ฌาน [อธิบายอย่างละเอียด]

"ปัญญาขั้นสูง เห็นสมาธิเป็นภัย"

ปัญญาตังหากที่ตัดกิเลศ ไม่ใช่สมาธิ
สมาธิเพียง สิ่งส่งเสริมปัญญาเท่านั้น

 

ผมขออนูญาติ คุณหมอรวย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ..
ผมถามว่า คำว่า "เราละจากร่างกาย" ของคุณหมอรวย หมายถึง ที่จิตเค้าแยกกับกายกันชัวคราว..ในรูปแบบดวงวิญญานหรือเปล่าครับ...
และส่วนตัว จุดนี้ถ้าใช่ ไม่จำเป็นต้องฝึกมโนครับ..แต่ถ้าถึงจุดนี้..ผมว่าเอาดวงจิตที่เป็นรูปวิญญาน ทำให้เค้าอยู่ในร่างกายให้ได้ก่อน..เพราะถึงจุดนี้..เราไปไหนเค้าจะไปของเค้าเองโดยที่เราได้แต่ดู(ในช่วงแรกๆที่เริ่มทำได้)..
พอบังคับเค้าอยู่ในร่างกายได้ จะถอยมาวิปัสสนา หรือ จะรักษาอารมย์ต่อเพื่อให้เค้าดูอวัยวะค่อยว่ากัน..
อนุโมทนาครับ..

 

ถ้าพิจารณากายไปเรื่อยๆซ้ำๆซากๆ
คนนั้นจะหมดใดความสงสัยใดๆ
เพราะจิตมันปล่อย ถ้ามันถึงขั้นแล้ว
มันจะเข้าใจเองทั้งหมด โดยไม่มีความสงสัย
เวลาไครไปสอบกรรมฐานกับหลวงตาบัว
ท่านจะถาม สงสัยอะไรไหม ยังสงสัยอยู่
ก็พิจารณาเข้าไปอีก จิตมันจะไม่ติดอะไรในโลก
จิตมันจะไม่ถาม จะไม่สงสัย ถึงขั้นแล้วจะไม่ถามอีกเลย
ขั้นสูงแล้ว จิตจะหมุนขึ้นอย่างเดียว โดยไม่ต้องสอน

 

ผมหมายถึงในยามที่ร่างกาย(ชีวิต)นี้ตายลงครับ แต่ในยามที่ยังอยู่นั้นคงต้องว่ากันไปครับ

 

สอบถามนะครับ....

ถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้ไม่มีอยู่...จะได้ไม....

เพราะเมื่อเราคิดว่าสิ่งนี้เรามีอยู่ เราก็จะไปยึดว่ามันมีอยู่....เมื่อมันส่งออก ไม่อยู่ในบังคับเราก็ทุกข์(เพราะการที่ไปยึดมั่น)....เราคิดเสียว่ามันไม่มีอยู่....เพียงแต่มันเป็นสถาวะหนึ่งที่จิตไปรู้อย่างนี้จะได้ไมครับ....

 

ไม่เึถียงครับไม่มีเจตนาเช่นนั้นครับ..ผมขออนูโมทนาด้วยครับ..มีแต่จะชื่นชม.และจะขอคำแนะนำครับ..
งั้นผมขอคำแนะนำหน่อยนะครับเป็นวิทยาทานนะครับแยก.เป็นข้อๆนะครับ
1..ครั้งแรกที่เข้าฌาน 4 ที่เป็นรูปดวงวิญญาน ที่กายกับจิตเค้าแยกกันได้..ตอนนั้น.ดวงจิตที่เป็นดวงวิญญานเค้าอยู่ที่ไหนครับ..
2การควบคุมเค้าทำอย่างไรครับ..
3.เทคนิคในการถอย สลับฌาน เช่น 2 ไป 3 ไป 4 และ 4 กลับ มา 3,2,1และการสลับไปสลับมา เช่น 4 ,2,1 3 มีกิริยาอย่างไรที่เราจะสังเกตุได้..
4.และการเล่นฤิทธิ์ได้ เราอฐิษบานจิตตรงฌานระดับไหน และ ดูผลที่รับดับอารมย์ ฌานไหน เท่านี้ครับ
อนุโมทนาครับ

 

ขอบคุณครับ..ผมอ่านไม่รอบคอบเองครับ.ขออภัย..ความหมายคือตอนที่ร่างกายเรากำลังจะแตกดับ.แล้วเราอยู่ในอารมย์ฌานใช่ไหมครับ..ผมว่าจะไปเกิดอยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้นแต่เพราะยังติดในรูปฌาน(ถ้ารักษาอารมย์ต่อ ก็ติดในอรูปฌาน)อยู่ ยังไม่เข้าเขตแดนนิพพานแน่นอน..
ผมคิดเห็นประมาณนี้นะครับ..

 

1.จิตกับกายแยกออกจากกัน จิตแยกออกจากประสาทรับรู้ ไม่ไช่จิตออกไปจากกาย
2.ถ้าสติดีแล้ว เวลาฌานไหลเข้าไป 1 - 4 มันจะรู้ชัด แล้วสติจะคุมได้ ถ้าสติไม่ดี มันไหลเข้าไปแล้ว มันจะตามคุมไม่ทันเลยทีเดียว
3.เทคนิกดารสลับฌาน คือจะต้องคล่องในฌาน คล่องแล้ว จิตจะชินกับฌาน ว่าฌานไหน เป็นยังไง จิตชินแล้ว จิตจะกำหนด เป็นอารมณืแบบนั้นๆได้ เพราะจิตชินแล้ว สมมุติ จิตชินกับฌานสาม จิตสามารถกำหนดเอาอารมณ์ของฌาน3 ขึ้นมาได้เลย เหมือนคุณเขียน ก ไก่ - ฮ ได้คล่อง คุนไม่จำเป็นต้องไล่ไปทีละตัวๆ คุณชินแล้ว อาการ รูปร่าง เป็นยังไง คุณเขียนมาได้เลย
4.ฤทธิ์ จะอยู่ที่ อุปจารสมาธิ คือต่ำหว่าฌาน เพราะฤทธิ์จะต้องอธิฐานกำหนดใช้ ถ้าจิตสูง จิตจะไม่สามารถกำหนด หรืออธิฐานได้ เพาะมันนิ่งจนคิดไม่ได้ เลยอธิฐานไม่ได้ แต่ถ้าจะได้ฤทธิ์ แต่จิตก็จะต้องอาศัยอำนาจในฌาน4เพื่อฤทืธิ์ จิตก็จะทิ้งฌาน4ไม้ได้ ฉะนั้น จิงจะต้อง เข้าฌาน ออกฌาน อธิฐาน แล้วเข้าฌาน ออกฌาน อธิฐาน เพื่ออาศัยกำลังฌาน4ให้ได้ฤทธิ์ และอาศัยอุปจารสมาธิ เพื่ออธิฐาน

 

ขอบคุณครับ..ผมอ่านไม่รอบคอบเองครับ.ขออภัย..ความหมายคือตอนที่ร่างกายเรากำลังจะแตกดับ.แล้วเราอยู่ในอารมย์ฌานใช่ไหมครับ..ผมว่าจะไปเกิดอยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้นแต่เพราะยังติดในรูปฌาน(ถ้ารักษาอารมย์ต่อ ก็ติดในอรูปฌาน)อยู่ ยังไม่เข้าเขตแดนนิพพานแน่นอน..
ผมคิดเห็นประมาณนี้นะครับ..

 

ยิ่งอ่านยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ข้อ 1 "รู้" ข้อ 2 ข้อ 3 และ ข้อ 4 นั้นต้อง "ทำ" ขออนุโมทนาท่าน Darkever อย่างยิ่ง

 

อนุโมทนา สาธุ ได้ความรู้ดี ติดตามอ่านอยู่ค่ะ

 

ความคิดส่วนตัวผมนะครับ..
คิดนะคิดได้มีการเสาะแสวงหาความรู้หรือแนวทางจากตำราอะไรก็ตามมาช่วยได้..แต่การที่คิดนั้น...ความคิด ณ จุดนั้น ยังเป็นความคิดที่เกิดจากจิต ร่วมปรุงด้วย ถึงแม้ว่าจะอัจฉริยะแค่ไหน ก็ยังเป็นปัญญาทางโลก..ถึงจะเป็นธรรม ก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่เพราะจิตเค้ายังมีการเกิดยังมีกำลังอยู่.เราอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าความคิดที่เกิดจากจิตเป็นสติเป็นปัญญาแล้วนำไปพิจารณาได้.
นอกจากว่า..จะแยกได้ว่่า
1 อะไรเป็นจิต 2 อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต 3 อะไรเป็นความคิดที่เกิดขึ้นหรือผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่เราไม่สามารถบังคับและควบคุมเค้าได้
พอขั้นนี้ มาสร้างสติ(ในทางธรรม)เพื่อกำกับจิต หรือมาดูจิต ในช่วงแรก สติที่มาสร้างกับปัญญาจะทำงานเหมือนกับเป็นคนละตัว เพราะต้องคอยห่ำหั่นกันอยู่(ในบางครั้งต้องมีการอาศัยสัญญาบางในช่วงนี้ในกรณีที่จิตเค้ายังไม่เดินปัญญาหรือยังไม่มีแนวทางในการเดินปัญญา) ต่อมาสติกับปัญญา จะทำงานพร้อมกันเหมือนเป็นตัวเีดียวกัน..จนสุดท้ายทุกอย่าง ตัวจิตเค้าวางทุกอย่างของเค้าเองนะครับ(จิตนะครับที่วางเองย้ำ).
และสุดท้ายจริง แม้แต่ตัวจิตเองและสติปัญญา นั้นเราก็ต้องวาง มาจุดนี้ถึงจะเป็นจุดที่ผมคิุดว่าคุณ Phanudet ตั้้งใจจะสื่อสารกับผมทางความคิดใช่ไหมครับ...
อนุโมทนาครับ ....
และอนุโมทนาคำตอบ คุณ Darkever ด้วยนะครับ...โดยส่วนตัวผมคิดว่ายังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนเท่าไรก็ตาม ขอบคุณนะครับ...

 

ขอถามคุณ Darkever การสลับฌาน 1234 -4321 -4231 ฯลฯ ทำไปเพื่ออะไรคะ

 

ธรรมทั้งสมถะและวิปัสสนาจะ
เกิดจากการคาดคะแนคาดเดาไม่ได้
มันจะต้องเกิดขึ้นปัจจุบัน แล้วแก้กันที่ปัจจุบัน
การหาความรู้ แล้วนำมาคาดเดาเอา ไม่ไช้ธรรมแท้
คาดเดาจากสิ่งที่รู้ สิ่งที่ศึกษา แล้วมาจิณตนาการเอาเอง ไม่ไช่ธรรมแท้
ธรรมแท้จะต้อง แก้กันทันทีทันใด แล้วรู้เห็นขึ้นมาในขณะนั้น ไม่ได้เกิดจากการคาดเดา

โอวาทหลวงตามหาบัว

 

จิตที่จะทำฤทธิ์ จิตดวงนั้นจะต้องแกร่ง และทรงพลังมาก
การสลับฌาน จะทำให้เกิดความคล่องเป็นอย่างมาก
และความคล่องที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้จิตมีกำลังมาก ทำฤทธิ์ได้

 

ท่ามกลางสังคมที่เสื่อมทรามลงทุกวัน ก็ยังพอมีคนใผ่ดีอยู่บ้าง เปรียบเหมือนน้ำเย็นที่คอยชะโลมใจให้รู้สึกดีว่ายังมีความดีอยู่บ้างในโลกใบนี้

การปฏิบัติธรรม แท้จริงแล้วไม่ยาก แต่ที่ยากเพราะิคิดมาก ไม่ลงมือทำจริงจังสักที แถมมีกระแสโลกคอยลากให้ออกนอกทางอยู่ตลอด การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พอเพียง ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนน้อยๆ ถึงจะเือื้อต่อการเดินทางสายเอก อย่างมั่นคง...

 

การเข้าสลับฌานนั้นถ้าจำกัดแต่เพียงแค่ว่าเรื่องฤทธิ์นั้นผมยังเห็นว่าเป็นความต้องการที่ยังแคบอยู่มากนะครับ.....

การเข้าสลับฌานนั้นยังมีประโยชน์ในด้านของการปฏิบัตินะ.....เช่นเมื่อใดก็ตามที่ต้องการความสงบแห่งจิตเราก็สามารถทำได้เลยเนื่องจากความชินที่เป็นวสีแห่งฌานที่ได้นั้น....หรือเป็นการเตรียมพร้อมจิตให้มีความสงบเป็นกำลังของวิปัสสนาญาณเพื่อประหารกิเลสได้....อันนี้เป็นส่วนที่สำคัญมากกว่าที่จะหมายถึงแต่เรื่องที่จะทำฤทธิ์ให้เกิด.....เพราะทำฤทธิ์ให้เกิดนั้นจริงแล้วไม่ใช่จุดประสงค์หลักของพระพุทธศาสนา.....ถ้าหมายแต่หวังเพียงแค่นั้นแล้วหละก็..ไม่มีความจำเป็นใดเลยที่ต้องมีพระพุทธเจ้าเพราะฤาษีก็ทำกันได้ครับ.......

อันนี้ตามความคิดเห็นผมนะ....

 

อะครับ...ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ....

โมทนาสาธุธรรม....

 

Google Search พบมาครับ

 

เป็นว่าเป้าหมายคือ ความละเอียดของจิต ความสะอาดบริสุทธิ์ของจิต และสุดท้ายเพื่อความหลุดพ้น..
อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ...