หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และพระคณาจารย์สายต่างๆ (ข้อมูลวัตถุมงคล หน้า 1-8)....

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ทุเรียนทอด, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. กวาวชไม

    กวาวชไม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,336
    ค่าพลัง:
    +14,779
    กราบหลวงปู่และสวัสดีท่านทุเรียนทอดครับ ดึกๆมีอะไรแจกหรือเปล่าครับเนี่ย..พอดีไปลงชื่อไว้กระทู้ข้างๆเห็นมีแจกพระนึกว่าเข้ามาดึกๆกระทู้นี้จะมีแจกบ้าง แหะๆๆ ล้อเล่งงงง
     
  2. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    สาธุครับป๋าบัติ แน่นอน หลวงปู่ท่านเมตตาทุกคนครับ เพียงแต่เรายังไม่เห็นองค์ท่าน แต่ท่านจะแสดงให้เราเห็นก็ต่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้นครับ สาธุ



    .
     
  3. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981

    สวัสดีครับ ท่านกวาวชไม
    ของแจกมีครับ แจกธรรมะหลวงปู่ แหะๆ :cool:
    ของแจกนี่ เดี๋ยวคงต้องรอพระอาจารย์ท่านนึงกลับมาจากต่างประเทศก่อน แล้วว่าจะขออนุญาติท่าน เอาของที่ท่านพระอาจารย์เคยสร้างถวายบูชาคุณหลวงปู่ไว้มาแจกเพื่อเผยแพร่องค์ท่านบ้าง

    ก็มีหลายท่านทั้ง PM และโทรมาถามผมว่า ที่วัดหลวงปู่มีวัตถุมงคลอะไรให้เช่าบ้างไหม ผมก็ตอบไปว่า ของหลวงปู่ออกจากวัดไม่เคยมีให้เช่า มีแต่แจกฟรีอย่างเดียว อย่างมากก็เปิดให้จองกันในราคาต้นทุนเพื่อสร้างกันมาไว้ใช้จริงๆเท่านั้นครับ ไม่มีการเรี่ยไร บอกบุญ หรือหาเงินเข้าวัดเลย ถ้ามีก็มีผู้มีจิตศรัทธานำมาทอดถวายเองครับ



    .
     
  4. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,566
    ค่าพลัง:
    +30,871
    ท่านทุเรียนทอดวันนั้นไปวัดห้วงได้เสือกลับบ้านหรือป่าวครับ ตอนนั้นผมไปวันอาทิตย์ท่านอาจารย์ไม่อยู่ ตู้วัตถุมงคลก็ปิดครับ เลยพาพี่เค้าไปไม่ได้อะไรกลับ กทม.เลยครับ
     
  5. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981
    ชี้ตำหนิเหรียญพระอธิการพิศดู ธัมมะจารี รุ่นแรก

    [​IMG] [​IMG]

    1. ของแท้ การเจาะรูใส่ห่วงจะเจาะเรียบร้อย และขนาดรูกำลังพอเหมาะ
    ส่วนของปลอม จะเจาะไม่เรียบร้อย และมีขนาดรูที่เล็กกว่า

    2.ของแท้ เส้นริ้วจีวรที่หัวเข่าบริเวณใกล้กับปลายเท้า จะเป็นเส้น 3 เส้นชัดเจน
    ส่วนของปลอม เส้นเหล่านี้จะไม่ชัด

    3.ของแท้ เส้นรอยย่นของสังฆาฏิแนวขวาง จะเห็นได้ชัดเจนกว่ามาก
    ส่วนของปลอม เห็นได้ไม่ชัด

    4.ของแท้ ปลายนิ้วมือข้างซ้ายขององค์หลวงปู่ จะเรียวเล็ก และแหลมชัดเจน
    ส่วนของปลอม จะทู่ และเห็นไม่ชัดเจน

    5.ของแท้ มีจุดไข่ปลาตรงบริเวณปลายสังฆาฏิด้านขวามือเรา เห็นเป็นจุดชัดเจนมาก
    ส่วนของปลอม ก็มีแต่ออกจะมนๆ ไม่ชัดเจน

    6.ของแท้ หัวเข่าซ้ายขององค์หลวงปู่ จะออกเพรียว ไม่อ้วนป่อง
    ส่วนของปลอม จะอ้วนป่อง


    [​IMG] [​IMG]

    1.ของแท้ การเจาะรูใส่ห่วงจะเจาะเรียบร้อย และขนาดรูกำลังพอเหมาะ
    ส่วนของปลอม จะเจาะไม่เรียบร้อย และมีขนาดรูที่เล็กกว่า

    2.ของแท้ ขอบเหรียญด้านหลัง จะมีรอยพรุนทั่วไป
    ส่วนของปลอม จะเรียบๆ แทบไม่มีรอยพรุน

    3.ของแท้ การตัดขอบเหรียญด้านซ้าย จะมีขอบปลิ้นตรงจุดนี้ทุกเหรียญ
    ส่วนของปลอมจะไม่มี

    4.ของแท้ พื้นเหรียญด้านหลังจะเรียบตึง ไม่มีรอยกลาก
    ส่วนของปลอม พื้นเหรียญด้านหลังจะมีรอยกลากทั่วทั้งเหรียญ

    5.ของแท้ เส้นยันต์น้ำเต้าระเรียบร้อย ไม่มีแตกปริ
    ส่วนของปลอม เส้นยันต์จะแบนล้ม มีรอยแตกปริ ไม่เรียบร้อยเลย

    6.ของแท้ สระ อุ (ใต้ ศ) ของคำว่า ศุกร์ หัวสระ อุ จะกลม
    ส่วนของปลอม สระ อุ จะไม่เป็นหัวกลม และไม่ชัด

    7.ของแท้ หางเลข จะงอเพียงเล็กน้อย
    ส่วนของปลอม หางเลข จะงอมากกว่า

    สรุปให้ดูองค์ประกอบโดยรวม ของแท้รายละเอียดทุกอย่างต้องให้คมชัดไว้ก่อน
    ทั้งนี้ให้ดูรูปประกอบกันบ่อยๆ จะได้เข้าใจถึงหลักการดูเบื้องต้น
    เพราะของปลอมเขาจะเอาเหรียญแท้ไปถอดพิมพ์อีกที รายละเอียดจึงไม่ชัดเจนครับ



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2012
  6. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981

    ก็กะว่าจะไปเอาเสือเหมือนกันครับป๋าบัติ เจอหลวงพ่อ แต่คนคุมตู้ไม่อยู่ แหม..เสียดายจัง เฮ้อ..เสียดายจัง 55

    เอาอย่างนี้ครับป๋าบัติ และทุกๆท่านที่อยากจะลองไปกราบนมัสการ หลวงพ่อพจน์ วัดห้วงพัฒนา อ.เขาสมิง จ.ตราด เอาเบอร์ติดต่อก่อนไปกราบท่านก็ได้ครับ


    เบอร์ของพระอาจารย์นะ (หลวงพี่นะ) 089-8163206

    เบอร์ของผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลของทางวัด (ป้าแอ๊ว) 086-0091070

    หลวงพ่อพจน์ วัดห้วงพัฒนา เป็นพระวิปัสนาจารย์กรรมฐานสายป่า ท่านมุ่งเน้นแต่เรื่องของธรรมปฏิบัติ แต่เขาว่าท่านเก่งเรื่องการเสกเสือ(สมิง)มาก ท่านสามารถเสกใด้ขลังมากราวกับมีชีวิต มีคนเคยบอกว่า..วิญญาณเจ้าพ่อเสือสมิงมาหาหลวงพ่อในนิมิตร บอกว่าหลวงพ่อพจน์เป็นพระดีมาก เจ้าพ่อเสือสมิงอยากสร้างบารมีกับหลวงพ่อด้วย ขอให้ท่านสร้างวัตถุมงคลรูปเสือแล้วเจ้าพ่อเสือสมิงจะมาช่วยทำให้ด้วย เสือของท่านมีทั้งขนาดบูชา และขนาดพกติดตัว ใช้เฝ้าบ้าน เฝ้ารถได้ และมีประสบการณ์สูง ท่านใดไปหาไม่ควรพลาดครับ พระดีศรีเมืองตราด อีกองค์หนึ่งที่อยากแนะนำให้ทุกท่านได้สัมผัสครับ



    .



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2012
  7. ekkorn9

    ekkorn9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    795
    ค่าพลัง:
    +5,592
    ขอยืนยันด้วยครับ เคยพาเพื่อนไปกราบพระอาจารย์สุพจน์ เช่าเสือรุ่นแรกท่านมา นานหลายปีมาก เพื่อนเลี่ยมทองติดตัวไว้ใช้ เคยขอนำมาส่องกล้องดู มีขนขึ้นที่ตัวเสือด้วยครับ (โปรดใช้วิจารณญาณ) ท่านรู้วาระจิตเวลาเราไปกราบท่านด้วยครับ
     
  8. ธมฺมสิทโธ

    ธมฺมสิทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +714
    พญานาคที่ วัดเทพธารทอง

    ทุกคนที่เคยไปวัดหลวงปู่เคยสงสัยว่าไหมว่า ทำไมวัดถึงทาสีเขียวทั้งหมด แม้แต่เสื้อที่ลูกศิษย์ชอบสวมใส่ ส่วนมากเป็นสีเขียว แทบจะกล่าวได้ว่า สีเขียวเป็นสีหรือสัญลักษณ์ ประจำวัดเทพธารทองไปแล้ว
    ได้ฟังจาก ลูกศิษย์หลวงปู่ว่า วัดเรา มีเทวดา และพญานาค เฝ้ารักษาอยู่

    เรื่องนี้ได้ฟังมาจากพระรูปหนึ่ง อยู่แถวๆ จังหวัดสมุทรปราการ วัดนี้ไปมาหาสู่กับวัดเทพธารทองเป็นประจำ และนับถือองค์หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี เหมือนพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ ท่านได้เล่าให้ผมฟัง เลยขอนำมาถ่ายทอดต่อ
    วันหนึ่งหลวงพี่รูปนี้ได้ไปเยื่ยมหลวงปู่ และได้ค้างจำวัดที่วัดเทพธารทองด้วย ตอนเย็นๆ นึกอยากสรงน้ำในลำธาร เห็นว่าน้ำใสเย็น ก็ขออนุญาตหลวงปู่ หลวงปู่ก็อนุญาต และบอกว่า "อย่าสรงน้ำนาน" คำว่านานของหลวงปู่ เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พระรูปนี้ ก็ไปสรงน้ำ ความที่ได้สัมผัสน้ำทั้งเย็นทั้งใส ทำให้เพลินไปหน่อย กินเวลา 2 ชั่วโมง ทันใดนั้น พระท่านได้ยินบริเวณ เหนือน้ำขึ้นไป เสียงก้อนหินใหญ่ๆๆ ดัง ครืนๆ ๆ กึงๆๆ เป็นเสียงก้อนหินเคลื่อนกระทบกัน แลัวน้ำในลำธาร ค่อยๆๆ แห้ง หยุดไหล ท่านก็ขึ้นจากน้ำ เมื่อห่มผ้าเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย หลวงปู่พูดขึ้นมาก่อนว่า "เป็นไง เล่นน้ำเพลินไปหน่อย เขาปิดน้ำแล้ว" เพราะกลิ่นมนุษย์ เทพเทวดา หรือ พญานาค เขาไม่ชอบ
    เขาบอกว่ากลิ่นเหม็น มนุษย์ชอบทานเนื้อสัตว์" พระท่านก็ งง ๆ ที่เจอหลวงปู่ทัก จริงๆแล้วมารู้ตอนหลังว่า พญานาคเขาปิดทางน้ำ
    และประมาณเวลา 04.00 น. พระท่านก็ได้ยิน ดัง ครืนๆ ๆ กึงๆๆ เหมือนเดิม ตอนเช้ามืด ได้เดินไปดูที่ลำธาร พบว่าน้ำในลำธาร ได้ไหลเป็นปกติ
    คืนนั้นพระท่านได้ยินเสียงสวดมนต์ของหลวงปู่ ตลอด และคิดว่าหลวงปู่ได้สื่อสาร จนเขายอมเปิดทางน้ำให้เหมือนเดิม ใครที่เคยไปและอยากอาบน้ำในลำธาร ต้องบอกหลวงปู่ก่อน ท่านจะอนุญาตได้ ไม่เกิน 1 ชั้วโมง
    และถือว่า ลำธารนี้ ศักดิ์สิทธิ์ ต้นน้ำมาจาก เขาคิชฌกูฏ

    สุดท้ายขอเอาเรื่อง พญานาคมีจริงหรือ มาเพิ่มเติม ให้สมาชิกและคนทั่วไปได้อ่านประกอบ


    พญานาคมีจริงหรือ?

    หลาย ๆ คนอาจสงสัยและใคร่รู้ว่าพญานาคมีอยู่จริงหรือไม่ เราเองก็เคยสงสัยเช่นกัน จึงได้เริ่มศึกษาหาอ่านเรื่องราวของพญานาค จากที่ต่าง ๆ มากมาย เพราะโดยส่วนตัวชอบอ่านเรื่องราวลึกลับแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งเราก็ได้ข้อมูลที่เราอยากรู้มากพอสมควรที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าพญานาคนั้นมีจริง แต่ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่การใช้วิจารณญาณของแต่ละคน



    การกำเนิดของพญานาค

    การเกิดของพญานาคมีหลายลักษณะ โดยเฉพาะการเกิดที่ปรากฏ


    ให้ศึกษาค้นคว้าตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีด้วยกัน 4 ประเภทคือ<O:p</O:p



    1 )เกิดในฟองไข่
    2 )เกิดในรก ในครรภ์ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
    3) เกิดในสิ่งที่หมักหมมในเปลือกในตม ในที่ชื้นแฉะหรือด้วยเหงื่อไคลโดยไม่อาศัยฟองไข่ และครรภ์ของมารดา คือเกิดนอกครรภ์ เช่น หนอนหรือเชื้อแบคทีเรีย
    4 )ผุดเกิดสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เช่น พรหม เทวดา เปรต หรือสัตว์นรกทั้งปวง
    พญานาค มีทั้งที่เกิดเป็นโอปปาติกะ คือ เป็นกายทิพย์อยู่อีกมิติหนึ่งคล้ายเทวดาหรืออาจเกิดจากฟองไข่ มีวิถีชีวิตเช่นงู นาครักสงบ แม้เกิดในฟองไข่ก็เกิดในถ้ำลำคลองที่ลี้ลับไกลคน

    ประเภทของพญานาค

    นาคแบ่งลำดับชั้นตามหน้าที่ไว้เป็น 4 พวกคือ
    1)นาคสวรรค์ มีหน้าที่เผ้าวิมานเทพ และเทวดา
    2)นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
    3)นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำคลอง
    4)นาครักษาขุมทรัพย์<O:p</O:p

    เมื่อรวมนาคทั้ง 4 พวกแล้ว จะมีพญานาคทั้งสิ้นประมาณ 512 ชนิด และแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ
    1)กามรูปีพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ
    2)อพามรูปีพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ

    พญานาคบางพวกมีอายุสั้น บางพวกก็มีอายุยืน อาจจะมีอายุยาวนานเป็นกัลป์ก้ได้ อย่างพญานาคตัวหนึ่งชื่อพญานาคกาละ มีอายุยืนยาวมาก ตั้งแต่พระพุทธเจ้ากุสันทะจนถึงพระสมณโคตมะ และจะมีอายุไปจนถึงพระศรีอาริยะเมตไตรย ตามปกติพญานาคจะกลัวพญาครุฑ พญานาคที่พญาครุฑไม่สามรถกินเป็นอาหารได้ มีอยู่ 7 พวกด้วยกันคือ
    1)พญานาคที่มีชาติกำเนิดที่ละเอียดกว่า และภพภูมิสูงส่งกว่าพญาครุฑ
    2)กัมพลสัตรพญานาคราช
    3)รตรัฐพญานาคราช
    4)พญานาคราชที่อาศัยอยุ่ในมหาสมุทรสีทันดรทั้งเจ็ดสมุทร
    5)พญานาคราชที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน
    6)พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในภูเขา
    7)พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในวิม

    พญานาคที่กล่าวมานี้ เป็นพญานาคที่มีปรากฏอยู่ในชาดกทางพุทธศาสนา

    พิษของพญานาค
    พญานาคเป็นพญางู เมื่อนึกถึงงูก็ต้องนึกถึงพิษของงู ความน่าเกรงขามของพิษพญานาคใน"คัมภีร์ปรมัตถโชติกพมหาอภิธรรมมัตถสังหฏีกา" ปริเฉทที่ห้า จัดหมู่ของนาคไว้ตามชนิดของพิษแบ่งเป็น 4 จำพวกคือ

    1) พญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่าง ๆ แม้จะยือหรืองอ หรือเหยียดออกไปไม่ได้จะปวดทรมานมาก

    2) ปูติมุขพญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วแผลจะเน่าเปื่อยมีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา

    3)อัคคิมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั้งตัวและรอยแผลที่ถูกกัดเป็นริ้วรอยคล้ายถูกไปไหม้

    4) สัตถมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ซึ้งผู้ใดโดนกัดแล้วก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า

    พญานาคทั้งสี่ประเภทนี้ มีวิธีที่จะทำอันตรายด้วยวิธีที่แตกต่างกันดังนี้

    1)ใช้เขี้ยวพิษขบกัด แล้วพิษค่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว

    2)ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกมาทางตา

    3)มีพิษไปทั่วร่างกาย เพียงแต่ใช้ร่างกายกระทบเข้า ก็เป็นพิษแผ่ออกมาได้

    4)ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษออกมาและพิษนั้นจะแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างกาย

    ความสัมพันธ์ของพญานาคกับคนในเอเชีย

    ชาวอินเดีย จีน ทิเบต พม่า ลาว เวียดนาม และคนไทย โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้จัก "นาค" จากจินตนาการของคนโบราณและจดจารึกไว้เป็นนิยายหรือนิทานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน นาคมีความสัมพันธ์กับคนในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษ คือ เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่กลุ่มคนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคารพยกย่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนฟากฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่ตอนใต้ของมลฑลยูนนานลงมาจนถึงปากแม่น้ำโขงในเขตเขมรกับญวณ มีลัทธิบูชานาค
    เพราะเชื่อกันว่า นาคเป็นผู้บันดาลให้เกิดแม่น้ำลำคลอง เกิดความอุดมสมบูรณ์ และอาจบันดาลให้เกิดภัยภิบัติได้ เช่น ทำให้เกิดน้ำท่วม บ้านเมืองล่มจม

    นิยายของอินเดียใต้และทางภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือยกย่องว่านางนาคเป็นบรรพสตรีแห่งตน โดยเฉพาะตำนานของอาณาจักรจามปา และอาณาจักรฟูนันในเวียดนามเหนือ อาณาจักรกัมพูชาในเขมรระบุว่านาคนาคเป็นเจ้าแม่ครองแผ่นดินอยู่ก่อน ภายหลังจึงมีพราหมณ์จากเมืองไกลมาสมสู่เป็นผัวนางนาค มีลูกหลานเป็นมนุษย์ และได้สร้างบ้านสร้างเมืองขึ้น

    ถิ่นฐานเดิมของนาค

    ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ และ ตำนานอุรังคธาตุ ระบุว่าถิ่นฐานเดิมของนาคอยู่ที่หนองแส หนองแสอยู่ที่ไหนยังไม่มีข้อยุติ เพราะแบ่งความเชื่อออกเป็นสองฝ่าย คือ
    ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า หนองแส คือทะเลสาป "เอ๋อไห่"(หรือตาลีฟู)ซึ่งเป็นศูนย์กลางจองอาณาจักรน่านเจ้า อยู่เหนือเมืองคุณหมิงขึ้นไป
    อีกฝ่ายเชื่อว่า หนองแส คือ ทะเลสาป "เตียนฉือ" อยู่ที่เมืองคุณหมิง ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของ มลฑลยูนาน อยู่ใต้เมืองต้าหลี่ลงมา
    เหตุผลของความเชื่อนี้เพราะมีวัฒนธรรม"เตียน"ที่ทำเครื่องมือโลหะ เช่น มโหระทึกสำริด ฯลฯ สัมพันธ์กับวัฒนธรรม "ตองซอน" ในเวียดนามเหนือมีเครื่องมือโลหะ เช่น มโหระทึกสำริด ฯลฯ คล้ายคลึงกัน
    ไทยลือเรียกทะเลสาบคุณหมิงว่า "หนองแส" นาคละทิ้งถิ่นฐานที่อยู่เดิม คือหนองแส สงมาทางใต้พร้อมกับก่อให้เกิดแม่น้ำสายใหม่หลายสายตามตำนานของเมืองสุวรรณโคมคำ ( อยู่ในพงศาวดารภาคที่ 72 )

    นาคในพระอภิธรรม
    ในพระอภิธรรมได้จัดพญานาคอยู่ในหมวดเดรัจฉาน ถือกำเนิดเหตุแห่งอกุศล แต่ดำรงตนด้วยอำนาจแห่งบุญกุศล ฉะนั้นการถือกำเนิดจึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่มีความเป็นอยู่ดั่งเทวดา แต่ว่าไม่สามารถดำรงกายเป็นทิพย์ได้ตลอดเวลา ซึ่งต้องมีอาการ 5 ลักษณะในรูปของเดรัจฉานได้แก่

    1) ปฏิสนธิอยู่
    2) ลอกคราบ
    3) เสพกามกับนาคด้วยกัน
    4) หลับใหลไม่มีสติ
    5) ถึงแก่ความตาย

    อาการดังกล่าวย่อมอยู่ในรูปของเดรัจฉาน แต่นาคยังสามารถ เนรมิตตนให้งามเหมือนเทวดาได้ ซึ่งแยกเป็น 2 ประเภทคือ

    1) พญานาคที่เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เพียงบนบก
    2) พญานาคที่เกิดในน้ำ เนรมิตกายตนได้เฉพาะในน้ำ

    ทำไมพญานาคถึงไม่สามารถบรรลุถึงธรรม

    พญานาคเป็นสัตว์อยู่ในติรัจฉานภูมิ เป้นอยู่ด้วยสัญญา 3 อย่างคือ
    1) กามสัญญา คือ การรู้จำในกามกิเลส
    2) อาหารสัญญา คือ การรู้จำในการหากินอาหาร
    3) มรณะสัญญา คือ เดรัจฉานทุกชนิดย่อมรู้จักตาย
    สิงที่พญานาคไม่มีก็คือ "ธรรมสัญญา" จึงไม่สามารถบรรลุพระนิพพานได้ นาคบางหมู่บางพวกก็ถึงกับไม่รู้บาป ไม่รู้บุญ เป็นเดรัจฉานสัตว์แท้ ประหนึ่งงูมีเขาหรือมีฤทธิ์ หากเป็นนาคที่เป็นเทพติรัจฉานย่อมบังเกิดมีธรรมสัญญาอยู่บ้าง คือ รู้บุญ รู้บาป รู้จักบำเพ็ญตบะธรรม มีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป แต่ย่อมไม่สามารถบรรลุเป็นอริยบุคคลได้ ตัวธรรมสัญญานี้มีมากน้อยต่างกันในหมู่นาค หรือสัตว์เดรัจฉานแต่ละตัวตน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบาปบุญที่เคยสะสมมา

    *ที่มาจากหนังสือตามรอยพญานาค เขียนโดยอุดม เชยกีวงศ์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2011
  9. จันท์คับ

    จันท์คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,334
    ค่าพลัง:
    +11,056
    กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีครับพี่ทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่าน เรื่องของพญานาคในประวัติของพระพุธเจ้าก็มีกล่าวถึงอยู่นะครับ ทุกท่านคงเคยเห็นพระพุทธรูปปางนาคปรกนะครับผมเองก็จำประวัติไม่ค่อยได้แล้ว ท่านใดพอรู้ก็บอกกล่าวกันได้นะครับ ขอบคุณท่านพี่ธมฺมสิทโธมากครับสำหรับบทความดีๆ:cool:
     
  10. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,566
    ค่าพลัง:
    +30,871
    หวัดดีคุณทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่านครับ เรื่องพญานาคที่วัดเทพธารทอง สงสัยเจ้าของกระทู้คงมีอะไรเพิ่มเติมให้บ้างนะครับ :boo:
     
  11. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651
    กราบหลวงปู่ครับ และสวัสดีพี่ๆ ลูกศิษย์หลวงปู่ทุกท่านครับ
     
  12. ธมฺมสิทโธ

    ธมฺมสิทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +714
    ตำนานพญานาค

    [​IMG]

    พญานาค นาค หรืองูใหญ่มีหงอน ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล พญานาคยังเป็น เทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า มักเรียกกันว่า พญานาคของพวกนาค และยังมีชื่อที่เรียกกันเป็นอย่างอื่นก็มากเช่น ภุชงค์ วาสุกิ หรือวาสุกรี นาค นาคา อนันตนาคร หรือเศษนาค (อนัตนาคราช) เป็นต้น​

    [​IMG]

    ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพ คือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู​

    [​IMG]

    พญานาค เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน​

    [​IMG]

    ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน​

    [​IMG]

    ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์​

    [​IMG]

    [​IMG]

    ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี​

    [​IMG]

    ที่สำคัญคือ นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร ​

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท (พระวิษณุ หรือพระนารายณ์) ณ เกษียณสมุทร ​

    [​IMG]

    นาคนี้ปรากฏในที่หลายแห่งว่า ตัวยาวอย่างงู มีหงอนเป็นอันงาม แม้แต่ในปทานุกรมก็ยังแปลไว้ว่างูหงอน ในรามายณะ พญานาคเคยทำตัวเป็นบัลลังก์ให้กับพระวิษณุ (พระนารายณ์) ที่บรรทมอยู่ในเกษียรสมุทร ในปางมัสยาวตาร พญานาคเคยเป็นเชือกผูกเรือของท้าวสัตยพรต หรือ พระมนูไววัสวัต ไว้กับกระโดงปลาใหญ (นารายณ์) เมื่อคราวน้ำท่วมโลก​

    [​IMG]

    ในปางกูรมาวตาร พญานาคก็ต้องไปเป็นเชือกพันกับภูเขามันทระ สำหรับเทวดาและอสูรดึงไปดึงมาเพื่อให้ภูเขานั้นหมุนหวังผลในการทำน้ำอมฤต​

    [​IMG]

    นอกจากพญานาคจะเป็นแท่นบรรทมของพระนารายณ์กลางเกษียณสมุทรแล้ว พญานาคยังเคยเป็นสังวาลของพระอิศวร​

    [​IMG]

    และเคยเป็นลูกศรของอินทรชิต เรียกว่า ศรนาคบาศ ซึ่งพระพรหมเป็นผู้ประทานให้ การที่ศรจะมีอานุภาพมากนั้นต้องใช้พิษของพญานาค กล่าวคือ อินทรชิตจะต้องตั้งปรัมพิธีชุบศรนาคบาศในโพรงไม้โรทัน จากนั้นเมื่อนาคคายพิษใส่ศรครบ 7 วัน ศรจะมีอานุภาพร้ายแรง สามารถเอาชนะได้ทั้ง 3 โลก คือ สวรรค์ มนุษย์ และบาดาล แต่สุดท้ายแล้วอินทรชิตก็ไม่สามารถทำพิธีชุบศรได้สำเร็จเนื่องจากชมพูวราชแปลงร่างเป็นหมีมากัดโพรงไม้โรทันโค่นเสียก่อน เหล่านาคที่กำลังคายพิษอยู่นั้นคิดว่าครุฑมาจึงพากันเลื้อยหนีไปหมด แต่ถึงแม้ว่าศรนี้จะชุบไม่สำเร็จแต่ก็ยังมีอานุภาพร้ายแรง สามารถใช้เรียกนาคจำนวนมากให้มากให้พ่นพิษใส่คู่ต่อสู้ได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าศรนาคบาศจะมีอานุภาพร้ายแรงเพียงใด แต่ก็มีอานุภาพน้อยกว่าศรพลายวาตของพระราม ซึ่งใช้เรียกพญาครุฑ​

    [​IMG]

    ยังมีปรากฎรามายณะ หรือรามเกียรติ อีกว่าพญาอนัตนาคราช ซึ่งที่เป็นที่ประทับของพระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้น ได้อวตารมาเกิดเป็นพระลักษณ์ โดยมีรูปกายสีทอง​

    [​IMG]

    ในภาพคือ พระลักษณ์ พระราม นางสีดา เรียกจากซ้ายไปขาว และด้านล่างคือ หนุมาน ทหารเอกของพระราม​

    [​IMG]

    ครั้งที่อินทรชิตแผลงศรนาคบาศไปต้องพระลักษมณ์ พระอนุชาของพระราม นาคจึงขึ้นมาพันกายและคายพิษใส่พระลักษณ์ ซึ่งจากความเชื่อนี้ แสดงให้เห็นว่า พญานาคสามารถเลื้อยแทรกแผ่นดินขึ้นมาได้​

    [​IMG]

    ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะ และคุณสมบัติของพญานาค

    พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้ ตามความหมายที่เข้าใจกันมาว่า นาคตัวยาวๆ อย่างงู ในบาลีลิปิกรม ว่า มีหน้าเป็นคน หางเป็นงู เป็นพวกกึ่งเทวดา เมืองที่อยู่เรียกว่า บาดาล ซึ่งเข้าใจกันว่าอยู่ใต้แผ่นดินที่เราอยู่กันในปัจจุบันนี้​

    [​IMG]

    พญานาค คือ งูใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย​

    [​IMG]

    [​IMG]

    พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาคมีทั้งที่เกิดจากครรภ์ และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ และสามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ เช่น คราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า พญานาคสามารถเกิดได้ทั้งบนบกและในน้ำ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น​

    [​IMG]

    [​IMG]

    พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน​

    [​IMG]

    พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล ในไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์ พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี​

    [​IMG]

    ตามตำนานอุปปาติกะว่า พญานาคนี้เป็นโอรสพระกัศยปเทพบิดร และนางกัทรุเป็นมารดา บุตรของพระทักษะประชาบดี ส่วนเมืองที่อยู่ที่เรียกว่าบาดาลนั้น ตามวิษณุปุราณะ และปัทมปุราณะว่ามีถึงเจ็ดชั้น เรียงลำดับซ้อนๆ กันลงไป คือ 1อตล มีผู้ครองชื่อมหามายะ 2. วิตล ผู้ครองชื่อหาตเกศวร 3. สุตล ผู้ครองชื่อท้าวพลี 4. ตลาตล ผู้ครองชื่อมายุ 5 มหาตล ว่าเป็นที่อยู่ของพวกนาค 6. รสาตล เป็นที่อยู่ของพวกแทตย์และทานพ 7. ปาตาล นี้แหละที่เราเรียกว่าบาดาล เป็นที่อยู่ของวาสุกรีนาคราช ปรากฏตามคัมภีร์ว่า เมืองบาดาลนี้ ในชั้นสูงๆ มีความสนุกสนานปานกับเมืองสวรรค์ และก็หาใช่ว่าจะอยู่แต่นาคพวกเดียวก็หาไม่ ยังมีรพวกแทตย์และทานพ อันเป็นเหล่ากอของพระกัศยปะกับนางทิติ ได้เป็นผู้ครองอยู่ก็หลายชั้น พวกนาคแท้ๆ คงได้อยู่ในชั้นที่ 5 กับชั้นที่ 7 เท่านั้น​

    [​IMG]

    ในความเชื่อบางส่วนเชื่อว่า พญานาค เป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง และตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ ​

    [​IMG]

    พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ แบบโอปปาติกะเกิดแล้วโตทันที แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม แบบชลาพุชะเกิดจากครรภ์ แบบอัณฑชะเกิดจากฟองไข่ พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก ท้าววิรูปักษ์ เป็นมหาราชของพวกนาค เป็นโลกบาลครองทิศปัจจิม ด้านทิศตะวันตก มีปราสาททิพย์อยู่บนยอดเขายุคนธรทางด้านตะวันตก มีพาหนะเป็นช้างทิพย์ชื่อ โสมนัส เหล่านาคจะคอยขับกล่อมบำเรอด้วยดนตรีทิพย์อยู่ตลอดเวลา พระโอรสมีมากถึง 91 องค์ โดนตามตำนานกล่าวว่า เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ​

    [​IMG]

    พญานาค ในประวัติศาสตร์

    ในพงศาวดารเขมร กล่าวว่าในราวพุทธศตวรรษที่ 6 พระทองเป็นโอรสกษัตริย์เขมร ก็เคยได้แต่งงานกับพระธิดาพญานาค มีนามว่า นางทาวดี ถึงมีโอรสด้วยกัน ชื่อพระเกตุมาลา และได้สืบกษัตริย์ครองประเทศเขมรกันต่อๆ มา อีกสามราชวงศ์กษัตริย์​

    [​IMG]

    กระทั่งถึงสมเด็จพระอุทัยราชก็มีมเหสีเป็นนาค คราวนี้ออกลูกครั้งแรกเป็นไข่ เอาไปทิ้ง คือฝังทรายไว้ ถึงคราวนายคงเคราซึ่งเป็นส่วยน้ำ นำน้ำในทะเลชุบศรเมืองลพบุรไปส่ง ได้พบไข่นี้ฟักเป็นคน จึงเก็บมาเลี้ยงไว้ ให้ชื่อว่านายร่วง แต่นางนาคตนนี้ออกลูกครั้งที่สอง หาตกเป็นฟองไม่ เป็นมนุษย์ทีเดียว โอรสผู้นี้ภายหลังมีนามว่าพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้เป็นกษัตริย์เขมรที่มีเดชานุภาพมาก​

    [​IMG]

    พญานาค กับความเชื่อเกี่ยวกับที่เกี่ยวพันกับชีวิต สายน้ำ ธรรมชาติ

    ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง​

    [​IMG]

    ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น​

    [​IMG]

    แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์​

    นาคให้น้ำ
    พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา​

    [​IMG]

    โดยในภาพเป็นภาพปฏิทินปี ๒๕๔๔ ของธนาคารออมสิน มีนาคให้น้ำในปีนั้น ที่สะท้อนคติความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการให้น้ำของนาค แสดงให้เห็นว่า นาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ และเป็นสิ่งที่โยงนาคกับธาตุน้ำโดยตรง​

    อิทธิพลของพญานาคกับคนไทย
    เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค​

    [​IMG]

    พญานาค กับตำนานในพระพุทธศาสนา

    ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น ในปางพุทธาวตาร หรือในสมัยพระสมณโคดมบรมพุทธะ ก็มีเรื่องนาคมาเกี่ยวข้องเป็นหลายคราว เช่น ในอดีตกาลทศชาดกปางภูริทัตต์ องค์พระโพธิส้ตว์ของเรายังได้เคยถือกำเนิดเป็นนาค ชื่อ ทัตตกุมาร บิดาชื่อ ธตรฐ เป็นพญานาค มารดาชื่อ สมุททชา เป็นมนุษย์ คือ เป็นธิดาท้าวพรหมทัต กรุงพาราณสี ได้ขึ้นมาบำเพ็ญศีลบนฝั่งแม่น้ำยมุนา แล้วถูกอาลัมพายน์หมองูจับเอาตัวไป​

    [​IMG]

    ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ทรงลอยถาดทอง อันนางสุชาดาถวายพร้อมด้วยมธุปายาส ณ แม่น้ำเนรัญชรา ก็ว่า ถาดนั้นได้จมลงไปอยู่เมืองนาค พญากาฬภุชคินทร์ซึ่งเป็นผู้ครอง ซึ่งหลับไหลมาตั่งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในอดีต และจะตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถาดเมื่อได้ยินเสียงถาดกระทบกัน ในกาลนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพญากาฬภุชคินทร์ได้ยินเสียงถาดกระทบกันจากการลอยของพระมหาบุรุษก็ตื่นนอนขึ้นครั้งหนึ่ง และรู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดในโลกแล้ว พญากาฬภุชคินทร์งัวเงียแล้วงึมงำว่า "เมื่อวานนี้พระชินสีห์ (หมายถึงพระกัสสปพุทธเจ้า) อุบัติในโลกพระองค์หนึ่งแล้ว ซ้ำก็บังเกิดขึ้นอีกพระองค์หนึ่งเล่า" หลังจากลุกขึ้นมาไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์ที่เกิดใหม่ แล้วก็หลับต่อไปอีก​

    [​IMG]

    หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า​

    [​IMG]

    ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือ ผู้คุ้มครองพระศาสดา​

    [​IMG]

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาบนดาวดึงส์ ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาค ดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ​

    [​IMG]

    ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน​

    [​IMG]

    [​IMG]

    ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า"​

    คำว่า "นาค" ในบาลีลิปิกรม และ ปทานุกรม แปลไว้ว่า ประเสริฐ ในสมัยสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณฯ ได้เคยทรงไว้ในพระพุทธประวัติ โดยเข้าพระทัยว่านาคไม่ใช่งู และคงจะเป็นพวกที่นับถือเทวรูปนาคปรก ได้แก่ พวกชฎิลกัสสปะสามพี่น้อง บางท่านเห็นว่า นาคนี้เก่งที่สุด ถึงกับปรากฎว่าเอาสตางค์โยนลงไปในน้ำ พวกนี้สามารถที่จะว่ายและดำไปหยิบสตางค์ชูให้ดูได้ก่อนที่สตางค์จะจมลงถึงท้องทะเล มีอยู่ในนครศรีธรรมราช ปัตตานี ที่เขาเรียกกันว่าชาวน้ำ หรือชาวเล ภาษามลายู เรียก ชะลัง​

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
    นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้ หรือแม้แต่ ตุง ของชาวล้านนา และพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์​

    [​IMG]

    ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็กๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา​

    [​IMG]

    [​IMG]

    ความเชื่อเกี่ยวกับ พญานาค ในดินแดนต่างๆ ของไทย

    ภาคเหนือ
    มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคอยู่เช่นกัน ดังในตำนานสิงหนวัติซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ของทางภาคเหนือเอง "เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ต้นวงศ์ของพญามังรายผู้ก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนานั่นเอง"​

    [​IMG]

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    นาคล้วนมีส่วนร่วมในตำนานอย่างชัดเจน เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ด (จุด) บั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี​

    [​IMG]

    และเนื่องจากเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าบาดาล เป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ ดังนั้นเมื่อชาวนาจะทำพิธีแรกไถนา จึงต้องดูวัน เดือน ปี และทิศที่จะบ่ายหน้าควายเพื่อไม้ให้ควายลากไถไปในทิศที่ทวนเกร็ดนาค ไม่อย่างนั้นการทำนาจะเกิดอุปสรรคต่างขึ้น​

    ลูกไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษา ที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ บริเวณค่าย ตชด.(อ่างปลาบึก), วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่, ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัยแต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ​

    [​IMG]

    ก่อนนี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วเฉยๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา ผู้เขียนสมัยเมื่ออายุยังน้อย เมื่อปี 2508 (เป็นคน อ.โพนพิสัย) เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปไหลเรือไฟด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าวพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นานๆ จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น. ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน​

    [​IMG]

    สังเกตว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทยไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาล อยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษเหตุนี้เรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก, งู" เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้นมีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ หรือหลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นในเขต อ.โพนพิสัยหรือที่อื่นๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม​

    [​IMG]

    นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดหรือที่เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และแยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน ตำนานประเพณีต่างๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์​

    [​IMG]

    จุดที่เกิดบั้งไฟพญานาค ​

    :: ในเขตอำเภอสังคม บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม, อ่างปลาบึก บ้านผาตั้ง อำเภอสังคม ​

    :: ในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่ วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท​

    :: ในเขตอำเภอเมือง บ้านหินโงม ตำบลหินโงม อำเภอเมือง, หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ตำลบบ้านเดื่อ อำเภอ เมือง หนองคาย ​

    :: ในเขตอำเภอโพนพิสัย ปากห้วยหลวง ตำบลห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย, ในเขตเทศบาลตำบลจุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย หนองสรวง อำเภอโพนพิสัย, เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย, บ้านหนองกุ้ง ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย​

    :: ในเขตกิ่งอำเภอรัตนวาปี ปากห้วยเป บ้านน้ำเป ตำบลน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนวาปีบ้านท่าม่วง,วัดเปงจาเหนือ กิ่งอำเภอรัตนวาปี ​

    :: ในเขตอำเภอปากคาด บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อำเภอปากคาด​

    :: ในเขตอำเภอบึงกาฬ วัดอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ ​

    ที่อื่นๆ นอกจาก 14 แห่งนี้ที่อื่นก็อาจจะมีขึ้นบ้าง นอกจากในลำน้ำน้ำโขงแล้วตามห้วย หนองคลองบึง สระน้ำ กลางทุ่งนาที่มีน้ำขัง แม้แต่บ่อบาดาลที่ชาวบ้านขุดเพื่อเอาน้ำมาใช้ ในเขตจังหวัดหนองคาย ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์​

    ปี 2542 เกิดมากที่สุด ที่ชายตลิ่ง หน้าสถานี ตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ห่างจาก อ.เมือง หนองคาย เพียง 15 กม.​

    พญานาคกับตำนานปรัมปราของไทย

    เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย
    มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ ในปัจจุบันนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี​

    [​IMG]

    [​IMG]

    จนถึงขณะนี้พระสุก ยังคงจมอยู่ใต้ลำน้ำโขง (ในภาพบน คือ พระสุก องค์จำลอง ในวัดหลวง จังหวัดหนองคาย ซึ่งองค์จริงได้จมน้ำหา่ยไปในขณะอัญเชิญมายังประเทศไทย) ซึ่งได้เคยมี พิธีอัญเชิญพระสุกขึ้นจากน้ำ โดยมีชาวบ้านและพระภิกษุหลายรูปเห็นเหตุการณ์ในขณะที่พิธีอัญเชิญเริ่มขึ้น พระสุกที่ค่อยๆ ลอยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเองได้ประมาณหน้าอกขององค์พระ แต่แล้วก็กลับจมลงไปอีก สรุปคือ ไม่สามารถอัญเชิญขึ้นมาได้ แม้ต่อมามีความพยายามทำพิธีอัญเชิญอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องแปลกเกิดขึ้นที่ภายในเจดีย์ อันเป็นที่ประดิษฐาน องค์พระสุกจำลอง คือ บริเวณเพดานภายในเจดีย์เหนือองค์พระสุก มีน้ำหยดลงมาตลอดเวลา ซึ่งไม่ทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากไหน เจ้าอาวาสวัดหลวง จังหวัดหนองคาย ได้ให้ช่างขึ้นไปสำรวจดูบริเวณยอดเจดีย์ว่ามีรอยรั่วหรือมีน้ำขังอยู่หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ยอดเจดีย์ทรุด และทำให้พื้นเจดีย์ได้รับความเสียหาย แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีน้ำขังอยู่ และไม่มีรอยรั่วรอยร้าวใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ช่างหลายคนพยายามที่จะหาวิธีแก้ไขแต่ก็ไม่หาย ซึ่งในปัจจบันก็ยังไม่มีใครทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากไหน และหยดลงมาได้อย่างไร จนกระทั่งได้มีการพาร่างทรงมาประทับทรง โดยร่างทรงกล่าวว่า "เหตุที่มีน้ำหยดเกิดขึ้นตลอดเวลานั้นเนื่องจาก มีพญานาคตนหนึ่ง นำน้ำมาหล่อเลี้ยงและปกปักรักษาองค์พระพุทธรูปหลวงพ่อพระสุกอยู่ ไม่ให้เกิดเหตุเภทภัยขึ้น"​

    [​IMG]

    เป็นที่น่าประหลาดว่า บริเวณที่ประดิษฐานองค์พระสุกจำลอง เป็นยอดเจดีย์ซึ่งปิดมิดชิด ไม่ใช่หลังคา น้ำจะรั่วเข้าไปได้อย่างไร​

    [​IMG]

    จะเห็นว่า เพดานเป็นรอยรั่วรอยใหญ่ เนื่องจากน้ำซึมลงมามากจนรอยรั่วขนาดใหญ่ โดยได้มีการพยายามซ่อมแซมหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล​

    [​IMG]

    จะเห็นว่า น้ำซึมตลอดเวลา ไม่เพียงเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีใครทราบว่าน้ำมากมายขนาดนี้มาจากไหน​

    [​IMG]

    บริเวณพื้นเปียกไปด้วยน้ำ สังเกตได้จากเงาบริเวณพื้น​

    [​IMG]

    โดยในปัจจุบันทางวัดได้นำบาตรมารองรับน้ำที่หยดลงมาจากเพดานเจดีย์ โดยเชื่อว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ให้ผู้ที่มาสักการะได้ดื่มกิน หรือนำกลับไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยบาตรน้ำมนต์นี้จะอยู่ทางขวาภายในเจดีย์ และทางซ้ายก็มีโอ่งขนาดเล็กสำหรับเป็นที่พักน้ำที่หยดลงมา ​

    เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล
    ในเมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย​

    พระพุทธเจ้าเสด็จเทวโลก
    ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 500 รูป เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน ที่มี นันโทปนันทนาคราช เป็นประธานใหญ่ เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง 7 รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้ และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต​

    [​IMG]

    ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง 14 รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร" ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต" นันโทปะนันทะนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นคนไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่างๆ จน นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี​

    [​IMG]

    ใต้เมืองโพนพิสัย
    ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง ​

    [​IMG]

    แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักเพื่อไปดื่ม โดยมีกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่ ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช จนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฎตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า "วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ เมื่อวางกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฎว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฎว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศีรษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฎว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนสีขุ่นๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่า นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อยๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"​

    [​IMG]

    จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)​

    พญานาค กับแม่น้ำโขงและป่าคำชะโนด

    [​IMG]

    ประเทศในแถบอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ต่างก็มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพญานาคแตกต่างกันออกไปดังที่ได้กล่าวมาบ้างแล้ว สำหรับประเทศไทย จังหวัดหนองคายถือเป็น "เมืองแห่งพญานาค" เพราะนอกจากจะมีคนพบร่องรอยของพญานาคในเมืองนี้อยู่บ่อยครั้งแล้ว ริมโขงเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ ยังมี "บั้งไฟพญานาค" ปรากฏการณ์มนัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษาของทุกๆ ปี ซึ่งมีชื่อเสียงไปไกล มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า สุทโธเป็นพญานาคครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาคเช่นเดียวกันปกครอง มีชื่อว่า สุวรรณนาค และมีบริวารฝ่ายละ 5,000 เช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีอาหารการกินก็แบ่งกันกิน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเพื่อนตายกันตลอดมา แต่มีข้อตกลงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปหากินล่าเนื้อหาอาหารอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องออกไปล่าเนื้อหาอาหาร เพราะเกรงว่าบริวารไพร่พลจะกระทบกระทั่งกันและอาจจะเกิดรบรากันขึ้น แต่ให้ฝ่ายที่ออกไปล่าเนื้อหาอาหารนำอาหารที่หามาได้แบ่งกันกินฝ่ายละครึ่ง การกระทำโดยวิธีนี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขตลอดมา​

    [​IMG]

    อยู่มาวันหนึ่งสุวรรณนาคพาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้ช้างมาเป็นอาหาร ได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งพร้อมกับนำขนของช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐานต่างฝ่ายต่างกินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญด้วยกันทั้งสองฝ่าย และวันต่อมาอีกวันหนึ่งสุวรรณนาคได้พาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้เม่นมา สุวรรณนาคได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม พร้อมทั้งนำขนของเม่นไปให้ดู ปรากฎว่าเม่นตัวเล็กนิดเดียว แต่ขนของเม่นใหญ่ เม่นตัวเล็กเมื่อแบ่งเนื้อเม่นให้สุทโธนาคจึงต้องแบ่งให้น้อย สุทโธนาคได้พิจารณาดูขนเม่นเห็นว่าขนาดขนช้างเล็กนิดเดียวตัวยังใหญ่โตขนาดนี้ แต่นี่ขนใหญ่ขนาดนี้ตัวจะใหญ่โตขนาดไหน ถึงอย่างไรตัวเม่นจะต้องใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนี้จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไปคืนให้สุวรรณนาคพร้อมกับฝากบอกไปว่า "ไม่ขอรับอาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์" ฝ่ายสุวรรณนาคเมื่อได้ยินดังนั้น จึงได้รีบเดินทางไปพบสุทโธนาคเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าเม่นถึงแม้ขนมันจะใหญ่โตแต่ตัวเล็กนิดเดียว ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้เป็นอาหารเสียเถิด สุวรรณนาคพูดเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่เชื่อ ผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงประกาศสงครามกัน​

    [​IMG]

    ฝ่ายสุทโธนาคซึ่งมีความโกรธเป็นทุนอยู่ตั้งแต่เห็นเนื้อเม่นอยู่แล้วจึงสั่งบริวารไพร่พลทหารรุกรบทันที ฝ่ายสุวรรณนาคจึงรีบเรียกระดมบริวารไพร่พลต่อสู้ทันทีเช่นเดียวกัน ตามการบอกเล่าสู่กันฟังมาว่าพญานาคทั้งสองรบกันอยู่ถึง 7 ปี ต่างฝ่ายต่างเมื่อยล้า เพราะต่างฝ่ายต่างหวังจะเอาชนะกันให้ได้ เพื่อจะครองความเป็นใหญ่ในหนองกระแสเพียงคนเดียวจนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณหนองกระแสและบริเวณรอบๆ หนองกระแสเกิดความเสียหายเดือดร้อนไปตามกัน เมื่อเกิดรบกันรุนแรงที่สุดจนทำให้พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวทั้งหมด เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายเกิดความเดือดร้อนไปทั้งสามภพ คือ บาดาล โลกมนุษย์และสวรรค์ พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว ความเดือดร้อนจึงทราบถึงพระอินทร์ จึงได้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นโองการให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบกัน ให้ถือว่าทั้งสองฝ่ายเสมอกัน ไม่มีใครแพ้ใครชนะและให้สร้างแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำนั้น พญาสุทโธนาคจึงพาบริวารสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนมีภูเขาขวางอยู่ แม่น้ำจะคดโค้งไปตามภูเขา เพราะสุทโธนาคเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำสายนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่าโขง มาจากคำว่า โค้ง หรือไม่ตรงนั่นเอง​

    [​IMG]

    ส่วนสุวรรณนาค เมื่อได้รับโองการจึงพาบริวารไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ พญาสุวรรณนาคเป็นนาคที่ใจเย็น พิถีพิถันและตรง การสร้างแม่น้ำจึงทำให้ตรง แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำน่าน" เป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย​

    [​IMG]

    ในการสร้างแม่น้ำแข่งขันกันในครั้งนั้นปรากฏว่าแม่น้ำโขงของสุทโธนาคสร้างเสร็จก่อนจึงเป็นผู้ชนะและมีปลาบึกอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก ตามตามราชโองการของพระอินทร์และสุทโธนาคได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ทูลขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่ง พระอินทร์จึงทรงอนุญาตให้มีทางขึ้นลงได้ ดังนี้​

    1. ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์​

    [​IMG]

    2. ที่หนองคันแท​

    [​IMG]

    3. ที่พรหมประกายโลก (ที่คำชะโนด)​

    [​IMG]

    ส่วนที่ 1-2 เป็นทางขึ้นลงสู่เมืองบาดาลของพญานาคเท่านั้น ส่วนสถานที่ 3 ที่พรหมประกายโลกคือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน (ตำนานพรหมสร้างโลก กล่าวว่า แต่เดิมเมื่อโลกอุบัติขึ้นในจักรวาล ยังไม่มีมนุษย์ แผ่นดินในสมัยนั้นบริสุทธิ์ บังเกิดง้วนดิน มีลักษณะเหมือนนมข้นที่เคี่ยวจนงวด ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ มีกลิ่นหอมหวาน รสประดุจดั่งน้ำผึ้ง พรหมซึ่งอยู่ในพรหมโลก มีร่างเป็นทิพย์ โปร่งใสสว่างในตัว เนื่องจากเป็นผู้ปฏิบัติธรรมระดับฌาณขึ้นไป ใช้ปิติ เป็นอาหาร แต่เมื่อได้กลิ่นง้วนดิน จึงลงมาสู่โลกมนุษย์ และกินง้วนดินนั้น เมื่อกินของที่หยาบกว่า ร่างกายก็ทึบแสง แสงสว่างก็หายไป สีผิวพรรณก็แตกต่างกันไป จึงเกิดการดูหมิ่น รังเกียจกัน ตั้งแต่บัดนั้นมา และพรหมเหล่านั้น ก็กลับพรหมโลกไม่ได้ ต่อมาอาหารที่ปราณีตอย่างง้วนดิน ก็เปลี่ยนไปเป็น กระบิดิน เครือดิน จนถึงข้าวสาลีไม่มีเปลือก ที่กินเท่าไหร่ ก็จะกลับปรากฏเท่าเดิม ไม่มีหมด ต่อมาความโลภเกิดขึ้น มีการกักตุนอาหาร และหวงแหน แย่งชิง อาหารก็เปลี่ยนแปลง หยาบลงเรื่อยอีก ยิ่งกินของหยาบ จิตใจก็หยาบขึ้นไปเรื่อยๆ มีกิเลสครอบงำเพิ่มขึ้น และจิตใจเสื่อมทรามไป บางพวกคิดได้ ก็หันกลับมาปฏิบัติธรรม ยกระดับจิตใจของตนใหม่) แล้วพรหมเทวดาลงมากินดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์หรือผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเมืองครอบครองเฝ้าอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้นชะโนดหรือซะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ลักษณะต้นชะโนดให้เอาต้นมะพร้าว ต้นหมากและต้นตาลอย่างละเท่าๆ กันผสมกัน ในเวลา 1 เดือนทางจันทรคติ ข้างขึ้น 15 ค่ำให้พญานาคสุทโธและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกชื่อว่าเจ้าปู่ศรีสุทโธ และอีก 15 วันข้างแรม ให้พญานาคและบริวารกลายร่างเป็นนาคเรียกชื่อว่า พญานาคศรีสุทโธนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน​

    [​IMG]

    ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงกึ่งพุทธกาล นับแต่ปี พ.ศ.2500 ถอยหลังไป พี่น้องชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จะไปพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญประจำปีหรือบุญมหาชาติที่ชาวบ้านเรียกว่าบุญพระเวท ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่บ่อยครั้งและบางทีจะเป็นผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอหูก (ฟืม) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำและปาฏิหาริย์ครั้งล่าสุดคือ ปี พ.ศ.2519 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง (รวมทั้งท้องที่อำเภอบ้านดุง) แต่น้ำไม่ท่วมคำชะโนด​

    [​IMG]

    เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธได้จัดมีการแข่งเรือ และประกวดชายงามที่เมืองชะโนด นายคำตา ทองสีเหลือง ซึ่งเป็นชาวบ้านวังทอง ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง ได้บวชอยู่ที่วัดศิริสุทโธ (วัดโนนตูมและได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อ ปี พ.ศ.2533) ติดกับเมืองชะโนดได้เป็นผู้ได้รับคัดเลือกจากเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธให้ไปประกวดชายงาม และบุคคลดังกล่าวเกิดความคลุ้มคลั่งอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ญาติพี่น้องได้ทำการรักษาโดยใช้หมอเวทมนต์ (อีสานเรียกว่า หมอทำ) จัดเวรยามอยู่เฝ้ารักษาและในที่สุดได้หายไปนานประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วได้กลับมาและได้เล่าเรื่องเมืองชะโนดให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายฟังถึงความงามความวิจิตรพิสดารต่างๆ ของเมืองบาดาลให้ผู้สนใจฟัง​

    [​IMG]

    ปัจจุบันนี้คำชะโนดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงในระดับประเทศ เรือตรี อนิวรรตน์ พะโยมเยี่ยม อดีตนายอำเภอบ้านดุง ได้ชักชวนข้าราชการทุกฝ่ายตลอดทั้ง ตำรวจ อส. พ่อค้าประชาชนได้ทำสะพานทางเข้าเมืองชะโนด ตลอดทั้งปรับปรุงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เป็นสถานที่เคารพสักการะของชาวอำเภอบ้านดุงและจังหวัดอื่นและจนได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดอุดรธานีให้นำน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดไปร่วมงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ณ มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวงกรุงเทพมหานคร ในวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2530 และในปี พ.ศ.2533 นายมังกร มาเวียงปลัดอำเภอบ้านดุง (หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ) ได้ชักชวนข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันจัดทำบุญทอดผ้าป่าสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อความมั่นคงแข็งแรงเข้าไปเมืองชะโนด​

    [​IMG]

    ป่าคำชะโนดกลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืนก็เพราะเรื่องเล่า "ผีจ้างหนัง" (คนอีสานเรียก ผีบังบดหรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) อันสุดแสนมหัศจรรย์พันลึกที่เกิดขึ้น เมื่อบริษัทหนังเร่ชื่อก้องแห่งภาคอีสานถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงในหมู่บ้านวังทอง ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง 18 ปีล่วงผ่าน ดูเหมือนเรื่องเล่านี้ยังคงเป็นที่โจษขานสืบมา โดยเฉพาะในหมู่ชาว ต.วังทอง ผู้เชื่อมั่นและศรัทธาต่อผืนป่า เหตุการณ์ "ผีจ้างหนัง" จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่จริง แม้อาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถพิสูจน์ได้ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์ผีจ้างหนัง ชาวบ้านจากบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด ได้เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ตัวเขาคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ดีและเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทหนังเร่ เพราะอาจเป็นวันเฉลิมฉลองของเจ้าที่พอดีจึงเจอเข้าโดยบังเอิญ "ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยเจออะไรผิดปกตินะ เพราะส่วนที่เป็นป่าใครก็ไม่กล้ารุกล้ำ แค่เดินเข้าไปนิดเดียวเจอน้ำแล้ว ถ้าไม่ใช่อำนาจของท่านทำขึ้น คนฉายหนังก็คงไม่สามารถไปตั้งจอหนังได้หรอก"​

    [​IMG]

    ชาวบ้านแถบนั่นเล่าว่า "หนังจะเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำแล้วละ แต่ตอนนั้นไม่มีผู้คนมาดูเลย พอ 3 ทุ่ม ก็มีคนมาดูจำนวนเยอะมาก แต่ที่แปลกก็คือ ผู้หญิงจะนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำนั่งอีกข้าง และทั้งหมดก็นั่งกันสงบเรียบร้อยเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวตัวเลย ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะฉายหนังอะไรก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนหนังกลางแปลงทั่วไป ฉายหนังบู๊ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เงียบ แต่ที่น่าแปลกคือ ในงานไม่มีร้านขายของกินของใช้ แม้แต่ร้านขายบุหรี่ก็ไม่มี" ถ้อยคำบางส่วนที่ ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่กล่าว ถ่ายทอดไว้ในปี พ.ศ.2532 จากประสบการณ์ตรงของลูกน้องที่โดนผีจ้างหนังไปฉาย​

    [​IMG]

    ป่าคำชะโนดเป็นชื่อที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมากหรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า – ปี พ.ศ.2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี พ.ศ.2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม ต้นชะโนด มีที่เดียวคือที่นี่ แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว นี่เองจึงทำให้ผืนดินราว 20 ไร่ ถูกตั้งฉายาให้เป็นป่าแห่งชะโนดขนานแท้​

    [​IMG]

    "เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด" รูปล่างคือ เม็ดของต้นชะโนด​

    [​IMG]

    ที่นี่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วังนาคินทร์คำชะโนด" ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนดว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม​

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตาม ข้อห้ามอื่นๆ เป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน ในสมัยก่อนมีความเชื่อว่า ห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วยเข้าไปในบริเวณป่าคำชะโนด แต่ภายหลังเมื่อหลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด ได้ทำพิธีขอยกเว้น ภายหลังก็ใส่ได้ เป็นคำกล่าวของ ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง​

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช กระทั่งในวันออกพรรษาขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆ กับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาค ใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิต​

    [​IMG]

    พญานาค แ้ท้จริงคือปลาชนิดหนึ่ง ???

    ได้มีรูปภาพของทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งยืนอุ้มปลาชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าคือพญานาค ซึ่งภาพนี้มีแหล่งที่มาจากประเทศลาว โดยมีคำบรรยายภาษาลาว ว่า “บางพยาบาภ” หรือนางพญานาค ( Queen of Nagas ) รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 27 มิ.ย. 2516 โดยทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว จับปลาชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ปลาตัวนี้วัดความยาวได้ ประมาณ 7.80 เมตร มีลำตัวยาวคล้ายงู มีเกล็ดเป็นประกายเลื่อม 7 สี มีหัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง และมีเลือดเป็นสีเขียวอ่อน ต่อมาได้มีข่าวลือว่า ทหารหลายคนกินเนื้อปลาตัวที่จับได้นี้ และทุกคนที่กินเนื้อปลาเข้าไป และจับปลาตัวนี้ได้ก็มีอันต้องตายตามกันไป แต่เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีแหล่งข้อมูลยืนยัน โดยในภายหลังมีผู้อธิบายว่าคือปลาชนิดหนึ่ง​

    [​IMG]

    นานมาแล้วที่ชาวเรือเล่าลือถึง "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่บรรยายว่า "มังกรทะเลมีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง" ชาวประมงเคยพบขณะแล่นเรือหาปลาในทะเล โดยนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง ในที่สุดก็พบความจริงว่า "มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น ที่แท้แล้วก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “ปลาใบพาย” หรือปลาริบบิ้น นั่นเอง บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH) ​

    [​IMG]

    [​IMG]

    ปลาชนิดนี้ มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต ครีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีครีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย หรือหงอนเล็กๆ และมีลำตัวแบน แต่ปลาประหลาดชนิดนี้ จะพบได้ยากที่สุดในโลก เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต แม้ว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับมนุษย์ เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บหรือพิษอะไร มันเป็นเพียงสัตว์โลกที่แปลกประหลาด พันธุ์หนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะพบในสภาพที่ตายแล้ว เพราะเมื่อมันพลัดหลงมาน้ำตื้นเมื่อไหร่ มันก็จะตายทันที ซึ่งต่อมาได้มีผู้พบปลาชนิดนี้มากขึ้น​

    [​IMG]

    ดังนั้นที่มีผู้อ้างว่าจับปลาชนิดนี้ได้ที่แม่น้ำโขงจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นน้ำจืดไม่ใช่น้ำเค็ม และมีความลึกสุดในฤดูน้ำหลาก หรือฤดูฝนประมาณ 20 เมตร โดยบริเวณ แก่งอาฮง ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ำบริเวณแก่งอาฮงจะไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลาก และมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น "สะดือแม่น้ำโขง" โดยบริเวณนี้ความกว้างประมาณ 300 เมตร ​

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม ปลาใบพาย หรือปลาออร์ เป็นปลาน้ำเค็ม จึงยืนยันได้ว่าปลาตัวนี้ ไม่ใช่พญานาค และไม่น่าจะพบได้บริเวณแม่น้ำโขง ซึ่งไม่ทราบว่า ผู้เริ่มเผยแพร่รูปภาพ "นางพยานาก หรือ นางพญานาค" นี้มีวัตถุประสงค์ใดแอบแฝงอยู่กันแน่ ???​

    [​IMG]

    แม้ว่าจะยังไม่ทราบได้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วพญานาคมีจริงหรือเป็นแค่ตำนานที่กล่าวขานกันมานาน แต่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับพญานาคซึ่งคือ "หงอนพญานาค" ประดิษฐานอยู่วัดโพธิ์ชัยเป็นวัตถุมงคลจำนวน 2 ชิ้น ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมฐานยาว 4 นิ้ว สูง 6 นิ้ว ผิวขรุขระคล้ายหินปูน มีรอยตามแนวความสูง 4 รอย กับ 5 รอย ฐานสีน้ำตาลเข้ม ปลายเป็นสีขาวและโค้งงอเล็กน้อย​

    [​IMG]

    พระมหาสมนึก โสภณปัญโญ เล่าว่า "ชาวลาวซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ได้แห่วัตถุมงคลที่เชื่อว่าเป็นหงอนของพระยานาค มาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมเครื่องบรรณาการต่างๆ เช่น แจกันเงิน พานเงิน ขันเงิน น้ำเต้าเงิน กระติบข้าวเงิน งาช้าง และพระพุทธรูปที่ทำจากไม้จันทร์หอม เมื่อมาถึงจังหวัดหนองคายได้แบ่งขบวนออกเป็น 3 ขบวน เพื่อนำเครื่องราชบรรณาการไปประดิษฐานไว้ที่วัด 3 วัด ประกอบด้วย วัดโพธิ์ชัย วัดน้ำโมง และวัดหลวงพ่อพระสุก เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไว้บูชา​

    เรื่องราวของ พญานาค ก็ยังคงเป็นปริศนา คำถามที่ว่า พญานาคมีจริงหรือไม่ ? ยังคงเป็นท้าทายสิ่งที่หลายคนพยายามค้นหาคำตอบกันต่อไป...​

    จากหนังสือเทวกำเนิด พระยาสัจจาภิรมย์ฯ (สรวง ศรีเพ็ญ) และข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
     
  13. หิมาลัย

    หิมาลัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +227
    วันนี้พี่ ธมฺมสิทโธ... นำเรื่องราวพยานาคมีทั้งภาพ และเนื้อหาสาระแน่นเพียบ มาฝากให้สมาชิกได้อ่านกันอีกแล้ว:cool: เมื่อก่อนไปทำบุญที่วัดหลวงปู่ ก็เคยไปเล่นน้ำแถวลำธารวัดเทพเหมือนกันค่ะ เห็นพี่ที่วัดเขาบอกว่าเป็นลำธารศักดิ์สิทธ์มาก หลวงปู่เรียกแม่น้ำที่วัดของท่านว่า แม่น้ำเนรัญชรา... และที่วัดหลวงปู่ก็มีพยานาคอยู่มาก รวมถึงที่ในลำธารด้วย น้ำที่ลำธารวัดของหลวงปู่ น้ำจะใส และเย็นสดชื่นมาก เท่าที่สังเกตเวลาไปวัดหลวงปู่แต่ละครั้งก็ไม่เคยเห็นน้ำที่วัดหลวงปู่เหือดแห้งไปเลย ทั้งๆที่บางครั้งเป็นหน้าแล้ง แต่ที่วัดก็ยังคงมีน้ำไหลในลำธารไม่ขาดสาย ถึงแม้หน้าแล้งน้ำอาจจะลดบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับแห้งไปเลยซะทีเดียว ก็น่าแปลกนะคะ
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] ขออนุญาติยืมรูปมาลงนะคะ รูปนี้เป็นรูปแม่น้ำที่วัดหลวงปู่ค่ะ จริงๆน้ำจะใส น่าเล่นfishh_มากค่ะ
     
  14. เฉียวฟง

    เฉียวฟง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +4,913
    กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีคุณทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่านครับ
     
  15. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,566
    ค่าพลัง:
    +30,871
    วันนี้ได้เจอเพื่อนของแฟนที่ฝันเห็นหลวงปู่ เลยถามเค้าว่าใช่ท่านเดียวกันกับในรูปที่เพิ่งให้ไปหรือป่าว เค้าบอกว่าใช่ท่านเดียวกันเลยครับ
     
  16. Paiboon K

    Paiboon K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +9,420
    กราบหลวงปู่พิศดู และสวัสดียามดึกสมาชิกทุกท่านครับ ผมได้อ่านประวัติ ปฏิปทา และข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงปู่จากคุณทุเรียนทอดและสมาชิกท่านอื่นๆ ตามประสาคนที่ยังมีกิเลสอยู่เต็มหัวใจ ก็อยากได้วัตถุมงคลของหลวงปู่มาบูชาบ้าง โดยเฉพาะพระกริ่งซึ่งอ่านประวัติการสร้างแล้ว สุดยอดมาก มวลสารที่นำมาจัดสร้างนั้นถือได้ว่าเป็นมงคลอย่างที่สุด หลังจากที่ได้สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกตัวน้อยในกระทู้นี้ ในคืนนั้นก่อนนอนก็ได้สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิถวายบูชาแด่หลวงปู่เป็นคืนแรก คิดในใจว่า ลูกอยากได้พระกริ่งของหลวงปู่มาก ลูกรู้ว่าความอยากมันคือกิเลสแต่ลูกก็ยังอยากได้อยูดีนั่นแหละ ลูกวาสนาน้อยไปกราบหลวงปู่2-3ครั้ง คงไม่ได้พระหลวงปู่แบบฟลุ้คๆฟรีๆหรอก ลูกคงต้องไปหาบูชาที่ตลาดพระเครื่องก็แล้วกัน ขอให้ได้พบและได้ของจริงก็พอ แล้วก็เข้านอน วันรุ่งขึ้นช่วงเที่ยงวันจึงไปที่ตลาดพระข้างธนาคารออมสิน ไปหาตู้พระที่เคยบูชาพระจากเขาแล้วถามเขาว่า มีพระของหลวงปู่พิศดูไหม เขาบอกว่ามีสิพี่พึ่งได้มา นานๆจะมีมาสักองค์ แล้วเขาก็หยิบเหรียญพระอุปคุตมา 2 เหรียญ เนื้อมหาสัมฤทธ์ 1 ลงยาเขียว 1 และพระชัยมีเดือยแบบยอดธง 1 สายตาผมก็เหลือบไปเห็น พระกริ่งกับพระชัยอยูในกล่องเขียวๆก็เลยถามเขาว่าใช่พระกริ่งหลวงปู่หรือเปล่าเขาบอกว่าใช่ แต่มีคนมาดูและตกลงไว้จองแล้วกำลังจะมาเอา ด้วยความอยากได้พระกริ่งจึงบอกเขาไปว่าถ้าเขาไม่เอาผมขอเช่าต่อนะ คิดในใจว่าหากหลวงปู่เมตตาลูกขอให้ได้พระกริ่งกล่องนี้ด้วยเถิด (แฮ่ๆ อยากได้จริงๆนะครับ) พอดีภรรยาโทร.ตามกลับบ้านไปทำงานต่อจนถึงเย็นก็ได้ไปที่ตู้พระนั้นอีกครั้ง ถามเขาว่าสรุปว่าคนนั้นเขามารับหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามาชัวร์โทร.ติดต่อกันแล้ว ผมจึงตัดใจจากพระกริ่งก็เลยตกลงเช่าพระอุปคุตกับพระชัยก้นเดือยจากเขา แต่ไม่ได้พกเงินมาพอจึงบอกเขาว่าเดี๋ยวไปกดตังค์ให้นะ จากนั้นก็ไปกดเงินมาพอดีกับราคาพระขณะกำลังจ่ายเงินปรากฏว่าเขานึกอย่างไรก็ไม่รู้ได้โทรศัพท์ไปหาคนที่จองพระกริ่งแล้วพูดว่า "มึ..มีพระกริ่งกี่กล่อง..หา..ตั้ง 3 กล่องแล้ว มึ..จะเก็บไปทำไมนัก มีพี่เขาอยากบูชา ให้เขาก่อนได้ไหม.." ผมแอบลุ้นอยูในใจ พอจบการสนทนา เขาก็บอกว่าได้พี่ ผมดีใจมากไม่สนใจเรื่องราคา ถามเขาว่าเท่าไรพี่ แล้วก็ควักตังค์เพิ่มจนหมดกระเป๋าพอดี ขี่มอเตอร์ไซค์ยิ้มกลับบ้าน.. ขนาดเสียตังค์นะเนี่ย สรุปวันนั้น ผมได้วัตถุมงคลหลวงปู่มา 3 ชิ้น คือ พระกริ่ง+พระชัย 1 กล่อง หมายเลข 2 ตัวต้นๆ +กันได้ 9 พอดี**เหรียญพระอุปคุตหมายเลขต้นๆ 1เหรียญ และ พระชัยก้นมีเดือย ตอกโค้ต นะ ที่ก้านเดือยทั้งหน้าและหลัง ผมดีใจมากครับ บ้านผมค้าขายรุ่งขึ้นผมพกพระอุปคุตและพระชัยก้นเดือยอาราธนาใส่กระเป๋าเสื้อ ปรากฏว่าขายของดีมาก ทำแต่เช้าถึง 2 ทุ่มจึงปิดร้าน ปกติปิด 1 ทุ่ม ไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะพระหลวงปู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือ รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูกครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SA500064.JPG
      SA500064.JPG
      ขนาดไฟล์:
      131.8 KB
      เปิดดู:
      177
    • SA500067.JPG
      SA500067.JPG
      ขนาดไฟล์:
      115.4 KB
      เปิดดู:
      141
    • SA500140.JPG
      SA500140.JPG
      ขนาดไฟล์:
      150.6 KB
      เปิดดู:
      127
    • SA500149.JPG
      SA500149.JPG
      ขนาดไฟล์:
      99.1 KB
      เปิดดู:
      143
  17. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    สวัสดีครับท่าน ธมฺมสิทโธ และสมาชิกทุกๆท่านเลยครับ โอ้โห..ข้อมูลเกี่ยวกับพยานาคแน่นหนามาก ผมอ่านเพลินเลยครับ :cool:

    เรื่องพยานาคที่วัดหลวงปู่นี้ ก็มีลูกศิษย์และญาติโยมหลายท่านเคยพบเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วจริงๆ และส่วนใหญ่ผู้ที่มีโอกาสได้พบมักจะเป็นผู้มาปฏิบัติที่วัดครับ สาธุ
     
  18. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981



    ก็มีบ้างครับ เรื่องนี้ผมเองขอยืนยันด้วยอีกคน เพราะผมเคยถามองค์หลวงปู่ท่านครับว่า ที่วัดเรานี้มีพญานาคอย่างที่เขาบอกอยู่ด้วยใช่ไหมครับ.. ท่านก็บอกว่า " มีสิ..ใต้พื้นที่ของวัดเทพฯ เป็นเมืองนาคราชเลย เมืองใหญ่มาก และนาคที่นี่เป็นภูมิสูงกว่าภูมิที่อื่น " และผมยังทราบอีกว่า พวกพญานาคนั้นได้มาทำบุญ มาฟังหลวงปู่สวดมนต์ และอนุโมทนาบุญกับผู้ที่มาภาวนาเสมอ อีกทั้งยังคอยรักษาพระเจดีย์ วิหาร กุฏิ พร้อมด้วยอานาบริเวณวัดให้ด้วย

    แต่เรื่องราวเหล่านี้ผมเองก็ฟังมามากมายจริงๆ รวมทั้งที่องค์หลวงปู่เล่าให้ฟังก็มีอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อสักครู่นี้ผมเองพิมพ์อยู่เกือบจะเสร็จอยู่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ที่มีโอกาสได้พบกับพญานาคที่วัดจริงๆ และผู้ที่ได้ยินเสียง และเรื่องราวต่างๆมากมาย กำลังจะส่งอยู่ อยู่ดีๆระบบก็ขัดข้อง กลับไปที่หน้าก่อนนี้เองเฉยเลย ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี สงสัยยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยมากนัก 55 ก็เลยขอยกเอาไว้คราวหน้าครับ แต่เอาป็นว่าเรื่องราวของพญานาคที่วัดเทพธารทองนี้ องค์หลวงปู่และท่านครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันเองว่ามีอยู่จริงครับ สาธุ



    .<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2012
  19. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981

    สวัสดีครับพี่ เฉียวฟง
     
  20. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    สวัสดีครับพี่ Paiboon K โชคดีมากเลยครับที่ได้ของดีๆแบบนี้ ยินดีด้วยนะครับ เป็นของหายากทั้งหมดเลย พระชัยวัฒน์แบบมีก้านนี้ จะมอบให้กับผู้ที่มีส่วนร่วมสร้างและบริจาคมวลสารแต่จองพระกริ่งแบบชุดไม่ทัน ก็จะมอบพระแบบไม่ตัดก้านให้ไปแทน เพื่อเป็นที่ระลึก ซึ่งมีอยู่น้อยมากครับ มีทั้งตอกโค๊ตและไม่ตอกโค๊ตครับ



    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...