เรื่องเด่น ไขปริศนา 10 ข่าวดังระดับโลกทำให้ โลกแตก ได้จริงเหรอ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chate_SP, 13 มิถุนายน 2011.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลุมดำใจกลางทางช้างเผือกเล็กกว่าที่เคยคิด
    Milky Way’s Big Black Hole Gets Downsized
    November 9<SUP>th</SUP>, 2005
    ที่ม: www.space.com
    Access : A size of |[sim]|1|[thinsp]|au for the radio source Sgr A|[ast]| at the centre of the Milky Way : Nature

    ผลงานวิจัยชิ้นใหม่ ทำนายว่าหลุมดำซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนกลางของดาราจักรทางช้างเผือกอาจมีขนาดน้อยกว่าที่เคยคิดกัน
    หลุมดำคือเทหวัตถุความหนาแน่นสูงและมีมวลมหาศาล จนแรงโน้มถ่วงของมันสามารถบิดอวกาศจนแสงไม่สามารถหลุดออกมาได้ การคำนวณขนาดของหลุมดำหรือขอบเขตที่เรียกกันว่า “ขอบฟ้าเหตุการณ์(Even Horizon)” นั้นถูกประมาณไว้กว้างๆ ที่ระยะระหว่างดวงอาทิตย์ถึงดาวพุธ ไปจนถึง ระยะระหว่างดวงอาทิตย์ถึงดาวพลูโต


    [​IMG]
    ภาพจำลองโดยคอมพิวเตอร์แสดงเงาของขอบฟ้าเหตุการณ์ Sgr A* เมื่อมองจากโลก
    Credit: Eric Agol/ Univ. Washington
    ปีที่แล้ว นักวิจัยคำนวณว่ารัศมีขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำมวลมหาศาล(Supermassive Black hole) Sgr A* อาจมีขนาดพอๆ กับ วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ โดยใช้Very Long Baseline Array(VLBA) ซึ่งเป็นเครือข่ายของกล้องโทรทรรศน์วิทยุ 10 ตัว กระจายอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกา ทำการประมวลผลภาพจากสัญญาณวิทยุความยาวคลื่น 3.5 มิลลิเมตร ได้ประมาณ 93 ล้านไมล์ (ใกล้เคียงระยะจากโลกถึงดวงอาทิตย์, 1 AU) ซึ่งต่างจากการวัดด้วยคลื่นวิทยุความยาวคลื่น 7 มิลลิเมตร เมื่อปี 2547 ครั้งนั้นวัดได้ 2 AU.

    [​IMG]
    ขนาดขอบฟ้าเหตุการณ์ของ Sgr A* เมื่อ เปรียบเทียบกับระบบสุริยะ

    นอกจากขนาดแล้วยังคำนวณความหนาแน่นได้ 6.5 x 10^21 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ต่อลูกบาศก์พาร์เซค รายละเอียดสามารถอ่านได้ในนิตยสาร Nature ฉบับวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548
    Sgr A* วางตัวอยู่ ณ ใจกลาง ดาราจักรทางช้างเผือก ห่างจากโลก 26,000 ปีแสง คาดกันว่ามันมีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์ 4,000,000 ดวง ภายในปริมาตรขนาดเล็ก มันจะเป็นวัตถุอื่นไปไม่ได้นอกจาก “หลุมดำ” อย่างไรก็ดี นักทฤษฎีหลายคนยังเสนอแนวคิดที่ต่างออกไป นั่นคือ Sgr A* อาจเป็นกระจุกของดาวนิวตรอนซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว นับล้านดวงก็ได้ หากเป็นเช่นว่าพวกมันจะคงสภาพกระจุกดาวอยู่ได้ราว 20,000 ปี และในบั้นปลายอาจยุบรวมกันเป็นหลุมดำ หรือแยกย้ายกระจายกันไปในอวกาศ

    [​IMG]
    Sgr A* ซึ่งคาดว่าเป็นหลุมดำมวลมหาศาล (Super massive Black hole) ภาพจากการสังเกตการณ์ในช่วงรังสีอินฟราเรดใกล้ credit: graphics_and_animations [LISA International Science Team]

    หาก Sgr A* เป็นหลุมดำมวลมหาศาล เช่นเดียวกับหลุมดำมวลมหาศาลในดาราจักรอื่น มันจะต้องมีลำมวลสารความร้อนสูงพ่นออกมาที่เรียกว่า “Particle Jets” เป็นสิ่งยืนยันความเป็นแกนกลางดาราจักรของมัน แต่ว่าลำมวลสารที่ตรวจพบใกล้ๆ Sgr A* นั้นดูเหมือนว่าจะริบหรี่และสั้นกว่าหลุมดำมวลมหาศาลของดาราจักรอื่นๆ อยู่มาก
    ผลจากการวัดรัศมีขอบฟ้าเหตุการณ์ของ Sgr A* ช่วยยืนยันขอบเขตของหลุมดำ และความเป็นหลุมดำมวลมหาศาลของมัน
    ขอบฟ้าเหตุการณ์ไม่สามารถวัดได้โดยตรง แต่นักดาราศาสตร์คาดว่าเมื่อกล้องโทรทรรศน์มีความละเอียดมากพอจึงจะวัดได้ โดยพยายามมองว่า วงกลมมืด หรือ “เงา” ที่เกิดจากการแผ่รังสีจากวัตถุเบื้องหลังหลุมดำแล้วถูกดูดเข้าไปในเขตขอบฟ้าเหตุการณ์ ทำให้เกิดเป็นวงแหวนสว่างล้อมรอบวงกลมมืดอันเนื่องมาจากการหักเหของแสง ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ขนาดของขอบฟ้าเหตุการณ์ และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า มีหลุมดำ ณ ใจกลางทางช้างเผือก

    แปลโดย วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

    ข่าวด้านอวกาศ และดาราศาสตร์<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="90%" border=0><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#cccccc colSpan=2>พบแหล่งกำเนิดของรังสีคอสมิคหลังจากพยายามหามา100ปี</TD></TR><TR><TD vAlign=top width="30%" rowSpan=3>[​IMG] </TD><TD vAlign=top width="70%">รังสีคอสมิคเป็นรังสีที่มีพลังงานมากที่ระดมตกลงมายังโลก ซึ่งนับว่าเรายังโชคดีที่มีบรรยากาศคอยดูดซับรังสีนี้อยู่แต่ก็ยังมีหลงเหลือวิ่งผ่านตัวเราวันละหลายพันลูก นักดาราศาสตร์ไม่ทราบถึงแหล่งกำเนิดของรังสีนี้แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากการระเบิดของดวงดาวที่สิ้นอายุ(Supernova)
    รังสีดังกล่าวคือรังสีแกมม่า ความแรงของมันแรงกว่ารังสีเอ็กซ์เรย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลล้านล้านเท่า จึงไม่มีอุปกรณ์อะไรตรวจจับมันได้ แต่รังสีนี้ทำให้เกิดประกายอ่อนๆของแสงสีน้ำเงินเมื่อกระทบบรรยากาศซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Cherenkov แต่แสงนี้มีอายุสั้นมากเพียงหนึ่งในล้่านของวินาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถถ่ายภาพมันออกมาได้ และเป็นไปตามที่คาดไว้คือมันเกิดจากการระเบิดของดวงดาวนั่นเอง
    Nature Journal
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right colSpan=2>4-Nov-2004 21:48:30 สุรพล</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ˹<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลุมดำมหัตภัยแห่งจักรวาล : Black Hole [หน้า 2/2]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD class=style83 width=430>
    ข้อพิสูจน์อิทธิพลหลุมดำ ทำให้แสงโค้งงอ

    วัตถุหนึ่งวัตถุใด หากต้องให้มีความปลอดภัยจากหลุมดำ ต้องโคจรอยู่นอกเขตOuter event horizon ของหลุมดำ โดยในอวกาศเต็มไปด้วย หมู่ดาว เคลื่อนตัวโคจรยึดเหนี่ยวกันอย่างมั่นคง รวมถึงตัวของเราบนโลกด้วย

    แต่ระบบทั้งหมดสามารถ ถูกเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยอำนาจแรงดึงดูด ของหลุมดำได้อย่างง่ายดาย ตำแหน่งแสงเมื่อส่องผ่านเข้าใกล้บริเวณหลุมดำ จะสะดุดหยุดลงและหลีกไม่พ้น

    ส่วนแสงจาก กระจุกกาแล็คซี่ อยู่ห่างไกล เริ่มต้นแสงที่ส่องผ่านจะคืบหน้าเข้าไปที่ละน้อยสู่หลุมดำ แต่ไม่สะดุด แต่เริ่มโค้งงอด้วยแรงดึงดูด มีการเปลี่ยนแปลงผิดส่วน (Distorted) บูดเบี้ยวเกิดขึ้นหรือคล้ายกับภาพ ซ้อนไปซ้อนมาแบบผิดรูปเพราะแสงที่ส่องผ่านหลุมดำ มีความโค้งงอมายังเรา

    ตามทฤษฎี General relativity แสดงข้อพิสูจน์เรื่องแสง ทำให้วัตถุบิดเบี้ยวโค้งงอจากแรงโน้มถ่วง เรียกว่า Gravitational lensing แสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ก็แสดงผลเช่นนั้นแต่น้อยมาก เนื่องจากมีระยะใกล้สามารถใช้เครื่องมือวัดได้ แต่ หากยิ่งไกลมากจะเห็นได้ชัดมากขึ้นของความโค้งงอ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=300>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=60>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=60>
    Abell 2218 Galaxy Cluster Lens ขนาด 3 พันล้านปีแสง กระจุกกาแล็คซี่
    ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นความโค้งของแสง จากการผ่านหลุมดำ
    ด้วยแรงโน้มถ่วงเกิดจากหลุมดำที่มีทั่วไปจำนวนมากในจักรวาล​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=440>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=60>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=60>
    Giant Cluster Bends ทั้งหมดกาแล็คซี่จริงๆ มีเพียงอย่าง
    ละกาแล็คซี่เท่านั้นแต่ในภาพซ้ำซ้อนอยู่หลายตำแหน่ง
    จากการบิดเบี้ยวของแสงผ่านอิทธิพลหลุมดำหลายๆแหล่งก่อนถึงเรา ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20>
    </TD><TD class=style83 width=430>
    เมื่อหลุมดำชนปะทะกันเอง

    การเข้าใกล้กันระหว่างหลุมดำ มีความเป็นไปได้ที่หลุมดำชนปะทะกัน โดยจะไม่ดูดกลืนกันเอง แต่กลับรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มพื้นที่อย่างสุดขั้ว น่าอัศจรรย์

    ขณะนี้เพียงเป็นการวิเคราะห์ จากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พบว่ามีพลังงานมหาศาลน่าสยดสยอง เกรงขาม ด้วยการส่งต่อกระเพื่อมไปยัง โครงสร้าง Space-time เรียก ว่า Gravitational waves (คลื่นแรงโน้มถ่วง)

    แม้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยสำรวจพบ เรารู้ว่าเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่ของจักรวาลต่อการการชนกันของหลุมดำ ตามหลักการ แสดงถึงการหมุนเข้าหากันได้ จนถึงกันชนปะทะรวมตัวกัน

    จากทฤษฎี General relativity ความเข้าใจเรื่องนี้มีการทบทวนถึงผลกระทบต่ออวกาศ แต่ต้องใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ เพื่อตรวจจับหาค่าใช้เวลานับปีขณะนี้อยู่ในระหว่างการสร้างเพื่อ การตรวจจับคลื่นแรงโน้มถ่วงเป็นครั้งแรกของโลก ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=450>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=20><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=40>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=40>
    การชนกันของหลุมดำ ด้วยการโคจรแบบ
    Black hole binary (โคจรระบบคู่ เป็นตุ้มถ่วงกัน)​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20>
    </TD><TD class=style83 width=430>
    อายุขัยของหลุมดำ

    เดิมทีเดียวเราไม่เคยรู้จักหลุมดำ ว่าเกิดจากอำนาจแรงโน้มถ่วง แต่เมื่อเกิดการทำลายล้างผลาญจากหลุมดำ ด้วยการหายไป ลดถอยไป ของพลังงานในจักรวาล

    ค.ศ.1974 นักฟิสิกส์ได้ใช้กฎเกณฑ์ Quantum mechanics ศึกษาทำให้ทราบถึงแหล่งพื้นที่ใกล้ๆวงขอบของหลุมดำ เชื่อว่าอนุภาคที่เล็กจิ๋วและแสงเกิดขึ้นนั้นได้ สูญสิ้นถูกทำลาย ย่อยเล็กลงในหลุมดำอย่างไม่ขาดสายต่อเนื่อง บางครั้งแสงซึ่งเล็กมากหนีหลุดพ้นจากการทำลาย สู่ด้านนอกหอบเอาพลังออกมาด้วยจนวงรอบ
    นอกเรืองแสง เป็นการทำให้หลุมดำ ลดอำนาจลงในที่สุด

    แต่ต้องประหลาดใจ ด้วยหลุมดำ มีระบบกำเกิดในจักรวาลได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับหลุมดำแล้ว การมีอุณหภูมิสูง จนเหลือเป็นศูนย์ มีปัญหาของการสูญเสียพลังงานเล็กน้อยเท่านั้น หลุมดำต้องใช้เวลานาน แบบนึกไม่ออกเลยว่านานเท่าใดจึงทำให้สูญเสียมวลพลังงานได้ทั้งหมด ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=297>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    แสงที่เกิดขึ้นรอบๆ เป็นบางส่วนของพลังงานหลุดไหลจากหลุมดำ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20>
    </TD><TD class=style83 width=430>
    จักรวาลมีหลุมดำมากน้อยเท่าใด

    หลุมดำ เป็นระบบท้ายสุดของจักรวาล เท่าที่เราทราบในขณะนี้ ด้วยเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจากการสำรวจเป็นเรื่องยากลำบาก การสำรวจทราบจากการสืบค้นรอบๆของหลุมดำ เชื่อว่ามีจำนวนมากมหาศาลจากสมมุติฐานดังนี้

    หลุมดำประเภท Stellar-mass black holes เกิดขึ้นหลังจากฉากสุดท้ายของดาวกาแล็คซี่ ของเรามีดาวไม่น้อยกว่า 100 พันล้านดวง ถ้าเทียบว่า ทุกๆ 1,000 ดวง มีความหนาแน่น พอที่จะเกิดหลุมดำได้ 1 แห่ง นั้นหมายความว่าต้องมี 100 ล้าน แห่ง แต่ในประเภทนี้ การสำรวจพอจะระบุได้เพียง 12 แห่ง โดยจุดที่ใกล้ที่สุดห่างจากโลก 1,600 ปีแสง

    หากรวมกาแล็คซี่ในจักรวาล จำนวนมากกว่า 100 พันล้าน ต้องมีหลุมดำประเภทStellar-mass black holes อีกมหาศาล

    หลุมดำประเภท Supermassive black holes เชื่อว่ามีระหว่าง 100 พันล้านแห่งโดยสำรวจทราบว่าอยู่ในใจกลาง Milky Way Galaxy จำนวน 1 แห่ง ห่างจากโลก 26,000 ปีแสง ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=338>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    เครื่องมือที่ใช้สำรวจหลุมดำในอวกาศขณะนี้ ( ค.ศ.2007)​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=310>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    หลุมดำ GRO J1655-40 ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20>
    </TD><TD class=style83 width=430>
    หลุมดำที่สำรวจพบ

    หลุมดำ GRO J1655-40 ประเภท Stellar-mass black holes หมุนโคจรท่องไปในทางช้างเผือกตามแนวเส้นสีเหลือง ด้วยความเร็ว 400,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    หลุมดำ XTE J1118+480 ประเภท Stellar-mass black holes พบจุดศูนย์กลางพลังสูงมีระบบ Black hole binary system บางครั้งเรียกว่า X-ray nova เพราะมีการเปลี่ยนแปลงจู่ๆ ระเบิดขึ้นยาวนานติดต่อกัน 7.5 ชั่วโมง จากที่สงบนิ่งมีระยะ
    ทางห่างจากโลก 5,000 ปีแสง เส้นสีแดงแสดงเส้นทางโคจรที่สืบค้นพบระยะทางผ่านมาเป็นเวลา 230 ล้านปี จุดสีเหลืองคือตำแหน่งดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ

    Galactic Center (Sgr A*) ใน Milky Way Galaxy ประเภท Supermassive black holes บริเวณตำแหน่งห่าง จากจุดศูนย์กลางทางช้างเผือก 10 ปีแสง มวล หนาแน่น 4 ล้านเท่า ของดวงอาทิตย์ เป็นสภาพกลุ่มหมอกของก๊าซร้อนอุณหภูมิ สูงระดับ 1,000,0000 องศา รอบๆหลุมดำ โดย Shock waves เกิดจากการระเบิดตัวของ Supernova พุ่งชนปะทะกับดาวใหม่ ที่มีมวลหนาแน่นอยู่ห่างจากโลกระยะทาง 26,000 ปีแสง​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=232>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    หลุมดำ XTE J1118+480 ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=384>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    ภาพจริงของหลุมดำ XTE J1118+480​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=481>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    บริเวณ Galactic Center (Sgr A*) Milky Way Galaxy ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=300>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    ภาพบริเวณหลุมดำ Galactic Center (Sgr A*) Milky Way Galaxy​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20>
    </TD><TD class=style83 width=430>
    มหัตภัยจากหลุมดำ

    แน่นอนในจักรวาลมีมากมายนับจำนวนไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดหลุมดำบริเวณ Milky Way Galaxy ยังไม่ใกล้พอที่จะทำอันตรายต่อโลก โดยความจริงหลุมดำมีมานานแล้ว การสำรวจตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพบหลุมดำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยเทคโนโลยีด้านเครื่องมือที่ทันสมัยขึ้น

    หลุมดำเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อยานอวกาศ ที่ผ่านเข้าสู่เขตรัศมี จะอันตรธานหายไปในทันที ด้วยการเกิดแสงวาวขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หากตัวเราหลุดเข้าสู่หลุมดำ ท่าที่หลุดเข้าสู่หลุมดำเป็นท่าเหยียดตรง อย่างรวดเร็ว

    หากส่วนขาเข้าสู่หลุมดำก่อน ขาจะแข็งทื่อด้วยแรงกดอัดก่อนศีรษะ หลังจากนั้นร่างกายถูกฉีกขาดจากกัน เพียงเสี้ยววินาทีตัวเราหายไปทันที ถูกบีบอัดจนแบนสู่สู่จุดศูนย์กลางด้านใน (จุดพิศวง)

    กรณีศึกษา เมื่อมีวัตถุเข้าใกล้หลุมดำสามารถวิเคราะห์สถานะจะเกิดได้ดังนี้ ถ้าวัตถุนั้นเคลื่อนตัวช้า จะถูกดูดกลืนม้วนเข้าไปเหมือนเกลียวสู่หลุมดำถ้าวัตถุนั้นเคลื่อนตัวมีความเร็วปานกลางจะถูกดูดหมุนเวียน อยู่รอบๆปากหลุมดำ ถ้าวัตถุนั้นเคลื่อนตัวมีความเร็วสูง ต้องหมุนหนีเป็นวงกลม ย้อนออกด้านนอกจึงจะได้เปรียบ และต้องมีระยะห่างไกลด้วยจึงจะพ้นแรงดูดกลืนได้

    แต่ระบบสุริยะ ดวงอาทิตย์ โลก ดาวเคราะห์ต่างๆ หนีไม่พ้น เพราะทั้งหมดของระบบสุริยะเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็ว 67,000 ไมล์ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นคงไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดพ้นอำนาจของหลุมดำได้​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=343>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    เส้นสีฟ้าแสดงเส้นทางการถูกอิทธิหลุมดำดูดกลืน​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>
    </TD></TR><TR><TD width=450 height=415>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25>
    </TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    สภาพอันตรายของหลุมดำ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>Black Hole - 02</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อธิบายเรื่อง รังสีจักรวาล : Cosmic rays
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450 height=334><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=300>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    พลังงานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ มีมากมายเริ่มจากพลังงานของ ดวงอาิทิตย์ ซึ่งส่งอิทธิพลมากยังระบบต่างๆของโลก ถัดมาพลังงาน สนามแม่เหล็กโลกก็มีอิทธิพลกับมนุษย์ เป็นต้น ยังมีความเข้าใจน้อยในทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับพลังงานระดับสูงที่หลุดรอด จากจักรวาลอันไกลโพ้น แน่นอนว่า ถ้าเข้าใจพลังงานเหล่านี้ อาจ
    จะนำมาใช้ประโยชน์กับมนุษย์บนโลก

    การเข้าใจ พื้นฐานพลังงานที่เรารู้จักบนโลก

    ก่อนอื่น ต้องมาทำความเข้าใจว่า รูปแบบของพลังงานที่รู้จัก อาจน้อยกว่าความจริงที่มีอยู่อโดยเฉพาะในหลักการ ทางวิทยาศาสตร์ ที่คุ้นเคยทราบว่าสสารและพลังงาน เป็นสิ่งที่คู่กันและสามารถเปลี่ยนสถานะได้ เช่น

    น้ำเป็นของเหลว เมื่อได้รับความร้อนก็เปลี่ยนสถานะเป็นก็าซ แต่เมื่ออุณหภูมิลดต่ำจนเย็นจัดอก็สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เช่น น้ำแข็ง เป็นต้น จากการที่เปลี่ยนแปลงสถานะได้ มองเห็นจากลักษณะรูปทรงปรากฎของเหลว (เห็นเป็นน้ำ) ของแข็ง (เห็นเป็นก้อนน้ำแข็ง) และก็าซ (เห็นเป็นไอ)

    ทุกกรณีดังตัวอย่าง คือ สสาร การเป็นสสารก็สามารถแสดงพลังงานให้ประจักษ์ได้ ทุกสถานะที่เคลื่อนไหว หากมีปริมาณมากเพียงพอก่อให้เกิดพลังงานรูปแบบต่างๆ ที่อันตราย และเป็นประโยชน์มากมายได้เช่นกัน​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=457>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style94 width=450 bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    แผนภูมิลักษณะรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารทำให้เกิด พลังงานธรรมชาติบนโลก​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20 height=10></TD><TD class=style83 width=430 height=10></TD></TR><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    อะตอม หน่วยย่อยของอนุภาค เป็นสสาร
    ที่มี พลังงาน ที่เรามักคิดไม่ถึง

    ในชั้นเรียนคำว่า อะตอม ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ ทุกคนรู้จักกันดีว่ามีอยู่ทุกหนแห่งแม้แต่ในตัวเรา ในน้ำดื่ม อากาศที่เราหายใจ อาหารที่เรารับประทานในทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเอง จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา

    อะตอม มี Electron ขนาด 0.000549 amu และมีชนิดที่แตกต่างกันของอนุภาคมากกว่า 2,000 ชนิด มีพื้นฐานสำคัญ 4 ส่วนคือ

    1. Gravitational (แรงโน้มถ่วง)
    2. Electromagnetic (แรงสนามแม่เหล็ก)
    3. Nuclear strong (แรงนิวเคลียร์ชนิดเข้ม)
    4. Nuclear weak (แรงนิวเคลียร์ชนิดอ่อน)

    ด้วยแรงทั้ง 4 แรงนี้จะยึดเกาะกัน นับจากจุดเล็กๆครอบคลุมกันไปทั้งจักรวาลทำให้เกิดพลังงาน หากขาดแรงหนึ่งแรงใดไปผลที่จะเกิดคือ โลก ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ จักรวาล ก็จะแตกระเบิด ออกจากกัน

    อาจพอสรุปได้ว่า พลังงานทุกชนิดมีพื้นฐานแบบเดียวกันหมด ในมิติแบบ 4 มิติเช่นบนโลก แต่อาจมีข้อต่างในมิติที่ต่างกัน ในจักรวาลอื่น เช่นตัวอย่างในแบบเครือข่ายหลายจักรวาล (Multiverse) ซึ่งบางมิติมีเงื่อนไขของแรง มากกว่าหรือน้อยกว่าที่โลกรู้จัก และยังไม่มีข้อพิสูจน์ในทางทฤษฎี

    อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงกันของอะตอมไปทั่วจักรวาล นั้นเป็นหลักการที่พอ สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าเป็นจริง เพราะมีหลักฐานจากสืบค้นระบบจักรวาล (Mission to Universe)
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=234>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style98 width=450 bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    ชนิดของอนุภาค มีความแตกต่างกัน กว่า 2,000 ชนิด และอาจพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=300>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style98 width=450 bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 height=25></TD><TD class=style98 width=440 height=25>
    อนุภาคแต่ละชนิด ก็จะแสดงอยู่ในแต่ละกลุ่มของแรง แต่ละชนิด ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=336>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=45></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=45>
    อนุภาคพลังงานโยงใยเชื่อมต่อกัน ระหว่างดาวแต่ละดาว ดาราจักรสู่อีกดาราจักร คล้าย
    สายเคเบิล (เส้นใยเล็กๆที่มองไม่เห็น) อย่างไม่รู้จบ มีระยะทางไกลอย่างไม่มีข้อจำกัด ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    อนุภาคไม่มีขอบเขตการเชื่อมโยง บางชนิดมองไม่เห็น
    บางชนิดหาไม่พบ บางชนิดเราก็ยังไม่เข้าใจในขณะนี้

    ด้วยความไม่มีขอบเขตของจักรวาล ข้อเท็จจริงนั้น มนุษย์ต่างหากเป็นผู้กำหนดขอบเขตขึ้นในทางกายภาพ เช่น ระบบสุริยะในทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)จักรวาลเองไม่มีรั้วกั้น แต่ มีการเชื่อมโยงกัน อย่างกว้างขวางและไกลของพลังงานที่มองไม่เห็น ในรูปแบบแรงโน้มถ่วง

    นอกจากความกว้างไกลแล้ว อาจยังเชื่อมโยงด้วยอนุภาคที่มองไม่เห็นไปสู่มิติอื่นมิติเหล่านี้ อาจมีข้อจำกัดสำหรับตัวมนุษย์ ที่จะอธิบายทางวิทยาศาสตร์ในขณะนี้ เพราะมองไม่เห็น ซึ่งเรียกว่า จักรวาลที่มองไม่เห็น (Invisible universal)

    การที่กล่าวไว้ว่า สสารคือพลัง และสสารต้องมีที่อยู่ เช่น สถานะต่างๆ แต่รูปแบบของ Cosmic rays ก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น ด้วยการเป็นพลังงานในรูปแบบของรังสีที่เรามองไม่เห็นที่อยู่ของอนุภาค หากจะใช้คำว่า มีความว่างเปล่า แต่ไม่ว่างเปล่าก็ได้ซึ่งต่างไปจากที่เราเข้าใจ

    นอกจากนั้น พลังงานทั่วไปไม่ได้มี เพียง 3 สถานะ ยังมีความสามารถในสถานะอื่นๆอีกมาก เช่น สถานะ Plasma (พลาสมา) มีคุณสมบัติก๊าซร้อนเดือดพล่านสถานะนี้ในระบบสุริยะ พบได้ 2 แห่ง คือ ชั้นบรรยากาศของโลกและดาวพฤหัส เท่านั้น หรือ สถานะ Plasma Electron เป็นการบิดตัวของสนามแม่เหล็กก็าซ
    (Magnetized gas) พบได้ในควอซาร์ (Quasar) นับว่าเป็นแหล่งสุดยอดของพลังงานไกลโพ้น และเก่าแก่ที่สุดของจักรวาล

    อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกในความสามารถคิดเครื่องมือได้ในอนาคตเพื่อเห็นสิ่งที่ซ้อนเร้นอยู่ ดังเช่น จากอดีตมนุษย์ไม่เคยเห็นว่าภายในร่างกายตนมีอะไรอยู้บ้าง ยกเว้นผ่าออกมาดู สิ่งของหลายอย่างที่บรรจุ ในกระเป๋าเดินทางไม่มีใครรู้ แต่การที่มีเครื่อง X-ray ทำให้เห็นภาพภายในได้ อย่างถูกต้องเพียงแต่การคุ้นเคยกับเครื่องมือดังกล่าว จึงไม่ตื่นเต้นและสงสัยในการเห็นแบบนั้น
    ทำนองเดียวกัน การเห็นและตรวจสอบหา พลังงานที่มองไม่เห็นไม่ใช่เรื่องยากซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถวัดหาค่าและวิเคราะห์ได้

    (หมายเหตุ : Plasma ที่กล่าวในที่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับที่อยู่ในเลือดของมนุษย์)


    คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ของ Cosmic rays
    หรือ รังสีจักรวาล หรือบางคนอาจเรียกว่า พลังจักรวาล

    อะไรคือ Cosmic rays
    ---------------------


    เป็นขบวนการเปลี่ยนแปลงของอนุภาค (Protons และ Nuclei ของอะตอม) โดย กลุ่มอนุภาคเหล่านี้มาจากห้วงอวกาศ มีค่าพลังงานมากกว่า 2,000,000,000 eV (electron volts - เป็นหน่วยการวัดอนุภาค หากวัดโมเลกุล ในห้องที่นั่งอยู่ทั่วไป
    จะมีค่า 1/40 eV)

    อนุภาค Cosmic rays มีอยู่ทั่วไปบริเวณ เหนือชั้นบรรยากาศของโลก เรียกว่าPrimary Cosmic rays (รังสีจักรวาลปฐมภูมิ)แต่หากอนุภาคนั้น ตกลงพื้นโลกเรียกว่า Secondary Cosmic rays (รังสีจักรวาลทุติยภูมิ)

    เบื้องต้น Cosmic rays เกิดจาก Ultra-penetrating Gamma raditation (การแผ่รังสี ระดับคลื่น Gamma ซึ่งมนุษย์มองเห็นไม่เห็น แต่สามารถใช้เครื่องมือ วิทยาศาสตร์ตรวจจับได้) หลังจากนั้น มีขบวนการของอนุภาค Nentrinos เข้ามาเกี่ยวข้อง

    สามารถมองเห็น Cosmic rays ได้เหนือชั้นบรรยากาศของโลก เหมือนสายฝนเม็ดเล็กๆกำลังพุ่งไหลรินเข้าสู่โลก มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมไปทั่วฟ้าขณะเดียวกัน Cosmic rays เข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกก็จะรวมตัวกับ Oxygen หรือ Nitrogen เกิดการเสื่อมสลายของ Electrons ค่าพลังงานจึงลดลง

    Cosmic rays ความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสง มีพลังสูงมาก (Very high energy) มีคุณสมบัติสามารถกระตุ้นอนุภาคต่างๆ ในธรรมชาติที่อยู่ในโลก ในสัตว์ สิ่งของต่างๆ และอนุภาคที่อยู่ในมนุษย์ได้ โดยมีพลังสูงสุด ระดับมากกว่า 1,000 ล้านเท่าของอนุภาคทั่วไปที่พบบนโลก

    การสำรวจพบ Cosmic rays
    --------------------------

    ทางวิทยาศาสตร์ สำรวจพบ Cosmic rays ครั้งแรกในปี ค.ศ.1912 ต่อมาปี ค.ศ. 1927 สามารถเห็น Cosmic rays แบบ Cloud chamber (ขบวนการเปลี่ยนแปลงรูปเป็นลูกโซ่ มีปฎิกิริยาหมุนวนเคลื่อนตัวอย่างเป็นระบบ คล้ายกับการออกแบบทางเรขาคณิต)

    หลังจากนั้นมาจนกระทั่ง ค.ศ. 1938 มีการสำรวจพบ Cosmic rays ในรูปแบบExtensive air showers (การไหลรินเหมือน สายฝนที่ยืดขยายกว้างใหญ่จากอวกาศ)

    ค.ศ. 1949 เกิดทฤษฎี Fermi's theory of cosmic rays ยอมรับเรื่อง Cosmic rays ของนักวิทยาศาสตร์ และนักจักรวาลวิทยา​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style98 width=450 bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=45></TD><TD class=style98 bgColor=#333333>
    แสงสีส้มคือ Laser ที่ชี้ขึ้นไปจากโลก ปลายแสงคือ บริเวณ Galactic Center
    ของทางช้างเผือกมองจากโลก (ประเทศชิลี)​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD width=430>
    Cosmic rays มีแหล่งที่มาจากไหน
    ---------------------------------

    การสำรวจทางวิทยาศาสตร์มีระยะเวลาเพียง 90 กว่าปีที่ผ่านมานับว่าสั้นมาก ระยะต้นใช้วิธีสำรวจโดยบอลลูน ภายหลังสามารถใช้ดาวเทียมตรวจสอบขณะนี้มีข้อมูลไม่มากนัก

    Lower-energy Cosmic ray (รังสีจักรวาลชนิดเบาบาง) เกิดจากดวงอาทิตย์ของเราโดยถูกพัดพามากับ พายุสุริยะ แต่เชื่อว่า Cosmic rays เกือบทั้งหมดมาจากนอกดาราจักรทางช้างเผือก ด้วยข้อมูลการสำรวจของดาวเทียมตรวจพบ Compon Gamma ray (คลื่นรังสีที่ไม่มีแหล่งกำเนิด ในดาราจักรทางช้างเผือก)

    ทางวิทยาศาสตร์ ยอมรับว่า ในดาราจักรช้่างเผือก มี Cosmic rays เช่นกัน ด้วย การเกิดจากก๊าซ ของกลุ่มดาวต่างๆ ที่ไหลท่วมออกมาจาก Galactic Center ซึ่งมีระยะทางห่างจากโลกนับหมื่นปีแสง โดยยังไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็น รังสีจักรวาลชนิดที่เบาบางมาก

    Highest-energy cosmic rays (รังสีจักรวาลชนิดเข้มข้นสูง) ก็ยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ เชื่อว่าน่ามาจากส่วนนอก ของดาราจักรทางช้างเผือกหรือที่อื่นจากระยะไกลมาก มีข้อสันนิฐานว่า อาจจะมีแหล่งกำเนิด บริเวณ Radio galaxy hot spots และ Active galactic nuclei (AGN) jets ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    Radio galaxy hot spots (จุดพลังงานเด่น ของกาแล็คซี่คลื่นวิทยุ) ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=360>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 bgColor=#333333>
    Active galactic (ใจกลางกาแล็คซี่ มีศักยภาพความแข็งแกร่งของสนามแม่เหล็กเข้มข้น) ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD width=430>
    Cosmic rays มีพลังงานมากเพียงใด
    ----------------------------------

    เรื่องการเกิดของ Cosmic rays มีความเป็นไปได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเกิดจาก อภิมหานิวเคลียร์จักรวาล (Supernovas & Supernova Remnants) ด้วยการอย่างระเบิดอย่างสุดขั้ว ทำให้เกิดการกระเพื่อมตัว ของสนามแม่เหล็กอย่างรวดเร็ว

    มีปฏิกิริยาทำให้อนุภาคเกิดการเปลี่ยนแปลง โดย Nuclei gain (แกนในพลังงาน) ของอนุภาค Cosmic rays เกิดการชนกันจากปฏิกิริยาดังกล่าว มีผลกระทบไปสู่การสะท้าน ของสนามแม่เหล็ก (Magnetic shock) และชะงักโดยทันที่ทันใด

    เป็นลักษณะการกระดอน ระหว่างอนุภาคไปมา คล้ายกับการตีลูกปิงปอง ขณะที่กระดอนไปมานั้นทำให้ Nuclei gain เกิดพลังงานเพิ่มพูนขึ้น เป็นจำนวนมากเรียกว่า Magnetic shock acceleration (การเร่งอันตรกิริยาของสนามแม่เหล็ก)

    จากข้อมูลพบอนุภาค Cosmic rays วัดค่าได้อย่างน้อย 1,000,000,000 eV.(ต่อ1 อนุภาค) โดยเชื่อว่า Cosmic rays มีพลังงานสูงมากกว่า25,000,000,000 eV.
    หากเทียบกับความสามารถมนุษย์ สร้างเครื่องมือกำเนิดพลังงาน Accelerators ได้มากที่สุด ในทศวรรษนี้ อยู่ในระดับ 1,300,000 eV.

    การการไหลรินของอนุภาค เพียงไม่กี่อนุภาคต่อ 1 ตารางเมตร ก็มีค่าพลังมากมายจนนับไม่ถ้วนอาจเกิดต่อเนื่องเป็นปีๆ ยิ่งมีค่าพลังไม่รู้จบ เท่าที่การวิเคราะห์ Microwave background ค่ารังสีจากการระเบิดตัว ปรากฎขึ้นของจักรวาลในอดีต (Big Bang) และการวิวัฒน์อย่างสืบเนื่อง ของจักรวาล (A Process of cosmic
    evolution)
    พบว่า Cosmic rays มีความสามารถท่องอยู่ในจักรวาลในระยะเวลาตลอดทาง 150 ล้านปีแสง จึงสิ้นอายุขัย

    จากการตรวจพบอย่างเป็นทางการ ของนักวิทยาศาสตร์ บริเวณ Utah desertในปี ค.ศ. 1991 พบค่าเฉลี่ย Cosmic ray shower จำนวน 200 พันล้านอนุภาคข้อเท็จจริงหากนำค่าพลังงานมารวมกัน ในแต่ละวินาที แต่ละวันคงหาค่าได้อย่าง
    ไม่รู้จบ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=332>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    ตำแหน่งที่พบกลุ่มวัตถุในจักรวาลประเภท High Energy มากกว่า 100 กลุ่ม​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    การแสดงตัวของ Cosmic rays
    -----------------------------

    ทางเทคนิคพบว่า Cosmic rays แสดงตัวในชั้นบรรยากาศเรียกว่า Phenomenon of Atmospheric fluorescence (ปรากฎการณ์เรืองแสงวาวขาว ในชั้นบรรยากาศ)

    เหตุเพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลง โมเลกุลของอนุภาค เมื่อพุ่งเข้าใกล้โลกในชั้นบรรยากาศทำให้มีการถ่ายเทของโมเลกุลบางจำนวน เกิดผลกระทบ เรียกว่า Shaking up (การสะท้านหรือการสั่นไหว) โมเลกุลจึงตอบสนองปฎิกิริยาดังกล่าวด้วยการปล่อยแสงวาวออกมา

    หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาพปกติ จึงทำให้เห็นเป็นเกร็ดเล็กๆ วูบวาว สีเงิน สีทองหรือสีต่างกันไป ตามผลของ โมเลกุลแต่ละชนิดของก๊าซในบริเวณนั้นที่รวมตัวกัน​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=360>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=60></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=60>
    บางคนสามารถมองเห็น Cosmic rays ได้เหมือนเส้นขะยุกขะยิก ลอยอยู่ข้างหน้าสีขาว สีเงิน
    สีทอง เป็นเกร็ดแวววาว มีการเคลื่อนตัวไปมาคล้ายลูกน้ำ โดยถ้าเป็นบริเวณที่สูงยิ่งมองเห็นชัด
    เช่น บนภูเขาสูง บนเครื่องบิน (มองออกนอกหน้าต่าง) เพราะมีความชื้นในอากาศน้อยกว่า ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD class=style83 width=430>
    โครงการศึกษา และตรวจจับ Cosmic rays
    The Pierre Auger Observatory

    การเรียนรู้ธรรมชาติของ รังสีจักรวาลแบบ High-energy cosmic rays สามารถวัดได้ในอวกาศ โดยส่งเครื่องมือสู่ชั้นบรรยากาศของโลก เช่น ดาวเทียม หรือบอลลูนตรวจวัด โดยบรรดาอนุภาค พุ่งเข้าสู่โลกราวกับสายฝนเป็นพื้นที่กว้าง(Shower of particles)

    การตรวจจับ Cosmic rays ทางวิทยาศาสตร์ โครงการของสถาบัน The Pierre Auger Cosmic Ray Observatory โดยได้เริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ. 1992 ด้วยความร่วมมือจาก 280 นักวิทยาศาสตร์ ใน 70 สถาบัน ชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ของโลก ด้วยเงินทุน 50 ล้่านเหรียญ สถาบันมี 2 แห่ง

    ตั้งอยู่ที่เมือง alargüe จังหวัด Mendoza ประทศ Argentina และที่ Southeast Colorado, USA มีสถานีตรวจจับแล้ว 1,600 สถานี มีพื้นที่ ครอบคลุม 3,000 ตารางกิโลเมตรเพื่อทำการตรวจจับ High-energy cosmic rays จุดมุ่งหมายต้อง
    การทราบถึงแหล่งที่มาของ พลังจักรวาล ดังกล่าวให้ได้ภายใน 100 ปีนี้เพื่อตอบคำถามปริศนาดังกล่าว​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=338>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    ตำแหน่งสถานีตรวจจับ แบบ High-energy cosmic rays ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=473>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style94 width=450 bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 height=25></TD><TD class=style98 width=440 height=25>
    The Pierre Auger Observatory ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20 height=10></TD><TD class=style83 width=430 height=10></TD></TR><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    เทคนิคการตรวจจับทางวิทยาศาสตร์

    การแสดงตัว Cosmic rays ในชั้นบรรยากาศ เรียก Phenomenon Atmospheric fluorescence (ปรากฏการณ์แสงวาวในชั้นบรรยากาศ) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโมเลกุล ของอนุภาคเมื่อพุ่งเข้าใกล้ชั้นบรรยากาศโลก

    การดักจับอนุภาคบนพื้นโลก นักวิทยาศาสตร์ใช้ Blue fluorescence ติดตั้งไว้ในคืนเดือนมืด ปราศจากเฆมหมอกก็จะเห็น Cosmic raysบินว่อนทั่วท้องฟ้าได้เพราะหลอดชนิดดังกล่าวมีคุณสมบัติ สร้างโมเลกุลของ Nitrogenมีความไวของ
    แสงช่วยให้เห็นได้ง่ายขึ้น และติดตั้งกล้องไว้ด้วย เรียกวิธีนี้ว่า Photomultipliers หรือ Fluorescence Detector

    Cosmic rays มีความสามารถเคลื่อนตัว ด้วยความเร็วในสููญญากาศ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที เป็นเรื่องยากที่จะตรวจจับ แต่หากอนุภาคของ Cosmic rays วิ่งผ่านน้ำจะทำให้ความเร็วลดลง 70% ด้วยการชะงัก (Shock front) ทันทีพร้อมกับถ่ายพลังงานออก รอบๆเป็นรูปกรวย เป็นวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ดักจับวัดค่าพลัง
    งานได้ด้วยวิธี Surface detector station ซึ่งภายในมีแทงค์บรรจุน้ำอยู่ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    เครื่องตรวจจับอนุภาคแบบ Fluorescence Detector ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=300>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    สถานนีตรวจจับ วัดค่า Cosmic rays แบบ surface detector station ภายในเป็นแทงค์น้ำ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=283>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 bgColor=#333333>
    Surface detector station ปัจจุบันมีจำนวน 1,600 สถานี ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=0><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20 bgColor=#b0873a height=60></TD><TD class=style105 width=430 bgColor=#b0873a height=60>
    สามารถชมข้อมูล รายงานการตรวจจับ Cosmic rays แต่ละสถานี
    ของ Pierre Auger Observatory จำนวน 8088 เหตุการณ์
    ตั้งแต่ ปี 2004 - จนถึงเวลาปัจจุบัน ตาม Banner Link ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 bgColor=#b0873a height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=80>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 bgColor=#b0873a height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    นักจักรวาลวิทยา ตั้งประเด็นหาหนทาง
    และหลักฐานแหล่งที่มาของรังสีจักรวาล

    จากเหตุผลที่พลังงานแบบ Highest-energy cosmic rays แทบจะไม่ปรากฏผลกระทบต่อสนามแม่เหล็ก ก็ควรจะค้นหาแหล่งกำเนิดพลังงานดังกล่าว แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากสักเท่าใด เพื่อให้เงื่อนงำที่ลึกลับ แสดงความจริงออกมา

    ด้านวิชาจักรวาลวิทยา ทราบว่าจักรวาลมีโครงสร้างและกลไกความเคลื่อนไหว(Structure and dynamics) แต่จะอธิบายถึงความลึกลับของ พลังงานรูปแบบดังกล่าวได้อย่างไร

    เมื่อนักจักรวาลวิทยา ก็มีหลักฐานที่เต็มเปี่ยม ปราศจากความสงสัยใดๆว่าจักรวาลเกิดจาก การระเบิดครั้งใหญ่ Big Bang ถ้าว่ากันตามเหตุผลเชิงตรรกวิทยา ก็ไม่ สามารถละทิ้งเรื่อง Cosmic strings, Domain walls และ Monopoles จนกระทั่งลดความสำคัญเรื่องราว เช่น การวิวัฒน์อย่างสืบเนื่องของจักรวาล (A Process of
    cosmic evolution)
    หรือ แนวคิดใหม่ที่น่ากังขา เรื่อง เครือข่ายหลายจักรวาล(Multiverse)

    ยังไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ชัดแจ้ง ว่าพลังรุนแรงและเข้มข้นเกิดขึ้นได้อย่างไรแต่ถ้าการยุบตัว (Collapse) ของกาแล็คซี่ เกิดจากความไม่สมดุลกันเป็นต้นเหตุของการเกิดพลังงานแบบ Highest-energy cosmic rays จะทำให้เข้าใจสิ่งสำคัญเพิ่มขึ้นในเรื่องนี้​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=206>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    การยุบตัวของกาแล็คซี่ เป็นเหตุเกิดของ Highest-energy cosmic rays หรือไม่ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    ในห้องปฎิบัติทางวิทยาศาสตร์ พบอะไรในเรื่องนี้

    หลายสถาบันให้ความสนใจ Cosmic rays เพราะเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ และมีมากมายอย่างมหาศาล ความเข้มข้นของรูปแบบพลังงาน หากเข้าใจถึงโครงสร้างและคุณสมบัติที่ถูกต้องแล้ว อาจสามารถนำมาพัฒนาการในด้านต่างๆได้มากกว่าพลังงาน จากดวงอาทิตย์นับล้านเท่า

    ฉะนั้นหนทางที่จะศึกษา เข้าใจพลังงานที่ไม่ทราบตัวตนที่แท้จริง จำเป็นต้องสร้างเลียนแบบเพื่อการวิเคราะห์ผล แต่การทดลองอนุภาค Cosmic rays ไม่ใช่ง่ายนัก ต้องใช้เงินทุน ความสามารถมากมาย และต้องศึกษาอนุภาคที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกัน เช่น Muon, Quarks, Antiquarks, Qluons

    หรือ Neutrinos เป็นอนุภาคที่มองไม่เห็น ลักษณะเหมือนล่องหน ไม่สามารถตรวจพบได้ สามารถวิ่งผ่านทะลุสิ่งต่างๆได้ เช่น วิ่งทะลุโลกจากด้านหนึ่งไปสู่ด้านหนึ่งโดยผ่านอาคารถนน เปลือกโลก แกนในของโลกภายในเสี้ยววินาที

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของ Cosmic rays เมื่อสู่บรรยากาศโลกมีปฏิกิริยากับ Carbon เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์แน่ใจ ว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในอดีตนับล้านปีที่แล้ว​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    Stanford Linear Accelerator Center ค้นคว้าด้าน Cosmic rays​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    Fermilab ค้นคว้าด้านฟิสิกส์ Cosmic rays​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD class=style83></TD></TR><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    โครงการในหลายสถาบัน มุ่งเน้นค้นคว้าด้านฟิสิกส์ เพื่อศึกษาอนุภาคใหม่ๆ ที่ได้ค้นพบ ในหลายกรณี Cosmic rays เป็นสิ่งที่ท้าทายการค้นคว้าและพบว่ามีขบวนการทำงานที่ซับซ้อน สวยงาม เป็นระบบแบบแผนเป็นอย่างยิ่งบางกรณีมีรูปแบบที่แทบจะไม่คิดเลยว่า ธรรมชาติมีความสามารถออกแบบ เช่นนั้นได้อย่างไร​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=60></TD><TD class=style98 bgColor=#333333>
    อนุภาค Quarks และ Antiquarks รวมตัวโดย Qluons เป็นอนุภาคต้นกำเนิดจักรวาล
    ทุกสิ่งในจักรวาล ไม่ว่า ดาราจักร ระบบสุริยะ ดวงอาทิตย์ โลก มนุษย์ สัตว์ พืช มีส่วนผสมของ
    อนุภาคชนิดนี้ รวมถึง Cosmic rays ด้วย ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 bgColor=#333333>
    อนุภาค Boson เกี่ยวข้องกับ Cosmic rays โดยไปกระตุ้นอนุภาคอื่นๆที่อยู่ในธรรมชาติ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=450>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    อนุภาค มีเส้นทางเดินทางที่สวยงามน่าประหลาด เรียกว่า Bubble chamber​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=60></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=60>
    พบว่าบางคนเคยเห็นลักษณะ การไหลโปรยปรายของ Cosmic rays ลงมาจากท้องฟ้าในลักษณะนี้
    ในหลายสถานที่ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเวลากลางคืนอย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันจะเกิดความ
    รู้สึกตอบสนองของร่างกายที่สดชื่น ทั้งๆที่มีอีกคนยื่นอยู่ใกล้ๆไม่ได้เห็นและไม่รู้ลึกตอบสนองใดๆ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    Cosmic rays ในอีกด้านที่มนุษย์รู้จัก

    ด้านโบราณคดี เริ่มต้นแต่ยุค อียิปต์ นอกเหนือจากหลักฐานที่บันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆเน้นนับถือสุริยะเทพแล้ว การก่อสร้่างปิรามิดจากหลายแห่งมีทำนองเดียวกัน

    การค้นพบข้อมูลโดยนักดาราศาสตร์ Charles Piazzi Smyth ชาวสก็อต์ บันทึกไว้ในThe British Museum ว่ามีการออกแบบห้องสำคัญต่างๆของ Great Pyramid มุมสัมพันธ์กับกลุ่มดาวสำคัญ โดยจะมีตำแหน่งเดียวกันทุกๆ 6,000 ปีด้วยเหตุผล
    ความเชื่อว่าการเชื่อมโยงนั้น ช่วยปกป้องสุสาน

    ด้วยลักษณะเหมือนเป็นช่องแคบๆ ให้แสงจากภายนอกส่องเข้าไปคล้ายกับช่ิอง ระบายลม จึงทำให้วิเคราะห์ เป็น 2 กรณี เพื่อรับแสงพลังจากดวงดาวหรือเป็น เทคนิคการระบายความชื้น ของสุสาน

    ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีความชัดเจนนัก แต่พอจะอนุมานได้ว่ามีการเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่อง พลังพิเศษจากจักรวาลยุคนั้นได้บ้าง นอกจากนั้นยังพบว่ามีการจารึกคำว่า O King จำนวน 882 คำในสุสาน โดยนักโบราณคดีได้ถอดความหมายว่าเป็นชื่อหมู่ดาว Orion (ดาราจักรนายพราน) เป็นต้น​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=301>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    ตำแหน่งกลุ่มดาวที่สัมพันธ์ ห้องสำคัญต่างๆใน Pyramid ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>หากกลับไปสืบค้น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพลังงานที่ไม่รู้จัก พบได้ว่ามี หลายศาสตร์ เข้ามาเกี่ยวข้องในเชิงความมหัศจรรย์ และมักแสดงความแปลกทำให้น่าสงสัย แต่ด้วยการเกิดผลที่ดี จึงเกิดความเชื่อศรัทธา

    ปัจจัยดังกล่าวเป็นเกิดความเลื่อมใสในกลุ่มคน ต่อผู้มีความสามารถพิเศษ ที่ช่วยแก้ไข ด้านสุขภาพ ความเจ็บป่วย นับแต่ยุคนักบวช โยคีโบราณ รู้จักวิธีใช้พลังงานดังกล่าว เชื่อว่าเกิดขึ้นนับพันปีมาแล้ว

    ต้นแบบทีี่พอจะสืบค้นได้
    -----------------------

    มีตำราและวิธีการเป็นจำนวนมากสอนนและบอกกล่าวถึง การเชื่อมโยงให้มนุษย์ สื่อสารสัญญานพลังงาน บริเวณที่เรียกว่า จักรกะ เพื่อรักษาโรคโดยอธิบายว่าเป็นพื้นฐานหลักการเก่าแก่จาก ศรีลังกา หรือจากอินเดีย

    ถ้าจะให้บอกว่าจริงหรือเท็จ คงไม่สามารถจะตอบได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ในการเข้าไปสัมผัส รับทราบแต่ละบุคคลและพิจารณาด้วยความมีเหตุและผลอย่าง รอบครอบ ต่อพฤติกรรมนั้นๆ

    โดยวิธีการดังกล่าวได้แพร่หลายไปในประเทศต่างๆ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนาม แม้แต่ประเทศไทยก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย ที่ได้รับความเชื่อถือ และยังพบได้ว่า บางกรณีแฝงมาในเรื่องผลประโยชน์ แต่บางกรณีก็ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    เว็ปไซด์ จำนวนมากมีวิธีอธิบายเรื่อง เกี่ยวข้องกับ Cosmic rays ในแบบต่างๆ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>
    กรณีนี้วิทยาศาสตร์จะอธิบายได้หรือไม่
    ------------------------------------

    ต้องยอมรับ ตราบใดที่ความเป็นมนุษย์ยังต้องพบกับปัญหาในด้านต่างๆ ย่อมมี ความต้องการที่พึ่งในการแก้ปัญหา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าตั้งคำถามต่อว่าการทำนายดวงชะตานั้น ไม่เคยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์มารองรับ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ชอบและสนใจอยากที่จะทราบ และยอมที่จะกระทำตามสิ่งที่ผู้ทำนายบอกกล่าว บางครั้งอาจจะไม่ค่อยมีเหตุผลที่เหมาะสม

    ส่วน Cosmic rays ที่เข้าใจว่า เป็นเรื่องรังสีจักรวาล หรือ พลังจักรวาล เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีจริงและมีพลังงานสูงจริง โดยรูปแบบ Cosmic rays มีความสามารถไปกระตุ้น อนุภาคธรรมชาติของสิ่งต่างๆที่อยู่ในโลก ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แต่ยังไม่มีทฤษฎีใดๆมารองรับอย่างชัดแจ้ง ความสำคัญคือ นักวิทยาศาสตร์นั้นทราบถึงกฎของธรรมชาติ แต่การจะออกมาอธิบายความว่าเกิดผลนั้นคงเป็นเรื่องต้องมีข้อพิสูจน์มั่นคงถูกต้องด้วย สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ที่จะรับฟังได้

    ในกรณีทราบว่า บางคนสามารถมองเห็น Cosmic rays ได้นั้น เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้เหตุผลเพราะมีจริง ในสภาพอากาศ แสงที่เหมาะสม โดยแต่ละบุคคลอาจจะเห็นแตกต่างกันในรายละเอียดบ้าง ด้วยความสามารถ ของเลนส์ตาของบุคคลนั้นๆ แต่จะเห็นเป็นกลุ่มสี (สีของแสง) เหมือนเช่นเดียวกันทุกคน (ณ จุดที่สังเกตเห็น)

    อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม ทำการค้นคว้าเรื่องนี้ เพื่อจะอธิบายกรณีดังกล่าว ของความเข้าใจถึงปรากฎการณ์ในด้านต่างๆ ต่อมนุษย์ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=450 height=10></TD></TR><TR><TD width=450 height=295>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=10 bgColor=#333333 height=25></TD><TD class=style98 width=440 bgColor=#333333 height=25>
    สนามแม่เหล็กงดาราจักรทางช้างเผือก เกิดขึ้นหลัง Big Bang ประมาณ 370,000 ปี ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD height=10><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD class=style83 width=430>คำตอบที่ชัดทางวิทยาศาสตร์ ในผลกระทบของ Cosmic rays

    สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับและได้พยายามตรวจสอบ ในหลายๆวิธีการพบว่าผล
    กระทบที่จะเกิดขึ้นกับโลก จาก Highest-energy cosmic rays มีเพียง 1%

    ด้วยเหตุผลเนื่องจากโลก อยู่ในระบบสุริยะที่กว้างใหญ่และเคลื่อนตัวไปพร้อมๆกับดาราจักรทางช้างเผือก ด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อวินาที เมื่อเทียบสัดส่วนกับขนาดดาราจักรแล้วนับว่าเล็กจิ๋ว จึงไม่กระทบมากนัก

    ส่วนผลกระทบต่อดาราจักรทางช้างเผือก พบว่ามีการเบี่ยงเบนของสนามแม่เหล็กประมาณ 3 องศา ซึ่งนับว่าน้อยมากเช่นกัน โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ระบบของดาราจักรอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงสนับสนุน ในการที่ทำให้เกิดผลกระทบน้อยลงหรือไม่ ส่วนนี้อาจยังไม่เข้าใจชัดเจน

    อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ ต้องยังเฝ้าติดตามตรวจสอบต่อไปด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านจักรวาลวิทยา ได้เริ่มต้นแล้วในการปฎิบัติการสืบค้น ต้นกำเนิดจักรวาล โดย The Large Hadron Collider คือ เครื่องเร่งอนุภาพพลังงานสูงด้วยเทคโนโลยี่ชั้นเทพ ที่จะไขความลับต่อไป </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>Cosmic Ray - 1</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เนื่องจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกเราได้เท่านี้ เกี่ยวกับรังสีคอสมิค และ SGR A*
    ลองไปฟังข้อมูลของ Pane Andov ดูบ้างก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ก็ฟังหูไว้หู เพื่อ

    ประกอบการพิจารณา โน๊ะ

    [​IMG]




    P.11

    สัญลักษณ์เล็กๆจากขวาไปซ้ายแสดงให้เห็น
    -ทางช้างเผือก ที่มีการพรรณนาถึงกาแลกติกเพลน
    -สัญลักษณ์ รังสี Cosmicเหมือน งู Nexus หรือ Superwave (สิ่งที่นำพาโปรแกรมการ
    เปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมDNA – เพียงหนึ่งเดียวที่เป็นที่รู้จักกันในจักรวาลของเรา)
    และการแสดงว่างูกำลังมา"เพื่อแพร่กระจาย"ทั่วแผ่นกาแล็กซี่
    -รูปหอยโข่งในอารยะธรรมมายาโบราณเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของชีวิตทาง
    กายภาพและสิ้นสุดรอบวงจร การวัดที่สมบูรณ์. ผลรวมสุดท้าย
    -เกลียวแทนรอบวงจร" ชีวิต-การตาย –การเกิดใหม่”ของดวงอาทิตย์ ที่จุดจบของดวง
    อาทิตย์ที่ 5 Aztec ดาวฤกษ์ของเราจะเริ่มขยายตัวช้าๆจนกระทั่งถึงจุดสูงสุดที่ 28
    มีนาคม 2013 เมื่อผิวชั้นนอกถูกปลดปล่อยสู่อวกาศและแกนของดาวฤกษ์จะถูกดึงออก
    หรือเรียกว่าดวงอาทิตย์ทารกได้เกิดขึ้น(เกิดใหม่)-การเกิดดวงอาทิตย์ที่ 6 การเกิดยุคแห่ง
    ความสว่าง
    -สัญลักษณ์ถัดไปแสดงอย่างชัดเจนว่าเกิดดวงจันทร์ใหม่ และกลุ่มดาวคนแบกงู
    ( Ophiuchus )อยู่ในสถานที่ที่แน่นอน (ใกล้ดวงจันทร์) ใน 13 ธันวาคม 2012
    ก่อนที่จะไปต่อโปรดเข้าใจว่าจดหมายนี้ให้ความรู้เพื่อเผชิญเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
    ของโลก บางครั้งข้อมูลแบบนี้อาจเป็นอันตรายโดยเฉพาะหากคุณอาศัยอยู่กับมุมมองชีวิต
    ที่แตกต่างกันภายใน”Matrix”ถ้าคุณรู้สึกว่าให้ข้อมูลมากเกินไปหรือว่าคุณไม่พร้อมที่จะ
    ทราบความจริงผมจะแนะนำด้วยความจริงใจว่าคุณไม่จำเป็นต้องอ่านข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ
    ใช้ชีวิตในแบบที่คุณเคยเป็นเหมือนในอดีตต่อไป แล้วลบไฟล์นี้และคิดเสียว่าคุณไม่เคยรับ
    มัน: โปรดทราบว่าข้อมูลนี้ไม่ได้ทำให้หวาดกลัว แต่การกระตุ้นเตือนทางด้านจิตวิญญาณ
    จิตใจ และการเตรียมความพร้อมทางร่างกาย สำหรับช่วงเวลาที่ท้าทายข้างหน้า วัตถุ
    ประสงค์คือเพื่อช่วยเหลือในกระบวนการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความตระหนักรู้ที่สำคัญที่สุด

    [​IMG]

    P.12
    ขณะนี้ชัดเจนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงตามที่ระบุไว้ก่อนหน้า
    นั่นก็คือคอสมิกในธรรมชาติ แต่สิ่งที่เราสามารถทำคือการทำงานหนักในด้านการเปลี่ยน
    แปลงโดยการเตรียมการให้สอดคล้องกับความจำเป็นของเราและชีวภาพของเรา นอกจาก
    นี้คือการยกระดับการสั่นสะเทือนของเราเองและให้อยู่ระดับเดียวกันในเวลาช่วงเวลาทั้ง
    หมดที่รังสีอันแข็งแกร่งของพลังงานอนุภาคจะเข้าสู่สิ่งแวดล้อม หลังจากที่เราทำเช่นนั้น
    แล้ว เราสามารถเชื่อมต่อจุดมุ่งหมายในท้ายที่สุด,การเผาไหม้ของตะแกรงโลกที่มีพลังงาน
    ฝังอยู่ และผลกระทบสุดท้ายต่อโครงสร้างส่วนของ Matrix

    เพื่อมุ่งเน้นในการเพิ่มจิตสำนึกและช่วยโลกของเราเข้าสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงอย่าง
    เรียบง่ายขึ้น สามารถทำได้โดยการเข้าถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียวของโลกและชีวิตของเรา
    ทั้งหมด นอกจากนี้ โดยการสร้างขอบเขตพลังชีวภาพอันแข็งแกร่งและมั่นคงของพลังงาน
    ทั่วโลกเพื่อให้สามารถรับพลังงานที่มี ประสิทธิภาพ Nexus (Cosmic Snake) โดยไม่มี
    อันตรายใดๆ

    ผมจะอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่สองของหนังสือนี้และครอบคลุมสิ่งที่กำลังก้าวเข้ามา ก่อน
    ที่ผมจะสามารถให้ข้อมูลแก่คุณ ผมจะอธิบายให้คุณเพิ่มเติมว่าอะไรที่ผู้สร้างครอปเซอร์
    เคิลกำลังบอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในขอบเขต 3 มิติเร็วๆนี้ การวิเคราะห์ราย
    ละเอียดที่ได้ดำเนินการอย่างชัดเจนพบว่ามีจำนวนรูปร่างต่างๆมากมาย ที่มีสัญลักษณ์ของ
    Aztec และ Mayan และ การเชื่อมต่อกับ Quetzalcoatl ตามวัฒนธรรม Aztec
    ประวัติศาสตร์ของโลกลดลงสู่ ช่วงยุคที่ 5 หรือ"ดวงอาทิตย์" ยุคปัจจุบันคือยุคของ ดวง
    อาทิตย์ที่ 5 เป็นยุคสุดท้าย เช่นเดียวกับ สี่รุ่นก่อนหน้า ยุคดวงอาทิตย์ที่ 5 ได้ถูกกำหนด
    การทำลายไว้แล้ว ที่โลกจะถูกทำลายจากการเกิดแผ่นดินไหวและ มนุษย์จะออกจากโลกนี้
    ไป
    [​IMG]
    P.13
    สรุปผู้สร้างครอปเซอร์เคิลทำเพื่อบอกเหตุการณ์เกี่ยวกับการนับเวลาตามปฏิทินการนับนับ
    ยาว และ ปฏิทิน ดวงอาทิตย์-ดาวศุกร์ เหมือนชาว Mayas Aztecs ในอเมริกากลาง
    ปฏิทินทั้งสองแสดงชัดเจนในแผนภาพครอปเซอร์เคิล ที่ปรากฏในสหราชอาณาจักรที่
    Silbury Hill ในปี 2004 และ Woolstone Hill ในปี 2005 ตอนนี้เราทราบแล้วว่า
    ปฏิทินนับยาว สิ้นสุดในวันที่ 23 ธันวาคม 2012 (และไม่ใช่ที่ 21 ธันวาคม 2012 ตามที่
    คนส่วนใหญ่เชื่อ) ซึ่งแสดงจุดสิ้นสุดอย่างแน่นอนของอาทิตย์ที่ 5 เริ่มต้นวันที่ 13
    สิงหาคม 3114 ก่อน คริสต์ศักราช แตกต่างจากปฏิทินแรกปฏิทินมายัน ดวงอาทิตย์ -
    ดาวศุกร์ สิ้นสุดในวันที่ 28 มีนาคม 2013, ที่จุดสิ้นสุดของรอบ 52 ปีของดาวศุกร์ที่เริ่มที่
    10 เมษายน 1961 และที่สำคัญกว่านี้มันยังแสดงยังเครื่องหมายเริ่มต้นใหม่ของ 5000 ปี
    ที่ วัฏจักรที่ 6 ดวงอาทิตย์ ข้อความสมบูรณ์แบบเหมือนแผนภาพที่ปรากฏในปี 2006 ใน
    Wayland’s Smithy แผนภาพนี้แสดงอย่างชัดเจนให้เห็นว่าจุดสิ้นสุดของปฏิทิน ดวง
    อาทิตย์-ดาวศุกร์ การปล่อยออกรังสีคอสมิกจากแกนกาแล็กซีจะมาถึงโลกการวิเคราะห์
    เบื้องต้นของแผนภาพที่ปรากฏที่ Wayland’s Smithy ในปี 2006, ได้แสดงชุดรังสี
    ดาราศาสตร์ จากใจกลางแหล่งกำเนิดใน 3 มิติ คือ x, y , z : รังสี เหล่านั้นได้ถูกวาด
    เป็นสี่เหลี่ยมตามความยาว ความเข้มข้นของคลื่นดาราศาสตร์หรือ รังสี ก็จะอ่อนแรงลง
    เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล แล้วอะไรที่อาจจะเป็นศูนย์กลางของพลังงานที่แสดง?... คำ
    ตอบที่ชัดเจนครบถ้วน – หลุมดำขนาดมหึมาที่ศูนย์กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก

    ที่เรียกว่า Sgr A * วงแหวนของดาว 12 ดวงรอบ Sgr A * ในอวกาศ เหมือนกับวง
    แหวนของ 12 จุด รอบๆศูนย์กลางของรูปครอปเซอร์เคิล ทุกๆอันของ 3 รังสีที่ยาวที่สุดนี้
    มีพื้นที่ประมาณ 7x8= 56 ช่องของวงกลมเล็กๆ ภายในปลายเปิดของสี่เหลี่ยม พวกนี้
    กำลังแสดงรหัสเวลาเราบอกเราเมื่อรังสียาวที่สุดนี้เข้ามาถึงโลก

    [​IMG]
    P.14
    สำหรับบางคนที่เข้าใจว่า"เขา"พยายามบอกเรา มันจะดีกว่าถ้าตอนแรกเราเข้าใจว่าทุกๆ
    การเกิดขึ้นร่วมกัน ดวงอาทิตย์-ดาวศุกร์ ใช้เวลา 292 วัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านน้อยกว่า
    (ดาวศุกร์ ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์) หรือทางด้านเหนือกว่า (ดวงอาทิตย์ ระหว่างโลก
    และดาวศุกร์)ก็ตาม นับตั้งแต่แผนภาพปรากฏวันที่ที่ 8 กรกฎาคม 2006, สองปีที่ผ่านมา,
    เมื่อยังมี"หมายเลข 9"พวกเขาก็ยังคงเตือนเราตลอดถึงการนับถอยหลังถึงสู่ปี 2013 !
    แล้วเมื่อ 12 สิงหาคม 2007, มายัน / โอเม็ค ลำดับที่ 6 ปรากฏที่ Stanton St.
    Bernard. มันเหมือนตั้งใจบอกเราว่า มีเพียงแค่ 6 ของการเกิดขึ้นร่วมกันของ ดวง
    อาทิตย์-ดาวศุกร์ ที่ยังคงเหลืออยู่จนกระทั่งดาวศุกร์เดินทางผ่าน ที่วันที่ 6 มิถุนายน 2012
    หรือ เพียงแค่ 7 จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของปฏิทิน ดวงอาทิตย์-ดาวศุกร์ วันที่ 28 มีนาคม
    2013 หากทางออกที่ถูกต้องของปริศนาถูกรวมเข้าด้วยกันเราจะเริ่มเห็นความหมายของ
    สิ่งที่"พวกเขา"พยายามพูด การปรากฏของครอปเซอร์เคิลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึง
    เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างปลายปี 2012 และต้นปี 2013, ระหว่างวัน
    สิ้นสุดของปฏิทินการนับยาวมายัน และสิ้นสุดปฏิทิน ดวงอาทิตย์ - ดาวศุกร์ – การมาถึง
    ของของรังสีคอสมิกบางชนิดจากศูนย์กลางกาแล็กซี่ ยังมีแผนภาพอื่น จาก West
    Kennett (13 กรกฎาคม 1996) ที่ดูเหมือนจะอธิบายเหตุการณ์เดียวกันเกี่ยวกับ
    เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ในอนาคตอันใกล้และแสดงความแม่นยำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น
    เราจะศึกษาตรงนี้ต่อไป เราสามารถเห็นสัญลักษณ์ของพวกมายัน สำหรับใจกลางกาแล็กซี
    ที่คลื่นมาจากทุกๆที่(สมบูรณ์ทั้งหมดที่ 12) พระจันทร์ใหม่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์และดาวหาง
    ที่พุ่งผ่านหรือการมาถึงครั้งแรกของลำแสงเหล่านั้น มันชัดเจนว่ารังสีเหล่านี้มาจากใจกลาง
    กาแล็กซีที่ตามขนาดและพลัง หมายเหตุ : NASA เผยแพร่ภาพยนตร์สารคดีและเอกสาร
    มากมายเกี่ยวกับรังสีคอสมิกมีผลต่อDNAของชีวิตและก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ให้ดีขึ้นหรือ
    แย่ลงอย่างไร ในกรณีของพวกเรา รังสีคอสมิกล่าสุดและใหญ่ที่สุด มาจากเหตุการณ์
    Nexus (การมาถึงของพลังงาน งูCosmic ) จะเป็นกรณีหนึ่งที่สมบูรณ์แบบในการ
    reprogramming ของ DNA ในรูปแบบของชีวิตอินทรีย์ มันจะมาถึงวันที่ 28 มีนาคม
    2013อย่างแน่นอนดังนั้นเราพูดได้อย่างเป็นทางการว่าเป็น จุดสิ้นสุดของปฏิทิน ดวง
    อาทิตย์-ดาวศุกร์ และจุดเริ่มต้นของยุค “ดวงอาทิตย์ที่ 6"
    [​IMG]

    P.15
    ตรงนี้หมายความว่าอะไร? ถ้าเราใช้ตรรกะสูงสุดของเราแสดงว่าเรากำลังมองหาเหตุการณ์
    เกี่ยวกับกับการอาบของโลกเราและชีววิทยาเหนือโลกในระดับพลังงานรังสีแกมมาที่ถูกฉาย
    มาจาก จุดศูนย์กลางของกาแล็กซี่ ในอีกแง่หนึ่ง การตอบสนองของ DNA ที่อยู่นิ่งๆ ...
    หรือการตอบสนองของวิทยาศาสตร์กระแสหลักที่อ้างถึง 97% ของDNAขยะ นั่นหมาย
    ความว่าทันทีที่ลำแสงสีน้ำเงิน-ขาวสัมผัสคุณ, คุณจะจำได้ว่าคุณคือใครในอดีตที่ผ่านมา
    ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดจะเปลี่ยนรูปกลับมารวมด้วยอำนาจจิตสำนึกของคุณ
    มหัศจรรย์ ... เราโชคดีมากที่อยู่ที่นี่และในอวกาศนี้ มันจะเป็นชัยชนะของความเมตตาและ
    สติปัญญาที่เหนือกว่าความรุนแรงและความไม่รู้ นี่คือความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยการเปลี่ยน
    สภาพที่แท้จริงของสารพันธุกรรมของมนุษย์ DNAของเราเมื่อมีการอาบแสงที่มาจากดวง
    อาทิตย์ เหมือนสามารถเป็นเครื่องแปลงความถี่ศูนย์กลางกาแล็กซี่ด้วยตัวเอง ผ่านเข้ามาสู่
    โลกโดยตรง เมื่อเดือนมิถุนายน 2008, วงโคจรของดาวศุกร์ 3 รอบเต็ม (ตัวเลขสีขาว
    ขนาดใหญ่) ยังคงอยู่จนกว่าจะสิ้นสุดปฏิทินมายัน ดวงอาทิตย์-ดาวศุกร์ในวันที่ 28
    มีนาคม 2013 วงโคจรเต็มของดาวศุกร์ใช้เวลา 584 วันหรือ 1.6 ปีดังนั้นจึงจะมีเวลา
    3x1.6 = 4.8 ปีจนถึงมีนาคม 2013 ในทำนองเดียวกัน

    ห้ารอบครึ่งวงโคจรของดาวศุกร์ (ตัวเลขสีฟ้าเล็ก ๆ ) ยังคงอยู่จนกว่าดาวศุกร์ เดินทาง
    ผ่านหน้าของดวงอาทิตย์ในมิถุนายน 2012 ครึ่งรอบวงโคจรของดาวศุกร์ใช้เวลา 292 วัน
    หรือ 0.8 ปี ดังนั้นจึงจะมี 5 x 8 = 4.0 ปีจนถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2012 นี่ก็เหมือนกับ
    52 หรือ 104 -- ปฏิทินปี ที่ Olmecs, Mayans หรือ Aztecs ใช้งานมาเป็นเวลานาน
    ในอเมริกากลาง 5 วันต่อมาที่ สะพาน Stanton วันที่ 4 กรกฎาคม ตัวเลข "3" ของพวก
    มายันปรากฏอีกครั้งหนึ่งเพื่อเตือนให้เราเห็นว่าเพียง 3 รอบวงโคจรของดาวศุกร์เท่านั้น ที่
    ปฏิทินของพวกเขาจะสิ้นสุดในวันที่ 28 มีนาคม 2013

    [​IMG]

    P.16
    อีกข้อความที่สำคัญเกี่ยวกับการขยายตัวของชั้นนอกของดวงอาทิตย์ปรากฏเมื่อวันที่
    27/07/2009 Milk Hill Stanton, St Bernard, Wiltshire.

    แม้ว่าที่จริงเรามีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันแต่เราก็เป็นหนึ่งเดียว ความจริงข้อนี้สามารถมอง
    เห็นได้ก็ต่อเมื่อไปถึงการพัฒนาของจักรที่สี่ เมื่อมีการเปิดศูนย์สี่, จิตสำนึกเห็นทุกอย่างใน
    จักรวาลที่เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งที่มาเดียวกันและเป็นหนึ่งกัน เวลาสำหรับความขัดแย้งได้
    จบลงและมันเป็นช่วงเวลาเพื่อความสงบสุขและความสมดุล ในระดับสูงขึ้น มนุษย์จะได้รับ
    ประสบการณ์นี้เมื่อเหนือกลับกลายเป็นใต้ในช่วง Solar Maximum ถัดไป ณ สิ้นปี
    2012 และ อีกครั้งมีการสร้างแผนภาพให้เห็นชัดเจนว่ามวลดวงอาทิตย์จะขยายตัว

    ถ้า คุณเห็นทั้งหมดนี้ได้ด้วยตาของจิตใจของคุณคุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกใน
    ความเป็นจริง ในแบบ 3มิติ แต่ถ้าหากคุณเห็นด้วยตาของความรักของคุณ มันมีลักษณะที่
    แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในระหว่างเหตุการณ์นี้มนุษยชาติจะทราบว่าเพียงความรักคือคำตอบ
    และสิ่งอื่นๆเป็นเพียงภาพลวงตา วันเดียวกันนี้และไม่กี่วันหลังจาก ปรากฏการณ์ครอ
    ปเซอร์เคิลที่ Milk Hill Stanton, St Bernard, Wiltshire มีครอปเซอร์เคิลอื่นเล็ก
    น้อยที่บรรยายความแตกต่างของสายพันธุ์อื่นที่มาจากนอกโลก ก็คือภาษาเขียนของพวก
    เขา และพวกเขาส่วนใหญ่มีวงกลมๆที่มีตาที่ 3 ที่หน้าผาก

    นอก จากนี้ยังมีลูกศรชี้ออกจากหัวของพวกต่างดาวที่แสดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังส่ง
    ข้อความดังกล่าวเพื่อที่เราจะได้เข้าใจและเตรียมความพร้อมและยังบอกว่าพวกเขาเฝ้า
    สังเกตการณ์พวกเราตลอดเวลา ผมไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้ ณ เวลานี้ แต่สิ่งที่ผม
    อยากจะชี้ให้เห็นความจริงก็คือมนุษย์ต้องเปิดใจว่าเรากำลังแบ่งปันโลกใบนี้กับหลายรูป
    แบบของชีวิตอื่น ๆ และมี ความเป็นหนึ่งเดียว แม้จะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม นอก
    จากนี้ยังต้องมีการเปิดใจถึงความจริงที่ว่าโลกของเรากำลังมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก
    วงจรปัจจุบันกำลังมาถึงจุดสิ้นสุดและคนที่ได้รับการเลือกสู่หนทางของแสงสว่างและ
    สันติภาพกำลังรอคอยวิวัฒนาการและการปรับ DNA

    Posted by audy2029... on Thu, 2010-09-23 16:21<!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8...rg.258621/<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    บทความ : นักดาราศาสตร์เผยต้นกำเนิดรังสีคอสมิคใจกลางทางช้างเผือก
    นักดาราศาสตร์สามารถใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดยักษ์ของ ESO และกล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์จันทราไขปริศนาความลับในตัวเร่งอนุภาคของทาง ช้างเผือกได้ โดยชี้ให้เห็นว่ารังสีคอสมิคที่มาจากกาแล็กซี่ของเรานั้นถูกเร่งความเร็วใน บริเวณเศษของดาวที่ระเบิดแล้ว

    นับตั้งแต่นักบินอวกาศของโครงการอ พอลโลรายงานว่าพบเห็นแสงประหลาดวาบขึ้นมา มองเห็นได้แม้แต่ในยามที่หลับตา จากนั้นมามนุษย์อย่างเราๆก็ได้ศึกษาที่มาของแสงนี้จนพบว่าเป็นรังสีคอสมิค นั่นเอง รังสีคอสมิคเป็นอนุมาคพลังงานสูงยิ่งยวดที่เดินทางจากนอกระบบสุริยะมาระดม พุ่งชนบรรยากาศของโลกเรา โดยขณะที่มาถึงโลกนั้น อนุภาคเหล่านี้ยังคงมีพลังงานสูงพอที่จะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย ได้

    รังสีจากห้วงอวกาศนี้มาจากแหล่งที่อยู่ใจกลางกาแลกซี่ของเรา หรือที่เรียกว่าทางช้างเผือกนั่นเอง รังสีนี้ประกอบไปด้วยโปรตอนที่วิ่งด้วยความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสงที่เป็น อัตราเร็วสูงสุดของเอกภพแล้ว โปรตอนเหล่านี้ถูกเร่งความเร็วขึ้นด้วยพลังงานที่สูงกว่าพลังงานที่ ศูนย์วิจัย CERN ใช้เร่งอนุภาคมากมายมหาศาล

    "นานมาแล้วที่เราคิดว่า มีตัวเร่งอนุภาคขนาดยักษ์ที่ก่อให้เกิดรังสีคอสมิคขึ้นในทางช้างเผือกของเรา และน่าจะอยู่บริเวณดาวที่ระเบิดแล้ว และจากการสำรวจของเราแล้วเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเร่งที่ว่านี้คืออะไร" Eveline Helder จากสถาบันดาราศาสตร์ Utrecht แห่งมหาวิทยาลัย Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์ หัวหน้าโครงการนี้เปิดเผย

    "พูดได้เลยว่าตอนนี้ เราสามารถยืนยันศูนย์กลางของบริเวณที่ใช้เร่งรังสีคอสมิคด้วยพลังงานสูงได้ แล้ว" Jacco Vink เพื่อนร่วมงานของ Helder เสริม

    นี่เป็นครั้งแรก ที่ Helder, Vink และเพื่อนร่วมทีมสามารถหาวิธีการวัดที่สามารถไขปัญหาทางดาราศาสตร์ที่มีมายา วนานว่าการระเบิดของดาวสามารถสร้างอนุภาคที่ถูกเร่งจำนวนมากพอได้หรือไม่ เพื่อจะได้อธิบายจำนวนรังสีคอสมิคที่พุ่งชนบรรยกาศโลกต่อไป และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็บอกเราได้โดยตรงเลยว่าพลังงานที่หายไปจากแก๊สที่มา จากการระเบิดของดาวสูญหายไปเท่าไหร่ และถูกใช้เพื่อเร่งอนุภาคนี้เท่าไหร่

    "เวลา ดาวระเบิด หรือที่เราเรียกว่าซุปเปอร์โนว่า พลังงานของการระเบิดส่วนใหญ่นี้จะถูกใช้สำหรับเร่งอนุภาคให้มีพลังงานสูง ยิ่งยวด พลังงานที่ใช้เร่งอนุภาคนี้มาจากความร้อนของแก๊ส" Helder กล่าว

    ตอน นี้นักวิจัยกำลังจับตาดูซากของดาวที่ระเบิดไปแล้วเมื่อ 185 ปีก่อนคริสตกาลที่ได้รับการจดบันทึกโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีน ซากของดาวนั้นมีชื่อเรียกว่า RCW 86 อยู่ห่างจากโลกของเขา 8,200 ปีแสงไปทางกลุ่มดาววงเวียน เพราะน่าจะเป็นซากการระเบิดของดาวที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการจดบันทึกไว้

    เมื่อ ทีมสำรวจใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดยักษ์ของ ESO แล้ว พวกเขาสามารถวัดได้ด้วยว่าแก๊สที่มาจากการระเบิดของดาวนั้นมีอุณหภูมิสูง เท่าไหร่ด้วย พวกเขายังสามารถวัดความเร็วของช็อกเวฟขณะที่ดาวระเบิดได้อีกด้วยโดยการใช้ ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์เอกซ์เรย์จันทราขององค์การ NASA เมื่อ 3 ปีก่อน จากการศึกษาพบว่าช็อกเวฟนี้เคลื่อนด้วยความเร็ว 10-30 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง คิดเป็นราว 1-3 เปอร์เซ็นต์ของอัตราเร็วแสง

    ส่วน อุณหภูมิของแก๊สนั้นอยู่ที่ราวๆ 30 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งค่อนข้างร้อนเมื่อเทียบกับมาตรฐานของทุกวันนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่คาดไว้มาก เพราะตอนแรกคิดว่าอุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ราวๆ 500 ล้านองศาเซลเซียสด้วยซ้ำ

    "พลังงานที่หายไปนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เกิดรังสีคอสมิคขึ้นมา" Vink สรุปทิ้งท้าย
    1 พ.ค. 2553, 0:00:34
    อ้างอิง :
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บทความรู้ : ฟิสิกส์ : ริบบิ้นเปล่งแสงที่ขอบระบบสุริยะ
    เป็นเวลาหลายปีที่นักวิจัยทราบว่าระบบสุริยะถูกล้อมด้วยฟองแม่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า heliosphere มันถูกสร้างโดยดวงอาทิตย์และแผ่ออกเลยวงโคจรของพลูโตออกไป กลายเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันรังสีคอสมิคและเมฆก๊าซระหว่างดวงดาว ที่พยายามจะเข้ามาในอวกาศบ้านเรา แม้ว่าเฮลิโอสเฟียร์จะมีขนาดใหญ่ แต่มันก็ไม่เปล่งแสงใดๆ และไม่มีใครเคยเห็นมันจริงๆ


    จนกระทั่ง บัดนี้ ยาน IBEX(Interstellar Boundary Explorer) ของนาซ่าได้ทำแผนที่เฮลิโอสเฟียร์ทั่วท้องฟ้าและผลที่ได้ก็ทำให้นักวิจัย ต้องประหลาดใจ แผนที่นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยแถบพลิ้วสว่างที่ไม่ทราบที่มา Dave McComas หัวหน้าโครงการ IBEX ที่สถาบันวิจัยเซาธ์เวสต์ กล่าวว่า นี่เป็นผลสรุปที่ทำให้ช๊อคไปเลย เราไม่เคยคิดว่าแถบริบบิ้นนี้มีอยู่ หรือว่าอะไรที่สร้างมันขึ้นมา ความคิดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเฮลิโอสเฟียร์นอกๆ ก็ต้องคิดกันใหม่


    แม้ว่า ริบบิ้นจะดูสว่างในแผนที่ IBEX แต่มันก็ไม่ได้เรืองในแบบที่เราคุ้นเคย ริบบิ้นนั้นไม่ได้เป็นแหล่งของแสง แต่กลับเป็นแหล่งของอนุภาคแทน ซึ่งเรียกว่า อะตอมเป็นกลางทรงพลัง(energetic neutral atoms – ENAs) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ที่เรียกว่าพื้นที่รอยต่อกับอวกาศ(interstellar boundary region) เซนเซอร์ของ IBEX สามารถตรวจจับและนับอนุภาคเหล่านี้ได้ ซึ่งถูกสร้างในเฮลิโอสเฟียร์ชั้นนอกที่ซึ่งลมสุริยะเริ่มพัดอ่อนลง และผสมกับสสารระหว่างดวงดาวจากภายนอกระบบสุริยะ


    Eric Christian ผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ IBEX ที่ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ด บอกว่าริบบิ้นนี้แผ่วพริ้วอยู่ระหว่างยานวอยยาจเจอร์ทั้งสองลำ และพวกมันก็ไม่ได้สำรวจเลย มันเหมือนกับมีสถานีตรวจอากาศ 2 แห่ง แต่ไม่เห็นพายุใหญ่ที่พัดระหว่างพวกมัน แต่ IBEX ไม่เหมือนกับวอยยาจเจอร์ ซึ่งใช้เวลาหลายสิบปีเดินทางสู่ขอบของระบบสุริยะ IBEX อยู่ใกล้เรามากกว่า มันอยู่ในวงโคจรรอบโลก หมุนไปรอบๆ และรวบรวม ENAs จากทุกทิศทาง ซึ่งทำให้ IBEX ได้ภาพขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการค้นพบบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เท่าริบบิ้นนี้


    ริบบิ้น นี้ยังเป็นโครงสร้างที่ละเอียด เส้นใยขนาดเล็กของการเปล่งคลื่น ENA นั้นมีขนาดกว้างไม่เกิน ไม่กี่องศา โครงสร้างที่ละเอียดนี้เป็นปริศนาพอๆ กับตัวริบบิ้นเอง เงื่อนงำที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ริบบิ้นนี้พาดตั้งฉากกับทิศทางของสนามแม่เหล็กกาแลคซีซึ่งอยู่นอกเฮลิ โอสเฟียร์ อย่างที่เห็นในภาพ McComas กล่าวว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันจะหมายถึงอะไร ไม่มีใครทราบ เราพลาดหลักการพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเฮลิโอสเฟียร์กับ กาแลคซีทั้งปวง นักทฤษฎีกำลังทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาสาเหตุ


    การ เข้าใจฟิสิกส์ของเฮลิโอสเฟียร์ส่วนนอกเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากบทบาทที่มัน แสดงในการปกป้องระบบสุริยะจากรังสีคอสมิค ขนาดและรูปร่างของเฮลิโอสเฟียร์เป็นปัจจัยหลักในการตรวจสอบพลังในการป้องกัน และจะมีรังสีคอสมิคหลุดมาถึงโลกมากน้อยแค่ไหน เป็นครั้งแรกที่ IBEX กำลังเผยให้เห็นว่าเฮลิโอสเฟียร์ตอบสนองอย่างไร เมื่อมันชนกับเมฆระหว่างอวกาศและสนามแม่เหล็กกาแลคซี


    McComas กล่าวว่า IBEX กำลังทำแผนที่ทั้งท้องฟ้า เป็นครั้งที่สอง และเราก็กระหายที่จะเห็นว่าริบบิ้นมีการเปลี่ยนแปลง การเฝ้าดูริบบิ้นเปลี่ยนไปถ้ามันเปลี่ยน อาจให้เงื่อนงำได้มากขึ้น
    5 พ.ย. 2552
    รูป http://www.darasartonline.com/webnew...x.asp?news=244
    เครดิต http://guru.google.co.th/guru/thread...d48b483dd76d1b<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เดินทางมา 33 ปี “วอยเอเจอร์ 1” ส่งสัญญาณใกล้แตะขอบระบบสุริยะเป็นครั้งแรก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 ธันวาคม 2553 11:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    วอยเอเจอร์ 1 มาถึงจุดที่จะก้าวพ้นขอบสุริยะ หลังตรวจพบสัญญาณความเร็วการเคลื่อนที่ของลมสุริยะเหลือศูนย์ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของระบบสุริยะ คาดยานสำรวจอายุ 33 ปี จะเข้าสู่อวกาศด้านนอกในอีก 3-4 ปีข้างหน้า

    วอยเอเจอร์ 1 (Voyager 1) เข้าสู่หลักไมล์ใหม่ ในเส้นทางสำรวจของตัวเอง และกำลังจะก้าวพ้นระบบสุริยะของเราออกไปในไม่ช้า ซึ่งตอนนี้ยานอยู่ห่างจากโลกออกไป 1.74 หมื่นล้านกิโลเมตร โดยบีบีซีนิวส์ระบุว่า ยานที่ผ่านประสบการณ์เดินทางมาอย่างโชกโชนได้ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของกระแสอนุภาคที่อยู่รอบๆ ยาน

    อนุภาคที่ฟุ้งกระจายออกมาจากดวงอาทิตย์เหล่านี้ ไม่ได้ฟุ้งกระจายออกไปข้างนอก แต่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างๆ ซึ่งหมายความว่ายานวอยเอเจอร์ใกล้จะเข้าสู่อวกาศระหว่างดวงดาว (interstellar space) แล้ว

    ดร.เอ็ดเวิร์ดส สโตน (Edward Stone) นักวิทยาศาสตร์โครงการวอยเอเจอร์ ชื่นชมยานสำรวจอวกาศและข้อมูลวิทยาศาสตร์อันน่าเย้ายวนที่ยานส่งกลับตลอด 33 ปี นับแต่ส่งยานขึ้นไป ซึ่งเมื่อครั้งนั้น "ยุคอวกาศ" (space age) เพิ่งเริ่มต้นได้เพียง 20 ปีเท่านั้น จึงยังไม่มีใครทราบว่า ยานอวกาศจะคงอยู่ได้นานขนาดนี้

    “เราไม่รู้เลยว่า เราจะต้องเดินทางไกลแค่ไหนเพื่อจะพ้นจากระบบสุริยะ ตอนนี้เรารู้แล้วล่ะว่าในอีกราวๆ 5 ปี เราจะได้ออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรก” ดร.สโตนกล่าวภายในงานประชุมวิชาการสหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกันประจำฤดูใบไม้ร่วง (American Geophysical Union (AGU) Fall Meeting) ซึ่งเป็นงานที่รวมนักธรณีวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    วอยเอเจอร์ 1 ถูกส่งขึ้นไปเมื่อ 5 ก.ย. ปี ค.ศ.1977 และยานผู้น้องวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) ถูกส่งตามขึ้นไปหลังจากนั้นไม่มีกี่เดือนคือในวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งยานสำรวจขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) มีเป้าหมายเบื้องต้นคือการสำรวจดาวเคราะห์วงนอก ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ยูเรนัสและเนปจูน โดยภารกิจดังกล่าวสำเร็จเมื่อปี ค.ศ.1989

    จากนั้นยานทั้งสอง ได้ทำหน้าที่ในการส่งข้อมูลและข่าวสารจากการมุ่งหน้าสู่อวกาศห้วงลึกและทิศทางสู่ใจกลางกาแลกซีทางช้างเผือก ความคงทนของชุดพลังงานกัมมันตภาพรังสีทำให้อุปกร์ณต่างๆ ของยานทั้งคู่ยังคงทำงานได้ดีอยู่ และยังคงส่งข้อมูลกลับมายังโลก แม้ว่าด้วยระยะทางที่ไกลมาระหว่างโลกและยานอวกาศจะทำให้ข้อความจากสัญญาณวิทยุที่ส่งมาต้องใช้เวลานานถึง 16 ชั่วโมง

    รายงานการสำรวจล่าสุดมาจากเครื่องมือตรวจวัดอนุภาคมีประจุพลังงานต่ำ (Low-Energy Charged Particle Instrument) ของยานวอยเอเจอร์ 1 ซึ่งทำหน้าที่จับตาความเร็วลมสุริยะ ซึ่งกระแสของอนุภาคมีประจุนี้ก่อตัวเป็นเหมือนฟองอากาศรอบๆ ระบบสุริยะ ที่รู้จักกันในชื่อ “สุริยมณฑล” (heliosphere) โดยลมสุริยะดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับเสียงซูเปอร์โซนิกจนกระทั่งข้ามผ่านคลื่นกระแทกที่เรียกว่า “กำแพงกระแทก” (termination shock)

    ณ จุดนี้เมื่อถึงบริเวณที่เรียกว่า “ฝักสุริยะ” (heliosheath) ลมสุริยะจะลดความเร็วลงอย่างมากและร้อนขึ้น โดยยานวอยเอเจอร์ประเมินว่าความเร็วของลมสุริยะ ณ จุดที่ยานอยู่นั้นช้าลงเหลือศูนย์

    “เราได้มาถึงจุดที่ลมจากดวงอาทิตย์ซึ่งปกติจะเคลื่อนออกไปข้างนอกอยู่ตลอดไม่เคลื่อนออกไปข้างนอกแล้ว แต่มีเพียงการเคลื่อนไหวข้างๆ ซึ่งท้ายสุดจะรวมเป็นหางของสุริยมณฑล ที่มีรูปร่างคล้ายดาวหาง” ดร.สโตน ซึ่งประจำอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียในพาซาเดนา (California Institute of Technology in Pasadena) แคลิฟอร์เนียอธิบาย

    ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากลมต้านสสารที่มาจากดาวอื่น ซึ่งขอบเขตระหว่างลมทั้งสองทิศทางนั้นถือเป็น “ขอบอย่างเป็นทางการ” ของระบบสุริยะหรือ “ขอบสุริยะ” (heliopause) เมื่อวอยเอเจอร์ผ่านจุดดังกล่าวไปแล้ว ตำแหน่งของยานก็จะอยู่ในอวกาศระหว่างดวงดาว

    สัญญาณแรกที่บ่งชี้ว่าวอยเอเจอร์ได้ก้าวสู่หลักไมล์สำคัญมาถึงโลกเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และข้อมูลต่อมาอีกหลายเดือนยืนยันชัดเจนถึงสิ่งที่วอยเอเจอร์ได้สำรวจพบ ซึ่งสัญญาณความเร็วเหลือศูนย์ของอนุภาคจากดวงอาทิตย์นั้นทำให้ ร็อบ เด็คเกอร์ (Rob Decker) ผู้สังเกตการณ์ร่วมในเครื่องมือตรวจวัดอนุภาคมีประจุพลังงานต่ำ จากห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยจอห์นสฮอพกินส์ (Johns Hopkins University) ในลอเรล แมรีแลนด์ รู้สึกอึ้ง

    “วอยเอเจอร์ที่ทำหน้าที่เป็นม้างานมานาน 33 ปี ได้แสดงให้เราได้เห็นถึงการค้นพบใหม่ๆ อีกครั้ง” เด็คเกอร์กล่าว

    ตอนนี้วอยเอเจอร์กำลังซิ่งออกจากขอบอวกาศด้วยความเร็ว 17 กิโลเมตรต่อวินาที ซึ่ง ดร.สโนคาดการณ์ว่า การข้ามผ่านขอบอวกาศจะเกิดขึ้นในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left background=images/bg_comment.gif><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ความคิดเห็นที่ 7</TD><TD class=body4 vAlign=baseline align=right width=100 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=5 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=25 background=images/bg_comment.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=baseline align=middle width=25 background=images/bg_comment.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=baseline align=middle width=55 background=images/bg_comment.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=baseline align=middle width=62 background=images/bg_comment.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=15>[​IMG]</TD><TD class=body vAlign=top align=left>1 วินาทีแสงเดินทางได้ 0.3 ล้านกิโลเมตร
    1 นาทีแสงเดินทางได้ 18 ล้านกิโลเมตร
    33 ปีเพิ่งเดินทางได้ 17,400 ล้านกิโลเมตร = 966 นาทีแสง =16.1 ชัวโมงแสง เอง
    gang </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ข้อความจากสัญญาณวิทยุที่ส่งมาต้องใช้เวลานานถึง 16 ชั่วโมง
    ...

    Science - Manager Online - <!-- google_ad_section_end -->
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ด้าน ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยที่ทำงานในองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา กล่าวในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างอวกาศกับการเปลี่ยนแปลงบนโลก” ว่า 20 ปีที่ผ่านมา ระบบสุริยะจักรวาลเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก มีพลังงานต่างๆเข้ามาในระบบสุริยะจักวาล นาซ่าส่งดาวเทียมขึ้นไปศึกษาพบความเปลี่ยนแปลงมวลลมสุริยะลดลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่างๆ เช่น ดาวอังคารเกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งละลาย ดาวพฤหัส มีความสว่างเพิ่ม 200% ความร้อนสูงขึ้น ส่วนโลก ก็พบปริมาณรังสีคอสมิกมาก มีปริมาณฝุ่นละลองเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณฝนดาวตก และวัตถุพวกอุกาบาตรเข้ามาในโลกมากขึ้น รวมถึงตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศนอกโลก

    “ชั้นบรรยากาศของโลกลดลง ส่งผลให้โลกมีความไว้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนอกโลก และแกนโลกมีการเคลื่อนตัวจากเดิม ช่วงต้นปี 2013 หรือปี 2556 ต้องระวังเรื่องภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น จากปฎิกิริยาของดวงอาทิตย์ที่จะส่งผลกระทบต่อโลก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของโลกจนทำให้โลกเกิดความร้อน เพิ่มสูงขึ้น เราควรเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องอาหารให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ 3-5 วัน” ดร.ก้องภพ กล่าว
    http://palungjit.org/threads/%E0%...B4.272331/<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก ?

    [​IMG]
    รูปดาวเคราะห์และดาวเคราะห์แคระในระบบสุริยะ ขนาดดาวตามอัตราส่วนจริง (แนวขวาง) แต่ระยะทางไม่ถูกอัตราส่วน



    <SCRIPT src="http://platform.twitter.com/widgets.js" type=text/javascript></SCRIPT>

    ตามปฏิทินของชนเผ่ามายาที่ทำไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ออกคำทำนายไว้ว่า ปี พ.ศ.2555 หรือ ค.ศ.2012 จะเป็นวันอวสานโลก ถึงขนาดทำเป็นหนังฉายให้คนทั้งโลกได้ดูสุดยอดมหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึงปี 2012 ผลจากความแปรปรวนของสุริยะจักรวาลและความผิดปกติของแสงอาทิตย์

    ด้านนักวิทยาศาสตร์ก็มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องจักรวาลและอวกาศ ได้ค้นพบความวิปริตของระบบสุริยะจักรวาลที่ส่งผลต่อทั้งโลก ทั้งพายุฝน น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ มีผู้สังเวยชีวิตมหาศาล แล้วตอนนี้ที่หิมะและอากาศเย็นยะเยือกกระหน่ำยุโรป ก็คาดเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

    ปี 2012 จะเป็นวันอวสานโลกจริงตามคำทำนายที่ชนเผ่ามายาระบุไว้หรือไม่....ไม่มีใครรู้

    แต่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการออกแบบเครื่องตรวจจับคลื่น ไมโครเวฟอินฟาเรด องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา เจ้าของรางวัลวิศวกรดีเด่นจากนาซา ในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในระบบตรวจจับพลังงานคลื่นไมโครเวฟจากนอกโลก เป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคนที่ออกมาเตือนให้ทุกคนทราบถึงความปั่นป่วนของ ระบบสุริยะจักรวาลที่จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อโลกโดยตรง และที่งานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด"

    เขาบอกว่า จากการศึกษาไม่ใช่ ปี 2012 แต่เป็นปี 2013 ที่โลกจะเผชิญหายนะสูงสุด แม้จะไม่ตรงกับวันสิ้นโลกในปฏิทินของชาวมายา แต่ก็ได้ความว่า อีก 3 ปี พวกเราไม่รอดแน่ เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ

    ดร.ก้องภพ ให้ดูภาพเกี่ยวกับโลก ทางช้างเผือก ระบบสุริยะ และกาแล็กซี่ของโลก พร้อมระบุสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากการศึกษาและรวบรวม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์การนาซาที่กำลังทำงานอยู่ และเขาบอกว่า ปี 2556 หรือ ค.ศ.2013 เป็นปีที่จะเกิดโนวาการระเบิดที่มีพลังงานมากที่สุด มันจะปลดปล่อยพลังงาน มหาศาล เพราะมีแนวโน้มว่าปฏิกิริยาพระอาทิตย์จะขึ้นสูงสุดในต้นปี 2013 นี้ และเกิดการพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดทั้งความร้อนสูงและการหดตัวของระบบสุริยะ

    ช่วงนั้นดวงอาทิตย์โคจร ตัดผ่านทางช้างเผือกในทุก ๆ 33-35 ล้านปีพอดี ซึ่งทางช้างเผือกมีมวลของดาว 2,000-4,000 ล้านดวง หากเกิดการบีบหดตัว ดวง ดาวและอุกกาบาตบางส่วนจะกระเด็นเข้ามาในระบบสุริยะ ซึ่งเมื่อ 35 ล้านปีที่ แล้วเป็นช่วงที่มีอุกกาบาตเข้ามาเยอะ แต่ความเสี่ยงจะมากกว่า 10 เท่า ในปี 2013

    "ตลอดระยะเวลา 10-20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียทำงานองค์การอวกาศรัสเซียเทียบเท่านาซา สำรวจระบบสุริยะ พบมีการเปลี่ยนแปลงขอบด้านนอกสุดของระบบสุริยะ โดยวัดปริมาณความสว่างสูง ขึ้น 1,000% มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เชื่อว่ามีพลังงานบางอย่างเข้ามาในระบบสุริยะ นาซาเองก็พบการเปลี่ยนแปลง เช่นกัน ภาพถ่ายจากดาวเทียม Imax ที่โคจรรอบโลก ปรากฏพลังงานที่เล็ดลอดเข้ามาในะบบสุริยะ เดินทางด้วยความเร็วสูง แนวที่มี พลังงานรั่วใกล้กับทางช้างเผือก แล้วยังค้นพบว่า เมื่อวัดแกนพลังงานนี้มี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในระยะ 6 เดือน ไม่ใช่ลักษณะค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์"

    ดร.ก้องภพ ให้ข้อมูลอีกว่า นอกจากรายงานของนาซายืนยัน การบินอวกาศยุโรปยังมีภาพแบบร่างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่และความร้อนสูงมากเคลื่อนตัวเข้าหาดวงอาทิตย์ แล้วยังมีข่าวอย่างเป็นทางการระบุการบีบอัดของชั้นขอบนอกระบบสุริยะ จะทำให้พลังงานรังสีคอสมิกเข้ามาในระบบสุริยะมากเป็นพิเศษ ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศบนโลก

    นอกจากนี้ มีหลักฐานแสดงให้เห็นดวงอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุดในรอบ 8,000 ปี และการที่นาซาส่งดาวเทียมโคจรที่ขอบด้านนอกเพื่อวัดความดันลมสุริยะช่วงปี 2547-2551 พบว่า ความเร็วลมสุริยะลดลงมาก ผลจากพลังงานบางอย่างเข้ามาบีบอัดลมสุริยะให้ลดลง สอดรับกับข่าวล่าสุดยืน ยันมีการเปลี่ยนแปลงด้านนอกสุดของระบบสุริยะ ส่งผลให้ความเร็วลมสุริยะลดลง 20 กิโลเมตรต่อวินาที ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2550 เป็นต้นมา และในตอนนี้ดาวเทียมวัดความเร็วลมสุริยะพบว่าลดลงถึง 0 แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ถึง 4 ปี

    "ดวงอาทิตย์มีวัฏจักร ทุก ๆ 11 ปี จะมีการพลิกกลับขั้วของสนามแม่เหล็กและเป็นช่วงที่เกราะป้องกันดวงอาทิตย์ ต่ำสุด คาดการณ์ว่าจะเกิดปี 2013 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรุนแรง จากการสำรวจของดาวเทียม ช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยาสูงสุด ทั้งฝุ่นละอองและอุกกาบาตเข้ามามากเป็นพิเศษ มีผลกระทบต่อดาวเคราะห์ทุกดวง" วิศวกรอาวุโสไทยองค์การนาซา กล่าว

    เขายังให้ภาพความปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะถ้วนหน้า ตั้งแต่ดาวพลูโต ที่พบความกดอากาศเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ภาพดาวเนปจูนแสดงให้เห็นความสว่างจ้าของชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ ดาวยูเรนัสก็เช่นเดียวกัน ความสว่างเพิ่มขึ้น กลุ่มเมฆมาก และมีการพลิกกับขั้วของสนามแม่เหล็ก ดาวเสาร์มีการเปลี่ยนแปลงในแนวเส้นศูนย์สูตรและเกิดปรากฏการณ์ออโรรา คือ มีแสงบนท้องฟ้าตอนกลางคืน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กอย่างมาก ดาวพฤหัสก็สว่างขึ้นถึง 200 เปอร์เซ็นต์ และร้อนจัดขึ้น

    ส่วนดาวอังคารเกิดสภาวะโลกร้อน น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ มีพายุ มีการก่อตัวของเมฆในชั้นบรรยากาศดาวอังคาร ดาววีนัสสว่างขึ้น 2,500 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลา 30 ปี แม้แต่ดาวพุธก็ค้นพบสนามแม่เหล็กสูงมาก และเกิดน้ำแข็ง มีฝุ่นละอองที่พัดออกมา ส่วนหนึ่งมาจากความดันลมสุริยะลดลง

    สำหรับดาวเคราะห์โลกที่มนุษย์อาศัยก็เปลี่ยนแปลงมาก วิศวกรอาวุโสไทยจากองค์การนาซา เปิดเผยว่า จากการวัดปริมาณรังสีคอสมิกมีสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ปริมาณจะลดลง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น

    "รังสีคอสมิกถ้ารับปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ รวมถึงเกิดการกลายพันธุ์ เป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ต้องกังวลมาก การเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ปริมาณฝุ่นละอองที่เข้ามาในโลกมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะสูงขึ้นอีก 13 เท่าตัว ในปี 2556 ปริมาณอุกกาบาตที่วัดได้มีสูงมากในปี 2541 อาจเพราะมีเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุหรือมีอุกกาบาตเข้ามาเยอะขึ้น ฝนดาวตกก็เพิ่มขึ้น ยืนยันปรากฏการณ์นี้แสดงว่ามีวิกฤติเข้ามาในโลกมากขึ้น"

    ดร.ก้องภพ กล่าวต่อว่า อีกความผิดปกติที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศรอบนอก ธรรมดาเกิดขึ้นทุก 11 ปี แต่เมื่อวัดครั้งสุดท้ายผิดไปจากเดิม 28 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชั้นบรรยากาศลดต่ำลง ส่งผลให้โลกของเราไวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก เช่นเดียวกับภาพจากดาวเทียมวัดสนามแม่เหล็กรอบนอกแสดงให้เห็นรูรั่ว ที่มี อนุภาคและพลังงานหลุดลอดเข้ามาส่งผลต่อสภาพอากาศโลก ขั้วโลกเหนือน้ำแข็งละลาย ขั้วโลกใต้หิมะน้ำแข็งเพิ่มขึ้น

    เวลานี้มีรายงานวิจัยมากขึ้น ชี้สนามแม่เหล็กโลกส่งผลกระทบต่อรังสีคอสมิกที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพเมฆและก่อตัวของเมฆ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงความถี่ในการ เกิดแผ่นดินไหวส่งผลกระทบต่อโลกมากเป็นประวัติการณ์ ปี 2553 ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ความร้อนที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ความสว่างของดวงอาทิตย์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ในทางเดียวกัน ทั้งยังมีข้อมูลสถิติปี 2552-2553 ระบุความสูญเสียจากภัยพิบัติเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า

    ปี 2556 ที่ ดร.ก้องภพ คาดการณ์ว่าดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยาสูงสุด จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดาวเทียม อุกกาบาตหรือหินนอกโลกอาจทำให้ดาวเทียมเสียหาย มนุษย์มีความเสี่ยงจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะว่าจะได้รับรังสีแกมมา และคอสมิกปริมาณมาก รวมถึงเครื่องบินตก มีข้อมูลว่า 2-3 ปีมานี้ ปริมาณการส่งดาวเทียมไปนอกโลกจากทั่วโลกลดลง ก็ขึ้นกับการตี ความ ปี 2553 เป็นเพียงเริ่มต้นปฏิกิริยาสูงสุดของดวงอาทิตย์ อีก 3 ปีข้างหน้าจะรุนแรงขึ้น

    ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน ปี 2402 มีผู้บันทึกไว้ว่าเกิดปฏิกิริยาพระอาทิตย์ครั้งใหญ่ ปีนั้นแสงอาทิตย์สว่างจ้า ระบบโทรเลขทำงานโดยอัตโนมัติ คนใช้โทรเลขถูกไฟฟ้าช็อตจากพลังงานที่เข้ามา ปัจจุบันผลกระทบจะสูงกว่าครั้งนั้น อาจเกิดไฟฟ้าดับทั่วโลกหรืออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกใช้การไม่ได้ ระบบหม้อแปลงไป จนถึงสายส่งเสียหาย สภาพอากาศแปรปรวน พายุถล่ม น้ำท่วม รวมถึงแผ่นดินไหว ต้องเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และหาวิธีอยู่รอด

    "พื้นที่เสี่ยงกับปฏิกิริยานี้ คือ ขั้วโลก สหรัฐ แคนาดา ประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตรเสี่ยงน้อยกว่าแต่ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ ประมาท พม่าย้ายเมืองหลวงไม่มีเหตุผล เนเธอร์แลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐ สร้างเมืองตัวอย่างลอยน้ำ คาดว่าแล้วเสร็จปี 2013 หรือปี 2555 ทางการนอร์เวย์ย้ายศูนย์บัญชาการทหารลงใต้ดินเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัสเซียสร้างที่หลบภัยใต้ดิน 5,000 จุด เสร็จในปี 2012 นี่คือสิ่งที่แต่ละประเทศเตรียมการไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด" ดร.ก้องภพ กล่าวโดยไม่สรุปใด ๆ เพราะต้องการทำหน้าที่ให้ความรู้จากข้อมูล วิทยาศาสตร์ที่ได้ศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่ขึ้นกับวิจารณญานของแต่ละบุคคล

    อย่างไรก็ตาม ดร.ก้องภพ ฝากทิ้งท้ายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่จะมีขนาดความรุนแรงแตกต่างกัน นโยบายของภาครัฐควรเน้นการป้องกันเพื่อลดการสูญเสีย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้แก้ที่ต้นเหตุ และใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพตรวจจับสิ่งผิดปกติ มีกระบวนการแจ้งเตือนล่วงหน้า รวมถึงสร้างสถานที่หลบภัย ซ้อมอพยพบนเส้นทางหนีภัย อีกมาตรการหนึ่งที่สำคัญ เป็นการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

    ส่วนคนทั่วไปต้องเรียนรู้พึ่งพาตัวเอง นอกจากหวังพึ่งรัฐที่อาจช่วยเหลือได้ไม่ทันท่วงที เช่น สร้างคลังอาหารสำรองในพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงสำรองอาหารและอุปกรณ์ยังชีพที่จะใช้เอาตัวรอดในเหตุฉุกเฉิน 3-5 วัน ระยะยาวเห็นว่าทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ที่สุด




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก ?<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kXy5EvYu3fw&feature=player_embedded]YouTube - ‪Hot Quark Soup Produced at RHIC‬&rlm;[/ame]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=gYvjNiOCDW0&feature=channel_video_title]YouTube - ‪ANCIENT MESSAGES, CROP CIRCLES & FALLEN ANGELS‬&rlm;[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=C1DU36lJsiE]YouTube - ‪Comet Elenin, Nibiru, Pole Shift, 2011‬&rlm;[/ame]
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    June 9, 2011

    อากาศแปรปรวน ยากที่จะเห็นหิมะตกในเขตทะเลทราย Namibia


    ถือเป็นปรากฎการณ์ที่มีอากาศหนาวเย็นสุดในรอบ 10 ปี

    [​IMG]

    ซึ่งปกติในช่วงเดือนนี้พื้นที่แห่งนี้จะมีอากาศร้อนและปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง ไม่ใช่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนและอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ซึ่งเหตุกาณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทำให้อุณหภูมิติดลบถึง 2 องศาเซลเซียส

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=w0Zueh_ljZU"]YouTube - ‪Snow in Namibia desert!‬‏[/ame]
    <TABLE class=tborder style="MARGIN: 10px 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 425><THEAD><TR><TD class=tcat style="TEXT-ALIGN: center" colSpan=2>[ame="http://www.youtube.com/watch?v=w0Zueh_ljZU"]YouTube - ‪Snow in Namibia desert!‬‏[/ame] </TD></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=panelsurround align=middle><EMBED src=http://www.youtube.com/v/w0Zueh_ljZU width=425 height=350 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" wmode="transparent"></EMBED></TD></TR></TBODY></TABLE>​


    [​IMG]

    เครดิต คุณ somsweet<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4757187", true); </SCRIPT> & <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joyguang1<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4757242", true); </SCRIPT> War Room - อาสาสมัครเตรียมการ เฝ้าระวัง ประสานงานเตรียมพร้อมช่วง พค.-มิย. 11
    <!-- google_ad_section_end -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

    11 มิถุนายน 2554

    ที่ชิลีได้เกิดคลื่นยักษ์พัดถล่มพื้นที่ชายฝั่ง สร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านชาวประมงอย่างหนัก

    สภาพอากาศที่แปรปรวนและฝนตกหนักติดต่อกันนานเกือบสัปดาห์ได้ทำให้เกิดคลื่นยักษ์หลายระลอก บางลูกมีความสูงถึง 9 เมตรพัดถล่มหลายพื้นที่ชายฝั่งของชิลี รวมทั้งหมู่บ้านชาวประมงเมาเล่, และเมืองปุนตา อเรนาสและลิตอราล ในรัฐคูลิโค โดยเฉพาะที่หมู่บ้านชาวประมงเมาเล่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมประมงสำคัญของชิลีนั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยถูกคลื่นยักษ์พัดถล่มพังยับเยิน ก่อนพัดขึ้นท่วมบ้านเรือนประชาชน ทำให้ต้องอพยพผู้ที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่ง อย่างไรก็ตามไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

    หลังเกิดเหตุ ผู้ว่าการรัฐคูริโค่ให้คำมั่นจะให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ขณะที่ชาวประมงก็ยืนยันจะไม่ย้ายออกไป แต่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมงให้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง


    [​IMG]

    ครอบครัวข่าว3:

    11 มิถุนายน 2554

    จีนเผชิญน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่ภาคกลางและใต้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 41 คนในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ล่าสุดพายุสาริกาได้กลายเป็นพายุโซนร้อนลูกแรกที่พัดขึ้นฝั่งทางใต้ของจีนเมื่อเช้านี้

    ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดีและต่อเนื่องถึงเช้าวานนี้ได้ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันครั้งรุนแรงและแผ่นดินถล่มในหลายพื้นที่ทั่วมณฑลหูเป่ย และหูหนานซึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง โดยทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 คนสูญหาย 5 คนและต้องอพยพผู้ประสบภัยอีกกว่า 111,000 คนที่เมืองเซียงหยาง, หวงกังและเสียนหนิงของมณฑลหูเป่ย โดยเฉพาะที่เสียนหนิงได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ส่วนที่มณฑลหูหนานก็มีรายงานผู้เสียชีวิต 19 คน สูญหาย 28 คน

    ที่เมืองเยว่หยางและฉางเต๋อ พายุฝนฟ้าคะนองยังสร้างความปั่นป่วนขึ้นที่มณฑลเจียงซี โดยเจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพชาวบ้านกว่า 26,000 นออกจากพื้นที่ในเขตซิวฉุ่ย และทำให้มีผู้ติดค้างอยู่ภายในบ้านราว 1,200 คน รวมผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมปีนี้มีอย่างน้อย 95 คนแล้ว

    และล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พายุโซนร้อนสาริกาได้กลายเป็นพายุโซนร้อนลูกแรกที่พัดขึ้นฝั่งที่เมืองซ่านโถว มณฑลกว่างตง ทางใต้ของจีน โดยขึ้นฝั่งเมื่อเวลา 5.45 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่นหรือ 6.45 นาฬิกา ตามเวลาของไทยด้วยความเร็วลม 72 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนมุ่งขึ้นขึ้นสู่ภาคเหนือ โดยคาดว่าจะทำให้เกิดฝนตกหนักและลมพัดแรงที่เมืองเมืองซ่านโถว, เม๋โจว, เจียหยางและเฉาโจว

    [​IMG]

    จีนเผชิญพายุหลายลูก ข่าวต่างประเทศ ข่าวอาชญากรรม ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่

    ขณะที่ทหารได้เข้าช่วยเหลือผู้ประสพภัยที่ถูกน้ำท่วมติดกับบริเวณที่เมือง Xianning ในเขต Hubei วานนี้ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 50 ราย จากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    China Daily:Dozens killed in deadly floods - Earth Changes and the Pole Shift<!-- google_ad_section_end -->

    B1

    วิตกไฟป่ารุนแรงรัฐอริโซน่า อาจลุกลามไปรัฐที่ 2

    11 มิย. 2554 09:03 น.

    [​IMG]



    <DD>เจ้าหน้าที่รัฐอริโซน่า บอกว่า ไฟป่าครั้งรุนแรงที่ลุกลามเผาไหม้ป่าในอุทยานแห่งชาติ อาปาเช่-ซิทกรีฟส์ ทางตะวันออกของรัฐอริโซน่า <DD><DD>อาจจะลุกลามไปยังรัฐนิว เม็กซิโกเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสายส่งกระแสไฟฟ้าหลัก 2 สายสำคัญ <DD><DD>ที่ทำหน้าที่ส่งกระแสไฟฟ้าป้อนรัฐอริโซน่า ไปจนถึงรัฐเท็กซัส <DD><DD>และอาจทำให้ประชาชนมากกว่า 3 แสน 7 หมื่นคนเสี่ยงต่อการไม่มีไฟฟ้าใช้
    <DD>ขณะนี้ไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รัฐอริโซน่า <DD><DD>ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ลุกลามกินพื้นที่มากกว่า 1,600 ตารางกิโลเมตรแล้ว <DD><DD>เพิ่มขึ้นจากราว 300 ตารางกิโลเมตรเมื่อวันก่อน <DD><DD>และได้เผาไหม้บ้านเรือนไปแล้วมากกว่า 30 หลัง <DD><DD>และทำให้ประชาชนเกือบ 1 หมื่นคนต้องอพยพออกจากพื้นที่
    <DD>มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมากกว่า 3 พันคนเร่งดับไฟครั้งนี้ <DD><DD>โดยเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาสามารถควบคุมเพลิงได้เป็นที่น่าพอใจ <DD><DD>แต่กระแสลมแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นวันนี้ <DD><DD>ทำให้เจ้าหน้าที่วิตกว่า จะทำให้ไฟป่าลุกลามหนักขึ้นอีกครั้ง
    <DD>ทางการอริโซน่า บอกว่า ไฟป่าที่อาจลุกลามไปยังรัฐนิว เม็กซิโก เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการควบคุมไฟป่าในรัฐอริโซน่า <DD><DD>ส่วนสาเหตุของไฟป่า ทางการเชื่อว่า อาจเกิดจากการตั้งแคมป์ไฟ
    10 June 2011

    จากเหตุการณ์ภูเขาไฟ Puyehue-Cordon Caulle volcanic ที่ชิลีเกิดระเบิดขึ้น ส่งผลทำให้ความร้อนในระดับแม่น้ำ Nilahue River สูงขึ้นกว่าเดิมมาก จากอุณหภูมิ 2 องศาเป็น 45 องศา และปลาจำนวนนับ 4.5 ล้านในบริเวณนั้นตายทันที

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    นอกจากนี้ประชาชนกว่า 3,500 คน ถูกเร่งอพยบให้ไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ห่างเกินกว่ารัศมี 10 กม.ที่ได้ประกาศไว้

    Chile volcano: Eruption turns waterway into a steaming torrent | Mail Online

    --กลายเป็นปลาต้มสุกเลยทีนี้ :'(--



    B5<!-- google_ad_section_end -->

    B1

    ผลกระทบจากภูเขาไฟระเบิด ที่ชิลี

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    B1

    ไฟป่า ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ ของอลิโซน่า อเมริกา

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
    B1 - 11 June 2011

    เกิดแผ่นดินถล่มขนาดใหญ่ในประเทศจีน

    ทำให้มีผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 19 คน

    [​IMG]

    the largest event appears to have occurred in at Linxiang, which is in Yueyang in Hunan Province

    [​IMG]

    [​IMG]

    AGU Blogosphere | The Landslide Blog | A large landslide in China<!-- google_ad_section_end -->

    10 June 2011

    เคราะห์กรรมของลูกกระต่ายน้อยที่เกิดมาไร้หู คาดน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากภัยพิบัติสารกัมมันตภาพรังสีรั่ว ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะที่ญึ่ปุ่นระเบิด


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    Japan tsunami and earthquake: Earless bunny born near Fukushima raising new nuclear fears | Mail Online<!-- google_ad_section_end -->

    11 มิถุนายน 2554



    <CENTER></CENTER><CENTER>เกิดเหตุดินยุบที่ถนนสายบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรี</CENTER>

    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>เกิดเป็นหลุมยุบตัวลงไปลึก <METRICCONVERTER w:st="on" productid="80 เซนติเมตร">80 เซนติเมตร</METRICCONVERTER> กว้าง <METRICCONVERTER w:st="on" productid="2 เมตร">2 เมตร</METRICCONVERTER> บริเวณถนนเลี่ยงเมือง สายบายพาสชลบุรี ขาเข้ากรุงเทพ หมู่ 10 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี เลนขวาสุด ส่งผลให้รถทัวร์ ที่นำนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ 15 คน จากพัทยา มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตกลงไปในหลุม โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุแขวงการทาง กรมทางหลวงได้นำแผงกั้น และกรวยมาวางป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดซ้ำซ้อนขึ้นอีก ทั้งเร่งซ่อมแซมถนนที่ยุบตัว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันนี้ ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องเมื่อ 2-3 วันก่อน ทำให้น้ำฝนเซาะดินใต้พื้นถนน จนถนนเกิดยุบตัวลงมา

    11/06 เกิดเหตุดินยุบที่ถนนสายบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรี :: มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ

    ชลบุรี 11 มิ.ย. - ดินใต้ถนนสายบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรียุบตัว หลังจากฝนที่ตกหนักในจังหวัดชลบุรีเมื่อ 2 วันก่อนทำให้รถทัวร์นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ หลบไม่ทันตกลงไปจนรถเสียหาย โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ


    ถนนเลี่ยงเมือง สายบายพาสชลบุรี ขาเข้ากรุงเทพ หมู่ 10 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี เลนขวาสุด เกิดเป็นหลุม ยุบตัวลงไปลึก 80 เซนติเมตร กว้าง 2 เมตร ทำให้รถทัวร์ของบริษัทฮานา เอเชีย ไทยแลนด์ ที่นำนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ 15 คน จากพัทยา มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ หลบไม่ทัน ตกลงไปในหลุม โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่รถก็ไม่สามารถเดินทางต่อได้ เนื่องจากถุงลมตัวถังแตกทั้ง 2 ข้าง จนต้องเช่ารถคันอื่นมารับนักท่องเที่ยวไปส่งกรุงเทพฯ แทน

    หลังเกิดเหตุแขวงการทาง กรมทางหลวงได้นำแผงกั้น และกรวยมาวางป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดซ้ำซ้อนขึ้นอีก ทั้งเร่งซ่อมแซมถนนที่ยุบตัว คาดว่าจะแล้วเสร็จในเย็นวันนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องเมื่อ 2-3 วันก่อน ทำให้น้ำฝนเซาะดินใต้พื้นถนน จนถนนเกิดยุบตัวลงมา. -สำนักข่าวไทย

    [​IMG]


    http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/222284.html

    เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 มิ.ย. 54 ที่ บริเวณถนนเลี่ยงเมืองสายบายพาสชลบุรี ขาเข้ากรุงเทพ หมู่ที่ 10 ต.บ้านสวน อ.เมืองชลบุรี ก่อนถึงทางเข้าบริษัทรามาชูส์ อินดัสเตรียล จำกัด ถนนเลนขวาสุดได้เกิดยุบตัวลงความกว้างเป็นวงใหญ่ประมาณ 2 เมตร ลึกประมาณ 80 เซ็นติเมตร ทำให้ถนนเส้นดังกล่าวเกิดการจราจรติดขัดเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร และยังได้เกิดเหตุมีรถทัวร์ยี่ห้อวอลโว่ หมายเลขทะเบียน 31-7895 กทม ของบริษัทฮานา เอเชีย ไทยแลนด์ ซึ่งภายในรถได้บรรทุกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี จำนวน 15 คน ออกจากพัทยามุงหน้าเข้ากรุงเทพ โดยนายอุดมศักดิ์ สว่างสุข อายุ 32 ปี โชเฟอร์ได้ให้การว่าตนได้ขับมาในเลนขวาพอถึงที่เกิดเหตุเห็นว่าข้างหน้าถนนยุบตัวเป็นวงกว้างจะหักลงซ้ายก็มีรถพ่วง 18ล้อ วิ่งประกบมาจะหักลงขวาก็เป็นเกาะกลางถนน จะเบรกกระทันหันก็กลัวรถจะพลิกคว่ำตนจึงตัดสินใจบังคับจับพวงมาลัยให้แน่นลงไปตรงที่ถนนยุบและก็สามารถบังคับรถผ่านไปได้แต่รถวิ่งต่อไปไม่ได้เพราะถุงลมตัวถังแตก 2 ตัว จึงต้องเอารถจอดข้างทางและเช่ารถเพื่อมารับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ากรุงเทพ ค่าเสียหายราว 3 หมื่นบาท แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกค่าเสียหายจากใคร แต่เบื้องต้นคงต้องไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน ในส่วนของกรมทางหลวงแขวงการทางได้เดินทางเข้ามาตรวจสอบโดยได้นำแผงกั้นและกรวยมาวางเพื่อให้ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงเส้นทาง ส่วนสาเหตุของการเกิดถนนยุบตัวในครั้งนี้คาดว่าเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาได้เกิดฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้น้ำฝนได้เซาะดินใต้พื้นถนนจนเป็นสาเหตุให้ถนนเกิดยุบตัว โดยทางแขวงการทางคาดว่าจะเร่งซ่อมถนนที่ยุบตัวให้เสร็จภายในเย็นวันเดียวกัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    http://www.chonburinews.com/Q1/thememenu.php?id=13288

    11 June 20114 hour ago

    ฝนที่ตกอย่างหนักประกอบกับหิมะละลายทางตอนกลางของประเทศนอร์เวย์ ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่

    น้ำได้ท่วมเข้าบ้านเรือนหลายหลังและถนนหลายสายแล้ว และเป็นสาเหตุทำให้เกิดดินถล่ม ขณะนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จากเหตุการณ์ครั้งนี้

    [​IMG]

    The Canadian Press: Heavy rain, melting snow cause devastating floods across Norway, washing away houses, roads<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    เครดิต คุณ somsweet<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4760178", true); </SCRIPT> & <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joyguang1<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4760262", true); </SCRIPT> War Room - อาสาสมัครเตรียมการ เฝ้าระวัง ประสานงานเตรียมพร้อมช่วง พค.-มิย. 11<!-- google_ad_section_end --> </DD>__________________
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    NASA TELLS ITS PERSONNEL TO BE PREPARED!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    A major initiative has been placed on Family/Personal Preparedness for all NASA personnel. The NASA/Family Preparedness Program is designed to provide awareness, resources, and tools to the NASA Family (civil servants and contractors) to prepare for an emergency situation. The most important assets in the successful completion of NASA’s mission are our employees’ and their families. We are taking the steps to prepare our workforce, but it is your personal obligation to prepare yourself and your families for emergencies.

    Listen to Administrator Bolden’s thoughts on why it’s important that we “know our stuff” and “be prepared”.
    Administrator, Charles F. Bolden, Jr. Video

    [link to www.nasa.gov]


    [link to www.nasa.gov]

    NASA TELLS ITS PERSONNEL TO BE PREPARED!!!!!!!!!!!!!!!!!!!<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    Nexus (Cosmic Snake) จากข้อมูลที่แจ้งมาจาก Pane Andov

    สัญลักษณ์ รังสี Cosmicเหมือน งู Nexus หรือ Superwave (สิ่งที่นำพาโปรแกรมการ
    เปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมDNA – เพียงหนึ่งเดียวที่เป็นที่รู้จักกันในจักรวาลของเรา)
    และการแสดงว่างูกำลังมา"เพื่อแพร่กระจาย"ทั่วแผ่นกาแล็กซี่

    Corp Circle รายงานวันที่ 1 มิย.2554
    Wilton Windmill, nr Wilton, Wiltshire. Reported 1st June.

    [​IMG]

    Image Olivier Morel / WCCSG Copyright 2011

    [​IMG]

    http://www.cropcircleconnector.com/2...lton2011a.html
    Crop Circle at Wilton Windmill, nr Wilton, Wiltshire. Reported 1st June 2011<!-- google_ad_section_end -->

    มีคนบอกว่า 1 มิย.- 1 กค. 2554 จะเกิด จันทรุปราคา 3 ครั้ง
    การเกิดคราสกลางปีทั้งสามครั้ง

    คราสกลางปีทั้งสามครั้งที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นในวันที่:

    - 1 มิถุนายน 2011
    - 15 มิถุนายน 2011
    - 1 กรกฎาคม 2011

    ข่าว วันและเวลาที่เกิดคราสที่ประเทศไทย
    16 มิถุนายนนี้ รอชมปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในรอบ 4 ปี<!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Quote:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">Originally Posted by vijit_j [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=626 align=center border=0 valign="top"><TBODY><TR><TD class=text5 width=626 bgColor=#414141 height=97>น้ำในลำน้ำชีร้อนขึ้น ชาวบ้านเอาไข่ไปต้มพิสูจน์พบเกือบสุก
    <IFRAME id=frmSocial name=frmSocial src="read_social.php?bg=414141&id=514783" frameBorder=0 width=500 scrolling=no height=35></IFRAME></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=626 border=0><TBODY><TR><TD width=14 bgColor=#414141>[​IMG]</TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=599 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=599><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width=599 border=0><TBODY><TR><TD class=text4>13 มิย. 2554 21:42 น.

    <DD>
    <DD>ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านพลวง คุ้มโคกช้าง ต.คอโค อ.เมือง จ.สุรินทร์ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีประชาชนในหมู่บ้าน ได้ลงไปหาจับปลา ในลำน้ำชี บ้านพลวงคุ้มโคกช้าง ต.คอโค อ.เมือง สุรินทร์ ชาวบ้านคนที่ลงไปหาปลาถึงกับตกใจ เมื่อลงไปในน้ำพบว่าน้ำร้อนขึ้นจากใต้ดิน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโคลน เป็นทรายก็ร้อน จึงได้รีบไปแจ้ง เพื่อนบ้าน ให้มาตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า น้ำในลำน้ำชี บริเวณดังกล่าวร้อนจริง
    <DD>ทั้งนี้ บริเวณที่น้ำใต้ดินร้อน เป็นแอ่งน้ำในลำน้ำชี ซึ่งขณะนี้ยังคงแห้งขอด มีน้ำขังเป็นแอ่งๆ ระดับน้ำสูงประมาณ 80 เชนติเมตร ถึง 1 เมตร ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ที่ทราบข่าวต่างเดินทางเข้าไปพิสูจน์ว่าน้ำร้อนจริงหรือไม่ โดยพบว่าทุกคนที่ลงไปในน้ำก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำที่อยู่ข้างบนเย็นแต่ที่ผิวดินใต้น้ำกลับร้อน บางจุดร้อนมาก
    <DD>นอกจากนี้ ได้มีชาวบ้าน นำไข่ไก่ จำนวน 2 ฟอง ไปทดสอบความร้อนใต้น้ำ ด้วยการนำไข่ไก่ ลงไปหมกไว้ใต้โคลนลึกลงไปใต้ผิวน้ำประมาณ 50 เชนติเมตร ซึ่งมีความร้อนในระดับที่ร้อนสูงพอสมควร โดยหมกไข่ไก่ฟองแรก ด้วยเวลา 25 นาที พบว่าไข่แดง จะมีลักษณะเป็นยางมะตูม ขณะที่ไข่ไก่อีกฟองแช่น้ำร้อนไว้ 20 นาที ไข่ไก่ ไข่แดง จะยังไม่สุกเท่ากับไข่ฟองที่หมกโคลน ส่วนกลิ่นโคลนหรือทรายที่นำขึ้นจากใต้น้ำ พบว่ากลิ่นฉุน เหมือนกลิ่นกำมะถัน น้ำจะมีรสเปรี้ยวและเค็ม จะเกิดด้วยสาเหตุใดไม่มีใครทราบ ต้องรอการพิสูจน์จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง.
    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ข่าวนี้น่าจับตานะ ตรงนั้นมีภูเขาไฟที่ตายแล้ว อาจจะเริ่มปะทุมา แป่วแน่<!-- google_ad_section_end -->
    เครดิต คุณ Falkman<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4768931", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/war-ro...านเตรียมพร้อมช่วง-พค-มิย-11-a.288866/page-140
     
  17. apple_lin

    apple_lin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +704
    โลกจะแตกหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าวันนี้เราทำความดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วหรือยังมากกว่าค่ะ ^__^
     
  18. univs19

    univs19 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +2
    เราไม่คิดว่าโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆนะ แต่อาจมีอะไรบางสิ่งเปลี่ยนเพราะประตูที่กั้นระหว่าง
    มิติเปลี่ยนไปเนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไป เมื่อแต่ละมิติทะลุมาสู่กันได้จะเกิดอลหม่านกันมากระหว่างมนุษย์บนโลกที่เป็นรูปธรรม(กาย)กับนามธรรม(จิต)หลายๆจิตซึ่งถ้าไม่ใช่จิตที่เป็นกุศลหากไปแนบอยู่ที่รูปธรรมใดซึ่งไม่เคยสังเกตจิตในจิตตนก็อาจพากายนั้นทำอะไรที่ไม่อยู่ในศีล(คล้ายๆคนทานยาเสพติด)โดยไม่รู้ตัวเพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ กลายเป็นซอมบี้ย่อมๆ คิดว่านะ ตอนนี้ก็ต้องรักษาจิตให้ดี ศีลสมาธิปัญญาจ้ะ ส่วนนาซ่าเราก็สนใจมากล่ะเราแค่แลกเปล่ียนความคิดเห็นน่ะ
     
  19. lady_ta

    lady_ta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +380
    ยิ่งคิดยิ่งเครียดค่ะ .. ปล่อยไปตามกฏ(ผิด)ธรรมชาติ และ กฏแห่งกรรม ดีกว่าค่ะ คิดดี ทำดี พูดดี ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ
     
  20. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
     

แชร์หน้านี้

Loading...