โสดาบัน (อีกแล้วครับท่าน^^")

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุรีบุตร, 9 สิงหาคม 2011.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    หลบเลี่ยงพลิกเปลี่ยนพรหมทัณฑ์ได้ ย่อมมีปัญญาแก่กล้า
     
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    มันต้องทำความเข้าใจ กับสิ่งที่เพื่อนบอกเสียก่อน
    ไม่ว่าเขาจะเป็นจริงไม่จริง
    ที่ว่า ถ้าใครบอกว่าเป็นโสดาบันแล้ว ยังอยากเป็นสกิทาคา หรืออนาคาอยู่อีก รู้ไว้เลยว่านั่นยังไม่ใช่นะ

    ในความหมายที่เพื่อนของคุณ ให้ความหมายถึงความยาก หากเป็นแบบเป็นตัณหา ก็อาจจะถูกคือไม่ใช่จริงๆก็ได้ แต่ถ้าความอยากหากหมายถึงความปรารถนาจะสิ้นทุกข์ ก็จะเป็นอีกอารมณ์ไปทีเดียว
     
  3. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    มีแต่คนตอบเหมือนปริศนาทั้งนั้นเลย ไม่รู้เรื่องเลยคับ - -"
     
  4. THEFOOL23

    THEFOOL23 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +136

    โสดาบัน ไม่ได้แก้ความ อยาก
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ว้า พอ ชมแล้ว เสียจริต จิตกวัดแกว่ง ไม่นิ่ง

    คราวหน้า ไม่ชมดีก่า ต้องจับขยี้ให้เละ

    นะเอย นะเอย [​IMG]
     
  6. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    เขาบอกประมานว่า
    (เคยนั่งเครื่องบินหรูๆ รู้ว่าความรู้สึกเป็นยังไงแล้ว ยังจะอยากนั่งรถยนต์ หรือ มอไซอีกหรือ มีแต่เล็งปราถนาไปที่นั่งเครื่องเท่านั้น)
     
  7. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    555 นั่นมันเป็นเงื่อนไข ที่รู้อยู่ ว่าต้องออกมาในรูปนี้

    สำหรับนิวรณ์แล้ว เพื่อสนองกลับ ไม่ต้องมีทีท่าทำฝืน :boo:

    คราวหน้าให้ต่อท้าย ด้วยคำว่า "ไม่ไหวๆ..!"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2011
  8. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    ผมก็รู้คับ ผมไม่ได้คิดว่าโสดาบันไม่อยาก แต่ผมหมายถึง
    โสดาบันไม่ตั้งความปราถนา ความอยากที่ทางผ่าน อย่างสกิทา หรือ อนาคาแล้วใช่ใหมครับ แต่หวังที่อรหันต์อย่างเดียว
    เพราะผู้ที่ชื่อว่าโสดาบันนั้น คือผู้ที่ได้ลิ้มลองในรสแห่งนิพพานแล้ว รู้อยู่แล้วว่าอะไรเลิศสุด ย่อมตั้งความอยากในสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นใช่ใหมครับ
     
  9. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    กลับมาอ่านใหม่ รู้สึกจะตีความพลาดไปมากค่ะ

    กับคำว่า เล็งปรารถนาไปที่นั่งเครื่องเท่านั้น
    คิดว่า เขาพยายามจะบอกว่า การเล็งไปที่นั่งเครื่องเท่านั้น
    คือความรู้สึกของการเห็นนิพพานแล้ว
    ไม่อยากจะกลับมานั่งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์อีก

    เลยไม่ทราบว่าประโยคนี้ จะเกี่ยวกับ ประโยค
    การเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามีหรือไม่
    เพราะต่อให้มุ่งเป็นพระอรหันต์เลย
    พระสกทาคามีหรือพระอนาคา ก็ไม่ต่ำกว่า พระโสดาบัน
    ก็คงจะหรูกว่า ทำไมมาเปรียบเป็นมอเตอร์ไซค์ หรือ รถยนต์
    หากจะเปรียบเป็นพาหนะ
    น่าจะเป็นเครื่องบินที่เลิศกว่าพระโสดาบันอีกนะ
    น่าจะไล่ มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เครื่องบิน
    เป็น โสดา สกทา อนาคา อย่างนี้มากกว่า

    หรืออีกนัยยะหนึ่ง
    เพราะเขาอาจจะหมายถึงรู้นิพพานแล้วรู้ความรู้สึกแล้ว (เครื่องบินหรู)
    ส่วนความอยากเป็นโสดาบัน อาจจะเป็นแค่จักรยาน (หรือเปล่า)
    ไล่ใหม่ว่า จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เลยไม่เอาแล้วก็ได้
    ไปเอาเครื่องบินเลย

    เดาเจตนาไม่ออกค่ะ
    แต่ขอเดาว่า เขาคิดว่า โสดาบันจริง ย่อมอยากเป็นอรหันต์ไปเลย
    ประมาณนี้

    ...


    เพราะของจริงนั้น ไม่แม้นแต่จะอยากเป็นโสดาบัน
    คือไม่ได้อยากจะเป็นแค่ได้เป็น
    แต่เป็นเพราะทำลายกิเลสลงไป ทุกข์น้อยลงไป เห็นความไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น...

    ขออภัยค่ะ เน็ตช้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2011
  10. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    น่าสนใจค่ะ
    แต่คงตอบไม่ได้ คงตามแต่ความปรารถนา ปณิธาน ความมุ่งหวัง และจริต อีกหลายปัจจัย เข้ามาเกี่ยวข้อง
    อีกประเด็น มันจะเป็นไปตามลำดับ ได้ไหม
    น่าจะเป็นเพราะการทำลายกิเลส ขนาดไหน ซึ่งต้องขึ้นกับอะไรๆ อีก
    เช่นพระสารีบุตร บรรลุช้า เพราะท่านปัญญามาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2011
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471

    มาแล้ว มาแล้ว ปุณฑ์ปู้น ป๋ม มีเรื่อง "อยาก"ถาม

    ( กรุณา กลับมาอ่านคำถามภายหลัง พักโฆษณาแป๊ป )

    [​IMG]
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>[๑๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ
    จะพึงเป็นพรหมนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุรุษจะพึงเป็น
    ท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ

    อัฏฐานบาลี
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ช่วย อธิบายหน่อย ว่า ฐานะ อฐานะ ในเรื่องนี้ เป็นไฉน
     
  13. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    เป็นก็เป็น ไม่เป็นก็ไม่เป็น หันก็หัน ไม่หันก็ไม่หัน.......

    จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรหรอกนะ ทำไป ปฎิบัติไปเถอะนะ......

    ถ้ามันจะเป็น...มันก็เป็นของมันเอง...มันไม่สงสัยอันใดหรอก.....
     
  14. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ไปคุยกระทู้อาแปะเนอะ กระทู้เขาจะได้คุมประเด็นได้
     
  15. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    [๑๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ
    จะพึงเป็นพรหมนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุรุษจะพึงเป็น
    ท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ

    อัฏฐานบาลี
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต


    เป็นมารไม่ได้ แล้วทำไมถึงมีธิดามารละครับ หรือธิดามารไม่ใช่มาร
     
  16. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    [๑๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ
    จะพึงเป็นพรหมนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุรุษจะพึงเป็น
    ท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ


    สตรีเป็นพรหมไม่ได้เพราะ พรหม ไม่มีเพศสตรี
    ถ้าสตรีเป็นพรหมไม่ได้เพราะเป็นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นสตรีก็ทำญาณไม่ได้ด้วยสิครับ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ไปตอบกระทู้อาแปะเนาะ กระทู้เขาจะได้คุ้มประเด็นดีคุ้มประเด็นร้ายได้<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +3,168
    พอรู้ว่าอยู่กับสิ่งสกปรกสิ่งที่ทำให้ไม่สบายตัวมานาน พอรู้ทางพอได้ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ก็รู้สึกสบายดี
     
  19. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขอโอกาส ท่านพี่จินนี่

    การที่บอกว่ายังมีอัตตาอยู่นั้น ก็ไม่น่าจะผิดนะครับ เพราะระดับความหยั่งรู้แตกต่างกัน มิจฉาทิฏฐิเมื่อถูกทำลายแล้ว แบบหมดสิ้น คงไม่ใช่เพียงพระอริยเจ้าเบื้องต่ำหรอกครับ ควรที่จะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เลยทีเดียว

    แต่การตกกระแสนิพพานนั้น มิจฉาทิฏฐิก็ยังมีอยู่ ในส่วนที่ละเอียดขึ้นไป
    โดยปกติในภาษาธรรมมักแบ่งหลักธรรมและกิเลสออกเป็นสามระดับ มี หยาบ กลาง ละเอียด
    การตกกระแสนิพพานจึงเป็นเพียงการละกิเลสอย่างหยาบออกไปเท่านั้น คือ มีสัมมาทิฏฐิในระดับโสดาปฏิมรรค แต่นั่นก็ยังไม่ได้ละในส่วนที่ละเอียดกว่านั้น มิจฉาทิฏฐิในส่วนละเีอียดยังมีอยู่ เนื่องด้วยอวิชชายังมีอยู่

    ส่วนเรื่องอัตตาคือ มุมมองของปุถุชนที่ยังเห็นว่าสิ่งต่างๆนั้นมีอยู่ ถึงแม้ว่าจะีมีการศึกษาและปฏิบัติธรรมมาบ้าง แต่โดยเนื้อแท้ลึกๆแล้ว มันก็ยังมีอยู่ คือรู้แต่ยังละไม่ได้ เมื่อละได้ก็เข้าโลกุตตระ
    แต่จะบอกว่าโสดาบันไม่มีอัตตา ก็ไม่ถูกสะทีเดียว เพราะถึงแม้จะเกิดความเข้าใจ(สัมมาทิฏฐิ) แต่บ้างส่วนของกิเลสก็ยังเหลืออยู่ ยังเป็นตัวเป็นตนอยู่
    หากดูจากประวัติพระอาจารย์ใหญ่มั่น มีกล่าวถึงว่า รูปขันธ์ขาดจริงๆตอนบรรลุอนาคามีผล ส่วนนามขันธ์ยังต้องไปสู้กันต่อในระดับอรหันตมรรค ซึ่งก็บ่งชี้ให้เห็นว่า ยังมีอุปาทานในนามขันธ์ หรือก็คือ ยังยึดในนามขันธ์นั้นอยู่ นั่นก็คืออัตตายังเหลืออยู่นั่นเอง มันยังไม่หมดเสียทีเดียว

    ส่วนอัตตา กับอนัตตา จริงๆแล้วเป็นสภาวะธรรมที่จิตรับรู้และเข้าใจได้ด้วยญาณทัสนะ จะบอกว่าอัตตาคือกิเลส ก็พอได้ เพราะมีกิเลสจึงยังหลงอยู่ ยึดว่าสิ่งต่างๆนั้นมีอยู่
    แต่อนัตตาคือไม่มีกิเลส ก็คงไม่เชิง เพราะสภาวะที่หมดกิเลสจริงๆ อยู่เหนือสองสิ่งนี้แล้ว อนัตตาจึงเป็นสิ่งที่ควรทำความเข้าใจ เพื่อให้จิตได้ปล่อยอุปาทานนั้นออกไป ความหมดกิเลสจึงจะเกิดขึ้นได้ ภายในจิตใจของอริยะบุคคล ตามชั้นตามภูมิต่อไป
    ซึ่งในเรื่องของอนัตตา จะเข้าถึงได้ ต้องเกิดจากการเจริญวิิปัสสนาตามหลักของ อนิจจัง และ ทุกขัง ควบคู่กันไปด้วย เพราะไตรลักษณ์นั้นคือเรื่องเดียวกันทั้งหมด

    ผมเชื่อว่าท่านพี่จินนี่คงเข้าใจความหมายที่ผมพยายามจะสื่อนะครับ
    เจริญในธรรมครับ...
     
  20. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    สวัสดีคุณวิมุตติ โอกาสอยู่ที่ท่านครับ ผมไม่ขอวิจารณ์ความเห็นท่านวิมุตตินะครับ แต่ขอยกธรรมมาเผยแพร่ให้เข้ากับกระทู้
    ส่วนมิจฉาทิฐิคืออะไร เป็นอย่างไร มีโทษอย่างไร ละอย่างไร ผมไม่กล่าวถึงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2011
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...