โสดาบัน (อีกแล้วครับท่าน^^")

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุรีบุตร, 9 สิงหาคม 2011.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เมตไตยะ

    เมตไตยะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    ธรรม คำสอน เป็นสิ่งละเอียดอ่อน ค่อยๆคิดพิจารณา ด้วยตนเองตามคำสอน เมื่อเจอความจริงที่เกิดขึ้นกับ กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี ในปัจจุบันขณะ ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเกิดขึ้น สัก แต่ว่าตั้งอยู่ และสักแต่ว่าดับไป เป็นธรรมดา ทำบ่อยๆ เจริญบ่อยๆ ให้เป็นอัตโนมัติ แค่นี้ลองทำดูก่อน ข้าพเจ้าไม่อาจสอนผู้ใด เพียงแต่ แค่อยากแชร์ประสบการณ์ กับเพื่อนๆทุกคนเท่านั้น นะจ๊ะ อย่าเพิ่งเชื่อแต่ แค่ลองทำดู
    เจริญในธรรม นะจ๊ะ
     
  2. เมตไตยะ

    เมตไตยะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    ธรรม คำสอน เป็นสิ่งละเอียดอ่อน ค่อยๆคิดพิจารณา ด้วยตนเองตามคำสอน เมื่อเจอความจริงที่เกิดขึ้นกับ กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี ในปัจจุบันขณะ ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเกิดขึ้น สัก แต่ว่าตั้งอยู่ และสักแต่ว่าดับไป เป็นธรรมดา ทำบ่อยๆ เจริญบ่อยๆ ให้เป็นอัตโนมัติ แค่นี้ลองทำดูก่อน ข้าพเจ้าไม่อาจสอนผู้ใด เพียงแต่ แค่อยากแชร์ประสบการณ์ กับเพื่อนๆทุกคนเท่านั้น นะจ๊ะ อย่าเพิ่งเชื่อแต่ แค่ลองทำดู
    เจริญในธรรม นะจ๊ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ยกมาได้ตรงประเด็นมาก ถ้าอิงอาศัยตามพุทธวัจนะนี้ โสดาปฏิมรรค ก็นับว่าเป็น สัมมาทิฏฐิแล้ว อนุโมทนาครับ...
     
  4. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    กั๊กๆๆ เอกวีๆวี๊ วันนี้ขบกัดสุรีบุตรหรอ เอานี่ไปขบ ย์ ไง...อิอิ
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ลองดูเรื่อง ภัททกาปิลานีเถรี นะครับ เป็นหญิงมาตลอดทุกชาติ ไปเกิดที่ใดบ้าง
     
  6. mang_wan

    mang_wan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +56
    ขอกด like 1000 ครั้งค่ะ
     
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    เพราะเหตุที่<WBR>ลักษณะ<WBR>ทั้ง<WBR>หลาย<WBR>ของสตรีไม่ครบถ้วน เพราะสตรีไม่มีของลับอันเป็นวัตถุที่ตั้งอยู่ในฝัก รัตนะ ๗ ประการก็ไม่ถึงพร้อม เพราะไม่มีอิตถีรัตนะ ทั้งอัตภาพอันยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งปวงก็ไม่มี ฉะนั้น จึงตรัสว่า ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ดังนี้.
    อนึ่ง เพราะเหตุที่ฐานะทั้ง ๓ มีความเป็นท้าวสักกะเป็นต้นเป็นฐานะสูงส่ง ส่วนเพศสตรีเป็นเพศต่ำ ฉะนั้น สตรีนั้นจึงเป็นท้าวสักกะเป็นต้น ไม่สำเร็จเด็ดขาด.

    ถามว่า แม้เพศบุรุษก็ไม่มีในพรหมโลก เหมือนเพศสตรีมิใช่หรือ เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรกล่าวว่า ข้อที่บุรุษพึงครอบครองความเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
    ตอบว่า ไม่ควรกล่าวหามิได้.
    ถามว่า เพราะเหตุไร.
    ตอบว่า เพราะบุรุษในโลกนี้บังเกิดในพรหมโลกนั้นได้.
    ก็ในบทว่า พฺรหฺมตฺตํ ท่านหมายเอาความเป็นท้าวมหาพรหม.
    อนึ่ง สตรีบำเพ็ญฌานในโลกนี้ กระทำกาละ (ตาย) ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกพรหมปาริสัชชา (พรหมที่เป็นบริษัท) ไม่เข้าถึงความเป็นท้าวมหาพรหม ส่วนบุรษไม่พึงกล่าวว่าไม่เกิดในพรหมโลกนั้น. อนึ่ง ในพรหมโลกนั้น แม้เพศทั้งสองจะไม่มี พรหมทั้งหลายก็มีสัณฐานทรวดทรงเหมือนบุรุษทั้งนั้น ไม่มีสัณฐานทรวดทรงเหมือนสตรีเลย เพราะฉะนั้น พระดำรัสที่ตรัสไว้นั้น เป็นอันตรัสไว้ดีแล้วนั่นแล.


    อิตถีรัตนะ น่าจะหมายถึงนางแก้วค่ะ
    ส่วนพรหม ไม่มีเพศ ไปเป็นได้ทั้งชายหญิง เป็นแล้วสัณฐานทรวดทรงเหมือนบุรุษ เว้นท้าวมหาพรหมต้องเป็นชายไปเกิด

    ส่วนมาร ไปค้นเอาเองนะ
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=163
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2011
  8. เมตไตยะ

    เมตไตยะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    มากเรื่องมากความ

    ธรรม คำสอน เป็นสิ่งละเอียดอ่อน ค่อยๆคิดพิจารณา ด้วยตนเองตามคำสอน เมื่อเจอความจริงที่เกิดขึ้นกับ กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี ในปัจจุบันขณะ ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเกิดขึ้น สัก แต่ว่าตั้งอยู่ และสักแต่ว่าดับไป เป็นธรรมดา ทำบ่อยๆ เจริญบ่อยๆ ให้เป็นอัตโนมัติ แค่นี้ลองทำดูก่อน ข้าพเจ้าไม่อาจสอนผู้ใด เพียงแต่ แค่อยากแชร์ประสบการณ์ กับเพื่อนๆทุกคนเท่านั้น นะจ๊ะ อย่าเพิ่งเชื่อแต่ แค่ลองทำดู
    เจริญในธรรม นะจ๊ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    ขอถามความคิดเห็นครับ ไม่ได้หมายความว่าคนตอบต้องคิดว่าตนเองเป็นโสดาบันแล้วนะใครตอบก็ได้ ขอถามว่า
    1.ท่านคิดว่าคนที่ถึงภูมิโสดาบันแล้ว อยากเลื่อนไปเป็นสกิทาคามี และไปเป็นพระอนาคามีหรือไม่
    แล้วแต่วาสนาบารมีที่ได้สั่งสมไว้ บางคนเพียรไปต่อ แต่บางคนก็หยุดแค่นี้ค่ะ เพราะเข้าภูมิอริยะเบื้องต้นได้ก็ปิดอบาย (อบายภูมิ๔) แล้ว

    2.ท่านคิดว่า โสดาบันกลัวหรือไม่กับการไม่มีตัวตน หมายถึงโสดาบันกลัวหรือไม่ว่า หากไม่ได้อรหันต์ในชาตินี้ ไปได้ในชาติอื่นก็เหมือนตนเองๆไม่ได้อรหันต์
    คงไม่งงนะครับ[/QUOTE]
    ระดับโสดาบันไม่มีความว่ากลัวหรือกังวลแล้วค่ะ เพราะเดินมาถูกทางแล้ว ไม่มีคำว่าหลงหรือผิดทางอีกต่อไป สามารถเจริญต่อได้ แม้ไม่ได้บบรลุเป็นพระอรหันตร์ในชาตินี้ก็ไม่เกิน๗ชาติแน่นอนค่ะ
     
  10. poopenๆ

    poopenๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +86
    ท่านทั้งหลาย ใยต้องร่ำทฤษฎีกันให้วุ่นวาย
    สิ่งที่เราๆต้องจับไว้ คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นมิใช่หรือ...
     
  11. ทศมาร

    ทศมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +237
    อยากเป็นก็ตัวนึง คือคิดว่าการเป็นพระอรหันต์น่าจะมีความสุขถึงไม่ได้เห็นว่าตัวเราน่าจะมีความสุขแต่ก็อยากให้ใจสัมผัสความสุขแหล่ะครับ
     
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    2.ท่านคิดว่า
    ...โสดาบันกลัวหรือไม่กับการไม่มีตัวตน
    ...หมายถึงโสดาบันกลัวหรือไม่ว่า หากไม่ได้อรหันต์ในชาตินี้ ไปได้ในชาติอื่นก็เหมือนตนเองๆไม่ได้อรหันต์
    คงไม่งงนะครับ

    แยกเป็นสองส่วนนะ
    ส่วนแรก.. โสดาบันทราบถึงการไม่มีตัวตน ไม่กลัวการไม่มีตัวตน
    ส่วนสอง.. ถ้าเป็นนายก.เป็นโสดาบันแล้ว กลัวว่าไปเป็นนายข.ในชาติอื่นแล้วเป็นพระอรหันต์ในชาติที่เป็นนายข. ไม่ใช่นายก.ที่ได้เป็น ... ความรู้สึกนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ เพราะเป็นอรหันต์แล้วก็ไม่ได้เป็นนายข.อยู่ดี แต่เป็นผู้สิ้นกิเลสไม่ใช่นายอะไรที่ผ่านมาทั้งหมดสิ้น คือไม่มีความยึดถือตัวตนว่าเป็นใคร ว่าเป็นอะไร
     
  13. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ผมตอบบ้างนะ ตามความเห็นส่วนตัวถูกผิดยังไม่รู้นะ
    1ผมว่าทุกคนที่อยากพ้นทุข ก้ต้องอยากที่จะหมดสิ้นซึ่งกิเลสอันนำพาให้เกิด แก่ เจ็บ และทุข เป้าที่อยากจะเป็นพระ สกิทา และอนาคา คงมีอยู่ในใจแต่มีแบบไม่รู้ๆแต่คิดว่าคงจะดีสำหรับการปติบัติธรรม คิดแบบปุถุชนทั่วไป
    โสดาบันคิดอย่างไร ก้น่าจะไกล้เคียงปุถุชนแต่อาจด้วยเพราะความรู้ชัดว่า สกิทาดี อนาคาดี และอรหันดีจริง ธรรมดีจริง

    2คิดว่ากลัว เมื่อรู้จักกับทุขแล้วน่าจะรู้ว่าทุขไม่ดี และต้องพยามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทุขหมดไป แต่ท่าคนยังไม่เห็นโทษภัยก้คงยังเพลินอยู่ไม่กลัวหรอก ชอบซะด้วยมันก้คงกลัวต่างกันนิดนึง ตรงที่กลัวแบบไม่รู้กลัวทุขไว้ก่อน แต่พระโสดาน่าจะกลัวอย่างมีปัญญา แต่เพราะอะไรล่ะจะไม่ไปให้สุดทาง เดินทางธรรมเพื่อพ้นจากทุข หรือเพื่อเป็นพระโสดาบัน ท่าเพื่อเป็นพระโสดาบันคงหยุดคิดละมั้งว่าจะเป็นพระอนาคามั้ย หรือเป็นพระอรหันดีมั้ย

    ความเห็นส่วนตัวอนุโมทนาธรรมครับ
     
  14. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ...บุคคลที่เล็งเห็นและเพียรดำเนินประโยชน์ เพียรละทิ้งวางสิ่งที่เป็นโทษ
    มุ่งดำเนินทางแสวงการบรรลุสัจธรรม ย่อมเล็งเห็นว่าความกลัวหรือขั้นบั้ง เป็นสิ่งสมมุติ
    การยึดในสมมุติไม่เป็นประโยชน์ สร้างอัตตาทุกข์ ย่อมหาทางละวาง มุ่งเรียนรู้พิจารณา สภาวะธรรม เพื่อการละวางยิ่งๆขึ้นไป สภาวะธรรมต่างๆเป็นสภาวะที่ดำเนินทุกข์ โดยความเป็นเช่นนั้นเอง
    ...เมื่อมองในลักษณะแยกส่วน...
    สิ่งที่ถูกมองไม่เป็นรูปเป็นร่าง ธาตุ นาม เหตุ ปัจจัย หากทุกข์ดับไปแล้ว ตัวตนเดิมที่ตั้งอยู่หายไปแล้ว ทุกข์ใหม่ปรุงต่อ จึงเป็นอนัตตา ไร้ตัวตนที่แท้จริงบังคับไม่ได้ เพราะ อนิจจังสืบเนื่องอยู่ตลอด จากความเปลี่ยนแปลงคือทุกข์ขัง ธรรมชาติคือทุกข์ทั้งสิ้น โดยความเป็นสภาวะ อนิจจัง ทุกข์จัง อนัตตา ที่กลมกลืนกันเกิดตั้งดับอย่างต่อเนื่อง เป็นอัตตาชั่วขณะเร็วบ้างช้าบ้าง ตามเหตุปัจจัยของลักษณะธรรม
    ...อัตตาทุกข์ เกิดจาก เหตุปัจจัยใน รูปธาตุ นามขันธ์ อวิชา มาประชุมปรุง ณ.ห้วงขณะหนึ่ง อัตตาเกิดตั้งดับไม่สิ้นสุดจึงเป็นอนัตตา
    ...ความอยาก(กิเลส) อยาก โลภะ-ดึงเข้าหาต้องการ, อยากไม่ โทสะ-ผลักออกไปไม่ต้องการ ความอยากคือเจตสิก เพื่อสนองอัตตาตามอำนาจอวิชา จากผัสสะที่รับมา เวทนาร่วมกับสัญญาปรุงเป็นสังขารวิญญาณ แล้วลงรูปอันเป็นแดนเกิดกองทุกข์ จึงกล่าวได้ว่า ความอยาก สร้างอัตตา จากความยึดถือจากผัสสะ นับว่ากิเลส เป็นเหตุสร้างทุกข์
    ...กุศลบางอย่างเกิดมาจากความอยากก็มีอยู่ การมุ่งบรรลุธรรม ในการปฏิบัติธรรม นอกจากอาศัยหลักพระพุทธธรรมเป็นแนวทางปฏิบัติแล้ว ยังต้องอาศัยกิเลสบางอย่างมาเป็นตัวช่วยด้วยส่วนหนึ่งเพื่อสร้างจุดมุ่งหมายที่จะเดินต่อไป การใช้ความอยากหรือตัณหาให้เป็นกุศลหรืออกุศลจึงอยู่ที่เจตนาและกาลโอกาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่าไปคาดเดาสิครับ เป็นเองสิแล้วจะรู้ แต่ถามว่าควรไม่ควรหรือไม่นั้นบางทีนะบางทีแค่บางที อาจมีความรู้สึกนั้นอยู่เพราะความอยากที่ว่านั้นเป็นความอยากในทางเพื่อหลุดพ้นไม่ใช่เพื่อโอ้อวดประกาศศักดิ์ดาอันเป็นของไม่มีสาระอะไร แต่โดยเหตุผลนั้นคนที่ได้นั้นอยากหรือไม่อยากมันก็ต้องได้เพราะเหตุอันประกอบให้เป็นนั้นถึงพร้อม คือ ความละได้ซึ่งกิเลสตัณหา มานะทิฐิ นานับประการ และความกลัวนั้นกลัวจริงและควรจะกลัวจริงๆแต่ไม่ใช่กลัวไม่ได้กลัวไม่เป็นแต่เป็นการกลัวกิเลสหลอกลวงว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นแบบนี้ถ้าสติปัญญาไม่ดีพอก็จะกลายเป็นเจ้าลาโง่ให้กิเลสหลอกลวงเอา เลยไม่ได้อะไรสักอย่าง ความกลัวอย่างอื่นนั้นไม่มีและไม่อาจมีได้เพราะคนเหล่านั้นเขาเข้าใจความหมายของการมีชีวิตดีพอกว่าเราๆท่านๆที่ยังคงหมกมุ่นสงสัยในความเป็นอยู่คือของชีวิตอยู่
    ตอบตามความเห็นนะครับ สาธุคั๊บ
     
  16. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคับ....เคยอ่านเจอในปฐมสังคายนา .....ว่า ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระพุทธอนุชาอานนท์ ทรงภูมิเป็นพระโสดาบันปัตติผล เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน พระอานนท์ เร่งความเพียรขนาดหนัก คือ ภาวนาตลอดเวลาไม่ฉันไม่หลับไม่นอน ๓ วัน ๓ คืน ด้วยหวังพระอรหัตผลอย่างอุกฤษฏ์ จนเมื่อราตรีสุดท้าย ท่านมาดำริขึ้นว่า "ไม่อยากเอาอะไรแล้ว แม้พระอรหัตผลก็ไม่เอา ในโลกนี้อะไรอะไรก็ไม่เอา" เมื่อเอนกายลงนอน ขณะที่ร่างกายท่านยังไม่ถึงเตียงก็สำเร็จอรหัตผลทันที พระอานนท์ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้บรรลุอรหันต์นอกเหนืออิริยาบถทั้ง ๔
    และเคยทราบมาจากพระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาสว่า "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ธุดงค์ไปภาวนาอยู่ในถ้ำสาริกา ธรรมที่ปรากฏเด็ดชัดในใจท่านในครั้งนั้น คือ พระอนาคามีผล ท่านได้คิดถึงหมู่คณะและพวกพ้องอยากสงเคราะห์ให้พ้นทุกข์ จึงได้เดินทางมาอบรมสั่งสอนหมู่คณะได้พักใหญ่ และได้ดำริขึ้นภายในว่า "กำลังเรายังไม่พอ ถ้าขืนยังอยู่กับหมู่คณะความเพียรจะล่าช้าสมควรจะออกธุดงค์เพื่อเร่งความเพียรโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน" ท่านจึงออกธุดงค์ไปที่ถ้ำดอกคำ จังหวัดเชียงใหม่ และได้สละเป็นสละตาย ปฏิบัติภาวนาขั้นอุกฤษฏ์ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
    ผมว่าน่าจะมีสารธรรมอันเป็นคำตอบในกระทู้ของท่านกัลยาณมิตรทั้ง ๒ ข้อ ได้เป็นอย่างดีครับผม
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    จริงๆ เมื่อวาน ก็พยายาม พาเข้าเรื่อง อิตถีอินทรีย์ ปุรุสอินทรีย์
    เพราะ มาสงสัยว่า โสดาบันเขา สงสัยอะไร เขาไปติด อินทรีย์
    ตัวไหน จึง ยัง งง และ ก่งก๊ง กับคำถามที่ว่า จะดำเนินไปอรหันต์
    นั้น มันเกิดจากอยาก หรือ เกิดจาก อินทรีย์ใดปรากฏ

    ก็ทำให้ทราบๆว่า บรรดาโสดาบันประจำเว็บ ที่อาจหาญดั่ง ราชบุรุษ
    เทียว ลงโทษคนนั้น คาดโทษคนนี้ เข้าโพสนั้น สับพหยอกเจ้าของ
    กระทู้โน้น คนตอบคำถามนี้ เขาอาศัย อินทรีย์ใดหนอ

    ไอ้เราก็พาซื่อ คิดว่า เป็นเรื่อง ปุุรุษอินทรีย์ หรือ อิตถีอินทรีย์ ที่
    ทำให้ สมาธิ มันแตกต่างทำให้ ปัญญาไม่เกิด

    ก็มาถึงบางอ้อว่า มนินทรีย์ สัททินทรีย์ โสมนัสอินทรีย์
    ชิวตินทรีย์ คือ ตัววินิจฉัย ว่า โสดาบันนั้นเคลื่อนเข้าสู่ธรรมด้วยอะไร

    อรัมภบทมายกใหญ่ ให้โสดาบันประจำเว็บหมั่นไส้พอสมควรแล้ว ก็ขอ
    อราถนา ปฏสัมภิทาญาณ ของพระสารีบุตร ที่วินิจฉัย อินทรีย์ของ
    โสดาบันที่เคลื่อนพลหยุหายาตราด้วยอะไร ดังนี้

    [ บัดนั้น เชิด ]


    สรุป ให้ยินหน่อยว่า หัวใจ อยู่ที่ อนัญญาตัญญสามีอินทรีย์ หากเป็น
    โสดาบันปฏิมรรค แล้วจะต้องมี หากผู้ใด ปฏิภาณตนว่า เป็นโสดาบัน
    แล้ว ยัง งงๆ ก่งก๊งว่า อนัญญาตัญญสามีอินทรีย์ คืออะไรหนอ อะไร
    ผลักดันเราหนอ ก็ควร พิจารณาการ สำคัญตนให้แม่นมั่นว่า จะเอายังไง!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ที่อยากจะเน้น และ พูดให้ ปริเฉท แบบ พหุสัจจ เกี่ยวกับการ

    เล็งเห็น ชีวตินทรีย์คืออธิบดี ตัวขับเคลื่อน พึงทราบว่า เปรียบ
    เหมือนคนที่ ทราบว่า จะตายลงในเบื้องหน้าแน่นอนแล้ว บุคคล
    นั้น จะพึงขยันขันแข็ง หรือว่า ท้อแท้ หรือว่า อาจหาญต่อการ
    รับสนองผลกรรม ผลบุญ ที่จะยุติลงเป็นลำดับ นับจากนี้

    ก็ลองพิจารณาดู เนาะ

    หากยังเอ้อระเหย ไม่ใช่การ อาจหาญ ต่อการ หมดการรับ
    สนองผลกรรม ยังขวนขวายทำเพิ่มโดยไม่ถุกส่วน ทำเพิ่มแล้ว
    มะงุมมะงาหราว่า สนับสนุนอะไร ก็พึงรู้ไว้ว่า ละเมอ

    อาธิเช่น ประกาศลงพรหมทัณฑ์ ซึ่ง ทำไปแล้ว ก็ไม่รู้ไป
    ตบแต่งอินทรีย์ใดเพื่อมรรค ก็ให้ พิจารณาไว้เลยว่า มีแวว มั่ว!!

    * * * *

    ชีวิตินทรีย์ อีก พหุสัจจ หนึ่ง ที่ได้ยินบ่อยๆคือ คนที่เห็นตัณหาเป็น
    ดั่งกองถ่านเพลิง อันมีคนสองคนกำลังจับตนโยนลงไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011
  19. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855
    มานเหมือนกับว่ากิเลสตายไปแล้ว3เรืองอธิศต่างๆเป็นแค่ตำราต้องปฎิบัติยากมากเพาะโลกนี้มีพระโสดาแค่10ต่อไปไม่รู้
     
  20. ทะเลทุกข์

    ทะเลทุกข์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +47

    หลงเข้ามาอีกแล้ว อ่านๆดูแล้ว ขออนุญาติแสดงความคิดเห็น สงสัยในเจตนาเจ้าของกระทู้ครับ คือท่านฟังมาจากเพื่อนแล้วมีข้อสงสัย ทำไมท่านไม่กลับไปถามเพื่อนให้คลาย กลับมาตั้งคำถามให้ปวงชนคลายสงสัย ต่างคนต่างจริต ต่างคิดเห็นไม่เหมือนกัน หากท่านถามเพื่อเป็นวิทยาทานโดยหมายให้เกิดสุตตมยปัญญา เมื่อถามได้คำตอบมาก็ควรน้อมมาพิจารณาน่าจะได้ประโยชน์กับตัวท่านมากกว่า จะถูกจะผิดอย่างไรท่านก็ตรึงตรอกด้วย โยนิโสมนสิการ เอา หากแต่ท่านเป็นน้ำเต็มแก้วมาจากการได้รู้ ได้ฟังมาจากเพื่อนของท่าน แล้วยังจะมาถามเพียงปรารถนาคำตอบที่ตรงใจ ถามไปเรื่อยๆ ถามแบบเรื่อยเปื่อย จัดได้ว่าเป็น อโยนิโสมนสิการ อันเป็นปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิิฐิ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหากท่านได้ปฎิบัติ หรือเข้าใจในสังโยชน์ทั้ง 10 ให้มากกว่านี้ คำถามเช่นนี้คงไม่ออกมาให้ท่านได้ปั่นกระทู้แน่ๆ เข้าใจว่าเปลี่ยนชื่อมาถามครับ แต่ถามแบบเดิมๆเห็นแล้วก็เกิดสังเวช จึงเป็นห่วงท่านผู้ถาม เชื่อได้ว่าเดี๋ยวอีกสักพักก็ถามถึง สกิทาคามี อนาคามี หรือ อรหันต์ โน่นนี่นั้น ได้ไหม ขอให้ท่านพิจรณาในสังโยชน์ 10 ให้ช่ำชองครับ ดีกว่ามาถาม มาฟัง มาเดาเอา ธรรมะเป็นปัตจัตตัง ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...