจันทนประภาสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระมณีเกตุตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระนันทิครรภ์มณีรัตนกูฎตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสรรวโลกสุขทรรศมหาวีรยตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระมณีธวัชทีปประภาสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระชญาโนลกประภานตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสาครศรีรัศมีประภาสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวัชรวัลษัฎฎประกาศสุวรรณตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระมหาการุณิกประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระไมตรีพลราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระไมตรีครรภ์ตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระจันทนคุหวยูหชัยตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระภัทรสุศิรสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุมติตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระไวปุลยวยูหราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุวรรณกุสุมราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนฉัตรประภานีศวรพลราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอากาศรัตนปัทมประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระไวฑูรยวยูหราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสมันตทฤษฏวรรณกายประภาสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอักโษภัยชญานประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสรวมารชิตราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระปรัชญารัศมีประภาสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระชญานปรัชญาศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระไมตรีฤษิประภาสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุนิรวาณจันทรโฆษวรสรวราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระโลกวิศุทธประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระนาโคตมราชาตถาคต
    นโมพระสูรยจันทรประภาตถาคต<O:p</O:p
    <O:p></O:p>นโมพระสูรยจันทรมณีประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระปรัชญาเกตชัยตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสีหนาทีศวรพลราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุโฆษศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระนิตยประภาสวัชตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอาโลกประทีปตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระชญานเตชประทีปราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระธรรมชัยราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุเมรุประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุมนปุษปประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอุทุมพรวิชัยราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระมหาชญานพลราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอักโษภัยนันทิประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอมิตโฆษสวรราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระชญานประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุวรรณสาครประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระไศเลนทรสาครมตีศวรภิภุราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระมหาภิภุประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสรรวธรรมนิตยปูรณราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระศากยมุนีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวัชรครรภตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนารจิตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระนาเคศวรราชาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวีรเสนตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวีรนันทินตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนาคนีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนจันทรประภาตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอโมฆทรรศินตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนจันทรตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวิมลตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระนิรมลตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุรทัตตตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระพรหมทัตตตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวรุณตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวรุณเทวตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระภัทรศรีตถาคต
    นโมพระจันทนศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอนันเตาชสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระประภาสศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอโศกศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระนารายณตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระกุสุมศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระปัทมชโยติสตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระธนศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสมฤติศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระปริกีรตินามศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระอินทรเกตุธวัชตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสุวิกรานตศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระยุทธชัยตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระวิกรานตตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระสมันตาวภาสวยูหศรีตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนปัทมวิกรานตตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระรัตนปัทมสุสถิตสาลราชตถาคต<O:p</O:p
    นโมพระธรรมธาตุครรภกายอมิตาภะตถาคต


    <O:p หทัยธารณี.jpg </O:p>
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  9. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เกี่ยวกับองค์ปัจจุบัน.

    [VDO]http://palungjit.org/attachments/a.161143/[/VDO]

    เจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์
    ทรงอธิษฐานบารมีลอยถาด
    ณ แม่น้ำเนรัญชรา

    <DD>
    ขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
    <DD>
    อยู่ที่เขาดงคสิริ ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
    <DD>
    อยู่ไม่ห่างไกลกับบ้านนางสุชาดา
    <DD>
    ซึ่งเป็นธิดาของคหบดีผู้มั่งคั่งในตำบลนั้น
    <DD>
    มีบ้านอยู่บนเนินเขา อยู่ริมฝั่งทางทิศตะวันออก
    <DD>
    ของแม่น้ำเนรัญชรา
    <DD>
    <DD>
    <DD>
    ต่อมาพระสิทธัตถะทรงพิจารณาเห็นชัดว่า
    <DD>
    ทุกรกิริยาไม่ใช่ทางแห่งการตรัสรู้แน่นอน จึงกลับเสวย
    <DD>
    พระกระยาหารตามเดิม แล้วหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต
    <DD>
    <DD>
    <DD>
    นางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาส ใส่ถาดทองคำ
    <DD>
    จนเต็มไปถวายพระพุทธองค์ ซึ่งประทับอยู่ที่โคน
    <DD>
    ต้นไทรหันพระพักตร์ทางทิศตะวันออก พระสิทธัตถะได้
    <DD>
    เสวยจนหมด แล้วทรงถือถาดลงไปสู่แม่น้ำอธิษฐาน
    <DD>
    เสี่ยงพระบารมีว่า "ถ้าหากข้าพเจ้าจะได้
    <DD>
    บรรลุอนุตร-สัมมาสัมโพธิญาณขอให้ถาดนั้น
    <DD>
    จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป"

    <DD>
    ด้วยอานุภาพบารมีของพระองค์
    <DD>
    ถาดทองคำก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป
    <DD>
    ประมาณ 1 เส้น แล้วจมลง
    <DD>
    <DD>
    (f) (f) (f) ​


    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2007
  10. changtai

    changtai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +298
    องค์สมเด็จองค์พระปฐมถ้าจะนับก็ให้ตั้งเลข ๕ ขึ้นแล้วใส่เลข ๐ ไปอีก ๕๐ ตัว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขี ที่๑ เวลานั้นคนมีอายุขัยได้ ๘ หมื่นปี ออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อชนมายุได้ ๔ หมื่นปี ทรงผนวชแล้วอีก ๒ หมื่นปีจึงทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ ๒ หมื่นปี จึงทรงดับขันธ์ปรินิพพาน หลังจากที่ทรงบำเพ็ญบารมีเองยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมีเพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง
     
  11. changtai

    changtai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +298
    ไว้จะนำเรื่ององค์พระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์พระปฐมมาเล่าให้ฟังต่อเนอะ และเรื่องแม่กาเผือกกับปิยบุตรทั้ง ๕ ฉบับพระครูบาวงศ์มาเล่าให้ฟังนะ
     
  12. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอบารมีแห่งพระทุกพระองค์และผลบุญธรรมทาน พุทธบูชาฯของท่านนี้ จงสำเร็จประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั้งหลายตามประสงค์ ให้ผลบุญทั้งหมดนี้จงรวมตัวกันเป็นกำลังใหญ่ เป็นพลปัจจัยให้ท่านได้บรรลุซึ่งพระโพธิญาณตามมโนปณิธาณที่ตั้งไว้จงทุกประการเทอญฯ
    หากยังไม่บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงใด ขอให้บุญกุศลทั้งหมดในพระศาสนาที่ได้บำเพ็ญและร่วมโมทนาฯ ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ช่วยค้ำจุนมิให้ตกต่ำหรือออกนอกทางฯ หากต้องอยู่ในเคราะห์กรรมใดขอบารมีพระและเทพไท้เทวาจงมีจิตคิดเมตตาช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำชูให้สามารถบำเพ็ญบารมีต่อไปได้โดยครบถ้วนทุกประการเทอญฯ
    (bb-flower (bb-flower (bb-flower (bb-flower
     
  13. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    เรื่องของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ขอนำเสนอเรื่องราวของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึงในอดีตที่เป็นที่รู้จักกันดี
    เรื่องของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และที่เกี่ยวข้องกับสุเมธดาบส(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์)ขอนำเสนอเป็นพุทธบูชา



    ในที่สุดสี่อสงไขยด้วยแสนกัปนับแต่นี้ ได้มีนครหนึ่งนามว่า อมรวดี ในนครนั้นมีพราหมณ์ชื่อสุเมธอาศัยอยู่ เขามีกำเนิดดี มีครรภ์อันบริสุทธิ์ทั้งทางฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดานับได้เจ็ดชั่ว ตระกูลใครจะดูถูกมิได้ หาผู้ตำหนิมิได้เกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติ มีรูปสวย น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงามยิ่ง เขา ไม่กระทำการงานอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่ศิลปะของพราหมณ์ บิดาและมารดาของเขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขารุ่นหนุ่ม ต่อมา อำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์นำเอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องคลังที่เต็มไปด้วยทองเงินแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น บอกให้ ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์สินเท่านี้เป็นของมารดา เท่านี้เป็นของบิดา เท่านี้เป็นของปู่ตาและ ทวดแล้วเรียนว่า ขอท่านจงจัดการเถิด สุเมธบัณฑิตคิดว่า ปู่เป็นต้น ของเราสะสมทรัพยนี้ไว้แล้ว เมื่อจะไปสู่ปรโลกที่ชื่อว่าจะ ถือเอาทรัพย์แม้กหาปณะหนึ่งติดตัวไปด้วยหามีไม่ แต่เราควรกระทำเหตุที่จะถือเอาทรัพย์ไปด้วยได้ ดังนี้แล้วกราบทูลแด่พระ ราชา ให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนครให้ทานแก่มหาชนแล้วออกบวชเป็นดาบส ก็เพื่อที่จะให้ความนี้แจ่มแจ้งควรจะกล่าวสุเมธ


    กถาไว้ในที่นี้ด้วย แต่สุเมธกถานี้มีมาแล้วในพุทธวงศ์ติดต่อกัน แต่เพราะเล่าเรื่องประพันธ์เป็นคาถาจึงไม่ใคร่จะแจ่มชัดดีนัก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจักกล่าวพร้อมกับแสดงคำที่ประพันธ์ เป็นคาถาแทรกไว้ในระหว่างๆ ในที่สุดแห่งสี่องสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ได้มีพระนครมีนามว่า อมรวดี และอีกนามหนึ่งว่า อมร อึกทึกไปด้วยเสียง ๑0 เสียง ที่ท่านหมายถึงเสียงที่กล่าวไว้ใน พุทธวงศ์ ว่า


    ในสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป มีพระนครหนึ่งนามว่า อมร เป็นเมืองสวยงามน่าดู น่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ อึกทึกไปด้วยเสียง ๑0 เสียง


    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสหิ สทฺเทหิ อวิวิตฺตํ ความว่า อึกทึกไปด้วยเสียงเหล่านี้คือ เสียงช้าง เสียงม้า
    เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงสังข์ เสียงกังดาล เสียงที่ ๑ ว่า เชิญกิน เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม ซึ่งท่านถือ เอาเพียงเอกเทศหนึ่งแห่งเสียง เหล่านั้นจึงกล่าวคาถานี้ไว้ในพุทธวงศ์ว่า


    กึกก้องด้วยเสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์และเสียงรถ เสียงป่าวร้องด้วยข้าวและน้ำว่า เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม


    แล้วกล่าวว่า
    พระนครอันสมบูรณ์ด้วยคุณลักษณะทุกประการ เข้าถึงความเป็นพระนครที่มีสิ่งที่ต้องการทุกชนิด สมบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ขวักไขว่ไปด้วยเหล่าชนต่างๆมั่งคั่งเป็นดุจเทพนารี เป็นที่อาศัยอยู่ของเหล่าผู้มีบุญ พราหมณ์ชื่อสุเมธ มีสมบัติสะสมไว้นั้นได้หลายโกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนต์ ได้มาก เรียนจบไตรเพท ถึงความสำเร็จบริบูรณ์ในลักขณศาสตร์ อิติศาสตร์ และ สัทธรรม


    ต่อมาวันหนึ่ง สุเมธบัณฑิตนั้น ไปในที่เร้น ณ พื้นปราสาทชั้นบนนั่งขัดสมาธิคิดว่า นี่แน่ะบัณฑิตการเกิดอีกชื่อว่าการ ถือปฏิสนธิเป็นทุกข์ การแตกดับแห่งสรีระในที่ที่เกิดแล้วก็เป็นทุกข์เช่นกัน และเราก็มีการเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่ธรรมดา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา ควรที่เราผู้เป็นเช่นนี้จะแสวงหาพระมหานิพพานที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่ มีทุกข์ มีแต่สุข เยือกเย็น ไม่รู้จักตาย ทางสายเดียวที่พ้นจากภพมีปรกตินำไปสู่พระนิพพานจะพึงมีแน่นอน ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    เราเข้าไปสู่ที่เร้นนั่งแล้วในตอนนั้นได้คิดว่า ขึ้นชื่อว่า การเกิดใหม่เป็นทุกข์ การแตกดับของสรีระก็เป็น
    ทุกข์ เรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาเช่นกัน เราจักแสวงหา
    พระนิพพานที่ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นแดนเกษม ไฉนหนอเราพึงไม่มีเยื่อใย ไร้ความต้องการทิ้งร่างกายเน่าซึ่งเต็มไป
    ด้วยซากศพนานาชนิดนี้เสียได้แล้วไปทางนั้นมีอยู่ จักมีแน่ ทางนั้นอันใครๆไม่อาจที่จะไม่ให้มีได้ เราจักแสวง
    หาทางนั้น เพื่อพ้นจากภพให้ได้ ดังนี้


    ต่อจากนั้นก็คิดยิ่งขึ้นไปอีกอย่างนี้ว่า เหมือนอย่างว่า ชื่อว่าสุขที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทุกข์มีอยู่ในโลกฉันใด เมื่อภพมีอยู่แม้ สิ่งที่ปราศจากภพอันเป็นปฏิปักษ์ต่อภพนั้น ก็พึงมีฉันนั้น และเหมือนเมื่อความร้อนมีอยู่ แม้ความเย็นที่จะระงับความร้อนนั้น ต้องมีฉันใด แม้พระนิพพานที่ระงับไฟมีราคะเป็นต้นก็พึงมีฉันนั้น ธรรมที่ไม่มีโทษอันงามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมอันเป็นบาปอัน ลามก ย่อมมีอยู่ฉันใด เมื่อชาติอันลามกมีอยู่ แม้พระนิพพานกล่าวคือความไม่เกิด เพราะให้ความเกิดทุกอย่างสิ้นไป ก็พึงมีฉัน นั้น ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เมื่อทุกข์มีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสุขก็ต้องมีฉันใด เมื่อภพมีอยู่ แม้สภาพที่ปราศจากภพก็ควรปรารถนาฉันนั้น เมื่อความร้อนมีอยู่ ความเย็นอีกอย่างก็ต้องมีฉันใด ไฟสามอย่างมีอยู่ พระนิพพานก็ควรปรารถนาฉันนั้น เมื่อ
    สิ่งชั่วมีอยู่ แม้ความดีงามก็ต้องมี ฉันใด ความเกิดมีอยู่ แม้ความไม่เกิด ก็ควรปรารถนาฉันนั้น ดังนี้


    ท่านยังคิดข้ออื่นๆ อีกว่า บุรุษผู้จมอยู่ในกองคูถเห็นสระใหญ่ดาดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีแต่ไกล ควรที่แสวงหาสระนั้น คิดว่า เราควรจะไปที่สระนั้นโดยทางไหนหนอ การไม่แสวงหาสระนั้น หาเป็นความผิดของสระนั้นไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษ นั้นเท่านั้น ฉันใด เมื่อสระใหญ่คืออมตนิพพานเป็นที่ชำระล้างมลทินคือกิเลสมีอยู่ การไม่แสวงหาสระนั้นไม่เป็นความผิดของสระ ใหญ่คืออมตนิพาน แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่งบุรุษผู้ถูกพวกโจรห้อมล้อม เมื่อทางหนีมีอยู่ ถ้า เขาไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้นฉันใด บุรุษผู้ถูกกิเลสห้อมล้อมจับไว้ได้แล้ว เมื่อทางอันเยือกเย็นเป็นที่สู่พระนิพพานมีอยู่ แต่ไม่แสวงหาทางนั้น หาเป็นความผิดของทางไม่ แต่เป็นความผิดของบุคคลนั้น เท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน และบุรุษผู้ถูกพยาธิเบียดเบียน เมื่อหมอผู้รักษาความเจ็บป่วยมีอยู่ หากเขาไม่แสวงหาหมอนั้นให้รัก ษาความเจ็บป่วย ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นฉันใด ผู้ใดถูกพยาธิคือกิเลสเบียดเบียน ไม่ แสวงหาอาจารย์ผู้ฉลาดในการระงับกิเลสซึ่งมีอยู่ ข้อนั้นเป็นความผิดของผู้นั้นเท่านั้น หาเป็นความผิดของอาจารย์ผู้ทำกิเลส ให้พินาศไม่ ฉันนั้นเหมือนกันดังนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    บุรูษผู้ตกอยู่ในคูถ เห็นสระมีน้ำเต็มเปี่ยม ไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระไม่ฉันใด เมื่อ
    สระคืออมตะในการที่จะชำระล้างมลทินคือกิเลสมีอยู่ เขาไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระคืออมตะ
    ไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน


    คนผู้ถูกศัตรูกลุ้มรุม เมื่อทางหนีไปมีอยู่ไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ฉันใด คนที่ถูกกิเลส
    กลุ้มรุม เมื่อทาง ปลอดภัยมีอยู่ไม่ไปหาทางนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางที่ปลอดภัยนั้นไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน
    คนผู้เจ็บป่วยเมื่อหมอรักษาโรคมีอยู่ ไม่ยอมให้รักษาความเจ็บป่วยนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอ
    นั้นไม่ ฉันใด คน ผู้ได้รับทุกข์ความเจ็บป่วยคือกิเลสเบียดเบียนแล้ว ไม่ไปหาอาจารย์นั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิด
    ของอาจารย์ผู้แนะนำไม่ ฉันนั้น เหมือนกัน


    ท่านยังนึกถึงแม้ข้ออื่นๆ อีกว่า คนผู้ชอบแต่งตัวพึงทิ้งซากศพที่คล้องไว้ที่คอไปได้อย่างมีความสุข ฉันใด แม้เราก็ควร ทิ้งกายอันเน่านี้ไม่มีอาลัยเข้าไปสู่นิพพานนครฉันนั้น ชายหญิงทั้งหลายถ่ายอุจจาระและปัสสาวะรดบนพื้นที่อันสกปรกแล้ว
    ย่อมไม่เก็บใส่พกหรือเอาชายผ้าห่อไป ต่างรังเกียจไม่อาลัยเลย กลับทิ้งไปเสียฉันใด แม้เราก็ควรจะไม่มีอาลัยทิ้งกายเน่านี้เสีย
    เข้าไปสู่นิพพานนครอันเป็นอมตะฉันนั้น และนายเรือไม่มีอาลัยทิ้งเรือลำเก่าคร่ำคร่าไปฉันใด แม้เราก็จะละกายอันเป็นที่หลั่ง
    ไหลออกจากปากแผลทั้งเก้านี้ ไม่มีอาลัยเข้าไปสู่นิพพานบุรี ฉันนั้น อนึ่ง บุรุษเอาแก้วนานาชนิดเดินทางไปพร้อมกับโจร จึงละทิ้งพวกโจร เหล่านั้นเสีย เพราะกลัวจะเสียแก้วของตน ถือเอาทางปลอดภัย ฉันใด กรชกาย ( กายที่เกิดจากธุลี ) แม้นี้ ก็ฉันนั้นเป็นเช่นโจรปล้นแก้ว ถ้าเราจักก่อตัณหาขึ้นในกายนี้ แก้วคือพระธรรมอันเป็นกุศล คืออริยมรรคจะสูญเสียไป เพราะฉะ
    นั้นควรที่เราจะละทิ้ง กายอันเช่นกับโจรนี้เสีย แล้วเข้าสู่นิพพานนคร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่าน จึงกล่าวว่า


    บุรุษปลดเปลื้องซากศพที่น่าเกลียด ซึ่งผูกไว้ที่คอแล้ว อยู่อย่างสุขเสรี อยู่ลำพังตนได้ ฉันใด คนก็ควร
    ละทิ้งร่างกายเน่า ที่มากมูลด้วยซากศพนานาชนิดไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มีความต้องการอะไรฉันนั้น
    ชายหญิงทั้งหลายถ่ายกรีสลงในที่ถ่ายอุจจาระทิ้งไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันใด เราจะ
    ละทิ้งกายที่เต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดนี้ไป เหมือนคนถ่ายอุจจาระแล้วละทิ้งส้วมไปฉะนั้น


    เจ้าของละทิ้งเรือเก่าคร่ำคร่าผุพัง น้ำรั่วเข้าไปได้ ไม่มีความอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันใด เราจัก ละทิ้งกายนี้ที่มีช่องเก้าช่อง หลั่งไหลออกเป็นนิตย์ เหมือนเจ้าของทิ้งเรือเก่าไป ฉะนั้น
    บุรุษไปพร้อมกับโจรถือห่อของไป เห็นภัยที่จะเกิดจากการตัดห่อของจึงทิ้งแล้วไปเสียฉันใด กายนี้เปรียบ เหมือนมหาโจร เราจักละทิ้งกายนี้ไปเพราะกลัวจะถูกตัดกุศล ฉันนั้นเหมือนกัน


    สุเมธบัณฑิตคิดเนื้อความประกอบด้วยเนกขัมมะนี้ ด้วยอุปมาต่างๆ แล้ว สละกองแห่งโภคสมบัตินับไม่ถ้วนในเรือน ของตน แก่เหล่าชนมีคนกำพร้าและคนเกิดทางไกลเป็นต้น ตามนัยที่กล่าวมาแล้วแต่หนหลัง ถวายมหาทานละวัตถุกามและ
    กิเลสกามแล้ว ออกจากอมรนครคนเดียวเท่านั้น อาศัยภูเขาชื่อธรรมิกะในป่าหิมพานต์ สร้างอาศรม เนรมิตบรรณศาลาและที่ จงกรมเนรมิตขึ้นด้วยกำลังแห่งบุญของตน เพื่อจะละเว้นเสียจากโทษแห่งนิวรณ์ทั้งห้า นำมาซึ่งกำลัง กล่าวคืออภิญญาที่ ประกอบด้วนเหตุ อันเป็นคุณ ๘ อย่างตามที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อจิตมั่นคงแล้วอย่างนี้ ดังนี้ และละทิ้งผ้าสาฎกที่ ประกอบด้วยโทษ ๙ ประการไว้ในอาศรมบทนั้น แล้วนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ที่ประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการบวชเป็นฤาษี ท่านเมื่อ บวชแล้วอย่างนี้ ก็ละบรรณศาลานั้น ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าไปทางโคนต้นไม้ซึ่งประกอบด้วยคุณ ๑0
    ประการ เลิกละข้าวต่างๆอย่างทั้งปวง หันมาบริโภคผลไม้ที่หล่นเองจากต้น เริ่มตั้งความเพียรด้วยอำนาจการนั่งการยืนและ
    การเดินจงกรม ในภายในเจ็ดวันนั่นเองก็ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ท่านได้บรรลุกำลังแห่งอภิญญาตามที่ปรารถนาไว้นั้นด้วย
    ประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เราคิดอย่างนี้แล้วได้ให้ทรัพย์นั้นได้หลายร้อยโกฏิ แก่คนยากจนอนาถา แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ ในที่ไม่
    ไกลแห่งป่าหิมพานต์มีภูเขาชื่อธรรมิกะ เราสร้างอาศรมอย่างดีไว้ เนรมิตบรรณศาลาไว้อย่างดี ทั้งยังเนรมิต ที่จงกรมเว้นจากโทษ ๕ ประการไว้ในอาศรมนั้น เราได้กำลังอภิญญาประกอบด้วยองค์แปดประการ เราเลิกใช้ผ้า สาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ หันมานุ่งห่มผ้าเปลือกไม้อันประกอบด้วยคุณ ๙ ประการ เราเลิกละบรรณ ศาลาที่กล่นเกลื่อนไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าสู่โคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑0 ประการ เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ ปลูกโดยไม่มีส่วนเหลือเลย หันมาบริโภคผลไม้หล่นเองที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอเนกประการ เราเริ่มตั้งความเพียร ในที่นั่งที่ยืนและที่จงกรมในอาศรมบทนั้น ภายในเจ็ดวันก็ได้บรรลุกำลังแห่งอภิญญา ดังนี้






    <CENTER>
    </CENTER>เมื่อสุเมธดาบสบรรลุอภิญญาพละอย่างนี้แล้ว ให้เวลาล่วงไปด้วยสุขอันเกิดจากสมาบัติ พระศาสดาทรงพระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ในการถือปฏิสนธิ การอุบัติขึ้น การตรัสรู้และการประกาศพระธรรมจักร โลกธาตุหมื่นหนึ่งแม้ ทั้งสิ้นหวั่นไหวสะเทือนร้องลั่นไปหมด บุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้นแล้ว สุเมธบัณฑิตให้เวลาล่วงเลยไปด้วยสุขอันเกิดแต่ สมาบัติ ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย ทั้งไม่ได้เห็นนิมิตแม้เหล่านั้นด้วย เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เมื่อเราบรรลุความสำเร็จในศาสนาเป็นผู้มีความชำนิชำนาญอย่างนี้ พระชินเจ้าผู้เป็นโลกนายกทรงพระ นามว่าทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงถือกำเนิด เสด็จอุบัติขึ้น ตรัสรู้ แสดงพระธรรมเทศนา เราเอิบ อิ่มด้วยความยินดีในฌาน มิได้เห็นนิมิตทั้ง ๔ เลย


    ในกาลนั้นพระทศพลทรงพระนามว่าทีปังกร มีพระขีณาสพสี่แสนห้อมล้อมแล้ว เสด็จจาริกไปตามลำดับเสด็จถึงนครชื่อ รัมมกะ เสด็จประทับ ณ สุทัสนมหาวิหาร พวกชาวรัมมกนครได้ข่าวว่า ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ผู้เป็นใหญ่ กว่าสมณะ ทรงบรรลุอภิสัมโพธิอย่างยิ่ง ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จประทับอยู่ที่สุทัสนมหา วิหาร ต่างพากันถือเภสัชมีเนยใสและเนยข้นเป็นต้น และผ้าเครื่องนุ่มห่ม มีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ ณ ที่ใด ก็หลั่งไหลพากันติดตามไป ณ ที่นั้นๆ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วถวายบังคม บูชาด้วยของหอม
    และดอกไม้เป็นต้นแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วทูลนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พากันลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว
    หลีกไป ในวันรุ่งขึ้นต่างพากันตระเตรียมมหาทาน ประดับประดานคร ตกแต่งหนทางที่จะเสด็จมาของพระทศพล ในที่มีน้ำเซาะ
    ก็เอาดินถมทำพื้นที่ดินให้ราบเสมอ โรยทรายอันมีสี ดังแผ่นเงิน โปรยข้าวตอกและดอกไม้ ปักธงชายและธงแผ่นผ้าพร้อมด้วย
    ผ้าย้อมสีต่างๆ ตั้งต้นกล้วยและหม้อน้ำเต็มด้วยดอกไม้ เรียงรายเป็นแถว ในกาลนั้นสุเมธดาบสเหาะจากอาศรมบทของตน มาโดยทางอากาศ เบื้องบนของพวกมนุษย์เหล่านั้น เห็นพวก เขาร่าเริงยินดีกันคิดว่า มีเหตุอะไรหนอ จึงลงจากอากาศยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ถามพวกเขาว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านพากัน ประดับประดาทางนี้เพื่อใคร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    พวกมนุษย์มีใจยินดีนิมนต์พระตถาคต ในเขตแดนแห่งปัจจันตประเทศแล้ว พากันชำระสะสางทางเสด็จ ดำเนินมาของพระองค์ สมัยนั้นเราออกไปจากอาศรมของตน สะบัดผ้าเปลือกไม้ไปมาแล้ว ทีนั้นก็เหาะไปทางอากาศ
    เราเห็นชนต่างเกิดความดีใจ ต่างยินดีร่าเริง ต่างปราโมทย์ จึงลงจากท้องฟ้าไต่ถามพวกมนุษย์ทันทีว่า มหาชนยินดีร่าเริงปราโมทย์ เกิดความดีใจ พวกเขาชำระสะสางถนนหนทางเพื่อใคร


    พวกมนุษย์จึงเรียนว่า ข้าแต่ท่านสุเมธผู้เจริญ ท่านไม่ทราบอะไร พระทศพลทีปังกรทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จจาริกมาถึงนครของพวกเราแล้ว เสด็จพำนักที่สุทัสนมหาวิหาร พวกเรานิมนต์พระผู้มีพระ ภาคเจ้าพระองค์นั้นมา จึงตกแต่งทางนี้ ที่จะเป็นที่เสด็จมาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น สุเมธดาบสคิดว่า แม้เพียงคำ ประกาศว่า พระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากในโลก จะป่วยกล่าวไปไยถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แม้เราก็ควรจะร่วมกับมนุษย์
    เหล่านี้ตกแต่งทางเพื่อพระทศพลด้วย ท่านจึงกล่าวกะพวกมนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญถ้าพวกท่านตกแต่งทางนี้เพื่อพระ
    พุทธเจ้า ขอจงให้โอกาสส่วนหนึ่งแก่เราบ้าง แม้เราก็จักตกแต่งทางเพื่อพระทศพลพร้อมกับพวกท่าน พวกเขาก็รับปากว่า ดี
    แล้ว ต่างรู้ว่า สุเมธดาบสมีฤทธิ์ จึงกำหนดที่ว่างซึ่งมีน้ำเซาะให้กล่าวว่า ท่านจงแต่งที่นี้เถิด แล้วมอบให้ไป สุเมธดาบสยึดเอา
    ปีติซึ่งมีพระ พุทธเจ้าเป็นอารมณ์คิดว่า เราสามารถจะตกแต่งที่ว่างนี้ด้วยฤทธิ์ได้ แต่เมื่อเราตกแต่งเช่นนี้ ใจก็ไม่ยินดีนัก วันนี้
    เราควรจะ กระทำการรับใช้ด้วยกาย ดังนี้แล้ว ขนดินมาเทลงในที่ว่างนั้น เมื่อที่ว่างแห่งนั้นยังตกแต่งไม่เสร็จเลย พระทศพล
    ทีปังกร มีพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ มีอานุภาพมาก สี่แสนรูปห้อมล้อม เมื่อเหล่ามนุษย์บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เสด็จ
    เยื้องกรายบนพื้น มโนสิลา ด้วยพระพุทธลีลาอันหาที่สุดมิได้ ประดุจราชสีห์ เสด็จดำเนินมาสู่ทางที่ตกแต่งประดับประดาแล้ว
    นั้น สุเมธดาบส ลืมตาทั้งสองขึ้นมองดูพระวรกายของพระทศพลผู้เสด็จดำเนินมาตามทางที่ตกแต่งแล้ว ซึ่งถึงความเลิศด้วย
    พระรูปโฉม ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สวยงามด้วยพระอนุพยัญชนะ ( ลักษณะส่วนประกอบ ) ๘0 ประการ แวดล้อมด้วยแสงสว่าง ประมาณวาหนึ่ง เปล่งพระพุทธรัศมีหนาทึบมีสี ๖ ประการออกมาดูประหนึ่งสายฟ้าหลายหลาก ในพื้น
    ท้องฟ้ามีสีดุจแก้วมณี ฉายแสงแปลบปลาบไปมาเป็นคู่ๆ กัน จึงคิดว่า วันนี้เราควรกระทำการบริจาคชีวิตแด่พระทศพล เพราะ
    ฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้ทรงเหยียบเปือกตม แต่จงทรงย่ำหลังของเรา เสด็จพร้อมกับพระขีณาสพสี่แสนเหมือน
    ทรงเหยียบสะพานแก้วมณีเถิด ข้อนั้นจักเป็นเพื่อประโยชน์เพื่อควมสุขแก่เราตลอกกาลนาน ดังนี้แล้วแก้ผมออก ลาดหนังเสือ ชฎาและผ้าเปลือกไม้วางลงบนเปือกตม ซึ่งมีสีดำ นอนบนหลังเปือกตมเหมือนสะพานแผ่นแก้วมณี เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าว
    ว่า


    พวกมนุษย์เหล่านั้น ถูกเราถามแล้วยืนยันว่า พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมเป็นพระชินะเป็นพระโลกนายกทรง พระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พวกเขาแผ้วถางถนนหนทางเพื่อพระองค์ ปีติเกิดขึ้นแล้วแก่เราทัน ใดเพราะได้ฟังคำว่า พุทโธ เราเมื่อกล่าวอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ ก็ได้เสวยโสมนัสแล้ว เรายืนอยู่ในที่นั้นยินดี มีใจ เกิดความสังเวชจึงคิดว่า เราจักปลูกพืชไว้ที่นั้น ขณะอย่าได้ล่วงเลยเราไปเสียเปล่า ถ้าพวกท่านจะแผ้วถางหน ทางเพื่อพระพุทธเจ้า ก็จงให้ที่ว่างแห่งหนึ่งแก่เรา แม้เราก็จักแผ้วถาง ถนนหนทาง ทีนั้นพวกเขาได้ให้ที่ว่างแก่ เราเพื่อจะแผ้วถางทางได้
    เวลานั้นเรากำลังคิดอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ แผ้วถางทาง เมื่อที่ว่างของเราทำไม่เสร็จ พระมหามุนีทีปังกร ผู้เป็นพระชินเจ้า พร้อมกับพระขีณาสพสี่แสนผู้ได้อภิญญา ๖ ผู้คงที่ปราศจากมลทินเสด็จดำเนินมาทางนั้น การ ต้อนรับต่างๆ ก็มีขึ้น กลองมากมายก็บรรเลงขึ้น เหล่าคนเหล่าเทวดาล้วนร่าเริง ต่างทำเสียงสาธุการลั่นไปทั่ว เหล่าเทวดาเห็นพวกมนุษย์และพวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา แม้ทั้งสองพวกนั้นต่างประคองอัญชลีเดินตามพระตถาคต ไป เหล่าเทวดาที่เหาะมาทางอากาศก็โปรยปรายดอกมณฑารพ ดอกบัวหลวง ดอกปาริฉัตรอันทิพย์ไปทั่วทุกทิศ เหล่าคนที่อยู่พื้นดินต่างก็ชูดอกจำปา ดอก (สัลลชะ) ดอกกระทุ่ม ดอกกากระทิง ดอกบุนนาค ดอกการะเกดไปทั่ว ทุกทิศ เราแก้ผมออก เปลื้องผ้าเปลือกไม้และหนังเสือ ในที่นั้นลาดลงบนเปือกตมนอนคว่ำหน้า พระพุทธเจ้าพร้อม ด้วยศิษย์จงทรงเหยียบเราเสด็จไป อย่าได้เหยียบบนเปือกตมเลย ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เรา ดังนี้


    สุเมธดาบสนั้นนอนบนหลังเปือกตมนั่นแล ลืมตาทั้งสองเห็นพระพุทธสิริของพระทศพลทีปังกรจึงคิดว่า ถ้าเราพึงต้อง
    การ ก็พึงเผากิเลสทั้งปวงหมดแล้วเป็นพระสงฆ์นวกะเข้าไปสู่รัมมกนครได้ แต่เราไม่มีกิจด้วยการเผากิเลส ด้วยเพศที่ใครไม่รู้
    จักแล้วบรรลุนิพพาน ถ้ากระไรเราพึงเป็นดังพระทศพลทีปังกรบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณอย่างสูงยิ่งแล้วขึ้นสู่ธรรมนาวา ให้
    มหาชนข้ามสงสารสาครได้แล้วปรินิพพานในภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา ดังนี้แล้ว ต่อจากนั้นประมวลธรรม ๘ ประการกระทำ
    ความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนอนลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เมื่อเรานอนบนแผ่นดินได้มีความคิดอย่างนี้ว่า วันนี้เมื่อเราปรารถนาอยู่ก็พึงเผากิเลสของเราได้ จะมี ประโยชน์อะไรแก่เราเล่าด้วยการทำให้แจ้งธรรมในที่นี้ด้วยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณจัก เป็นพระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก จะมีประโยชน์อะไรแก่เราด้วยลูกผู้ชาย ผู้มีรูปร่างแข็งแรงข้ามฝั่งไปคน เดียว เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้วจักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง เราตัดกระแสน้ำคือสงสาร ทำลายภพ ทั้งสามแล้ว ขึ้นสู่ธรรมนาวา จักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง ดังนี้


    ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จได้เพราะประมวลมาซึ่งธรรม ๘ ประการ คือความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑ การเห็นพระศาสดา ๑ การบรรพชา ๑ การสมบูรณ์ด้วยคุณ ๑ การกระทำยิ่งใหญ่ ๑ ความพอใจ ๑
    จริงอยู่ เมื่อบุคคลดำรงอยู่ในภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นั่นแหละปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาย่อม สำเร็จ ความปรารถนาของนาค ครุฑหรือเทวดาหาสำเร็จไม่ ในภาวะแห่งความเป็มนุษย์เมื่อเขาดำรงอยู่ในเพศบุรษเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ ความปรารถนาของหญิงหรือบัณเฑาะก์กระเทยและอุภโตพยัญชนก (คนมีทั้งสองเพศ) ก็หาสำเร็จไม่ แม้สำหรับบุรุษความปรารถนาของผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุที่บรรลุอรหัต แม้ในอัตภาพนี้เท่านั้นจึงสำเร็จได้ นอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้
    สำหรับผู้ที่สมบูรณ์ด้วยเหตุถ้าเมื่อปรารถนาในสำนักพระพุทธเจ้าเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ เมื่อพระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว เมื่อปรารถนาในที่ใกล้เจดีย์หรือที่โคนต้นโพธิ์ ก็หาสำเร็จไม่ แม้เมื่อปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้า ความ
    ปรารถนาของผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตเท่านั้นจึงจะสำเร็จ ผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์หาสำเร็จไม่ แม้เป็นบรรพชิต ความ ปรารถนาของผู้ที่ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ เท่านั้นจึงจะสำเร็จ ผู้ที่เว้นจากคุณสมบัตินี้ นอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้ผู้ที่สมบูรณ์ ด้วยคุณแล้วก็ตาม ความปรารถนาของผู้ที่ได้กระทำบริจาคชีวิตของตนแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่ง ใหญ่นี้เท่านั้น จึงจะสำเร็จ ของคนนอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้ผู้ที่จะสมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่แล้วยังจะต้องมีฉันทะอันใหญ่ หลวง อุตสาหะ ความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ความปรารถนา จึงจะสำเร็จ คนอื่นนอกจากนี้หาสำเร็จไม่
    ในข้อที่ฉันทะจะต้องยิ่งใหญ่นั้น มีข้ออุปมาดังต่อไปนี้ ก็ถ้าจะพึงเป็นไปอย่างนี้ว่า ผู้ใดสามารถที่จะใช้กำลังแขนของตน ข้ามห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ที่เป็นน้ำผืนเดียวกันหมดแล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุควาเป็นพระพุทธเจ้าได้ หรือว่า ผู้ใดเดินด้วย เท้าสามารถที่จะเหยียบย่ำห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้นที่ปกคลุมด้วยกอไผ่แล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้ หรือ ว่าผู้ใดปักดาบทั้งหลายลงแล้วเอาเท้าเหยียบห้วงจักรวาลทั้งสิ้นซึ่งเต็มไปด้วยฝักดาบสามารถที่จะถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความ เป็นพระพุทธเจ้าได้ ผู้ใดไม่สำคัญเหตุเหล่านั้นแม้เหตุหนึ่งว่าเป็นของที่ตนทำได้ยาก คิดแต่ว่าเราจักข้ามไปหรือไปถึงเอาซึ่งฝั่ง ข้างหนึ่งจนได้ ดังนี้ เข้าผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ประกอบด้วยฉันทะอุตสาหะความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่ ความปรารถนา ย่อมสำเร็จ คนนอกนี้หาสำเร็จไม่ ก็สุเมธดาบสแม้จะประมวลธรรมทั้ง ๘ ประการเหล่านี้ได้แล้ว ยังความปรารถนาอย่างยิ่ง
    ใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนอนลง ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรเสด็จมาประทับยืนที่เบื้องศีรษะ ของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ด้วยประสาทมีวรรณะ ๕ ชนิด ประหนึ่งว่า เปิดอยู่ซึ่งสีหบัญชรแก้วมณี ทอดพระเนตรเห็นสุเมธดาบสนอนบนหลังเปือกตมทรงดำริว่า ดาบสนี้กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็น
    พระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงส่งพระอนาคตังสญาณใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า ล่วงสี่อสง ไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ เข้าจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ยังประทับยืนอยู่นั่นแหละทรงพยากรณ์แล้วด้วยตรัสว่า พวกท่านจงดูดาบสผู้มีตบะสูงนี้ ซึ่งนอนอยู่บนเปือกตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล่วพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดาบสนี้กระทำ ความปรารถนายิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า นอนแล้วความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วย แสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าพระโคดม ก็ในอัตภาพนั้นของเขา นครนามว่ากบิลพัสดุ์จักเป็นที่อยู่อาศัย พระเทวีพระนามว่ามายาเป็นพระมารดา พระราชาพระนามว่าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา พระเถระชื่ออุปติสสะเป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง พุทธอุปฐากชื่ออานนท์ พระเถรีนามว่าเขมาเป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่าอุบลวรรณาเป็น อัครสาวิกาที่สอง เขามีญาณแก่กล้าแล้ว ออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑลจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสตถพฤษ์ ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งซึ่งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ประทับยืน ณ เบื้องศีรษะ ได้ตรัสคำนี้กะเราว่า พวกท่านจงดูดาบสผู้เป็นชฎิลผู้มีตบะสูงนี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกในกัปที่นับไม่ ถ้วนแต่กัปนี้ เขาเป็นตถาคตจะออกจากนครชื่อกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร กระทำทุกกิริยา นั่งที่โคน ต้นอชปาลนิโครธประคองข้าวปายาสไปยังแม่น้ำเนรัญชราในที่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้น ทรงถือข้าวปายาสไป ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จถึงโคนต้นโพธิ์โดยทางที่เขาแต่งไว้ดีแล้ว ลำดับนั้นพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมียศใหญ่ มิมีใครยิ่งกว่ากระทำประทักษิณโพธิมณฑลแล้ว จักตรัสูรู้ที่โคนต้นโพธิ์ พระมารดาผู้เป็นชนนีของเขาจักมีนามว่า มายา พระบิดาจักมีพระนามว่า สุทโธทนะ เขาจักมีนามว่า โคดม พระโกลิตะและอุปติสสะจักป็นอัครสาวก ผู้หา อาสวะมิได้ปราศจากราคะแล้ว มีจิตอันสงบตั้งมั่น อุปฐากนามว่าอานนท์จักเป็นอุปฐากพระชินเจ้านั้น นางเขมา และนางอุบลวรรณาจักเป็นอัครสาวิกา ผู้หาอาสวะมิได้ปราศจากราคะแล้ว มีจิตสงบตั้งมั่น ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จักเรียกกันว่า อัสสัตถพฤษ์ ดังนี้


    สุเมธดาบสได้บังเกิดโสมนัสว่า นัยว่าความปรารถนาของเราจักสำเร็จดังนี้ มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระทศพล ทีปังกรแล้วต่างได้พากันร่าเริงยินดีว่า นัยว่าสุเมธดาบสเป็นพืชแห่งพระพุทธเจ้า เป็นหน่อแห่งพระพุทธเจ้าและพวกเขาเหล่า นั้นก็ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่าบุรุษเมื่อจะข้ามแม่น้ำ ไม่สามารถข้ามโดยท่าโดยตรงได้ ย่อมข้ามโดยท่าข้างใต้ฉันใด แม้พวกเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่ได้มรรคและผลในศาสนาของพระทศพลทีปังกร ในกาลนั้นพวกเราพึงสามารถกระทำให้
    แจ้งซึ่งมรรคและผลในที่ต่อหน้าของท่านดังนี้ ต่างพากันตั้งความปรารถนาไว้ แม้พระทศพลทีปังกรทรงสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ ๘ กำมือ ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป แม้พระขีณาสพนับได้สี่แสนต่างก็พากันบูชาพระโพธิสัตว์ ด้วยของหอมและพวงดอกไม้ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นจากที่นอนในเวลาที่คนทั้งปวงหลีกไปแล้วคิดว่า เราจักตรวจตราดูบารมีทั้งหลาย ดังนี้ จึงนั่งขัดสมาธิบนที่สุดของกองดอกไม้ เมื่อพระโพธิ์สัตว์นั่งแล้วอย่างนี้ เทวดาในหมื่น จักรวาลทั้งสิ้นได้ให้สาธุการกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าสุเมธดาบส ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เก่าก่อนทั้งหลายนั่งสมาธิด้วยคิดว่า เราจักตรวจตราบารมีทั้งหลาย ชื่อว่าบุพรนิมิตเหล่าใดจะปรากฏ บุรพนิมิตเหล่านั้นแม้ทั้งหมดปรากฏแจ่มแจ้งแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พวกเราก็รู้ในข้อนั้น นิมิตเหล่านั้นปรากฏแก่ผู้ใด ผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วน
    เดียว ท่านจงประคองความเพียรของตนให้มั่นดังนี้ กล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ด้วยคำสรรเสริญนานาประการ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    คนและเทวดาได้ฟังคำนี้ ของพระพุทธเจ้าผู้หาเสมอมิได้ ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่ ต่างยินดีว่า ดาบสนี้เป็น พืชและเป็นหน่อพระพุทธเจ้า เสียงโห่ร้องดังลั่นไป มนุษย์พร้อมเทวดาในหมื่นโลกธาตุต่างปรบมือหัวเราะร่า ต่าง ประคองอัญชลีนมัสการ ถ้าพวกเราจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถ ก็จักมีอยู่เฉพาะหน้าท่านผู้นี้ในกาลไกลใน อนาคต มนุษย์เมื่อจะข้ามฝั่งพลาดท่าที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้ก็จะถือเอาท่าข้างใต้ข้ามแม่น้ำใหญ่ต่อไปได้ฉันใด พวก เราแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพ้นพระชินเจ้านี้ไปก็จักอยู่เฉพาะหน้าท่านผู้นี้ในกาลไกลในอนาคต พระพุทธ เจ้านามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ทรงกำหนดกรรมของเราไว้แล้ว จึงทรงยกพระบาท เบื้องขวาเสด็จไป พระสาวกผู้เป็นพระชินบุตรเหล่าใดได้มีอยู่ในที่นั้น เหล่านั้นทั้งหมดได้ทำประทักษิณเรา คน นาค คนธรรพ์ ต่างกราบไว้แล้วหลีกไป เมื่อพระโลกนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ล่วงทัศนวิสัยของเราแล้ว มีจิตยินดี และร่าเริง เราจึงลุกขึ้นจากอาสนะในบัดนั้น ครั้งนั้นเราสบายใจด้วยความสุขบันเทิงใจด้วยความปราโมทย์ ท่วม ท้นด้วยปีติ นั่งขัดสมาธิอยู่ ทีนั้นเรานั่งขัดสมาธิแล้วคิดได้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงความเต็มเปี่ยม ในอภิญญาแล้วในโลกตั้งพันฤาษีที่เสมอกับเราไม่มี เราไม่มีใครเสมอในฤทธิธรรม จึงได้ความสุขเช่นนี้ ในการนั่ง ขัดสมาธิของเรา เทวดาและมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในหมื่นจักรวาลต่างเปล่งเสียงบรรลือลั่นว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า แน่นอน นิมิตใดจะปรากฏในการนั่งสมาธิของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อนนิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏแล้วในวันนี้ ความ หนาวก็เหือดหาย ความร้อนก็ระงับเหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน โลกธาตุหมื่นหนึ่งก็ ปราศจากเสียง ไม่มีความยุ่งเหยิง เหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน พายุใหญ่ก็ไม่พัด แม่น้ำลำคลองก็ไม่ไหล เหล่านี้ปราฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดอกไม้ทั้งหลายที่เกิดบนบกและเกิด ในน้ำ ทั้งหมดต่างก็บานในทันใด ดอกไม้ทั้งหมดก็ผลิตผลในวันนี้ รัตนะทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในอากาศและตั้งอยู่ในพื้น ดิน ต่างก็ส่องแสงในทันใดรัตนะแม้เหล่านั้นก็ส่องแสงในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดนตรีทั้งของมนุษย์ และเป็นทิพย์ต่างบรรเลงขึ้นในทันใด แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ขับขานขึ้นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ท้อง ฟ้ามีดอกไม้สวยงาม ก็ตกลงเป็นฝนในทันใด แม้เหล่านั้นก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน มหาสมุทรก็ม้วนตัวลง โลกธาตุหมื่นหนึ่งก็หวั่นไหว แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ดังลั่นไปในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า แน่นอน พระอาทิตย์ก็ปราศจากเมฆหมอก ดาวทั้งปวงก็มองเห็นได้ แม้เหล่านั้นก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ พุทธเจ้าแน่นอน น้ำพุ่งประทุขึ้นจากแผ่นดินโดยที่ฝนมิได้ตกเลย วันนี้น้ำก็ประทุขึ้นในทันใดนั้น ท่านจักเป็นพระ พุทธเจ้าแน่นอน หมู่ดาวก็สว่างไสวในท้องฟ้า พระจันทร์ก็ประกอบวิสาขฤกษ์ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในโพรงอาศัยอยู่ในซอกเขา ต่างออกมาจากที่อยู่ของตน วันนี้แม้สัตว์เหล่านั้นก็ทิ้งที่อยู่อาศัย ท่าน จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ความไม่ยินดีไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลายเขาต่างถือสันโดษ วันนี้สัตว์แม้เหล่านั้นทั้งหมดก็ ถือสันโดษ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นโรคทั้งหลายก็สงบระงับและความหิวก็พินาศไป วันนี้ก็ปรากฏ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นราคะก็เบาบาง โทสะโมหะก็พินาศ กิเลสเหล่านั้นทั้งปวงก็ปราศจากไป ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นภัยก็ไม่มี แม้วันนี้ข้อนั้นก็ปรากฏ พวกเรารู้ได้ด้วยนิมิตนั้น ท่านจักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่นอน ธุลีไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน แม้วันนี้ข้อนั้นก็ปรากฏ พวกเรารู้ได้ด้วยนิมิตนั้น ท่านจักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่นอน กลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาก็ถอยห่าง มีแต่กลิ่นทิพย์ฟุ้งไปทั่ว วันนี้แม้กลิ่นก็ฟุ้งอยู่ ท่านจักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่นอน เหล่าเทวดาทั้งสิ้นเว้นอรูปพรหมก็ปรากฏ วันนี้เทวดาแม้เหล่านั้นทั้งหมดก็มองเห็นได้ ท่าน
    จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ขึ้นชื่อว่านรกมีเพียงใด ทั้งหมดนั้นก็เห็นได้ในทันใด แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านจัก
    เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นฝาผนัง บานประตู แผ่นหิน ไม่เป็นเครื่องกีดขวางได้ แม้สิ่งเหล่านั้นวันนี้ก็กลาย เป็นว่างหมด ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน การจุติ การอุบัติ ไม่มีในขณะนั้น วันนี้นิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏ ท่าน
    จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ท่านจงประคองความเพียรให้มั่นอย่าได้ถอยกลับ จงก้าวหน้าไป แม้พวกเราก็รู้ข้อนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดังนี้


    พระโพธิสัตว์ได้ฟังพระดำรัสของพระทศพลปีทังกรและถ้อยคำของเทวดาในหมื่นจักรวาล เกิดความอุตสาหะโดย ประมาณยิ่งขึ้นจึงคิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่ว่างเปล่า ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีเป็นอย่าง
    อื่น เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่ขว้างไปในอากาศจะต้องตก สัตว์ที่เกิดแล้วจะต้องตาย เมื่ออรุณขึ้นพระอาทิตย์ก็ต้องขึ้น ราชสีห์ ที่ออกจากถ้ำที่อาศัยจะต้องบันลืสีหนาท หญิงที่ครรภ์แก่จะต้องปลดเปลื้องภาระ [ คลอด ] เป็นของแน่นอน จะต้องมีเป็นแน่ แท้ฉันใด ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นของแน่นอนไม่ว่างเปล่าฉันนั้น เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เราฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และของเทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความร่าเริง
    ยินดีปราโมทย์ จึงคิดขึ้นอย่างนี้ในคราวนั้นว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพระชินเจ้าไม่มีพระดำรัสเป็นสอง
    มีพระดำรัสไม่ว่างเปล่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีพระดำรัสไม่จริง เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ก้อนดิน
    ที่ขว้างไปในท้องฟ้าย่อมตกบนพื้นดินแน่นอนฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรงแม้ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอน
    และเที่ยงตรง เมื่อถึงเวลาราตรีสิ้น พระอาทิตย์ก็ขึ้นแน่นอนฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐนั้นก็
    ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง สัตว์ที่มีครรภ์จะต้องเปลื้องภาระ [ หญิงมีครรภ์จะต้องคลอด ]
    ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง ดังนี้


    สุเมธดาบสนั้นกระทำการตกลงใจอย่างนี้ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เพื่อที่จะใคร่ครวญถึงธรรมที่กระทำให้เป็น พระพุทธเจ้า เมื่อตรวจตราดูธรรมธาตุทั้งสิ้นโดยลำดับว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ ณ ที่ไหนหนอ เบื้องสูงหริอ เบื้องต่ำในทิศใหญ่หรือทิศน้อย ดังนี้ ได้เห็น ทานบารมีข้อที่ ๑ ที่พระโพธิสัตว์แต่เก่าก่อนทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำจึง กล่าวสอนตนอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีข้อแรกให้เต็ม เหมือนอย่างว่าหม้อน้ำที่
    คว่ำแล้วย่อมคายน้ำออกไม่เหลือไม่นำกลับเข้าไปอีกฉันใด แม้ท่านเมื่อไม่เหลียวแลทรัพย์ ยศ บุตร ภริยาหรืออวัยวะใหญ่น้อย ให้สิ่งที่เขาต้องการอยากได้ทั้งหมดแก่ผู้ขอที่มาถึงกระทำมิให้มีส่วนเหลืออยู่ จักได้นั่งที่โคนต้นโพธิเป็นพระพุทธเจ้าได้ดังนี้ ท่านได้อธิษฐานทานบารมีข้อแรกทำให้มั่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เอาเถอะเราจะเลือกเฟ้นธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ทางโน้นและทางนี้ทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำ ตลอด สิบทิศ ตราบเท่าถึงธรรมธาตุนี้ ครั้งนั้นเมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่จึงได้เห็น ทานบารมีที่เป็นทางใหญ่เป็นข้อแรก ที่ท่าน ผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนประพฤติสืบกันมาแล้ว ท่านจึงยึดทานบารมีข้อที่ ๑ นี้ทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็น ทานบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ หม้อที่เต็มน้ำใครผู้ใดผู้หนึ่งคว่ำลงก็จะคายน้ำออกจนไม่เหลือ ไม่ยอมรักษาไว้ แม้ฉันใด ท่านเห็นยาจกไม่ว่าจะต่ำทราม สูงส่งและปานกลาง จงให้ทานอย่าให้เหลือไว้ เหมือน หม้อน้ำที่เขาคว่ำลงฉันนั้นเถิด ดังนี้


    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญอยู่ยิ่งๆ ขึ้นด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้เห็น ศีลบารมีข้อที่ ๒ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญศีลบารมีให้เต็มเปี่ยม เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่าเนื้อจามรีไม่เหลียวแลแม้ชีวิต รักษาหางของตนอย่างเดียว ฉันใด จำเดิมแต่นี้ท่านก็ไม่เหลียวแลแม้ชีวิต รักษาศีล อย่างเดียว จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ดังนี้ เขาได้อธิษฐานศีลบารมีข้อที่สองทำให้มั่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักหามีเพียงเท่านี้ไม่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้อย่างอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิ ญาณ ครั้งนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น ศีลบารมีข้อที่ ๒ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนถือปฏิบัติเป็น ประจำ ท่านจงยึดถือศีลบารมีข้อที่ ๒ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นศีลบารมี หากท่านปรารถนาจะ
    บรรลุโพธิญาณ จามรี หางคล้องติดในที่ไหนก็ตามก็จะยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมให้หางหลุดลุ่ย ฉันใด ท่านจง บำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ในภูมิทั้งสี่ จงรักษาศีลในกาลทุกเมื่อ เหมือนจามรีรักษาหาง ฉันนั้นเถิด ดังนี้


    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญอยู่ยิ่งๆ ขึ้นด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น เนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิตนับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเนกขัมบารมีให้เต็มเปี่ยม
    เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้อยู่ในเรือนจำ มิได้มีความรักใคร่ในเรือนจำนั้นเลย โดยที่แท้เขารำคาญอย่างเดียว และไม่อยากอยู่เลย
    ฉันใด แม้ท่านก็จงทำภพทั้งปวงให้เป็นเช่นเรือนจำ รำคาญอยากจะพ้นไปจากภพทั้งปวง มุ่งหน้าต่อการออกบวช ฉันนั้น
    เหมือนกัน ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยอาการอย่างนี้ ดังนี้ เขาได้อธิษฐานเนกขัมมบารมีข้อที่สามมั่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่าน
    จึงกล่าวว่า


    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่ม โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น เนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นเนกขัมมบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ บุรุษผู้อยู่ในเรือนจำนาน ลำบากเพราะทุกข์ มิได้เกิดความยินดีในที่นั้น ย่อมแสวงหาทางที่จะพ้นไปถ่ายเดียวฉันใด ท่านจงเห็นภพทั้งปวงเหมือนเรือนจำ จงตั้งหน้ามุ่งต่อการออกบวช เพื่อพ้นจากภพ ฉันนั้นเถิด ดังนี้


    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นๆไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น ปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญปัญญาบารมีให้มีบริบูรณ์ ท่านอย่าได้เว้นใครๆ เลยไม่ว่าจะเป็นคนชั้นเลว ชั้นปานกลางชั้นสูง พึงเข้าไปหาบัณฑิตมิได้เว้นตระกูลไรๆ ในบรรดาตระกูลที่ แตกต่างกันมีตระกูลชั้นต่ำเป็นต้น เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับย่อมได้อาหารพอยังชีพโดยพลัน ฉันใด แม้ท่านก็เข้าไปหา
    บัณฑิตแล้วไต่ถามอยู่ จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ฉันนั้น ดังนี้ เขาได้อธิษฐานกระทำปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ให้มั่น เพราะเหตุนั้นท่าน จึงกล่าวว่า


    ก็พุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่นที่บ่มโพธิญาณอีก
    ในกาลนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น ปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือ
    ปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดปัญญาบารมีข้อที่ ๔ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นปัญญาบารมี หากท่าน
    ปรารถนาที่จะบรรลุพระโพธิญาณ ภิกษุเมื่อขอเขาไม่เว้นตระกูลสูงปานกลางและต่ำย่อมได้ภิกษาพอเลี้ยงชีพ โดยอาการอย่างนี้ ฉันใด ท่านเมื่อไต่ถามชนผู้รู้ตลอดกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นปัญญาบารมีจักบรรลุสัมโพธิญาณ ได้ ดังนี้


    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น วิริยบารมีข้อที่ ๕ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญวิริยบารมีให้มีบริบูรณ์ให้เต็ม เปี่ยม เหมือนอย่างว่าราชสีห์พระยาฤคราชเป็นสัตว์มีความเพียรมั่นในทุกอริยาบถ ฉันใด แม้ท่านเมื่อเป็นผู้มีความเพียรมั่น มีความเพียรไม่ย่อหย่อน จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ เขาได้อธิษฐานวิริยบารมีข้อที่ ๕ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้นท่านจึง กล่าวว่า


    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้เลย เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ ครั้งนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ก็ได้เห็นวิริยบารมีข้อที่ ๕ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดวิริยบารมีข้อที่ ๕ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นวิริยบารมี หาก
    ท่านปรารถนาบรรลุโพธิญาณ ราชสีห์พระยามฤคราชมีความเพียรไม่ย่อหย่อนมีใจประคับประคองตลอดเวลา ฉันใด ท่านประคองความเพียรให้มั่นในภพทั้งปวง ถึงความเป็นวิริยบารมีแล้ว จักบรรลุโพธิญาณ ฉันนั้นเหมือน กัน ดังนี้


    ลำดับนั้นเมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น ขันติบารมีข้อที่ ๖ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญขันติบารมีให้เต็มเปี่ยม พึงเป็นผู้อดทนได้ทั้งในความนับถือทั้งในความดูหมิ่น เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลาย ทิ้งของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้างบนแผ่นดิน แผ่นดินย่อมไม่กระทำความชอบใจ ไม่กระทำความแค้นใจ มีแต่อดทนอดกลั้นเท่านั้นฉันใด แม้ท่านเมื่ออดทนได้ในความนับถือ
    ก็ดี ในความดูหมิ่นก็ดี จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้ เขาได้อธิษฐานขันติบารมีข้อที่ ๖ เพราะทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้นท่าน
    จึงกล่าวว่า


    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้เลย เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ ครั้งนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น ขันติบารมีข้อที่ ๖ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดขันติบารมีข้อที่ ๖ นี้ กระทำให้มั่นก่อน มีใจไม่ลังเลในข้อที่นั้นจักบรรลุ สัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินย่อมทนต่อสิ่งของที่เขาทิ้งลง สะอาดบ้างไม่สะอาดบ้างทุกอย่าง ไม่กระทำความแค้น ใจมีแต่เอ็นดู ฉันใด แม้ท่านเป็นผู้อดทนต่อความนับถือและความดูหมิ่นของคนทั้งปวงได้ ถึงความมีขันติบารมีแล้ว จักได้บรรลุโพธิญาณได้ ดังนี้


    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น สัจบารมีข้อที่ ๗ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญสัจบารมีให้เต็มเปี่ยม อย่ากระทำการพูดเท็จทั้งรู้ตัวอยู่ด้วยมุ่งทรัพย์เป็นต้น แม้เมื่ออัสนีบาตจะตกลงบนกระหม่อมของท่าน เหมือนอย่างว่า ธรรมดาดาวประกายพฤกษ์ในทุกฤดูหาเว้นทางโคจรของตนไม่ จะไม่โคจรไปทางอื่น โคจรไปเฉพาะในทางของตนเท่านั้น ฉันใด
    แม้ท่านไม่ละสัจจะ ไม่กระทำการพูดเท็จเด็ดขาด จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ เขาได้อธิษฐานสัจบารมีข้อที่ ๗ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น สัจบารมีข้อที่ ๗ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำกันมา ท่านจงยึดสัจบารมีข้อที่ ๗ นี้กระทำให้มั่นก่อน มีคำพูดไม่เป็นสองในข้อนั้น จักบรรลุ สัมโพธิญาณได้ ธรรมดาว่าดาวประกายพฤกษ์นั้นเป็นคันชั่ง (เที่ยงตรง) ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ย่อมไม่มีโคจรแวะ เวียนไปนอกทาง ไม่ว่าจะในสมัยหรือในฤดูและปีใด ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อย่าเดินเฉไปจากทางในสัจจะ ทั้งหลาย ถึงความเป็นสัจบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ดังนี้


    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น อธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี ท่านอธิษฐานอย่างใดไว้ พึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานนั้น เหมือนอย่างว่า ธรรมดาภูเขาเมื่อลมทั่วทุกทิศพัดกระทบอยู่ ย่อม
    ไม่สะเทือน ไม่หวั่นไหว ยังคงตั้งอยู่ในที่เดิมของตน ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในความตั้งใจมั่นของตน จักเป็น
    พระพุทธเจ้าได้ดังนี้ เขาได้อธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น อธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำสืบกันมา ท่านจงยึดอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ นี้กระทำให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้ไม่หวั่น ไหวในข้อนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ภูเขาหินไม่หวั่นไหวตั้งมั่นแล้ว ย่อมไม่สะทือนด้วยลมกล้า ย่อมตั้งอยู่ใน ที่เดิมของตนเท่านั้นฉันใด ท่านจงไม่หวั่นไหวในความตั้งใจจริงตลอดกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอธิษฐานบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ดังนี้


    ลำดับนั้นเมื่อเขาได้ใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น เมตตาบารมีข้อที่ ๙ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเมตตาบารมีให้เต็ม เปี่ยม ในสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลและมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลพึงมีจิตเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่าน้ำย่อมกระทำ ให้เย็นแผ่ซ่านไปเช่นเดียวกัน ทั้งแก่คนชั่วทั้งแก่คนดีฉันใด แม้ท่านเมื่อเป็นผู้มีน้ำใจเป็นอันเดียวกันด้วยเมตตาจิตในสัตว์ทั้ง
    ปวง จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้ เขาได้อธิษฐานเมตตาบารมีข้อที่ ๙ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมเหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น เมตตาบารมีข้อที่ ๙ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน
    ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำกันมา ท่านจงยึดเมตตาบารมีข้อที่ ๙ นี้กระทำให้มั่นก่อน ถ้าท่านปรารถนาจะ บรรลุพระโพธิญาณ ก็จงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา ธรรมดาน้ำย่อมแผ่ความเย็นไปให้คนดีและคนเลวเสมอ
    กัน ชะล้างมลทินคือธุลีออกได้ฉันใด แม้ท่านก็จงเจริญเมตตาให้สม่ำเสมอไปในคนทั้งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูล
    ฉันนั้นเถิด ท่านถึงความเป็นเมตตาบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ดังนี้


    ต่อมาเมื่อเขาได้ใคร่ครวญแม้ยิ่งขึ้นไปอีกด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย จึงได้
    เห็น อุเบกขาบารมีข้อที่ ๑0 ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี พึงวางใจเป็นกลางในสุขก็ดีในทุกข์ก็ดี เหมือนอย่างว่า ธรรมดาแผ่นดิน เมื่อคนทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ย่อมวางใจ เป็นกลางทีเดียวฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เมื่อวางใจเป็นกลางได้ในสุขและทุกข์ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้า เขาได้อธิษฐานอุเบกขา บารมีข้อที่ ๑0 ทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมเหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น อุเบกขาบารมีข้อที่ ๑0 ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำสืบกันมา ท่านจงยึดอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑0 นี้กระทำให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้มั่นคง ประดุจตราชู จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินย่อมวางเฉยต่อของที่ไม่สะอาดและของที่สะอาด ซึ่งเขา ทิ้งลงไป เว้นขาดจากความโกรธและความยินดีต่อสิ่งทั้งสองนั้น ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น ควรเป็นประดุจตราชูในสุข
    และทุกข์ในกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอุเบกขาบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ดังนี้


    ต่อนั้นเขาจึงคิดว่า พุทธการกธรรมที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ มีเพียงเท่านี้เท่านั้น ยกเว้นบารมี ๑0 เสียธรรมเหล่าอื่น ไม่มี บารมีทั้ง ๑0 แม้เหล่านี้ แม้ในเบื้องสูง แม้ในอากาศก็ไม่มี ภายใต้แผ่นดินก็ดี ในทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้นก็ดี
    ก็ไม่มี แต่มีตั้งอยู่ภายในหทัยของเรานี้เองดังนี้ เมื่อเขาเห็นว่าบารมีเหล่านั้นตั้งอยู่ในหทัยแล้ว จึงอธิษฐานบารมีแม้ทั้งหมด กระทำให้มั่น พิจารณาแล้วๆ เล่าๆ พิจารณากลับไปกลับมา ยึดเอาตอนปลายทวนมาให้ถึงต้น ยึดเอาตอนต้นมาตั้งไว้ในตอน ปลาย และยึดเอาตรงกลางให้จบลงตรงข้างทั้งสอง ยึดที่ที่สุดข้างทั้งสองให้มาจบลงตรงกลาง ยึดเอาบารมี ๑0 อุปบารมี ๑0 ปรมัตถบารมี ๑0 คือ การบริจาคสิ่งของภายนอกเป็นทานบารมการบริจาคอวัยวะเป็นทานอุปบารมีการบริจาคชีวิตเป็น ทานปรมัตถบารมี ที่ตรงท่ามกลางแล้ว พิจารณาวกไปวกมาเหมือนคนหมุนเครื่องยนต์หีบน้ำมันไปมาพิจารณาคลุกเคล้าเข้า ด้วยกัน เหมือนคนกวนระคนกระทำยอดภูเขาใหญ่สิเนรุให้เป็นมหาสมุทรในห้องจักรวาลฉะนั้น เมื่อเขาพิจารณาบารมีทั้ง ๑0
    อยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดินใหญ่นี้ที่หนาได้สองแสนโยชน์ยิ่งด้วยสี่นหุต เป็นราวกะว่ามัดต้นอ้อที่ช้างเหยียบแล้วและเครื่อง ยนต์หีบอ้อยที่กำลังหีบอยู่ ร้องดังลั่นหวั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด หมุนคว้างไม่ต่างอะไรกับวงล้อเครื่องปั้นหม้อและวงล้อ ของเครื่องยนต์บีบน้ำมัน เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    ธรรมที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณในโลกมีเพียงนี้เท่านั้น ไม่นอกไปจากนี้ ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็ไม่มี ท่านจงตั้งมั่น อยู่ในธรรมนั้น เมื่อเราไตร่ตรองธรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งสภาวะกิจและลักษณะอยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดินพร้อม โลกธาตุหมื่นหนึ่งสั่นสะเทือนแล้ว ปฐพีก็ไหวร้องลั่น ดั่งเครื่องยนต์หีบอ้อยที่หีบอยู่ เมทนีดลก็เลื่อนลั่นประดุจดัง วงล้อเครื่องยนต์บีบน้ำมัน ฉะนั้น ดังนี้


    เมื่อมหาปฐพีไหวอยู่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรัมมนครต่างมิสามารถทรงตัวยืนอยู่ได้ ประหนึ่งว่าศาลาหลังใหญ่ ที่ถูกลมบ้า
    หมู โหมพัดอย่างหนักพากันเป็นลมล้มลง ภาชนะของช่างหม้อมีน้ำเป็นต้น ที่กำลังทำอยู่ต่างกระทบกันและกันแตกเป็นจุรณ วิจุรณไป มหาชนสะดุ้งกลัวจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบข้อนั้น อย่างไรเลยว่า นี้นาคทำให้หมุนวน หริอว่าบรรดาภูตยักษ์และเทวดาพวกใดพวกหนึ่งทำให้หมุนวน อีกประการหนึ่ง มหาชน แม้ทั้งหมดนี้ถูกทำให้เดือดร้อน ความชั่วหรือความดีจักมีแก่โลกนี้ ขอพระองค์จงตรัสบอกเหตุนั้น แก่พวกข้าพระองค์เถิด พระศาสดาทางสดับถ้อยคำของพวกเขาแล้วตรัสว่า พวกท่านอย่าได้กลัวเลย อย่าคิดอะไรมากเลย ภัยจากเหตุนี้ไม่มีแก่พวก
    ท่าน วันนี้สุเมธบัณฑิตเราพยากรณ์ให้แล้วว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมในอนาคต บัดนี้เขาไตร่ตรองบารมีทั้งหลาย
    อยู่ เมื่อเขาไตร่ตรองอยู่ตรวจตราอยู่ เพราะเดชแห่งธรรม โลกธาตุทั้งสิ้นหมื่นหนึ่งสะเทือนและร้องลั่นไปพร้อมกันทีเดียวดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    ในที่อังคาสพระพุทธเจ้า บริษัทมีประมาณเท่าใด บริษัทในที่นั้นมีประมาณเท่านั้น ต่างตัวสั่นอยู่ เป็นลมล้ม ลงบนแผ่นดิน หม้อน้ำหลายพันและหม้อข้าวหลายร้อยเป็นจำนวนมาก ในที่นั้นต่างกระทบกระแทกกันแตกละเอียด ไปหมด มหาชนต่างหวาดเสียวสะดุ้งกลัวภัย หัวหมุน มีใจว้าวุ่น จึงมาประชุมกัน เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทีปังกร กราบทูลว่าอะไรจักมีแก่โลก ดีหรือชั่ว หรือโลกทั้งปวงจะถูกทำให้เดือดร้อน ขอพระองค์ผู้เป็นดวงตาของโลก จงทรงบรรเทาเหตุนั้น คราวนั้นพระมหามุนีทีปังกรให้พวกเขาเข้าใจแล้วด้วยตรัสว่า พวกท่านจงวางใจเสียเถิด อย่าได้กลัวเลย ในการไหวของแผ่นดินนี้ วันนี้เราได้พยากรณ์แล้ว ถึงบุคคลใดว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้า บุคคล นั้นไต่ตรองถึงธรรมที่พระชินเจ้าถือปฏิบัติมาแล้วแต่เก่าก่อน เมื่อเขาไตร่ตรองถึงธรรม อันเป็นพุทธภูมิโดยไม่ เหลือเพราะเหตุนั้น ปฐพีนี้พร้อมหมื่นโลกธาตุในโลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงไหวแล้ว ดังนี้


    มหาชนฟังพระดำรัสของพระตถาคตยินดีร่าเริงแล้ว พากันถือเอาดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ออกจากรัมมนคร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์บูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ไหว้กระทำประทักษิณแล้ว เขาไปยังรัมมนครตามเดิม ฝ่ายพระโพธิสัตว์ไตร่
    ตรองบารมีทั้งสิ้น กระทำความเพียรให้มั่นอธิษฐานแล้ว ลุกจากอาสนะที่นั่ง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า


    เพราะได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ใจเย็นแล้วทันใดนั้น ทุกคนเข้าไปหาเรา กราบไหว้แล้วอีก เรายึด มั่นพระพุทธคุณกระทำใจไว้ให้มั่น นมัสการพระทีปังกร ลุกจากอาสนะในกาลนั้น ดังนี้


    ลำดับนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว บูชาพระโพธิสัตว์ผู้ลุกจากอาสนะ ด้วยดอกไม้และของหอมอัน เป็นทิพย์แล้ว ป่าวประกาศคำสรรเสริญอันเป็นมงคลเป็นต้นว่า ข้าแต่สุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า วันนี้ท่านตั้งปรารถนาอย่างใหญ่ที่ บาทมูลของพระทศพลทีปังกร ขอความปรารถนาของท่านจงสำเร็จโดยไม่มีอันตราย ความกลัวหรือความหวาดเสียวอย่าได้ มีแก่ท่าน โรคแม้แต่น้อยหนึ่ง อย่าได้เกิดในร่างกาย ขอท่านจงบำเพ็ญบารมีให้เต็มโดยพลันแล้วบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้นไม้ที่จะเผล็ดดอกออกผล ย่อมเผล็ดดอกและออกผลตามฤดูกาลฉันใด แม้ท่านก็จงได้สัมผัสพระโพธิญาณอันอุดมโดยพลัน อย่าได้ล่วงสมัยนั้นเลยฉันนั้นเหมือนกัน เทวดาทั้งหลายครั้นป่าวประกาศอย่างนี้แล้ว ได้กลับไปยังเทวสถานของตนๆ ตามเดิม ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผู้อันเทวดาสรรเสริญแล้วคิดว่า เราจักบำเพ็ญบารมี ๑0 แล้ว ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจักได้เป็น พระพุทธเจ้า ดังนี้ อธิษฐานกระทำความเพียรให้มั่นแล้ว เหาะขึ้นไปยังท้องฟ้า ไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที เพราะเหตุนั้นท่านจึง กล่าวว่า


    เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างโปรยปรายดอกไม้อันเป็นทิพย์และอันเป็นของมนุษย์ แก่เขาผู้กำลัง
    ลุกจากอาสนะ ทั้งเทวดาและมนุษย์สองฝ่ายนั้นต่างก็ได้รับความยินดีทั่วหน้า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่ ขอ ท่านจงได้สิ่งนั้นตามที่ท่านปรารถนาไว้ ขอสรรพเสนียดจัญไรจงแคล้วคลาดไป ขอโรคภัยจงพินาศไป ขออันตราย จงอย่ามีแก่ท่านเถิด ขอท่านจงได้รับสัมผัสพระโพธิญาณโดยพลัน ข้าแต่มหาวีระ ขอท่านจงเบิกบานด้วยพุทธญาณ เหมือนต้นไม้ที่มีดอกเมื่อถึงฤดูกาลก็เผล็ดดอกฉันนั้นเถิด พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง พึงบำเพ็ญบารมี ๑0 ให้เต็มเปี่ยมฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงบำเพ็ญบารมี ๑0 ให้เต็นเปี่ยมฉันนั้นเถิด พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใด เหล่าหนึ่ง ตรัสรู้ที่โพธิมณฑลฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงตรัสรู้ที่โพธิมณฑลของพระชินเจ้าฉันนั้น พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งทรงประกาศพระธรรมจักร ฉันใด ของท่านจงประกาศพระธรรมจักรฉันนั้น พระจันทร์ในวันเพ็ญผ่องแผ้วย่อมรุ่งโรจน์ฉันใด ขอท่านจงมีใจเต็นเปี่ยมรุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุฉันนั้นเถิด พระอาทิตย์ที่พ้นจากราหูแล้ว ย่อมแผดแสงด้วยความร้อนแรงฉันใด ขอท่านจงปลดเปลื้องเรื่องโลกีย์ออกแล้ว สว่างไสวอยู่ด้วยสิริฉันนั้นเถิด แม่น้ำใดๆ ก็ตามย่อมไหลไปลงทะเลใหญ่ฉันใด ขอชาวโลกพร้อมทั้งเทวดาจงรวมลง ที่สำนักของท่านฉันนั้นเถิด ในกาลนั้นเขาอันเทวดาและมนุษย์ชมเชยและสรรเสริญแล้วยึดมั่นบารมีธรรม ๑0 เมื่อ จะบำเพ็ญบารมีธรรมเหล่านั้น เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์แล้ว

    ที่มา : http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=76100
     
  14. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ
     
  15. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ
    บุญแห่งธรรมทานมีอานิสงค์หาประมาณมิได้ครับ
    ขอให้เป็นสุขสมหวังทุกประการครับ
     
  16. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2007
  17. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,442
    [​IMG]

    อนันตประทีป

    อนันตประทีปนั้นอุปมาว่าเหมือน ประทีปดวงหนึ่งสามารถเป็นสมุฎฐานจุดประทีปให้ลุกโพลงขึ้นอีกหลายร้อยหลายพันดวง ยังผู้ตกอยู่ในความมืดให้ได้รับแสงสว่าง และแสงสว่างนี้ก็มิรู้จักขาดสิ้นไปได้ โดยประการฉะนี้แลพวกเธอทั้งหลาย พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งๆย่อมเป็นผู้กล่าวแนะนำชี้ทางแก่สรรพสัตว์อีกหลายร้อยหลายพันไม่มีประมาณ ยังสรรพสัตว์เหล่านั้นให้ตั้งจิตมุ่งตรงต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีจิตที่มุ่งในการปฏิบัติธรรมไม่รู้จักขาดสิ้น แสดงพระสัทธรรมตามฐานะอันควร ยังสรรพกุศลสมภารของตนเองให้ทวีไพบูลย์ขึ้น นั้นแลชื่อว่า อนันตประทีป<O:p</O:p

    ที่มา : วิมลเกียรตินิทเทสสูตร<O:p</O:p



    ขอโมทนาครับ ขออำนาจกุศลบารมีในครั้งนี้ของคุณนิก จงเป็นปัจจัยให้สำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณตามที่ปรารถนาครับ สาธุ
    (f) ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2007
  18. Nikom15

    Nikom15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +875
    อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ผู้อ่านและผู้โพสเรื่อง ได้สำเร็จมรรค ผล อมตธรรมเหมือนดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด
     
  19. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    พระอัครสาวกคือ พระสารีบุตรเถระ ผู้เลิศทางปัญญา กับพระโมคคัลนะเถระผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ ไม่ใช่หรอครับ??

    http://www.bskmutt.is.in.th/?md=content&ma=show&id=11

    เว็บนี้น่าสนใจเอามาให้อ่านเล่นๆนะครับ(verygood)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2007
  20. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,442
    ผมว่าน่าจะเป็นพระอุปติสสะ(พระสารีบุตร) กับ พระโกลิตะ(พระโมคัลลานะ)นะครับ
    ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...