เมาธรรม....หรือ ไม่เมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สมาชิกที่ถูกแบน, 6 กรกฎาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    การเมาเหล้าก็เหมือนเราที่เมาธรรม เมาประจำสร่างไม่ได้ตายแน่เหวย
    เราต้องเมาเมาด้วยธรรมทุกวันเลย เมาจนเคยเมาประจำทุกค่ำคืน
    แม้ดึกดื่นตื่นมาต้องจัดหนัก ไม่ต้องพักต้องเมาธรรมนะใจเอ๋ย
    ถ้าสร่างเมาธรรมเมื่อใดไม่ได้เลย ทุกข์ที่เคยมันรออยู่นอกคูธรรม
    การเมาธรรมก็เหมือนหญ้าถูกไม้ทับ ถึงไม่จับต้องด้วยกายแต่ใจเห็น
    ถึงเมาธรรมอยู่ประจำทุกเช้าเย็น แต่ใจเห็นว่าทุกข์มีเมื่อสร่างเมา
    ถึงเมาธรรมแต่เราก็ต้องพัก ถึงเมาหนักเพียงไรใจยังเห็น
    เมาแทบตายทุกข์ก็อยู่ดี เหมือนที่เป็น เมาธรรมหนักทุกข์ยิ่งเห็นตัวโตดี
    การดับทุกข์ไม่ไช่หนีหรือหลีกหลบ แต่ต้องพบกันตรงหน้าท้าดวลหนอ
    ท่าดวลทุกข์เห็นเหตุทุกข์หาต้นตอ ปัญหาหนออยู่ที่ตัวเราหรือตัวเขามี
    คนทุกคนก็มีสิทธิ์คิดกันได้ คิดจนตายใครจะห้ามความคิดนี่
    แต่ให้รู้ว่าตัวคิดนั้นมันมี ชั่วหรือดีมีตัวคิดไม่ไช่เรา
    คนไม่ผิดมันผิดที่คิดหรือ อย่ายึดถือความคิดเป็นตัวตนนั่น
    ไอ้ตัวคิดกับตัวตนคนละตัวกัน ที่คิดนั้นมันตัวคิดจิตทำงาน
    แต่ตัวตนคือสติที่หลงผิด หลงตามคิดเติมความคิดให้จิตนั่น
    สติเผลอสติขาดตาบอดพลัน สตินั้นหลงกับจิตก็ผิดเลย
    ผึกสติมีสติไว้ดูจิต ฝึกพิชิตเพื่อกำกับใจตนเองมั่น
    อย่าได้หลงไปกับจิตผิดพลาดพลัน เพราะว่ามันคือส่วนเกินของความจริง
    ตามันเห็นอย่างไรให้มันเห็น อย่าให้เห็นเป็นอย่างอื่นจากที่เห็น
    หูได้ยินอย่างไรให้มันเป็น เท่าที่เห็นที่ได้ยินอย่าจินตนาการ
    เราได้กลิ่นอย่างไรก็อย่างนั้น อย่าสนมันว่าเป็นกลิ่นมาจากไหน
    กินอาหารเข้าปากแตะลิ้นไป ก็จงให้รู้ว่ากินแค่อิ่มพอ
    กายสัมผัสร้อนเย็นแค่รู้สึก อย่าไปนึกคิดการณ์ไกลถึงไหนนั่น
    กายบอกหิวกายบอกอิ่มเข้าใจมัน อย่าให้ใจเรานั้นปรุงเกินจริง
    กายเราแก่กายเราเจ็บกายเราไข้ อย่าให้ใจแก่เจ็บตามอาการหนอ
    ทั้งรูปกายสัมผัสอะไรรับรู้พอ ใจนั้นหนอไม่กำเริบเพราะสติดี

    :cool:

    ไม่เมาหล้าแต่เรายังเมาธรรม เพราะไม่อยากจำทุกข์ทั้งหลายให้อับเฉา
    ตอนเมาเหล้าเมาธรรมเราลืมเรา เหมือนคนเขลาเมาเพื่อลืมใจตนเอง
    ก็หนีได้ชั่วครู่ยามเมื่อเมาหนัก เหมือนได้พักชั่วครู่ยามตามประสา
    ออกจากธรรมพอสร่างเมาความจริงมา ความจริงหนาแม้แต่เมาเอาไม่ลง
    อันความจริงสิ่งนี้คือตัวทุกข์ เป็นตัวปลุกเร้ากายใจให้เศร้าหมอง
    แพ้ก็ทุกข์หนีก็ทุกข์เหมือนกรรมเวรจอง เราจึงต้องสู้สู้สู้ สู้ลูกเดียว
    สู้ความคิดของตัวเองของผู้อื่น ไม่ราบรื่นภายในใจ ใครจะรู้เห็น
    สู้ความคิดของตนเองยังลำเค็ญ ยังแทบตายแทบไม่เป็น รกรุงรัง
    แล้วต้องสู้กับความคิดคนอื่นอีก คิดจะหลีก คิดจะหนี ดีไหมหนอ
    จะเลือกเมาเหล้าเมาธรรมก็พอพอ หายเมาหนอต้องสู้ต่ออยู่เหมือนเดิม
    อันความคิดแก้ไม่ได้คือตัวทุกข์ หมดสนุกถ้าติดค้างสงสัยในใจหนอ
    คิดไม่ได้แก้ไม่ตกน้ำตาคลอ มนุษย์หนอทุกข์เพราะคิดไม่สิ้นคลาย
    คิดของเราคิดคนอื่นอีกหมื่นแสน ถ้าหากแม้นไม่ก่อทุกข์คงดีได้
    คิดแค่พอคิดแค่สุขกันเรื่อยไป ในหัวใจมีแต่รักและเมตตากัน
    ไม่เอาคิดมาเบียดเบียนทำร้ายจิต ไม่คิดผิดก่อปัญหาสงสัยให้ใครนั่น
    คิดให้จบพูดให้จบในประโยคนั้น อย่าให้มันต้องได้คิดวันต่อไป
    ไม่สร้างความสงสัยให้คิดต่อ เข้าใจได้ จบได้พอ ควรเช่นนั้น
    อย่าแต่งเติมเสริมเรื่องอวดแข่งกัน เพราะว่ามันจะไม่จบจะคาใจ
    อันลีลาคือเหตุให้เข้าใจผิด ทำให้คนอื่นคิดละวางแก้ไม่ได้
    ก็คือกรรมที่สร้างมาผูกพันใจ แก้ไม่ได้แก้ไม่จบ ภพ วุ่นวาย
    ...
    :cool:
    ..
    ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมาธรรม เมาประจำย้ำหนักทุกเช้าค่ำ
    เวลาเมาทุกข์เก่าหายลืมเจ็บช้ำ แต่กลับจำทุกข์เก่าได้เมื่อหายเมา
    ...
    การเมาเหล้าก็เหมือนเราที่เมาธรรม เมาประจำเมื่อได้ธรรมเมาเหมือนเหล้า
    เมาให้หนักให้ลืมทุกข์เพื่อบรรเทา พอหายเมาก็ทุกข์ต่ออยู่เช่นเดิม
    ...
    อันเมาธรรมก็เหมือนเราที่เมาเหล้า คล้ายโสกเศร้าจางหายไปเมื่อใจหาย
    แต่พอออกจากธรรมเมื่อคราวใด ใจที่หายกลับทุกข์หนักเมื่อพักเมา
    ...
    การดับทุกข์หรือต้องเมาเพื่อลืมทุกข์ แต่ก็สุขชั่วคราวเหมือนเราฝัน
    พอตื่นฟื้นจากเมาคล้ายฝันนั่น ความทุกข์มันก็เสนอหน้า ..ท้าความจริง

    ...
    เรามีทุกข์ที่บ้าน มีทุกข์จากที่ทำงาน มีทุกข์จากการอยู่ร่วมกับสังคม การหนีเข้าไปปฏิบัติธรรม ก็เหมือนการหนีความจริงทางโลก เพื่อเข้าไปทางธรรม ก็เหมือน การที่คนเมา เขาอยากกินเหล้าเพื่อลืมทุกข์ ของเขานั่นเอง เพียงแค่คนละวิธีการเท่านั้นเอง ดังนั้นการเมาธรรมก็เหมือนกันกับการเมาเหล้า เพราะ ถ้าออกจากวัด เมื่อได ก็ต้องกลับมา เจอปัญหาที่แก้ไม่ตก จากทางบ้าน ครอบครัว ที่ทำงาน สังคมอยู่เหมือนเดิม
    ...
    ปัญหาแก้ที่ใจ แก้ด้วยสติ..ครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2011
  2. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    เชิญทุกท่านเข้ามา บรรยาย กลอน ได้นะครับ

    อารมณ์ ศิลปิน บรรเจิด
     
  3. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    สุนทรแม่ แน่ๆเลย....ระดับนี้...คู่กับสุนทรผู้ครับ...แต่ นั่งต่ำกว่า เพราะพ่อ นั่งสูงกว่าแม่

    แม่ให้เกียรติพ่อ...เป็นครอบครัวที่มีความสุข แน่ๆเลย
     
  4. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เมาสิ่งใด ไม่เท่า เมาในจิต
    เมาหลงผิด คิดไม่ได้ ห่างหายฝัน
    เมาทุกวัน เช้าค่ำ เมาประจำ
    ไม่สร้างสรรค์ สิ่งใด กับความเมา

    หากวันใด หยุดเมา เราได้รู้
    หากวันใด หยุดดู รู้เห็นได้
    หากวันใด หยุดคิด เป็นเช่นไร
    ไม่วันใด วันนั้น พลันสุขจริง

    ทุกวันนี้ มีอยู่ คู่ความคิด
    ทุกวันนี้ มีอยู่ สู่ความฝัน
    ทุกวันนี้ มีอยู่ สู้ทุกวัน
    ทุกๆวัน ฉันสร้างสรรค์ สิ่งดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2011
  5. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    เห็นดีเห็นงามตามเนื้อผ้า ที่ผ่านมาเห็นเป็นกันเช่นนี้หนอ
    เป็นสาวกพุทธองค์ที่ดีพอ ดีจริงหนอ ต้องอยู่ ในบรุษสี่คู่ แปดคน
    เป็น วัจนะ จริงแท้มิแปรเปลี่ยน วันหมุนเวียนเวลาหมุนไม่หยุดนั่น
    ถ้าเป็นพระจริงแท้ตามพุทธกาลกัน มันต้องไม่เป็นเช่นเมาธรรม
    สอนให้คนเมาในบุญเมาในลาภ ให้คนกราบเพราะชื่อเสีย (เสียง) ของตนนั่น
    ล่อด้วยบุญด้วยสวรรค์นานาอัน เพื่อฉันนั้นได้อยู่กินอย่างสบาย
    จนลืมคำสั่งสอนที่กำหนด ต้องคอย ปด โกหกใจ ทุกวันนั่น
    ศีลก็ขาด ทำไม่ได้ ขาดทุกวัน จับเงินนั้น ก็ผิดแล้ว จับทำไม
    ไม่อยู่ป่า อ้างด้วยว่า มีแต่ทุกข์ ไม่อยู่สุขสบายเหมือน ในเมืองนี่
    ถ้าอยู่ป่า ก็ไม่ได้ลาภดีดี คิดอย่างนี้ นรกแน่ เปิดประตูรอ
    เป็นสาวกเองทำผิดเองไม่เกรงฟ้า ทนก้มหน้าบิณฑบาตรไป ด้วยใจหมาย
    อยู่สุขสำราญเอาผ้าเหลืองกำบังกาย หากินได้สบายทั้งชาติเอย

    นี่แหล่ะหนอ คือกรรมหนัก ประจักษ์เถิด ท่านละเมิดสัมมาทิฐิตนหลุดพ้นหาย
    อยู่แต่กับมิจฉาทิฐิจนวันตาย......ท่านจะได้สู่นรกภูมิ ...นั้นแน่นอน

    ...
    ขอฝากกลอนด้วยนะครับ สำหรับ ผู้ที่อยู่ด้วย มิจฉาทิฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2011
  6. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อันคนเรา เกิดมา ก็เท่านี้
    อันคนเรา ที่มี อยู่แค่ไหน
    อันคนเรา อยากมาก ลำบากใจ
    หากคนใด ไม่หยุดอยาก ลำบากนาน

    ไม่หยุดอยาก ลำบาก ทั่วทุกทิศ
    ไม่หยุดอยาก ลำบาก ทั่วทุกหน
    ไม่หยุดอยาก ลำบาก กันทุกคน
    หมั่นฝึกฝน หยุดความอยาก ให้ตัวเอง

    สุขวันนี้ จะมีอยู่ คู่เราบ้าง
    สุขวันนี้ จะมีทาง ที่ห่างหาย
    สุขวันนี้ แม้มีอยู่ สุขที่ใจ
    หากว่าใคร ต้องการสุข หยุดทุกข์เอา

    อารมณ์ศิลปินน้อยๆ ของวันนี้ค่ะ.........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2011
  7. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    เกลียดเข้ากระดูกดำเลยครับ พวกที่ไม่มีชีวิตอยู่ด้วยสัมมาทิฐิ
    .....
    เมียเขาก็คือเมียเขา ไม่ไช่เมียเราได้แต่แลมอง
    เมียเราตีปีก พับ พับ พับ ..เมียเราตีปีก พับ พับ พับ....ส่วนเรา คอพับ..ตายแน่กรู ตายแน่กรู..
    ...
    ร้องทำนอง เพลง นกเขา นะครับ อิอิ
    ...
    ร้องเพื่อความสนุกสนาน น่ะครับ อย่าซีเครียสครับ...แบบว่า ร้องไปสอนตนเองไปน่ะครับ ไม่ได้ สอนใคร..อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  8. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    ถ้าผู้ใดมีสัมมาทิฐิแล้วไซร้ ถ้าผู้ใดอยู่บนเส้นทางแห่งสัมมาทิฐิแล้วไซร้
    ...
    อานุภาพของ สัมมาทิฐิ จะ ปกป้องคุ้มครองท่าน ...ให้พ้นจาก พวกมิจฉาทิฐิ เหล่า อมนุษย์ มาร ภูติ ผี ปีศาจ เวตาล มนุษย์ต่างดาว รวมทั้ง เทพที่มีมิจฉาทิฐิทั้งหลาย รวมถึง ไสยศาสตร์ที่ มีต้นกำเนิดมาจากมิจฉาทิฐิ ทั้งหลาย จะไม่สามารถ เข้ามา ถึง ตัวเรา ผู้อยู่ในสัมมาทิฐิได้เลย

    นี่คืออานุภาพของ สัมมาทิฐิ....ที่เป็นความจริง...ในโลก นี้...จักรวาลนี้ ป้องกันท่านได้ จาก อมนุษย์ ทุกภพภูมิ
    ..
    ท่านผู้มีสัมมาทิฐิทั้งหลาย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด แล้วเราค่อยพบกัน...วะฮ่าฮ่า..วะอาอา
     
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อันคำว่า สัมมา หาจากไหน
    หากเราไม่ มีสัมมา หาให้ได้
    สิ้นสุดที่ สัมมา นำพาใจ
    รู้และเห็น ให้ได้ เรื่องสัมมา

    หากเรามี สัมมา พาใจสุข
    ปลดความทุกข์ ห่างหาย คล้ายฝั่งฝัน
    เมื่อเราได้ สัมมา นำพาพลัน
    จิตเรานั้น สัมมา ทุกนาที

    สุขหรือทุกข์ มีสัมมา นำพาสุข
    ให้ปลดทุกข์ ห่างหาย สลายฝัน
    หากเรารู้ เห็นได้ สัมมาพลัน
    จิตเรานั้น สุขสันต์ นิรันดร......
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ธรรมชาติคือความจริง
    ความจริงคือธรรมชาติ
    หากไม่เข้าใจในธรรมชาติ
    ก็ไม่เข้าใจถึงความจริงในตัวเอง

    เกิดขึ้นที่เรา เห็น ไม่ต้องสนใจ (ช่างมัน)
     
  11. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    เมาหรือไม่ ใจเราเป็นผู้บอก
    เอาไม่ออกความทุกข์แน่นนักหนา
    ถึงเมาเหล้าหรือเมาธรรมตลอดมา
    ความทุกข์หนาหนีไม่พ้นลืมไม่ลง
     
  12. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    แม้แต่เรือก็ต้องออกเมื่อถึงฝั่ง หรือจะนั่งเสียดายเรือไปถึงไหน
    เมื่อถึงฝั่งถึงที่หมายสมดังใจ ก็ควรได้สละเรือ เพื่อพ้นเส้นทาง
    อันว่าธรรม มะนั้น ท่านเคยกล่าว ว่าเรื่องราวก็เหมือนเรือพาข้ามฝั่ง
    เมื่อเดินทางถึงจุดหมายได้ดั่งหวัง แม้กระทั่ง ธรรมะ ต้องทิ้งไป
    ธรรมนั้นหนาท่านเปรียบคือกระจกส่อง สองให้มอง ให้เห็น ความจริงได้
    ความจริงนั้นก็คือเรามนุษย์ไง กายกับใจรูปกับนามตามความจริง
    การเกิดแก่ เจ็บตาย ของมนุษย์ คือที่สุด ของความจริง รับรู้ได้
    รู้ในปัจจุบัน กับการเคลื่อน เติบโตไป เจริญวัย ไม่คงที่ อยู่ที่เดิม
    ความจริงคือ เราเกิดแล้ว และโตอยู่ การตั้งอยู่ คือการโต นี่แหล่ะเอ๋ย
    คือการแก่ มีอายุ หยุดไม่ได้เลย คือเฉลย ของความจริง ของทุกคน

    ออกจากธรรม ไม่ได้ ใครจะช่วย มันต้องช่วย ตัวเอง นั่นแหล่ะหนา
    ออกจากเรือ ออกจากธรรม ที่นั่งมา นั่นแหล่ะหนา ต้องรู้ตน ทุกคนไป
    ไม่มีใคร สั่งคุณได้ เมื่อถึงฝั่ง คุณจะนั่ง อยู่บนเรือ หรือลุกได้
    หากพอใจ อยู่ในธรรม ตลอดไป ใครจะช่วยได้ ถ้าตัวคุณ ไม่รู้เอง
    เมื่อถึงฝั่ง ถึงที่หมาย คุณต้องรู้ อย่าได้อยู่ แต่ในธรรม ในเรือหนอ
    เพราะความจริง รอสู้อยู่ ตั้งตารอ คนจริงหนอ ออกจากธรรม รับความจริง
    จริงที่ว่า ก็คือ ชีวิตนี้ ดีไม่ดี ต้องสู้ทน มันให้ได้
    ต้องยอมรับ ความจริง สู้ต่อไป แพ้ได้ไง เป็นมนุษย์ สุดประเสริฐเอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  13. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    สมัยพุทธกาล
    พุทธองค์ไม่ได้ สอนคนด้วยตำรา ไม่ได้สอนคนทางตำรา ไม่ได้เขียนตำราขึ้นมาสอนคน ในยุคนั้นเลย เพราะการแสดงธรรมแต่ละครั้งนั้น เป็นการแสดง ต่อปัจจุบันกาล ตามกาล ของ คนที่ฟังธรรม ดังนั้น การแสดงธรรมเทศนา แต่ละครั้ง จึงขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัย ของผู้ฟังธรรม

    1.พระราชามาฟังธรรม ก็ สอนธรรมของการเป็นพระราชา
    2.หัวหน้ามาฟังธรรม ก็สอนธรรมของการเป้นหัวหน้า
    3.ลูกน้องมาฟังธรรม ก็ สอนธรรมของการเป็นลูกน้อง
    4.พระสงฆ์มาฟังธรรม ก็ สอนธรรมสำหรับพระสงฆ์
    5.อุบาสกมาฟังธรรม ก็ สอนธรรม สำหรับ อุบาสก
    6.อุบาสิกามาฟังธรรม ก็สอนธรรมสำหรับ อุบาสิกา
    7.สามีของครอบครัว มาฟังธรรม ก็ สอนธรรมสำหรับสามีหัวหน้าครอบครัว
    8.ภรรยาของครอบครัวมาฟังธรรม ก็สอนธรรมสำหรับ ภรรยาของครอบครัว
    9.เทวดามาฟังธรรม ก็ สอนธรรม สำหรับ เทวดาชั้น นั้นๆ เหมาะสมกับปัญญา ของแต่ละชั้น

    ดังนั้น บัว 4 เหล่า ก็ จะแยก ปัญญา ออกมา เป็นเหล่าๆ

    แต่ถ้า หลายชนชั้นมารวมกัน ก็จะสอนธรรม เรื่องการรัก ความสามัคคี การอยู่รวมกันของหมู่คณะ แทน
    ...
    ดังนั้น พระไตรปิฏก เล่ม สมัย พุทธกาล ก็เลยเหมาะกับ คนสมัย ขี่ม้า ยิงธนู...ไม่เหมาะกับคนสมัยนี้ ที่ ขี่เครื่องบิน ยิงจรวดกัน
    ...
    ดังนั้นการแก้ปัญหา และการให้ธรรม เพื่อการดำเนินชีวิต ของคนปั๗๗บัน เลยต้อง เข้ากับ ความคิด และเทคโนโลยี ของ คนยุคปัจจุบัน ให้ได้

    ไม่ไช่ ...พากันยึดติดกับสมมุติของปริยัติ และ ตัวหนังสือ ที่ไม่ได้ อารมณ์ และ ไม่ไช่ความจริง ของความคิดของคนในยุคปัจจุบัน
     
  14. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    เพราะจะเห็นได้ว่า พุทธบริษัท ทั้งหลาย ในปัจจุบัน
    ล้วนพากันติดอยู่กับ สมมุติเดิมๆ สมมุติเก่าๆ......ชื่อเรียกเก่าๆ ทั้งหลาย ที่ ไม่มีวันเข้าใจ

    อิอิ

    หัวเราะไงครับ....อย่าง กามคุณ5 นิวรณ์ 5 อุทานทั้งหลาย อารมณ์ทั้งหลาย ทั้งดีและไม่ดี ความอยากทั้งหลาย ตัณหาทั้งหลาย กิเลสทั้งหลาย จิตทั้งหลาย จิตเจตสิกทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย ธาตุทั้งหลาย .....พากัน เรียกชื่อและสมมุติชื่อให้สิ่งเหล่านี้ จน ละเอียดถี่ยิบ....ทั้งๆ ที่ความจริง แล้ว สิ่งเหล่านี้ มันคือ ความคิดของใจ ความคิดที่ไม่ปกติ เท่านั้น

    ...
    กาย กับ ใจ

    กายรับรู้มา 5 ทาง....ใจปรุง

    ความจริงคือ ...มีเพียงสิ่งที่ร่างกาย รับรู้ มา 5 ทางเท่านั้น....ใจไม่คิด คือ ใจปกติ แต่ถ้าใจคิดปรุงเมื่อไหร่....ไม่ปกติ ทันที...

    แต่ สติ มีเอาไว้ ให้รู้ทันใจว่า มันคิดหรือไม่คิด มันคิดอะไรอยู่เท่านั้นเอง

    สิ่งที่สมควรคิดก็คือ สิ่งที่มีอยู่ในโลก สมมุติที่มีอยู่ในโลกเท่านั้น ..เพราะ อาจยังเจอคำตอบ ได้...แต่สิ่งที่ไม่มีในโลก ถึงจะมองเห็น เช่น ดาว ดวงจันทร์ พระอาทิตย์ ก็ไม่ควรเอามาคิดให้เสียเวลาเปล่า ธรรมนอกโลก ธรรมเหนือโลก โลกุตระจิต โลกุตระธรรม..สิ่งเหล่านี้ไม่ควรคิด เพราะ ว่า มันไม่มีในโลก และ มันตอบสนองความคิด ตอบสนองความต้องการ ในความเป็นมนุษย์ ในปัจจุบันไม่ได้

    ดังนั้นสิ่งที่ควรคิดก็คือ คิดอยู่แต่ในกรอบของโลก แต่ ที่สมควรกว่านั้นก็คือ คิดแล้ว สบายกาย สบายใจ กับตนเองและผู้อื่น ยิ่งดี...คิดเฉพาะในสิ่งที่ตนเอง มี ....ก็คือ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรู้ กายสัมผัสได้เท่านั้น....นี่คือ ความจริง ที่สุด

    ไม่ควร คิดในสิ่งที่ตา มองไม่เห็น ..ตาเห็นสิ่งใด ควรคิด แค่นั้นพอ
    ไม่ควรคิดในสิ่งที่หู ไม่ได้ยิน...หูได้ยินสิ่งใด ควรคิดแค่นั้นพอ
    ไม่ควรคิดในสิ่งที่ จมูกไม่ได้กลิ่น จมูกได้กลิ่นแค่ไหน ควรคิดคิดแค่นั้น
    ไม่ควรคิดในสิ่งที่กายไม่สัมผัส ไม่รับรู้ ...คิดเอาแค่ที่สัมผัสได้พอ

    และสิ่งใดนำมาซึ่งความสบายกายสบายใจ ...นั่นแหล่ะ สมควรที่ตาจะเห็น นั่นแหล่ะสมควรที่หูจะได้ยิน นั่นแหล่ะสมควรที่จะดม นั่นแหล่ะสมควรที่จะกิน นั่นแหล่ะสมควรที่จะสัมผัส

    ใจก็สมควร คิด อะไรก็ได้ เฉพาะเรื่อง ที่มัน สบายกาย สบายใจ เท่านั้นพอ
     
  15. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    กรุณา หุบปาก ของตัวเองได้มั้ย อย่าพยายาม เสือกกับเรื่องของคนอื่นได้มั้ย
    ..
    หลังจากกราบเมียที่บ้านได้แล้ว...ที่เหลือก็กราบ หมาที่หน้าบ้านให้ได้ก็แล้วกัน
    ..มั้ย

    ไม่ต้อง ยุ่งกับค่าโทรศัพท์ของฉัน และ ของคนอื่น ...ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญา เอาชนะความคิด จิตใจ ตนเองได้...ขอร้อง เลยจริงๆ

    ไม่ต้อง ส่งข้อความ เอาความคิดของตนเอง มาเสนอหน้าให้ คนอื่นรู้หรอก ตราบใดที่ ยังทำตัวบัดซบ อยู่แบบนี้ อะไรดี อะไรชั่ว แกยังไม่มีหน้า เข้าใจมันได้เลย

    แส่ดีนัก เรื่องของคนอื่น...

    แกมันมีแต่พลังชั่วร้าย ของจิตใจด้านมืดของตนเอง....แค่ โอนค่าโทรมา ก็แสดงถึงสันดานของคนเห็นแก่ตัว แล้ว

    คราวก่อนแกว่า ยังไง แกบอกว่า ตัดขาดจากกันแล้ว ไม่ไช่รึ.....ฉันดีใจแทบตาย

    แล้วแกยังหน้าด้าน มา ทำอะไรแถวนี้อีก....พอตัวเองจะตาย ถึงคิดถึงคนอื่น...แต่พอตัวเองมีความสุข มัน ไม่เห็น คิดถึงใครเลย

    กตัญญู แต่ ความชั่ว จริงๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  16. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    จะบอกแกให้ เอาบุญ

    ถ้าหากตราบใดที่แก ยังเอาชนะ ความคิด และ อารมณ์ ของตนเองไม่ได้ อย่ามาเสนอหน้า สอนคนอีก.....กรรมมันจะเข้าตัว

    ถ้าตราบใดที่ อยู่เหนือ อารมร์ไม่ได้ ...ขอร้อง แม้แต่ ตัวฉัน ครอบครัวฉัน ตัวอาจารย์ ครอบครัวอาจารย์ ตัวคนอื่น ครอบครัว คนอื่น ก็ อย่าเสือก ไปคิดถึงเลย

    ..
    ถ้ายังไม่สามารถเอาชนะ ความคิดชั่วๆ ของตนเองได้...ก็ กลับไป หาเชือกมาสักเส้น ..ตัดสิน ชะตาตัวเอง เสียเถิด

    คนอื่น เบื่อความ ระยำ ของแก เต็มทนแล้ว....ท่านผู้ชั่วช้าสามาน สาระเลวเอ๋ย

    เก็บตัวเสียเถอะ จนกว่าจะเอาชนะ ความคิด อารมณ์ ใจ ของตนเองได้

    ค่อยเสนอหน้าออกมา
     
  17. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    ไช่ครับ เห็นด้วยอย่างหยิ่ง

    มืออาชีพ ที่แท้จริง ไข่ต้องชั่งกิโลขาย ใครๆเขาก็ทำกัน

    ต้องมืออาชีพเท่านั้นถึงจะทำได้
     
  18. พระศิวะเทพ

    พระศิวะเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +4
    อิอิ นึกว่า มันจะจบง่ายๆ แบบนี้หรือ...หลานผู้กตัญญู นำมาแต่ความชั่วร้าย

    แกคิดถึงอาจารย์
    แม่อาจารย์ป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด
    เพื่อนอาจารย์ต้อง อุบัติเหตุทางรถยนต์

    แกคิดถึงฉัน
    เมียและลูกฉันป่วย
    ฉันเองต้อง รับ เวทนาจาก แก...สุดจะบรรยาย

    แล้วแกยังคิดว่า แกดีพอ แล้วหรือ....ธรรมะพุทธวงษ์....เอิ๊ก ๆๆๆ

    นี่ไอ้หลาน ลุงจะบอก...ลุงขอบอกว่า

    ลุงหน่ะ ลุงขอสัญญาว่า ลุงจะไม่ทำชั่วกว่านี้อีกแล้ว นั่นเพราะ ความชั่วที่สุด ลุงได้เคยทำมาแล้ว ไม่มีใครสามารถทำชั่วได้มากกว่าลุง อีก ..นอกจากหลาน เท่านั้น...ถ้าจะให้ลุงสอนนะ เรื่องความชั่วหน่ะ...วะฮ่าฮ่า

    และ เรื่องของหลานกับพ่อ...ลุงอยากบอกหลานว่า....จบซะพันธะสัญญาเก่าเรื่องนี้..ไม่มีอีกแล้ว เรื่อง ลูกกับพ่อ และ หลานกับลุง

    จบลงที่ชาตินี้ เป็น เพื่อน เป็นพี่..กัน ในชาตินี้กันดีกว่า...ลืมอดีตซะนะ

    แล้วจะเห็นความเป็นมนุษย์ ของตัวเอง ..แล้วจะเข้าใจปัจจุบันในความเป็นมนุษย์ ของตัวเอง

    เพราะ พ่อของหลาน แกก็ให้ทุกอย่าง กับหลานอย่างที่หลานต้องการแล้ว ไอ้สิ่งที่มีค่าที่สุด น่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  19. อหิงสะกะ

    อหิงสะกะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +82
    โอ้ดราม่า กันแล้ว สินะครับ
    ด่ากันยับ สนุกยิ่ง เป็นหนักหนา
    มีการใช้ คำสาป แล...มนตรา
    สุดผวา ท่านช่างเมพ เทพจริงๆ

    _____________จบ กลอนบ้านแตกแปดทิศทาง___________________
     
  20. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เมาได้ก็ หายเมา ได้เช่นกัน
    ตัวพลิกผัน หาใช่ วิธีไหน
    แค่เรารู้ ตัวเอง เป็นเช่นไร
    รู้และเห็น ให้ได้ ตามความจริง

    ควรยอมรับ สรรพสิ่ง ที่คงอยู่
    แล้วจะรู้ ว่าเมา ขนาดไหน
    หากคุณไม่ ยอมรับ ความเป็นไป
    คุณจะเห็น ได้ไง ว่าคุณเมา

    อันว่าเมา สิ่งไหน ใช่ทั้งนั้น
    หากไม่หัน หน้ามา หาให้เห็น
    หากไม่ดู ให้รู้ และให้เป็น
    จะไร้ซึ่ง การเห็น ตัวเองเมา
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...