พระเณรทำนาอันซีนที่"วัดเชิงผา"

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย สังขารไม่เที่ยง, 7 สิงหาคม 2011.

  1. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    [​IMG]

    พระเณรทำนาอันซีนที่"วัดเชิงผา"

    พระเณรทำนาอันซีนไทยแลนด์ ที่..."วัดเชิงผา" : ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู 0


    "ภาพพระเณรขี่ม้าออกไปบิณฑบาต" ที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่ครูบาเหนือชัย เจ้าอาวาสวัดนำพระเณรขี่ม้าบิณฑบาต ซึ่งหมู่บ้านที่ไกลที่สุดอยู่หางจากวัดประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เป็นภาพที่คนไทยไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก

    นอกจากนี้แล้ว ยังมีภาพอีกภาพหนึ่งที่คนไทยไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก คือ “ภาพพระเณรดำนาเหลืองอร่ามเต็มทุ่งนา" ของวัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย โดยการนำของ พระปลัดปราโมช อธิปญฺโญ หรือพระอาจารย์ปราโมช เจ้าอาวาสวัด ซึ่งมีเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้กัน
    พระอาจารย์ปราโมช บอกว่า แนวคิดนำพระเณรทำนาเป็นความบังเอิญที่วัดมีที่นาอยู่ ๑๐ ไร่ โดยตั้งใจซื้อมาเพื่อสร้างเป็นศูนย์พัฒนาคุณธรรมนำชีวิต ในระหว่างที่รอการพัฒนา มองเห็นมุมหนึ่งหนึ่งว่าเป็นที่นา พร้อมที่จะพัฒนาให้เป็นประโยชน์ จึงมีโครงการชวนชาวบ้านทำนาเพื่อนำผลิตผลมาเป็นของกลาง โดยเริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖ เริ่มจากที่ดิน ๑๐ ไร่ ปัจจุบันเหลือ ๖ ไร่
    ครั้งแรกของการคิดนำพระเณรทำนาก็เกรงว่าชาวบ้านไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ พระเณรทำนา เพราะสวนกระแสวิถีชีวิตพระเณร เพราะอย่างไรชาวบ้านอาจคิดว่าอย่างนี้ก็เลี้ยงพระเณรได้โดยไม่ปล่อยให้อดแน่ แต่เมื่อชี้แจงให้ชาวบ้านว่า ที่ดินถ้าปล่อยให้รกร้างว่างเปล่ามันจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ที่สำคัญ คือ สิ่งที่พระนำชาวบ้านทำนาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ผลผลิตก็จะนำไปเป็นประโยชน์ เช่น อาหารกลางวัยเด็ก พระ เณร รวมทั้งเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงคนที่เข้ามาอบรมในค่าย โดยจะได้ผลผลิตประมาณ ๘๐ กระสอบปุ๋ย หรือ ๒ ตัน ซึ่งมากพอที่จะหุงเลี้ยงพระเณรและผู้มาปฏิบัติธรรมได้ตลอดทั้งปี บางปีผลผลิตได้มากญาติโยมยืมไปขยายพันธุ์โดยไม่คิดค่าดอกผล ในขณะเดียวกันการบิณฑบาตก็เป็นกิจวัตรที่ยังคงปฏิบัติอยู่ตลอดทั้งปี”
    การนำพระเณรทำนา ทำให้ได้รู้วิถีชีวิตของไทยแบบเดิม ทุกกระบวนการของการทำนา กิจกรรมที่พระเณรมีส่วนร่วมในการทำ คือ ไถ่นาเตรียมเพาะกล้า ดูแลวัชพืช ใส่ปุ๋ยอีเอ็ม ถอนกล้า ดำนา เกี่ยวข้าว เก็บฟางทำเชื้อเห็ด ทำปุ๋ย ทำให้พระและเณรเห็นภาพของความยากลำบากของการได้ข้าวที่จะมาฉันแต่ละเม็ด ต้องใช้แรง ใช้ทุน และระยะเวลา มีความสำนึกในการใช้ของอย่างมีคุณค่า อย่างเห็นประโยชน์ที่แท้จริง เข้าใจความทุกข์ของคนอื่นมากขึ้น
    เมื่อถามถึงความเหมาะสมและความเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ อาจารย์ปราโมช พูดไว้อย่างน่าคิดว่า “กิจของสงฆ์ หรือ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ต้องใช้พระธรรมวินัยเป็นข้อกำหนด มิใช่ใช้ความรู้สึกนึกคิดของพระสงฆ์และชาวบ้านเป็นข้อพิจารณา เมื่อได้อ่านพระไตรปิฎก หมวดพระวินัย ก็จะได้พบว่าโดยแท้จริงแล้วกิจของสงฆ์นั้นถูกกำหนดไว้แล้วตามนโยบายของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์แรกไปประกาศพระพุทธศาสนา ความตอนหนึ่งว่า จรถ ภิกฺขเว จริกํ พหุชนหิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย มีใจความเป็นภาษาไทยว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่มวลมนุษย์"

    [​IMG]


    ศูนย์การเรียนรู้คุณธรรมนำชีวิต
    ศูนย์การเรียนรู้คุณธรรมนำชีวิต ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วัดเชิงผาได้ก่อกำเนิดเกิดขึ้นโดย พระอาจารย์ปราโมช อธิปญฺโญ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ เมื่อได้กลับมาเยี่ยมเมืองไทย ความคิดที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ท่านต้องการที่จะมีสถานที่ปฏิบัติขัดเกลาใจ ศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อประกาศพระธรรมของพระองค์ให้แก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วกัน ที่สุดท่านก็ได้เล็งเห็นสถานที่ตรงนี้ ซึ่งแต่เดิมเป็นสถานที่ทำกินของชาวบ้านเป็นที่รกร้างยากแก่การสัญจรเข้าออก ใคร่สนใจในสถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การพัฒนาให้เป็นสถานธรรมเพื่อการฝึกฝนขัดเกลาตน และเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาสืบไป
    ประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔ ขณะที่จำพรรษาที่สหรัฐอเมริกา ท่านได้มอบปัจจัยจำนวนหนึ่งให้แก่คณะกรรมการวัดเชิงผา เป็นธุระติดต่อขอซื้อที่ดินแห่งนี้ ต่อมาท่านจึงสละตำแหน่งเจ้าอาวาสและหน้าที่ที่รับผิดชอบในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับสู่เมืองไทย ทันทีที่กลับถึงยังสถานที่แห่งนี้ท่านได้ประชุมกับคณะกรรมการเพื่อขอความคิดเห็นในการพัฒนาสถานธรรมแห่งนี้ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ ต่อมาจึงตั้งชื่อสถานธรรมแห่งนี้ว่า "ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา”
    ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมได้กำหนดกิจกรรมขึ้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้าน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสุข ความสามัคคี ความร่วมมือระหว่าง วัด บ้าน โรงเรียน ในภาพจะแสดงถึงความสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน ทั้งช่วงกลางเดือนสิงหาคม ทางวัดได้นำพระเณรดำนาร่วมกับชาวบ้าน จากนั้นตลอดระยะ ๓ เดือน พระเณรก็จะดูแลต้นข้าวจนกว่าจะเก็บเกี่ยวประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องต้นเดือนธันวาคม


    �����÷ӹ��ѹ�չ����Ѵ��ԧ�� ���Ѵ�֡ : ��������ͧ : ���Ƿ�����
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    นึกว่าจะมีพระทำนาแต่ในพวกมหายานเสียอีก

    ใครได้มโนมยิทธิช่วยกราบเรียนถามสมเด็จฯ ว่าควรทำหรือไม่ครับ
     
  3. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    มองแต่ ++++++++ ถึงแม้จะไม่ถูกวินัย..พระสงฆ์...หรือครับ
    [​IMG]

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="995" height="50"><tbody><tr><td align="left" width="995">
    • [​IMG]
    </td> </tr> <tr> <td align="left" height="21">
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  4. daeng007

    daeng007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +84
    ไม่เห็นด้วย แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นความดีก็ตาม แต่เมื่อปฏิบัติอย่างนี้มีทั้งดีและไม่ดี ฉะนั้นไม่ควรทำ เพราะมีสิ่งไม่ดีอยู่
     
  5. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    พุทธศาสนาล่วงไป พระจะเริ่มทำนา ปลุกข้าว ทำอาชีพ เพื่อเลี้ยงชีพ ค้าขาย

    สุดท้ายจริงๆ จะเหลือมีผ้าเหลืองห้อยที่หู ว่าเป็นพระ ครับ

    จบข่าว
     
  6. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    ศึกษาพระธรรมวินัยให้ดีๆ คะ ทุกวันเลยไม่ทราบว่าสิ่งใหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำมัน ปะปนกันไปหมด คะ โลกก็วุ่นวาย แต่เราก็จงครองกายครองใจให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมคะบุญรักษานะคะ
     
  7. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    จรถ ภิกฺขเว จริกํ พหุชนหิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย มีใจความเป็นภาษาไทยว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่มวลมนุษย์" อันนี้ผมว่าแล้วแต่มุมมอง จะดีหรือไม่ดีล้วนอยู่ที่การปฏิบัติ และ จิตคิดดีก็ดี จิตคิดไม่ดีก็ตกนรก สาธุครับ
     
  8. banfh

    banfh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +144
    มันเป็นไปตามพุทธทำนายจริงๆจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยเราป้องกันไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เกิดขิ้น (พ.ศ.1) ดำรงอยู่(พ.ศ.1-5000) ดับไป(หลัง พ.ศ.5000 จะไม่มีพระพุทธศาสนา)สิ้นศาสนาพระสมณะโคดมพุทธเจ้า แต่เลยกึ่งกลางจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราเห็นทุกวันนี่แหละ คนส่วนมากจะได้เห็นได้ยินแต่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกแล้วไม่สนใจอะไร เลยๆไป ถึงมีคนรู้ว่าผิดหรือถูกแต่ทำอะไรเปลียนแปลงอะไรไม่ได้ จนในที่สุดจะหมดไปโดยสุดท้ายจะเหลือผ้าเหลืองแค่ผูกที่ต้นแขนเป็นสัญลักษณ์ โดยการประพฤติ ปฏิบัติ การดำรงชีวิตไม่แตกต่างอะไรจากเพศฆราวาสเลย และในที่สุดจะหมดไปไม่เหลือศาสนาเลย แล้วก็จะกลับเข้าสู่ยุคไม่มีศาสนาต่อไป(แต่ที่พูดมานี่ไม่มีเจตนาทำให้ใครเสียหาย หรือทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย เพียงแต่ได้เคยอ่านมาจากตำราครูบา อาจารย์ คนเฒ่าคนแก่เองก็เคยพูดให้ฟัง)
     
  9. องค์บูชา

    องค์บูชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +149
    พระท่านก็ลำบากนะ อยู่ไกลด้วย การที่ปลูกข้าวพระก็ฉันเองด้วย ไม่เห็นต้องคิดกันมาก และได้ช่วยเหลือชาวบ้านด้วย คิดกันเท่านี้ก็เป็นสุขแล้ว
     
  10. coool

    coool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    475
    ค่าพลัง:
    +455
    โคตรภูสงฆ์ รุ่นแรก เกิดขึ้นแล้วหรือหนอ .....Unseen จริงๆ
     
  11. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    กระทู้ที่5,6,7,9 กล่าวไว้ดีครับ
    ศิลครับพระปลูกต้นไม้พรากของเขียวต้องอาบัติ ทำประจำบาปประจำ พระวินัยพระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว แก้ไม่ได้ด้วย...
    เห็นแล้วสลดใจ หากพระมีศิล มีธรรมไม้ต้องกลัวอดหรอกครับคนจะไปหาเอง
    เทพเทวดาจะนำพาไปเองครับ......
    กรมศาสนา มหาเถระควรมาดูแล....อย่างเร่งด่วนครับ
    ใครทำอย่างไรย่อมได้รับผลนั้น เป็นพระไม่รู้วินัย ศิลเยอะก็บาปเยอะครับ........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  12. หมอรวย

    หมอรวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    472
    ค่าพลัง:
    +105
    ไม่ใช่ทางของพระสงฆ์ ไม่ใช่กิจของพระสงฆ์ครับ ถ้าอยาก "ทำมาหากิน" ก็จงสึกออกมาเถอะ
     
  13. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ควรรักษาศีลและพระศาสนาไว้
    ด้วยการลาสิกขาแล้วมาทำมาหากิน
    พร้อมแล้วค่อยกลับมาบวชใหม่
     
  14. poopenๆ

    poopenๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +86
    นานาจิตตังครับ
    คิด+ ก็ถูก คิด- ก็ผิด
    พูดมาก เสียมาก
    พูดน้อย เสียน้อย
    ไม่พูด ไม่เสีย
    นิ่งเสีย โพธิสัตว์.....
     
  15. หมอรวย

    หมอรวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    472
    ค่าพลัง:
    +105
    ภิกษุ คือ ผู้ขอ ไม่ใช่ผู้ทำกินเองครับ
     
  16. anny

    anny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจะเกิดความคิดอกุศลค่ะ

    เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่คะ พระอาจารณ์นั้นเป็นพระปฎิบัติดีปฎิบัติชอบค่ะ ศูนย์ปฎิบัติธรรมวัดเชิงผา เป็นสถานที่ปฎบัติธรรมที่สอนให้คน รักษาศีล ให้ทาน บำเพ็ญภาวนา สอนกรรมฐาน ในแต่ละปีจะจัดการฝึกอบรมเด็กและเยาวชนมากมาก มีการส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา มีการสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมเพื่อให้พระเณรได้มีที่เรียนหนังสือ เดินตามทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาจารณ์เคยบอกว่าทุกวันนี้วัดมีมากมายแต่หลายวัดก็เป็นวัดร้าง ท่านจึงมีความตั้งใจที่จะสร้างศาสนทายาทขึ้นมาเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาต่อไป ในแต่ละปีทางศูนย์ปฎิบัติธรรมจะมีโครงการมากมาย เช่น บวชสามเณรฤดูร้อน เข้าค่ายพุธบุตร โครงการพาลูกจูงหลานเข้าวัด โครงการอบรมและคอร์สปฎิบัติธรรมมากมาย ทั้งหน่วยงานราชการ กลุ่มเด็ก-เยาวชน กลู่มผู้สูงอายุเป็นต้น
     
  17. anny

    anny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +32
    ภาพที่ทุกท่านเห็นนั้น ว่าพระสงฆ์ทำนานั้น จริงแล้วเป็นกิจกรรมกิจกรรมหนึ่งที่พระอาจารย์และคนบ้านเชิงผาทำขึ้น เพื่อส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน ส่งเสริมการมีว่านร่วม ข้าวที่ได้มาแต่ละปีจะนำมาเลี้ยงคนที่มาปฏิบัติธรรมและพระเณรที่พระอาจารญ์รับไว้เป็นลูกศิษย์ 20 กว่ารูป ลำพังบิณฑบาตรอย่างเดียวไม่พอคะ ท่านใดที่คิดอกุศลไปแล้วให้ท่านขอขมาพระรัตนไตรนะคะ เราอย่างไปตัดสินใจว่า ใครดีหรือไม่ดีเพียงเพราะรับข้อมูลมาไม่ครบทุกด้าน ยิ่งท่านเป็นพระปฏิบัติดีด้วยแล้วจะบาปค่ะ พระสงฆ์นั้นถือว่าเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ต่อให่ปฏิบัติไม่ดีอย่างไรเราก็ไม่ควรปรามาสคะ กรรมจะหนักอยู่ที่เรา จะลงนรกไม่รู้ต้วนะคะ ว่าท่านก็เหมือนว่าพระพุทธเจ้าเพราะท่านเป็นลูกของพระพุทธเจ้า หากท่านทำไม่ดี เราควรมองว่าเป็นกรรมของท่านเอง ขอให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม เพราะไม่ใช่หน้าที่เราจะไปตัดสินท่าน เชื่อกฎแห่งกรรมนะคะ ขอให้ท่านผู้อ่านกระทู้นี้เจริญในธรรม ขออนุโมทนาคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2011
  18. bestsu

    bestsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +617
    ไม่ผิดวินัยหรือ???
     
  19. punpraya

    punpraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2006
    โพสต์:
    1,256
    ค่าพลัง:
    +2,228

    ถ้าไม่ช่วยกันสอดส่อง ช่วยกันระแวดระวัง จะกลายเป็นปล่อยปละ ทำให้ศาสนามัวหมอง หรือเปล่าครับ เช่นสมมติถ้าข้างบ้านผมมีพระที่แอบทานเหล้า หรือทานข้าวเย็น เราจะบอกว่า อย่าไปยุ่งกับท่านเหรอ ผมไม่ได้ตัดสินกรณีนี้นะครับ แต่คิดว่าเป็นการดีที่จะมาช่วยกันที่จะ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล ถ้าปล่อยปละไป ศาสนาจะเสื่อมลงไปนะครับ ผมคิดว่าผู้ที่มีหน้าที่ มีความรู้ในพระวินัย อาจเป็น มหาเถรฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาดูแลครับ ว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าหากขาดแคลนข้าว เราชาวพุทธหรือหน่วยงานใดๆควรเข้าไปช่วยเหลือ ครับ

    ผมไม่ได้มาขัดแย้งหรือมาตัดสินกรณีนี้ว่าทำได้ไม่ได้นะครับ คือไม่มีความรู้พระวินัยมากพอ แค่มาออกความเห็นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2011
  20. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    พระวินัย พระสงฆ์ห้ามพรากของเขียว เช่น ตัดหญ้า ดายหญ้า ตัดต้นไม้ ฯลฯ
    ห้ามพระขุดดิน ไถดิน พรวนดิน

    คิดในแง่บวก ท่านคงไม่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง (ถ้าใช้ให้ทำหรือขอให้ทำ น่าจะเข้าข่ายละเมิดพระวินัยเหมือนกัน)

    จากภาพที่เห็น คือ ชาวบ้านทำ แล้ว เณรช่วย

    ศีลของสามเณรมี ๑๐ ข้อ ไม่ได้ห้าม ดังข้างบน (แต่ชาวโลกอาจจะติเตียนอย่างที่กำลังเกิดขึ้น)

    ภิกษุแปลว่าผู้ขอ ขอได้มาสิ่งที่ได้มาถือว่า ได้มาโดยบริสุทธิ์ (ขอจากผู้ปาวารณาตน ยกเว้นบิณฑบาตรอาหารที่เดินไปเรื่อย ๆ ถือว่าไม่ผิดพระวินัย)

    เพื่อไม่ให้กังวลเรื่องการทำมาหากิน (ซึ่งเป็น ๑ ในปริโภชน์ ๑๐) ท่านจึงให้ฉันบิณฑบาตรที่ขอได้มา
    แล้วเอาเวลาส่วนใหญ่ทำความเพียรเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง (โดยไม่ต้องทำไร่ทำนาเอง) โดยมีฆารวาสผู้มีจิตศรัทธา และ พวกอุบกาสก อุบาสิกา เป็นฝ่ายส่งเสบียงและกองกำลังบำรุง ดังนั้นภิกษุผู้ทำความเพียรผู้หวังบรรลุมรรคผลจึงไม่กังวลในปัจจัย ๔ และ และพยายามบริโภคแต่น้อย โดย

    ๑. บิณฑบาตรเป็นวัตร เพื่อขออาหารมาประทังชีพ เพื่อกำจัดและจำกัดความต้องการและกังวลเรื่องอาหาร

    ๒. อยู่โคนไม้ เรือนร้าง เรือนว่าง ป่าช้า ฯลฯ เพื่อกำจัดและจำกัดความต้องการและกังวลเรื่องที่อยู่อาศัย

    ๓. ใช้(ถือเอา)ผ้าเพียง ๓ ผืน คือ สบง จีวร สังฆาฏิ หรือผ้าบังศุกุล เพื่อกำจัดและจำกัดความต้องการและกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม

    ๔. ฉันน้ำมูตรเน่า (น้ำปัสสาวะ) เพื่อกำจัดและจำกัดความต้องการและกังวลเรื่องเภสัชหรือยา

    เห็นไหมว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกแนวทางให้ภิกษุนั้นออกจากความเป็นปุถุชนที่ยังกังวลเรื่องปัจจัย ๔

    ทีนี้ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจ เพื่อไม่ให้พระท่านกังวลในสิ่งเหล่านี้ จึงจัดหาถวยให้ เพื่อให้พระท่านมีเวลาทำความเพียรอย่างเต็มที คือส่งกำลังบำรุงและเสบียงเพื่อให้ท่านได้ทำศึก รบพุ่งกับกิเลสเต็มที่

    แล้วฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายส่งเสบียง คือ ชาวบ้านผู้ศรัทธาได้อะไร?

    ส่วนใหญ่ ร้อยละ ๙๙ หวังบุญ (ทำบุญหวังได้บุญ ได้แน่นอน แต่ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นล่าง ๆ )

    แล้วจะหวังอะไร ผู้ส่งเสบียงหวังว่า เมื่อท่านรบพุ่งกับกิเลสจนชนะขาดแล้ว ให้มาบอกมาสอนวิธีข้าน้อยด้วยเป็นการตอบแทนกัน มาโปรดมาข้าน้อยทั้งหลายด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ชนะมารอย่างท่านบ้าง

    ภิกษุผู้ชนะกิเลสแล้ว แต่ก่อนมาได้ปัจจัย ๔ จากศรัทธาญาติโยม เมื่อชนะแล้ว หนี้สินจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ได้รับไปจากญาติโยมจึงเป็นอันหมดสิ้นกัน ท่านฉันบิณฑบาตรและใช้สอยปัจจัย ๔ อย่างไม่ได้เป็นหนี้ญาติโยม ในทางตรงข้ามผู้ถวายยังได้อานิสงส์มากกว่าการถวายแก่พระเสขะทั่วไป เพราะท่านได้หว่านข้าวลงในนาบุญอันเลิศ

    อีกทางหนึ่ง ภิกษุผู้บริโภคปัจจัย ๔ จากศรัทธาญาติโยมโดยไม่ได้พิจารณาเสียก่อนฉันก่อนใช้ โดยเฉพาะไม่มีศีลสมควร ผู้บริโภคปัจจัย ๔ นั้นไปย่อมเป็นหนี้ นี้เป็นการบริโภคอย่างเป็นหนี้

    การพิจารณา เช่น การขบฉันอาหารที่บิณฑบาตรได้มา โดย พิจารณาเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่ข้าว ไม่ใช่แกง ไม่ใช่หมู ไม่ใช่เห็ด ไม่ใช่เป็ด ไม่ใช่ไก่ ไม่ใช่ผัก ไม่ใช่ผลไม้ ไม่ใช่ขนม คือ พิจารณาสลายเป็นธาตุพื้นฐาน แล้วจึงบริโภค หนี้นี้จึงสิ้นไป เพราะเป็นเพียงธาตุ ๔ เป็นต้น

    / ถ้ากินของชาวบ้านโดยยังคิดเป็นข้าวปลาอาหาร ก็ต้องเป็นหนี้เขาแน่นอน มีมาแล้ว บวชเป็นพระหลายสิบพรรษา ตายไปเป็นควายไถนาใช้หนี้เขา เพราะกินของเขาไปทุกวันไม่เคยพิจารณาก่อนบริโภคเลย

    เขียนเท่านี้พอก่อน
    สาธุทุกท่านที่อ่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...