แปลกหรือบังเอิญ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย น า ทู รี, 5 พฤษภาคม 2011.

  1. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“จิม คาวีเซล” ยอมรับ ชีวิตนักแสดงดับวูบ หลังรับบท “พระเยซู”</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>5 พฤษภาคม 2554 09:22 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500><TBODY><TR><TD vAlign=top width=500 align=center>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“จิม คาวีเซล” ยอมรับว่าการสวมบทบาทเป็น “พระเยซู” ในหนังดัง Passion of the Christ ของ “เมล กิ๊บสัน” เมื่อ 7 ปีก่อน กลายเป็นสิ่งที่ทำให้อนาคตในวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะในฮอลลีวูดของเขา ดับวูบลงโดยทันที แต่ก็เป็นสิ่งที่นักแสดงหนุ่มวัย 43 ปี ยืนยันว่าไม่เคยนึกเสียใจในเรื่องนี้เลย

    [​IMG]


    [​IMG]


    ก่อนที่จะรับบทนำเป็น “พระเยซู” นักแสดงหนุ่ม จิม คาวีเซล เคยเป็นดาราหนุ่มผู้มีอนาคตสดใส มีผลงานเด่นอย่างหนังเรื่อง Frequency และ The Thin Red Line จนกระทั่งเขาได้รับบทนำในหนังสุดดังสุดอื้อฉาว Passion of the Christ ชีวิตนักแสดงของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง


    [​IMG]


    ซึ่งล่าสุด คาวีเซล ได้เล่าถึงผลกระทบจากการรับงานแสดงครั้งนั้นให้กับทุกคนได้รับฟังกันอีกครั้ง ในการขึ้นพูดที่ First Baptist Church of Orlando เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา


    [​IMG]

    คาวีเซล กล่าวว่าผู้กำกับดัง เมล กิ๊บสัน ได้ถามย้ำกับเขา ถึงความมั่นใจในการแสดงนำในหนังเรื่องนั้น ว่ามันอาจจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงก็ได้ เขาพูดว่า ‘คุณอาจจะไม่มีงานในวงการนี้อีกเลยก็ได้นะ’ ซึ่งผมก็ตอบเขาไปว่า‘เราทุกคนต้องแบกรับบาปของตัวเอง’



    [​IMG]


    คาวีเซล ยอมรับว่า กิ๊บสัน เตือนเขาหลายครั้งว่าการแสดงหนังเรื่องนี้ อาจจะทำให้อาชีพในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดต้องดับวูบลงไปเลยก็ได้ “วันต่อมาเขาก็ยังพูดอีกว่า ‘ผมอยากจะบอกคุณอีกครั้งนะ ว่าคุณกำลังจะเดินทางไปสู่เส้นทาง ที่อาจจะทำให้ไม่ได้งานอีกเลยก็ได้’ เขาพูดแบบนี้อย่างเปิดเผยอีกหลายครั้งครับ

    [​IMG]


    ซึ่งผมก็บอกเขาเหมือนเดิมว่า‘เมล นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อ เราทุกคนต้องแบกรับกางเขน แบกรับการกระทำของตัวเอง ถ้าเราไม่ทำ น้ำหนักมหาศาลของมันก็จะกดทับเราเอาไว้จนย่อยยับ เพราะฉะนั้นปล่อยวางซะแล้วทำมันเถอะ’ แล้วเราก็เริ่มต้นถ่ายทำหนังกันเลย”


    [​IMG]

    ซึ่งก็เป็นอย่างที่ เมล กิ๊บสัน ได้คาดการณ์เอาไว้ เมื่อ Passion of the Christ ที่ทำรายได้ทั่วโลกกว่า 600 ล้านเหรียญฯ ถูกวิจารณ์และโจมตีอย่างหนักว่ามีเนื้อหา </I>“เหยียดชาวยิว”


    </I>


    [​IMG]

    จากเนื้อเรื่องที่หลายคนตีความว่า กล่าวหาว่าชาวยิวมีส่วนต่อการถูกตรึงกางเขนของพระเยซู จนกลายเป็นสิ่งที่มีผลกับอาชีพนักแสดงของ คาวีเซล ที่เขากล่าวว่าตนเองถูก“ปฏิเสธจากวงการของตัวเอง” วงการภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยผู้บริหารระดับสูงเป็นชาวยิว


    [​IMG]

    หลังจาก Passion of the Christ แล้ว จิม คาวีเซล มีงานแสดงในหนังทริลเลอร์เล็ก ๆ Unknown, รับบทสมทบในหนังของ เดนเซล วอชิงตัน เรื่อง Déjà vu ขณะที่หนังซึ่งเขารับบทนำอย่าง Outlander และ The Stoning of Soraya M. เป็นงานจากทุนต่างประเทศ และไม่ได้เปิดเข้าฉายในวงกว้างที่สหรัฐฯ ด้วยซ้ำ


    [​IMG]

    ถึงกระนั้นนักแสดงหนุ่มวัย 43 ปี ยังยืนยันว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด “เราต้องยอมสละชื่อเสียง, สละความโด่งดัง หรือกระทั่งชีวิตเพื่อการพูดความจริง” คาวีเซล กล่าวกับผู้ชมในวันนั้น


    [​IMG]

    คาวีเซล หนุ่มจากวอชิงตัน เป็นโรมันคาธอลิกมาตลอดชีวิต มีผลงานที่ว่าด้วยเรื่องราวของศาสนาและความเชื่อหลายชิ้น อาทิ The Passion of the Christ (2004), The Stoning of Soraya M. (2008), I Am David (2003), Bobby Jones: Stroke of Genius (2004)


    [​IMG]

    โดยเขายืนยันว่าใช้ความเชื่อทางศาสนาเป็นสิ่งชี้นำ ทั้งในเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว ซึ่งเจ้าตัวเชื่อว่าการได้สวมบทบาทเป็นพระเยซู ในตอนที่มีอายุได้ 33 ปี นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


    [​IMG]

    และยังกล่าวติดตลกว่า ชื่อย่อ “J.C” ของเขาที่ไปพ้องกับคำว่า Jesus Christ ก็ยิ่งทำให้ผู้กำกับอย่าง เมล กิ๊บสัน รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเลย


    [​IMG]

    “เรื่องราวของพระเยซูกลายเป็นที่ถกเถียงในตอนนี้ ไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่” คาวีเซล กล่าว “แทบไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย”

    [​IMG]

    [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  2. chanin17

    chanin17 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +12
    หูยเหมือนจริงม๊ากมายอ่าครับ
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ตอนนั้น ****

    พระเยซู...เป็นคนซื่อ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    พระคัมภีร์คริสเตียนได้บอกไว้ว่า "โลกนี้จะมีวันหนึ่งที่จะอวสาน" และการอวสาน (สิ้นสุดของโลก) ก็เกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ด้วย

    ทำไมการสิ้นสุดของโลกจึงเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์?

    พระเยซูคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนว่า "การเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ มาเพื่อกำจัดบาป (รับแบกบาปแทนมนุษย์) โดยการตายไถ่บาปบนไม้กางเขน"

    หลังจากที่พระองค์ตายแล้ว 3 วัน พระองค์ก็ทรงฟื้นจากความตาย และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นนั้นพระองค์ได้ตรัสอีกว่า


    "ในไม่ช้าเราจะกลับมาอีก มาเพื่อรับคนที่สำนึกว่าตนเองเป็นคนผิดบาป และเชื่อในเรา ไปอยู่สวรรค์กับเรา

    แต่คนที่ปฏิเสธการช่วยเหลือจากเรา เขาก็ต้องพบกับการพิพากษาที่ยุติธรรมของเรา ตามผลการกระทำของเขาเอง"

    แต่ด้วยความรักที่พระเยซูคริสต์มีต่อมนุษย์ พระองค์จึงได้ตรัสคำ ทำนาย 10 ประการ ไว้ล่วงหน้า เพื่อถ้ามนุษย์ได้เห็นคำทำนาย 10 ประการ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว


    เขาจะได้กลับใจสำนึกในความผิดบาป และหันกลับมา หาพระเจ้าผู้ทรงสร้าง และรักเขา

    (ก่อนที่จะสายเกินไป ถ้าเหตุการณ์ 10 ประการ นี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แสดงว่าโลกใกล้มาถึงจุดจบของมันแล้ว)

    คำทำนายประการที่ 1 ประเทศอิสราเอล จะต้องรวมตัวกันเป็น ประเทศขึ้นมาใหม่ (มัทธิว 24:32-35)


    ซึ่งคนในประเทศนี้ ได้แตกกระจัดกระจายไปทั่วโลกถึง 2,590 ปี มาแล้ว แต่เมื่อปี ค.ศ.1948 คือเมื่อสี่ถึงห้าสิบปีก่อน

    คนอิสราเอลที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกนั้น ก็ได้กลับมารวมตัวเป็นประเทศอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งจนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นจริงดังคำทำนายแล้ว

    คำทำนายประการที่ 2 จะมีผู้ที่อ้างตัวว่า "ฉันคือพระเยซูคริสต์"
    (มัทธิว 24:5)

    ซึ่งพวกเราก็เห็นชัดในข่าวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ คือ นาย
    จิม โจนส์ และ นาย เดวิด โคเรซ ซึ่งอ้างตัวเป็นพระเยซูคริสต์

    (ในอดีตไม่เคย มีคนมาอ้าง เพิ่งจะมีในยุคนี้ นั่นแสดงว่าโลกนี้ใกล้ถึงอวสานแล้วจริง ๆ)

    คำทำนายประการที่ 3 จะเกิดสงคราม กับข่าวลือเรื่องสงคราม
    (มัทธิว 24:6)

    เริ่มตั้งแต่การประท้วง การขัดแย้งภายในประเทศ และลุกลามไปจนถึงสงครามโลก นับตั้งแต่ต้นศตวรรตที่ 20 นี้เป็นต้นมาได้เกิดสงครามโลกถึง 2 ครั้ง และข่าวลือสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ลือกันเรื่อย ๆ

    คำทำนายประการที่ 4 จะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก (มัทธิว 24:7)

    ซึ่งพวกเราก็ประจักษ์กันแล้ว ว่าการเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งนั้นก็ทวีความรุนแรง และกลืนชีวิตมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ

    และเป็นที่น่าสังเกตอย่างนึงก็คือ ประเทศที่ไม่เคยมีแผ่นดินไหว ก็เริ่มมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นแล้ว เมืองไทยของเราก็เริ่มไหวเช่นกัน

    คำทำนายประการที่ 5 จะเกิดการกันดารอาหาร (มัทธิว 24:7)
    เพราะ การสงคราม และประชากรของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดินฟ้าอากาศ เริ่มแปรปรวน อากาศเป็นพิษ สภาพแวดล้อมเริ่มเสื่อมโทรม

    ปัจจุบันนี้มีคนมากกว่า ครึ่งโลกที่กำลังขาดอาหาร และปัจจุบันนี้ก็มีเด็กตายเพราะขาดอาหาร เฉลี่ยแล้ว วันละประมาณ 40,000 คนทั่วโลก

    คำทำนายประการที่ 6 จะมีคนสอนผิดเกิดขึ้นอย่างมากมาย
    (มัทธิว 24:23-24)

    คนเหล่านี้จะอ้างตัวว่า เขาสามารถช่วยคนให้รอดได้ และเขาเป็นพวกคริสเตียนแท้จริง แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านี้ เป็นพวกสอนผิด พวกเขาจะล่อลวงคนให้เชื่อในพระคัมภีร์ คำสอน

    ซึ่งเป็นความคิดของมนุษย์ หรือเป็นคำสอนที่พวกเขาคิดขึ้นเอง

    คำทำนายประการที่ 7 จะมีโรคระบาด โรคร้ายที่รุนแรง และร้ายกาจเกิดขึ้นในโลก (ลูกา 21:11)

    ปัจจุบัน นี้เราจะเห็นว่าโรคเอดส์ หรือ อีโบล่า กำลังกระจายไปทั่วโลก แม้แต่วงการ แพทย์เองก็หมดปัญญาในการรักษาหรือแก้ไขโรคเหล่านี้ได้

    คำทำนายประการที่ 8 ความรู้ของมนุษย์จะทวีมากขึ้น
    (ดาเนียล 12:4)

    นี่เป็นเรื่องจริงที่พวกเราปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะความรู้ และความเจริญของคนในยุคนี้นั้น ก้าวหน้า และก้าวเร็วกว่าคนในอดีต หลายร้อย หลายพันเท่า

    คำทำนายประการที่ 9 ความผิดบาปจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
    (มัทธิว 24:12)

    (2 ทิโมธี 3:1-5)

    การล่วงประเวณี การกระทำผิดเรื่องเพศ การหย่าร้าง กำลังเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม การอกตัญญูต่อพ่อแม่ การทำให้พ่อแม่เสียใจเป็นเรื่องปกติ การฆ่ากัน การทะเลาะวิวาท จะเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม

    คนเราจะยิ่งนับถือศาสนา แต่เปลือกนอก แต่แก่นแท้ของศาสนานั้นเขากลับปฏิเสธ นี่กำลังแสดงให้เห็นว่า ความผิดบาปกำลังทวีความรุนแรงมากจริง ๆ

    คำทำนายประการที่ 10 ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ จะต้องกระจายไปทั่วโลก แล้ววาระสุดท้ายของโลกก็จะมาถึง
    (มัทธิว 24:14)

    ซึ่งวันนี้เราก็เห็นแล้วว่า ข่าวประเสริฐเรื่อง พระเยซูคริสต์นั้นกำลังแพร่กระจายออกไปทั่วโลกจริง นั่นแสดงว่าโลกของเรากำลัง จะใกล้ถึงที่สุดของมันแล้ว

    หลังจากคำทำนายทั้ง 10 ประการ ได้สำเร็จแล้ว วันนั้นโลกของเราใบนี้จะต้อง ถูกเผาผลาญด้วยไฟบรรลัยกัลป์

    และหลังจากนั้นดวงตาทุกคู่ของมนุษย์ จะได้เห็นการพิพากษาอันเที่ยงธรรมของพระเยซูคริสต์ (2เปโตร 3:10)

    www.ccma.i-p.com

    "จิม โจนส์"


    [​IMG]

    Jim Jones หรือ James Warren Jones พ่อทิ้งไปตั้งแต่เขาอายุ 12 ปี ลีเน็ตต้า ผู้เป็นแม่รักเขามาก และมักจะบอกกับคนอื่นว่าลูกของเธอเป็นเหมือนนักบุญมาตั้งแต่เกิด

    จิมเดิมเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า เขาเริ่มท่องจำไบเบิ้ลตั้งแต่อายุ 8 ปี และเมื่ออายุ 12 เขาก็สามารถเทศน์เด็กในละแวกบ้าน ราวกับเป็นนักบวชจริงๆ เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมก็ไปเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นบาทหลวง

    แต่พออายุ 21 ปี เขาก็ได้พบกับมัลเซลีน บอลด์วินด์และแต่งงานกัน และทำงานด้านเผยแพร่ศาสนา

    ในเบื้องต้นถือว่า จิมเป็นวีรบุรุษ เขาเริ่มทำการเผยแพร่คำสอนโดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนผิวดำ และตั้งโบสถ์มวลชน เขาลงทุนทำธุรกิจด้วยเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือคนผิวดำ คนที่มีทัศนคติแบ่งแยกสีผิวไม่พอใจ

    จึงกระทั้งระเบิดขวดใส่บ้าน แต่เขาก็มุมานะ ทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไป พร้อมกับรัฐบาลอเมริกากำลังรณรงค์การมีส่วนร่วมในการปกครองของคนผิวดำ และจิมมีพรสวรรค์ในการเทศน์ ผู้ศรัทธาในตัวเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    และโบสถ์มวลชนก็ขยายตัวไปทั่วประเทศ เขายังรับจิมรับเด็กเชื้อสายนิโกรและเด็กเกาหลีมาเป็นบุตรบุญธรรม นอกเหนือไปจากลูก 2 คนของเขาเองและเรียกครอบครัวว่า Rainbow Family

    ความนิยมของจิมถึงจุดสูงสุด เมื่อเขาตั้งอุดมคติเป็นสังคมแบบเสรีนิยมซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวทั้งการออกเดินขบวน และออกรายการโทรทัศน์

    แต่ขณะเดียวกัน เขาเริ่มเสพติดอำนาจ และเห็นผู้แยกตัวออกจากโบสถ์เป็นศัตรู

    ต่อมา จิมย้ายโบสถ์ของเขามายังยแคลิฟอร์เนียตามคำทำนายของตัวเอง เขาเทศน์เรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือผู้ยากจน คนตกงาน อดีตนักโทษ ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์เติบโตอย่างรวดเร็ว

    หากในขณะเดียวกัน จิมก็เริ่มหลงตัวเองและปฏิเสธในหลักคำสอนของศาสนา แต่สำหรับคนยากจน คำพูดและกิจกรรมของจิมกินใจพวกเขามาก

    [​IMG]

    ที่ซานฟรานซิสโก คนนับพันคนมาชุมนุมที่โบสถ์ทุกครั้งที่มีพิธีเทศน์ จิมให้ความช่วยเหลือผู้ยากจนเช่นเคย แต่ถึงตรงนี้ เขามีสาวกในมือนับหมื่น

    จิมเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างเส้นสายในหมู่นักการเมืองซึ่งทำให้โบสถ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารเมือง และมีฐานะถึงขนาดมีนักการเมืองระดับประเทศคบหากัน

    แต่จิมตอนนั้น เริ่มคิดกำจัดคู่แข่งอย่างรุนแรง และจัดให้มีองครักษ์อยู่ข้างตัวเขาเกือบตลอด 24 ชั่วโมง

    รวมทั้ง ส่งคนไปคอยจับตาดูบ้าน ของกลุ่มผู้แยกตัวออกจากโบสถ์ด้วย

    จิมเริ่มออกลาย เมื่อชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์และมาใช้ชีวิตในโบสถ์ โดยบอกว่า นี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์ เมื่อมีคนแคลงใจ ก็กล่าวหาว่าคนผู้นั้น ไม่มีความศรัทธาพอ

    เขายังกรอกหูบอกกับสาวกของตัวเองว่า สังคมภายนอก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่ควรจะเชื่อข้อมูลของคนนอกโบสถ์

    จิมยังสร้างฮาเร็มขึ้นในหมู่สาวก เพื่อมอมเมา และย้ำเสมอว่าพวกเขาจะถูกข่มเหง เขาสั่งให้สาวกเรียกตัวเองว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์" และเริ่มเทศน์เกี่ยวกับเรื่อง Translation

    ซึ่งมีใจความเรื่องคือการฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวและได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ที่ดาวดวงอื่น จมยังให้มีการทำรายชื่อของคนที่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าตัวตายหมู่และกล่าวโจมตีคนเหล่านั้นด้วย

    เมื่อถูกวิจารณ์มากๆ จิมเริ่มวางแผนจะย้ายสาวกไปอเมริกาใต้และสร้าง "โจนส์ทาวน์" ขึ้น

    ณ. ที่นั้นมีหนทางสื่อสารกับโลกภายนอกเพียงไปรษณีย์ และถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เสมือนเมืองในระบบเผด็จการของจิม สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง

    สุดท้ายแล้ว โจนส์ทาวน์ถูกดูแลด้วยกลุ่มคนผิวขาวหยิบมือเดียว คนผิวดำ ต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีในตอนกลางคืน

    กฏมากมายถูกกำหนดขึ้น คนที่ไม่อยากอยู่จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงซึ่งยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมาน

    และจากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศ และยังมีการซ้อมพิธีฆ่าตัวตายหลายครั้ง

    (ส่วนหนึ่งเพราะจิมป่วยเป็นเบาหวานและทำท่าจะอายุไม่ยืนนัก)

    จิมจะวัดความจงรักภักดีอย่างหนึ่งคือ จะฉลองด้วยการดื่มไวน์ และเมื่อทุกคนดื่มแล้วก็บอกว่า "ไวน์นี้มีพิษ พวกเราจะตายในไม่ช้า" และมีการตรวจว่าสาวกได้ดื่มไวน์ในแก้วไปจนหมดหรือไม่

    ถึงจะมีกลุ่ม "ฮาร์ดคอร์" อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็มีอดีตสาวกจำนวนมากหนีออกมาฟ้องศาล และขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    สุดท้าย สส.ไรอัน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ยื่นจดหมายขอไปทำการตรวจโจนส์ทาวน์แก่จิมเนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น และโศกนาฏกรรมก็บังเกิด

    สส. ไรอัน และผู้ติดตามพบสภาพความย่ำแย่ในที่ชุมนุม เขาจึงออกจากโจนส์ทาวน์และพาสาวกจำนวน 16 คนซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย

    แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ลารี่ เลย์ตัน สาวกคนนหึ่งของจิมพร้อมกับกลุ่มคนติดอาวุธออกมาล้อมเครื่องบินไว้และเริ่มการยิง สส.ไรอัน และผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต

    5 โมงเย็นวันเดียวกัน เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิมรวบรวมสาวกทั้งหมดมาร่วมในพิธีของ"ไวท์ไนท์" นางพยาบาลนำถังใส่ไซนาไนด์ออกมา

    ซึ่งไซยาไนด์เหล่านี้ ถูกผสมกลิ่มผลไม้ให้ดื่มง่าย พวกเขาฉีดไซยาไนด์ให้กับเด็กๆก่อน สาวกผู้คัดค้านและผู้ที่พยายามจะหนี ก็ถูกสาวกที่ภักดีจับไว้และบังคับกรอกไซยาไนด์ลงปากหรือถูกยิงทิ้งไป

    แต่โดยรวมๆแล้ว ระบุว่าไม่มีการขัดขืนมากนัก โดยเฉพาะคนชราซึ่งจะเฝ้ารอคิวของตัวเองอย่างสงบ คนที่ถึงคิวกล่าวคำอำลากับคนรู้จักแล้วดื่มยา อีกประมาณ 5 นาทีก็จะตายไป

    [​IMG]

    จากสาวกกว่าพันคน มีเพียงร้อยกว่าคนที่รอดมาได้ ตายไป 900 กว่าคน ซึ่งที่เสียชีวิตนั้น คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ไม่เต็มใจ เพราะมีทั้งศพที่ถูกยิงจากข้างหลังด้วย

    ส่วนศพของจิมถูกพบบนแท่นเวที ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย

    ฮิตเลอร์ / จิม โจนส์ พวกนี้เริ่มต้นคล้ายๆ กันนะครับ คือดูจะเป็นวีรบุรุษของประเทศ ที่ทำการเสียสละตัวเองเพื่อสังคม แต่พอนานๆไปเข้า มีอำนาจ มีสาวกในมือ ก็เริ่มถือว่าตัวเองคือผู้ยิ่งใหญ่ จะใช้ให่คนไปตาย ก็ทำได้ง่ายๆ

    ลัทธิความเชื่อแบบบ้าคลั่งอุดมการณ์ บรรดาผู้นำมักจะใช้หลักการเดียวกันชักจูงสาวก

    ทำไมคนเหล่านั้ จึงเชื่อผู้นำและคลั่งอุดมการณ์ถึงขนาดนั้น ?

    ในแง่จิตวิทยา - มีคนวิเคราะห์ว่า การคลั่งอุดมการณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็คล้ายๆกับการคลั่งลัทธิความเชื่อทางศาสนา จนลืมหลักกามาลาสูตร

    และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่พฤติกรรมที่วิปลาสได้ แต่ส่วนหนึ่งคือบรรดาผู้นำ มักจะทำอะไรดีๆไว้ก่อนไม่น้อยจนมีความศรัทธาสูง

    ยิ่งได้รับความเชื่อที่ผิดๆ จากคนที่ตัวเองศรัทธาโดยไม่ได้พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด หรือไม่มีความรู้พอที่จะทำการวิเคราะห์ ย่อมจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

    เหมือนว่าถูกล้างสมองให้คล้อยตามไปในทางใดทางหนึ่ง และคนเหล่านี้มีแนวโน้วการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เมื่อเกิดความขัดแย้งในทางความคิดจะใช้อารมณ์ ถือเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่ง

    และนำมาถึงสุดท้ายคืออาการที่ฝรั่งเรียกว่า dogmatic คือการเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ และคัดค้านต่อต้านทุกอย่าง ที่ขัดแย้งกับความคิดดั้งเดิม ไม่ว่าจะมีเหตุผลดีอย่างไรมายกให้ฟังก็ตาม

    www.oknation.net/blog/kakalot/2010/05/19/entry-1


    เดวิด โคเรซ

    ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) คือ เรื่องเล่า บทความที่สร้างขึ้นมาจากความคิดของคน หรือกลุ่มคน โดยนำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆเพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    ลักษณะของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไป มีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย หรือส่วนหนึ่ง เพียงเพื่อเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือว่ามีหลักฐานสนับสนุนที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องกันเท่านั้น อาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนา การเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไป

    เรื่องเหล่านี้นักวิชาการจะไม่ใช้อ้างอิง ผู้อ่านควรใช้วิจารณญานก่อนที่จะเชื่อเรื่องนั้นๆ ประเทศสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานที่จะดูแล และกลั่นกรองเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    [​IMG]
    The Branch Davidians
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มความเชื่อที่ผิดไปจากหลักศาสนามากมาย คนพวกนี้มักอ้างความคิด แนวคิดที่แปลกประหลาด และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนมาศรัทธาลัทธิของตน

    และใช้ผลประโยชน์จากบุคคลเหล่านั้นเพื่อตนเอง เช่น ผู้นำลัทธิมักมากในกาม ก็สอนว่ามีภรรยาได้หลายคน สาวกสาวอยากเข้าใกล้พระเจ้าต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้นำ ผู้นำอยากดัง คืออยากมีชื่อเสียง

    ผู้นำอยากสบาย สาวกต้องหาเงินทองมาสนับสนุนเป็นต้น หรือบางคนมีความต้องการหลายๆอย่างร่วมกันและสาวกไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบพฤติกรรม เหล่านั้นเพราะเป็นสิทธิที่ผู้นำได้รับจากพระเจ้า เป็นต้น
    <O:p></O:p>
    แต่ก็มีบางกลุ่มความเชื่อ เมื่อผู้นำหาเข็มทิศตัวเองไม่เจอ เจอตอเจอปัญหา นาวา ก็ล่ม...และผู้นำเหล่านั้นก็ชวนสาวกฆ่าตัวตาย เช่น
    <O:p></O:p>
    - ปี 1978 ลัทธิ The People's Temple นำโดย สาธุคุณ จิม โจนส์ เขาและสาวกกินไซยาไนท์ที่ประเทศกาน่า เกือบพันคน เมื่อถึงทางตัน
    <O:p></O:p>
    - ปี 1993 ลัทธิ The Branch Davidians หัวหน้าคือ เดวิด โคเรซ (David Koresh) ที่เมือง วาโก, เท็กซัส อเมริกา เผาตัวเอง ในตึกหลังหนึ่ง ตาย 83 คน
    <O:p></O:p>
    - ปี 1994 ลัทธิ Solar Temple ยิงตัวเองตาย 73 คน พบที่ Quebec คานาดา
    <O:p></O:p>
    - ต้นปี 1997ที่เมืองซานดิเอโก สหรัฐ มีศพชาย 18คน และหญิง 21 คน ที่บ้านพักคฤหาสน์...มีหัวหน้าชื่อ นายมาแชล แอปเปิ้ลไวท์ อายุ 66 ปีขณะนั้น กลุ่มนี้ใช้มีอาชีพรับจ้างเขียนโอมเพจให้นักธุรกิจ กลุ่มนี้ใช้ชื่อ โฮมเพจว่า"เฮฟเวน'สเกต" หรือ "ประตูสู่สวรรค์ " ( Heaven's Gate )
    <O:p></O:p>
    [​IMG]<O:p></O:p>

    เหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ผู้คลั่งลัทธิอีกคดีหนึ่งที่ทั่วโลกต่างจับตามากที่สุด เห็นจะเป็นคดีฆาตกรรมหมู่ที่วาโก เท็กซัส ในปี ค.ศ.1993 เนื่องจากเหตุการณ์ได้ถูกสื่อมวลชนมากมายถ่ายทอดให้ประชาชนชาวอเมริกันนับล้านคนได้ดูทางทีวี
    <O:p></O:p>
    เหตุการณ์สังหารหมู่วาโก เป็นเหตุการณ์ที่ผู้นำลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนนาม เดวิด โคโรซ และผู้ติดตาม ฆ่าตัวตายโดยการจุดไฟเผาเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าหน้าที่บุกจับ ส่งผลให้เขาและสาวกตายกว่า 83 คน (จากรายงานของทางราชการพบศพ 79 ศพ)
    <O:p></O:p>
    แต่กระนั้นคดีฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ภายหลังได้มีการพิสูจน์ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งทางการปกปิดเอาไว้เนื่องจากมีสิ่งที่บ่บอกว่ากลุ่มบรานซ์ ดาวิเดียนไม่ได้ฆ่าตัวตาย หากเป็นเพราะการทำเกิดกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ที่ทำให้เกตุการณ์ลุลามจนเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้<O:p></O:p>
    เรามาย้อนเหตุการณ์กันดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น ?
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    [​IMG]
    เดวิด โคโรซ (David Koresh)
    <O:p></O:p>
    หรือเวอร์นอน โฮเวลล์ (Vernon Wayne Howell)<O:p></O:p>
    เกิด 17 สิงหาคม 1959 ที่ฮิวสตัน เท็กซัส<O:p></O:p>
    ตาย วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1993 (รวมอายุ 33 ปี) ในเหตุการณ์ฆษตกรรมหมู่ที่วาโก
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เดวิด โคโรซเป็นผู้นำกลุ่มบรานซ์ ดาวิเดียนที่มีชีวิตไม่สวยหรูนัก เขาเกิดเมื่อ17 สิงหาคม 1959 ที่ฮิวสตัน เท็กซัส มีชื่อเดิมว่าเวอร์นอน โฮเวลล์ พ่อทอดทิ้งเขาในขณะยังเด็ก ต้องอยู่กับแม่ที่ติดเหล้าและชอบใช้ความรุนแรง และเมื่อแม่ได้แฟนใหม่ ก็เขี่ยเขาไปอาศัยอยู่กับย่า
    <O:p></O:p>
    ชีวิตวัยเด็กของเดวิดนั้นช่างขมขื่นนัก เขาโดดเดี่ยว อีกทั้งการศึกษานั้นต่ำต้อย เมื่อโตขึ้นหน่อยก็เป็นเพียงนักดนตรีที่เล่นกันในคลับแถบแคลิฟอร์เนีย
    <O:p></O:p>
    ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เวอร์นอน โฮเวลล์ ได้เข้าร่วมลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียน ซึ่งเป็นลัทธินิกายหนึ่งที่แยกสายมาจากโบสถ์ เซเวนธ์ เดย์ แอดเวนติสต์(Seventhday Aduentist) ที่ก่อตั้งมาเมื่อศตวรรษที่ 19
    <O:p></O:p>
    ลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนนั้นก่อตั้งโดยวิกเตอร์ ฮูเตฟฟ์ (Victor Houteff) เป็นชาวบัลกาเรียที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา แรกเดิมฮูเตฟฟ์และเหล่าสาวกลัทธิเซเวนธ์ เดย์ แอดเวนติสต์ก่อตั้งโบสถ์ในลอส แองเจลิส

    ต่อมาก็ย้ายไปปักหลักในหุบเขาคาเมลในเท็กซัส และเรียกโบสถ์ของพวกตนใหม่ว่า “ดาวินเดียน เซเวนธ์ เดย์” ฮูเตฟฟ์เสียชีวิตในปี 1955 และทิ้งโบสถ์แห่งนี้กับภรรยาฟลอเรนซ์มาดูแล ในปี 1959 ฟลอเรนซ์สูญเสียความศรัทธาจากเหล่าสมาชิกลัทธิ

    เนื่องจากคำทำนายว่าวันพิพากษาโลกจะเกิดขึ้นเมื่อปี 22 เมษายน 1959 ซึ่งปรากฏว่าไม่เกิดขึ้นจริงและผิดพลาด ทำให้สมาชิกส่วนหนึ่งโดยมีผู้นำชื่อเบนจามิน โรเดน (Benjamin Roden) ก่อตั้งลัทธิใหม่เป็น “บรานช์ ดาวินเดียน” มาตั้งแต่บัดนั้น โดยมีความเชื่อเรื่องวันพิพากษาโลกเป็นพื้นฐาน
    <O:p></O:p>
    ในปี 1978 เบน โรเดนก็เสียชีวิต และภรรยาของเขาโลอิสรับช่วงต่อ โดยเขาเปลี่ยนความเชื่อให้กับเหล่าสาวกว่า พระผู้ลงมาปลดปล่อยหรือพระเมสซิยาห์ นั้นเป็นผู้หญิง และเธอก็อ้างว่าเธอนั้นก็คือพระเมสซิยาห์
    <O:p></O:p>
    ในปี 1981 เวอร์นอน โฮเวลล์ เข้ามาเป็นสมาชิกบรานช์ ดาวินเดียน ซึ่งเดิมที่พ่อแม่ของเขาเป็นผู้ชื่อนิกายนี้อยู่แล้ว ประกอบด้วยรูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาและอายุยังน้อยเขาสามารถเข้าถึงตัวผู้นำลัทธิโลอิสจนผูกมัดใจเธอ จนมีลูกชายคนหนึ่งชื่อ จอร์จ โรเดน (Grorge Roden)

    และเขาก็จัดการเขี่ยจอร์จและภรรยาของเขาออกไป ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความทะเยอทะยานของเขา
    <O:p></O:p>
    ในปี 1984 เวอร์นอน โฮเวลล์ แต่งงานกับราเชล โจนส์ (Rachel Jones) สาวน้อยอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น เนื่องด้วยเขาหน้าตาดี บุคลิกดี และมนุษย์สัมพันธ์เยี่ยม เขาเริ่มสร้างบารมีด้วยการพูดโน้มนาวผู้คนรอบข้าง จนสมาชิกลัทธินับถือเขากว่าเจ้าลัทธิโลอิสเสียอีก

    ทำให้โฮเวลล์ และโลอิสมีความขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆ จนกระทั้ง ทั้งสองแยกจากกันในที่สุด
    <O:p></O:p>
    ในปี 1986 ดูเหมือนว่าโฮเวลล์ นั้นเป็นชายที่ชอบมีภรรยาหลายคน เพราะในปีนั้นเขารับเด็กสาวสองคนมาเป็นภรรยาของเขา คาเรน ดอยส์ (Karen Doyle) อายุ 13 ปี และน้องสาวของราเชล โจนส์ อายุเพียง 12 ปีเท่านั้น

    จากนั้นเขาก็ยังมีภรรยาเพิ่มขึ้นอีกชื่อ โรบิน บันส์ (Robyn Bunds) อายุ 17 ปี ทั้งหมดอายุไม่ถึง 18 ปี และภรรยาของเขานั้น ส่วนใหญ่มาจากญาติพี่น้องและลูกสาวของสมาชิกบรานช์ ดาวิเดียนนั่นเอง
    <O:p></O:p>
    ทำไมโฮเวลล์ ถึงได้ภรรยาพวกนี้จากเหล่าสาวกนี่ได้ นั้นเพราะโฮเวลล์ได้สอนสาวกว่า

    ตัวเขาคือผู้รับคำสั่งจากเบื้องบนมาปลดทุกข์ เขาคือตัวแทนของเหล่าพระองค์ ที่มาหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ ภายหลังวันพิพากษาโลก เผ่าพันธุ์ใหม่เหล่านี้ จะเป็นผู้รอดชีวิตและฟื้นฟูโลกใหม่
    <O:p></O:p>
    โฮเวลล์ บอกว่าพระเจ้ากำหนดให้เขาต้องมีภรรยา 140 คน
    <O:p></O:p>
    ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1987 โฮเวลล์ พร้อมสมาชิก 8 คน ถูกจับข้อหาพยายามฆ่าจอร์จ โรเดนและภรรยา เนื่องจากจอร์จโรเดน ต้องการอำนาจของแม่คืนจนเกิดมีการยิงต่อสู้กัน โฮเวลล์ ถูกจำคุก 5 เดือน แต่กระนั้นหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้โฮเวลล์ ก็ได้เป็นผู้นำบรานซ์ ดาวิเดียนโดยสมบูรณ์
    <O:p></O:p>
    ในปี 1987 โฮเวลล์ยังออกกฎหมายใหม่เรียกว่า “แสงใหม่” มาเทศน์ต่อสมาชิกเมื่อเดือนสิงหาคม กฎนั้นมีอยู่ว่าห้ามสมาชิกผู้ชายหลับนอนกับภรรยา เพื่อการถือศิลที่จะไปสู่สรวงสวรรค์ด้วยร่างกายที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง

    โดยจะสามารถไปใช้ชีวิตทางรสเพสได้ในสวรรค์อย่างเต็มที่ โดยมีเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ในนิคมบรานซ์ เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า และด้วยกฎนี้เองทำให้เขาสามารถร่วมเพศกับผู้หญิงทุกคนในนิคมนี้แต่เพียงผู้เดียว
    <O:p></O:p>
    ใช่ว่าสาวกคนอื่นจะเห็นด้วยกับโฮเวลล์ เพราะบางคนได้หนีออกมาจากนิคมและแฉให้สังคมภายนอกได้รับรู้ความคิดบ้ากามของเจ้าลัทธินี้ นั้นเอง ทำให้ลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนเริ่มเสื่อมศรัทธาจากหลายๆ ประเทศ ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปถึงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มาบัดนี้กลายเป็นลัทธิเล็กๆ เท่านั้น
    <O:p></O:p>
    <O:p>[​IMG]</O:p>

    ในปี 1990 เวอร์นอน โฮเวลล์ เปลี่ยนชื่อเป็นเดวิด โคเรซ และใช้วิธีการสอนสมาชิกด้วยวิธีล้างสมอง โดนเริ่มใส่โปรแกรมภาพความรุนแรง ความโหดร้ายต่างๆ จากภาพยนต์และสารคดีให้แก่สมาชิกได้ชมทุกๆ วัน เพื่อให้มีความเชื่อฝังหัวว่าวาระสุดท้ายของโลกใกล้มาถึงแล้ว
    <O:p></O:p>
    ในระหว่างนี้เองเดวิดเริ่มได้รับหนังสือเตือนจากทางราชการว่า ลัทธินี้ทำผิดกฎหมาย
    <O:p></O:p>
    <O:p>[​IMG]</O:p>

    ในนิคมของเดวิด นอกเหนือจากเดวิดที่มีอำนาจสูงสุดที่นี่แล้วยังมีสตีฟ ชไนเดอร์ (steve Schneider) เป็นคนรับผิดชอบในการจัดระเบียบบริหารกันอย่างดี มีการจัดหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยผลิตอาหาร หน่วยอนามัย การจัดวางหน่วยเหล่านี้ทำให้นิคมของเดวิดไม่จำเป็นต้องติดต่อกับโลกภายนอกนามนับปีเลยทีเดียว
    <O:p></O:p>
    ในเดือนพฤษภาคม ปี 1992 เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานควบคุมสุรา ยาสูบ และอาวุธ (ATE) เริ่มตรวจสอบนิคมของเดวิดอย่างเป็นทางการ โดยตั้งข้อหาว่าลัทธินี้ซ่อมสุมอาวุธอย่างผิดกฎหมาย

    และลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนเริ่มเป็นทีรู้จักกันอย่างต่อเนื่อง มีการขุดคุ้ยเรื่องราวของลัทธินี้ตีแผ่ จากอดีตสมาชิกที่หลบหนีออกมาจากนิคมแห่งนั้น <O:p></O:p>

    หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับตั้งชื่อ เดวิด โคเรซ ว่า ผู้นำวิกลจริต
    <O:p></O:p>
    ก่อนจะถึงเหตุการณ์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1993 ทางตำรวจปะทะสาวกของลัทธิลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนต่อเนื่องหลายวัน ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันไม่เคลื่อนไหว สาวกของเดวิดอยู่นิคม ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่คุมเชิงอยู่หุบเขาคาเมลนานถึง 49 วัน

    ทั้งสองฝ่ายต่างใช้สงครามประสาท ฝ่ายเจ้าหน้าที่ปิดล้อมพื้นที่และตัดน้ำตัดไฟตัดโทรศัพท์และส่องไฟสปอตไลต์แรงสูงไปตามอาคารต่างๆ ของนิคมเพื่อกดดันสาวกไม่ให้หลับนอน ส่งผลให้สมาชิกลัทธิของเดวิดส่งตัวคนชรา 14 คน และเด็ก 21 คนออกจากนิคม<O:p></O:p>

    ในขณะที่ในนิคมนั้นยังมีสาวกคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาจะไม่ยอมให้ตำรวจจับกุม ฝ่ายของเดวิดใช้การตอบโต้ทางจดหมายขู่ว่าเขาจะฆ่าตัวตายทั้งหมด
    <O:p></O:p>
    [​IMG]

    วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1993 เวลาเช้า 9.30 น. เจ้าหน้าที่จากหน่วย
    งานควบคุมสุรา ยาสูบ และอาวุธ (ATE) ของรัฐบาลสหรัฐจำนวนกว่าร้อยนาย บุกเข้ารายล้อมอาณาเขตบริเวณนิคมของลัทธิลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียน เจ้าหน้าที่กว่าร้อยนายนั้นมีความสามารถการสู้รบอยู่ในระดับสูง สามารถทำลายกองทัพทั้งกองทัพ

    โดยตามแผนการที่วางไว้ตอนแรกพวกเขาต้องการจับกุมตัวเดวิด โคเรซเท้านั้น ส่วนภารกิจลองคือการปลดปล่อยสมาชิกลัทธิที่รัฐบาลอ้างว่าถูกกักขังมากกว่า 100 คน ในจำนวนนี้มีเด็กผู้หญิงและเด็กมากกว่า 50 คน และหนึ่งในนั้นมีภรรยาและลูกของเดวิดรวมอยู่ด้วย
    <O:p></O:p>
    แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะทางฝ่ายลัทธิก็ได้ยิงตอบโต้ และแล้วก็ยิงต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายก็เกิดขึ้น เสียงปืนมีทั้ง ปืนพก ไรเฟิล และปืนกล การยิงต่อสู้ดำเนินราว 45 นาที ก่อนที่เหตุการณ์จะจบลงเมื่อมีเจ้าหน้าที่ 4 นานเสีนชีวิต และอีก 16 นาย ได้รับบาดเจ็บ

    ส่วนฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนเสียชีวิต 6 คน ต่อจากนั้นฝ่ายตำรวจก็ใช้รถหุ้มเราะบุกเข้าไปในเขตนิคมเพื่อทำลายอาคารที่กลุ่มมือปืนนิคมซุ่มซ่อนอยู่ จากนั้นก็มีการปะทะอีกระลอก มีผู้วิ่งออกจากอาคารที่ซ่อน 3 คน สองคนถูกยิง อีกคนถูกควบคุมตัว
    <O:p></O:p>
    หลังจากการต่อสู้จบลง ฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ต้องหมายเลขฉุกเฉิน 911 เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่หยุดยิง แต่เจ้าหน้าที่ยังระดมยิงต่อเนื่องและพยายามบุกเข้าไปในอาคารนิคม เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกลงในสำนวนการสอบสวน แต่ทางฝ่ายผู้รอดชีวิตยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง
    <O:p></O:p>
    เวลา 11.00 น. มีการขอให้เจ้าหน้าที่ FBI ให้เข้ามาเจรจาเพื่อประวิงเวลาในการวางแผนต่อไป ราว 3 ชั่วโมงต่อมาเจ้าหน้าที่เจรจาก็มาถึง ในการเจรจานั้นเดวิดขอให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้เผยแพร่การเทศน์ของเขา กระจายเสียงไปทั่วสถานีวิทยุดัลลัสเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับฟัง

    และขอสัมภาษณ์กับนักข่าว CNN โดยแลกกับการปล่อยตัวเด็ก 1 หรือ 2 ตนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
    <O:p></O:p>
    วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1993 ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงอยู่หุบเขาคาเมล เดวิดก็ปล่อยตัวเด็กออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อแลกกัยการออกอากาศคำเทศนาของเขา โดยใช้ไฟฉุกเฉิน (เพราะเจ้าหน้าที่ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์)

    ในคำเทศนาของเดวิดตอนนั้นเขาอ้างว่าเขาคิอ “เมสซิยาห์” พระผู้ลงมาปลดปล่อยทุกข์เข็ญ ซึ่งเป็นภารกิจครั้งที่สองหลังการเสด็จลงมาจากสวรรค์ครั้งแรกของพระเยซู

    และเขารจะเป็นแกะดวงตราดวงที่ 7 ซึ่งจะทำให้โลกถึงกาลอวสานตามบทคำพิพากษาโลกในพระคัมภีร์
    <O:p></O:p>
    [​IMG]

    19 เมษายน 1993 ในที่สุดการคุมเชิงก็สิ้นสุดลง เมื่อเจ้าหน้าที่ตัดสินใจนำกำลังบุกเข้าไปในนิคมก่อนเช้าเล็กน้อย

    ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงอย่างดังว่า ให้ทางสมาชิกบรานซ์ ดาวิเดียนทั้งหมดยอมจำนนและออกจากอาคารของนิคมทั้งหมด แต่ก็ไร้ผล ไม่มีการโต้ตอบออกมาจากฝ่ายของนิคม

    ในวันนั้นเจ้าหน้าที่ใช้กำลังเต็มเป็นกองทัพมีทั้งทางพื้นดินและอากาศ มีการนำรถถังแบบ
    M60 A1 เข้าไปเปิดทางและยิงถล่มกำแพงอาคารเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่หน่วยอื่นได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปก่อนที่จะนำกำลังเข้าจู่โจม

    และทันทีที่เข้าหน้าที่บุกเข้าไปเสียงการยิงตอบโต้ก็ดังขึ้นไปทั่ว ไม่นานก็เกิดเพลิงไหม้ตามอาคารต่างๆ อย่างรวดเร็ว (สาเหตุเพราะแรงลมบริเวณนั้นแรงมาก) จนทำให้อาคารนิคมเสียหายเกือบทั้งหมด
    <O:p></O:p>
    ก่อนสิ้นเสียงปืนระลอกสุดท้ายในราวเที่ยง เจ้าหน้าที่ประกาศครั้งสุดท้ายให้สมาชิกบรานช์ ดาวิเดียนทั้งหมดวางอาวุธและยอมให้จับกุม

    หลังจากนั้นสมาชิกเพียง 9 คน เดินออกจากอาคาร ก่อนที่จะมีเสียงปืนอีกระลอกใหญ่ดังออกจากฝั่งอาคาร ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันท่ามกลางเปลวไฟที่ยังลุกไหม้ต่อไป จนกระทั้งเหตุการณ์สงบลงในที่สุด
    <O:p></O:p>
    [​IMG]

    ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ก็ทำการสำรวจเคลียร์พื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายและค้นหาศพผู้เสียชีวิตที่คาดว่าน่าจะติดอยู่ในอาคารเหล่านั้น

    เจ้าหน้าที่ได้พบกับร่างที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของเดวิดและสตีฟ ชไนเดอร์ ไหม้ดำๆ ในที่ๆ เคยเป็นโถงห้องห้องหนึ่ง ตามห้องต่างๆ พบศพของเหล่าสมาชิกหลายคนของบรานช์ ดาวิเดียน

    สิ่งที่สลดอย่างที่สุด คือซากศพจำนวนหนึ่ง ในห้องที่มีผนังคอนกรีตหนาและสูง (ห้องหลบภัย) คาดว่าเป็นสมาชิกของเด็กและผู้หญิงที่ทั้งหมดเอามารวมกันไว้อยู่ในสภาพไหม้เกรียมซึ่งมีมากถึง 41 ศพ
    <O:p></O:p>
    หลังจากการค้นพบศพเสร็จสิ้น มีการสรุปยอดของศพที่ค้นพบทั้งหมดในหุบเขาคาเมล ของฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนทั้งหมดมีจำนวน 79 ศพ

    เป็นศพผู้ใหญ่ 58 ศพ เด็กอีก 21 ศพ ในจำนวนนั้นมีศพของเดวิด โคเรชรวมอยู่ด้วย (พิสูจน์ทราบจากฟันของศพ โดยสาเหตุการตายคือ ถูกยิงที่ศีรษะ)

    <O:p></O:p>
    <O:p>[ame="http://www.youtube.com/watch?v=Kn0hcpyGuac&feature=player_embedded"]http://www.youtube.com/watch?v=Kn0hcpyGuac&feature=player_embedded[/ame]</O:p>
    <O:p>

    จากหนังสือเกมอำนาจปริศนา โดยดาณุภา สำนักพิมพ์ดอกหญ้า+ <STYLE type=text/css>BODY{background:url(http://image.dek-d.com/15/604393/14413924); background-attachment:fixed; }</STYLE>+</O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...