ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    ขออนุโมทนากับคุณทางสายธาตุด้วยครับ
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คุก13ปี! เว็บมาสเตอร์แดง หมิ่นเบื้องสูง


    [​IMG]
    คุก13ปี! เว็บมาสเตอร์แดง หมิ่นเบื้องสูง


    ศาลอาญา พิพากษา จำคุก 13 ปี เจ้าของเว็บมาสเตอร์ นปช. ยูเอสเอ หมิ่นเบื้องสูง ไม่รอลงอาญา

    (15 มี.ค.) ศาลอาญารัชดา อ่านคำพิพากษาในคดีที่ พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.norporchorusa.com และพลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

    ตามโจทก์ฟ้อง ระบุว่า ระหว่างวันที่ 13-15 มี.ค. ปี 2553 จำเลย นำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซด์ดังกล่าว มีการดูหมิ่นเบื้องสูง และจงใจสนับสนุนยินยอมให้ผู้อื่นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ มีข้อความและภาพที่ผิดกฎหมาย ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลย กระทำผิดตามฟ้องจริง

    พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ลงโทษจำคุก 10 ปี ฐานเป็นผู้ให้บริการจงใจสนับสนุน หรือ ยินยอมให้มีผู้กระทำผิดในระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีอยู่ในความควบคุมของตน จำคุกเป็นเวลา 3 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งหมด 13 ปี ไม่รอลงอาญา


    คุก13ปี! เว็บมาสเตอร์แดง หมิ่นเบื้องสูง


    คัดลอกจาก [URL="http://palungjit.org/posts/4485974[/COLOR][/URL]
    <INS style="BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline-table; VISIBILITY: visible; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px"><INS style="BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; VISIBILITY: visible; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px" id=aswift_0_anchor></INS></INS>
     
  3. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ขออนุโมทนาสาธุการครับผม
     
  4. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ขออนุโมทนากับพี่ชานนครับ ขอให้พี่มีความสุขในร่มธรรมครับ
     
  5. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    ขออนุโมทนา กับคุณพี่ชานน ด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ

    โมเยกำลังศึกษา และประคองจิต ให้อยู่ใน ธรรมะ พรหมวิหาร สี่
    เลยนำมาแบ่งปันชาวกระทู้บ้านน้อยในซอยลึก (แต่ไม่เปลี่ยวค่ะ )

    ขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย ที่มีพลังบุญและพลังเมตตา พลังแห่งความดี
    ช่วย แผ่กุศล ไปยังพี่น้องเพื่อนร่วมโลก ชาวญี่ปุ่นด้วยค่ะ

    เมตตานี้ไม่มีประมาณ

    ขอความสุขความเจริญจงบังเกิดแก่ทุกดวงจิตที่อิ่มเอม

    พรหมวิหาร4
    <center>
    </center> พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่า ประเสริฐ คำว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม 4 ประการ คือ

    คุณธรรม 4 ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้เประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานิสงส์ความสุขแก่ผู้ปฏิบัติถึง 11 ประการ ดังนี้




    1. สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ
    2. ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ
    3. นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล
    4. เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งหลาย
    5. เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
    6. จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ
    7. จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น
    8. มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
    9. เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
    10. ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก
    11. มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์
    เมตตา แปลว่า ความรัก หมายถึง รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่นี้ ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้
    ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามี เราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง

    กรุณา แปลว่า ความสงสาร หมายถึง ความปรานี ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความสงสารปรานีีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์
    ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุ โดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์๋นั้นขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ ก็ชี้ช่องบอกทาง

    มุทิตา แปลว่า มีจิตอ่อนโยน หมายถึง จิตที่ไมีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดีด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข สงบ ปราศจากอันตรายทัั้งปวง คิดยินดี โดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น

    อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย นั่นคือ มีการวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง



    • [*] คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบููรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์
      [*] คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ ย่อมมีฌานสมาบัติ
      [*] คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด

    อนุโมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2011
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ชื่อ kib-kae นามนี้หลายท่านคงยังจำได้ ปกติน้องจะเข้ามาโพสเป็นเจ้าประจำอยู่ในกระทู้นี้ ระยะหลังมานี่คงจะมีภาระรัดตัว เลยดูเหมือนว่าจะห่างหายกระทู้ไป
    ได้รับ FWD เม็สเส็จจากน้อง kib-kae ขอถือโอกาสนำมาฝากกันครับ


    สิ่งดีดี....ที่อยากให้ถ่ายทอดถึงกัน


    <TABLE class=ecxMsoNormalTable border=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top><TABLE class=ecxMsoNormalTable border=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top><TABLE class=ecxMsoNormalTable border=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top>โดย พระไพศาล วิสาโล
    จากคอลัมน์ ชวนสังคมคิด เว็บ peacefuldeath.info



    [​IMG]




    คนเรามักอยู่ด้วยความรู้สึก คือ ปล่อยให้ความชอบ-ไม่ชอบ มาเป็นตัวกำหนดชีวิตของตน โดยที่ความชอบ-ไม่ชอบนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันให้ความสุขและสะดวกสบายแก่ตนหรือไม่ อะไรก็ตามที่ให้ความสะดวกสบายหรือความสุขแก่ตน ก็อยากได้อยากหามาครอบครอง
    ส่วนมันจะเป็นประโยชน์หรือเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ไม่สนใจ

    ในทางตรงข้าม อะไรก็ตามที่ทำให้ตนสะดวกสบายน้อยลง หรือเกิดความยากลำบาก
    ก็อยากผลักไสออกไป ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย แม้มันจะมีประโยชน์ก็ตาม เด็กจึงเลือกเที่ยวเล่น
    มากกว่านั่งทำการบ้าน ส่วนผู้ใหญ่ก็ชอบสุมหัวคุยกัน หรือดูหนังฟังเพลงมากกว่าจะทำงานอย่างตั้งใจ


    [​IMG]




    การปล่อยให้ความรู้สึกมาครอบงำชีวิตของตน แท้จริงก็คือการปล่อยให้อัตตามาครองใจ เพราะอัตตาไม่ได้สนใจอะไร นอกจากสิ่งที่จะตอบสนองความอยากได้ใคร่เด่นที่ไม่เคยพอเสียที เจออะไรที่ไม่ถูกใจจึงโกรธ แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา หรือมีประโยชน์ก็ตาม
    ดังนั้นแค่เจอไฟแดง รถติด ฝนตก เพื่อนร่วมงานไม่ทักทาย พ่อแม่แนะนำตักเตือน
    อัตตาก็ขุ่นเคืองใจแล้ว ถ้าเราปล่อยให้มันครองใจ เราก็ต้องทุกข์ไม่หยุดหย่อน
    เพราะชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราย่อมต้องเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราอยู่เสมอ
    ถึงแม้จะร่ำรวย ยิ่งใหญ่ หรือมีอำนาจมากมายเพียงใด
    เราก็ไม่สามารถบัญชา หรือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเราได้ตลอดเวลา


    [​IMG]





    ความจริงที่ทุกชีวิตหลีกหนีไม่พ้นก็คือ ต้องประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา และพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนาอยู่เป็นนิจ รวยแค่ไหนก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย เก่งแค่ไหนก็ต้องมีวันประสบความล้มเหลว ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพลัดพรากจากคนรักไม่ช้าก็เร็ว
    คนที่ปล่อยให้ชีวิตจิตใจเป็นไปตามความรู้สึก ย่อมหาความสุขได้ยาก

    แต่คนเราไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปตามเหตุการณ์ที่มากระทบเสมอไป
    หากเราเป็นอยู่ด้วยปัญญา ไม่เอาความรู้สึกเป็นใหญ่ มีสติรู้เท่าทันอัตตา
    ไม่ปล่อยให้มันครองใจ เราก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้
    แม้ในยามที่ประสบกับสิ่งที่เป็นลบในสายตาของคนทั่วไป
    เช่น เมื่อถูกตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์


    [​IMG]





    หากเราปล่อยให้อัตตาเป็นใหญ่ในใจ เราก็จะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า “กูถูกเล่นงาน” หรือ “กูเสียหน้า” ผลคือเกิดความโกรธและตอบโต้กลับไป ซึ่งอาจทำให้ถูกวิจารณ์ กลับมาหนักขึ้น ในทางตรงข้าม หากเรามีสติทันท่วงทีและสามารถดึงปัญญาออกหน้า
    เราก็จะหันมาใคร่ครวญว่า สิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ มีประโยชน์เพียงใด
    มันอาจช่วยให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองชัดขึ้น หรือไม่ก็เผยให้เห็นตัวตนของผู้พูด
    ทำให้เรารู้จักเขามากขึ้น ผลคือนอกจากเราจะฉลาดมากขึ้นแล้ว จิตใจยังไม่ร้อนรุ่ม
    หรือทุกข์เพราะคำวิจารณ์นั้น



    [​IMG]





    หากเราดำเนินชีวิต ทำกิจวัตรประจำวัน และทำงานด้วยความใส่ใจ โดยไม่มุ่งหวังเพียงแค่ทำงานให้เสร็จ หรือให้ดีเท่านั้น หากยังถือว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจ หรือขัดเกลาตนเองไปด้วย
    เช่น ฝึกให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ลดละความเห็นแก่ตัว บ่มเพาะเมตตากรุณา
    ก็จะเป็นการเปิดทางให้ปัญญาเข้ามาแทนที่อัตตา

    นั่นหมายความว่า เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา หรือพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา
    เราก็สามารถรับมือกับมันได้ โดยไม่ทุกข์



    [​IMG]





    ดังได้กล่าวแล้วว่า เราไม่สามารถควบคุมหรือจัดการให้เกิดสิ่งดี ๆ กับเราได้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดสิ่งแย่ ๆ กับเรา เราสามารถเลือกได้ว่า จะยอมให้มันมีอิทธิพล ต่อชีวิตจิตใจของเราได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย
    เช่น จะใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่เราอย่างไร แต่ทั้งหมดนี้เราจะเลือกได้ก็ต่อเมื่อ
    มีสติและปัญญา ซึ่งเกิดจากการสะสมในชีวิตประจำวันและการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ


    [​IMG]





    ขอให้สังเกตว่า เมื่อมีสิ่งแย่ ๆ (หรือสิ่งที่เราไม่ชอบ) เกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจของเราเอง ที่วางไว้ไม่ถูก ทันทีที่ได้รับการบอกเล่าจากหมอว่า เป็นมะเร็ง หลายคนถึงกับล้มทรุด
    หมดเรี่ยวแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นมะเร็งแค่ขั้นที่ 1

    หลายคนทำงานด้วยความทุกข์ ไม่ใช่เพราะว่างานที่ได้รับนั้นเป็นงานยาก
    แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะไม่พอใจที่เจ้านายเอางานของคนอื่น
    มาให้เขาทำ ฯลฯ บางคนก็ทุกข์เพราะเพื่อน ๆ ทิ้งงานให้เขาทำคนเดียว
    ใจที่เอาแต่บ่นว่า “ ทำไมต้องเป็นฉัน ? ” “ ไม่เป็นธรรม ๆ ๆ ๆ ”
    ทำให้เขาทำงานด้วยความทุกข์ทรมานราวกับตกนรก ทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์



    [​IMG]





    ตอนหนึ่งของรายการ “พลเมืองเด็ก” ที่ออกอากาศช่องทีวีไทย … เด็ก 3 คนได้รับมอบหมาย ให้ขนของขึ้นรถไฟ บังเอิญตอนนั้นมีการถ่ายทอดสดการชกของ สมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิก เด็กชาย 2 คน จึงทิ้งงานไปดูโทรทัศน์ข้างสถานีรถไฟ
    พิธีกรจึงถามเด็กหญิงซึ่งตั้งหน้าตั้งตาขนของอยู่คนเดียวว่า เธอคิดอย่างไรที่เพื่อนทิ้งงาน
    เธอตอบว่าไม่เป็นไร เห็นใจทั้งสองคนเพราะนาน ๆ จะได้ดูสมจิตรชกมวย
    พิธีกรถามต่อว่า เธอไม่โกรธหรือไม่คิดไปด่าว่าเพื่อนหรือ ที่ปล่อยให้เธอทำงานอยู่คนเดียว
    เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูก็เหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขา
    หนูก็เหนื่อยสองอย่าง


    [​IMG]





    คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกายด้วย เหนื่อยใจด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ไม่รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัว ปล่อยให้ความโกรธหรือหงุดหงิดทำร้ายจิตใจของตน จึงทำงานอย่างไม่มีความสุข จริงอยู่ การทิ้งงานให้เราทำคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
    แต่หากใจเรายึดติดกับ “ความถูกต้อง” หรือ “ความน่าจะเป็น” โดยไม่รู้จักวางเลย
    ความยึดติดนั้นเอง จะกลับมาบั่นทอนทำร้ายจิตใจของเรา เขาไม่ควรทิ้งงานให้เราทำก็จริง
    แต่นั่นก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราจะต้องหันมาซ้ำเติมตัวเอง เหนื่อยใจนั้นไม่มีใครทำให้เราได้
    นอกจากเราเอง


    [​IMG]





    เหตุการณ์แย่ ๆ นั้น ทำอะไรเราไม่ได้หากเราไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเล่นงานเราถึงจิตถึงใจ แม้แต่ความเจ็บป่วย ก็ทำให้กายทุกข์เท่านั้น แต่ทำใจให้ทุกข์ไม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยให้ ใจทุกข์ไปกับกายด้วย อันที่จริงนอกจากเราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันมามีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจเรา
    แค่ไหนแล้ว เรายังเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย

    เช่น เมื่อเจ็บป่วยเราเลือกได้ว่าจะดูแลรักษาตัวอย่างไรดี แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง
    เรายังทำได้มากกว่านั้น เช่น ใช้มันให้เป็นประโยชน์ หรือหาประโยชน์จากมัน
    บางคนพบว่าเจ็บป่วยก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้พักจากการทำงานที่หนักอึ้ง
    ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว นอนอ่านหนังสือที่ชอบ หรือหันมาทำสมาธิภาวนา
    หลายคนถึงกับอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” เพราะมะเร็งทำให้เขาค้นพบความสุขที่แท้
    อันได้แก่ความสงบทางใจ ผลก็คือชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น


    [​IMG]





    หากเรามีสติและปัญญา ไม่มัวปล่อยใจจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ หรือเอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” เราจะพบว่าเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ไม่พึงปรารถนานั้นมีข้อดีอยู่เสมอ บางคนพบว่าการตกงานทำให้เขามีเวลาอยู่กับพ่อแม่และทดแทนพระคุณท่านได้มากขึ้น
    ธุรกิจที่ล้มละลายผลักดันให้หลายคนเข้าวัดและค้นพบจุดหมายที่แท้ของชีวิต
    อกหักหรือแยกทางจากคนรักก็ช่วยให้หลายคนพบกับชีวิตที่อิสระและเป็นตัวของตัวเอง

    นอกจากประโยชน์ในเชิงรูปธรรมแล้ว เหตุการณ์แย่ ๆ ทั้งหลายยังมีข้อดี
    อย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่

    1. สอนใจเรา กล่าวคือสอนให้เราตระหนักถึงความจริงของชีวิตซึ่งมีความผันผวนปรวนแปรเป็นนิจ
    เช่น ของหายก็สอนใจเราว่าความพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเรา
    หรือเป็นของเราได้อย่างยั่งยืน การถูกตำหนิก็สอนใจเราว่า สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน
    ไม่มีใครที่จะได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว ไม่ว่าดีแค่ไหนก็ยังถูกนินทา

    2. ฝึกใจเรา เช่น ฝึกใจให้ไม่ประมาท ระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก
    หรือฝึกใจให้ปล่อยวางเพื่อรับมือกับเหตุร้ายที่แรงกว่าในอนาคต (ถ้าโทรศัพท์หายยังปล่อยวาง
    ไม่ได้ แล้วจะทำใจได้อย่างไร เมื่อต้องสูญเสียคนรัก เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่)
    หรือฝึกใจให้มั่นคงเข้มแข็ง เพราะเราจะต้องเจออะไรต่ออะไรอีกมากมายในวันข้างหน้า
    อีกทั้งยังฝึกให้เราฉลาดและมีประสบการณ์มากขึ้น (อย่าลืมว่าคนเราเรียนรู้จากความล้มเหลว
    ได้มากกว่าความสำเร็จ)

    [​IMG]
    ความฉลาดในการรับมือกับเหตุการณ์แย่ ๆ นั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากห้องเรียนหรือจากตำรา
    แต่เกิดได้เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและจากการทำงาน
    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าดีหรือร้าย บวกหรือลบ หากไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ความรู้สึก
    คือชอบหรือไม่ชอบ เพลิดเพลินยินดีหรือคร่ำครวญโกรธแค้น แต่มีสติรู้ทันอารมณ์ความรู้สึก
    และหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นแก่เราเสมอ
    หรืออย่างน้อยก็ทำให้เห็นช่องทางที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
    หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคได้ ถ้าทำเช่นนั้นได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา
    แม้จะเลวร้ายเพียงใด จะมิใช่สิ่งที่ยัดเยียดความทุกข์หรือความปราชัยให้แก่เรา
    แต่จะกลายเป็นสิ่งที่ฝึกฝนจิตใจเรา ให้มีสติ ปัญญา และลดละอัตตา ช่วยให้เรามีชีวิตที่โปร่งเบา
    สงบเย็น และเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบได้เป็นลำดับ จนในที่สุดก็สามารถอยู่เหนือ
    ความทุกข์หรือความผันผวนปรวนแปรทั้งปวงได้ นี้คือสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของเราทุกคน
    และควรเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตเราด้วย

    [​IMG]




    โมทนา สาธุครับ








    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2011
  7. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6
    ขออนุโมทนากับน้อง kib-kae และคุณจงรักภักดี ค่ะ

    ได้รับปัจจัยจากน้องโมเย จำนวน ๑,๐๐๐.- เพื่อร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระสิวลีอัญมณีหยกขาว (พระสิวลี บารมี ๓ พระองค์)เรียบร้อยแล้วค่ะ
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ<!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]

    </FIELDSET>
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

    ....................................


    จากฟอร์เวิร์ดเมล์ : ถังน้ำสองใบ


    ชายจีนคนหนึ่ง .. แบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
    ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
    แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลจากลำธารกลับสู่บ้านจึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

    เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
    ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง

    ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึกอับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
    มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

    หลังจากเวลา 2 ปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
    วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า ..

    " ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน"

    คนตักน้ำตอบว่า ..

    " เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
    เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
    และทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
    เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
    ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว...เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้ "

    คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
    แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
    อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ
    และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้

    สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น
    และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

    มองโลกหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะในด้านดีๆ เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น
    อยู่ที่เราจะใช้ อะไรมอง ..
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    มรรคองค์๘ ท่องให้ได้
    ๑.สัมมาทิฏฐิ �ความเห็นชอบ (ปัญญา)
    �� �รู้ทุกข์ �รู้สมุทัย �รู้นิโรธ �รู้มรรค
    ๒.สัมมาสังกัปโป�ความดำริชอบ (ปัญญา)
    �� �เนกขัมมะออกจากกาม �ไม่พยาบาท �ไม่เบียดเบียน
    ๓.สัมมาวาจา�การพูดจาชอบ (ศีล)
    �� �ไม่พูดเท็จ ไม่พูดเสียดสี �ไม่พูดคำหยาบ �ไม่พูดเพ้อเจ้อ
    ๔.สัมมากัมมันโต�การทำการงานชอบ (ศีล)
    �� �ไม่ฆ่าสัตว์ �ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ �ไม่ประพฤติผิดลูกเมียบุคคลที่เป็นที่รักของผู้อื่น
    ๕.สัมมาอาชีโว�การเลี้ยงชีวิตชอบ (ศีล)
    �� �ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิด เข้าสู่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
    ๖.สัมมาวายาโม�ความพากเพียรชอบ (สมาธิ)
    �� �เพียรไม่ให้อกุศลเกิด
    �� �เพียรละบาป อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
    �� �เพียรทำกุศลให้เกิด
    �� �เพียรทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งๆ
    ๗.สัมมาสะติ�ความระลึกชอบ (สมาธิ)
    �� �สติปัฏฐาน๔ �กาย �เวทนา �จิต �ธรรม
    ๘.สัมมาสะมาธิ�ความตั้งใจมั่นชอบ (สมาธิ)
    �� �ปฐมฌาน �ทุติยฌาน �ตตินฌาน �จตุถฌาน
    ย่อเหลือสามคือ ปัญญา ศีล สมาธิ
    ย่อเหลือสองคือ สมถะและวิปัสสนา
    ทั้งหมดต้องท่องได้ เข้าใจได้ ปฏิบัติตามได้ จะพ้นทุกข์ได้
    �​


    คัดลอกจาก : ข่าวประชาสัมพันธ์ www.suanyindee.net

    นำมาฝากกันครับ
     
  10. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    เรื่องของกัมมันตภาพรังสี... รู้ไว้ใช่ว่า .... นะขอรับ


    สารกัมมันตภาพรังสี คืออะไร
    และเราจะป้องกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีได้อย่างไร
    วันนี้มีความรู้เรื่องนี้มาฝากครับ

    กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เป็นคุณสมบัติของธาตุและไอโซโทปบางส่วน
    ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นธาตุหรือไอโซโทปอื่น
    ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการปลดปล่อยหรือส่งรังสีออกมาด้วย
    ปรากฏการณ์นี้ได้พบครั้งแรกโดย เบคเคอเรล เมื่อปี พ.ศ. 2439
    ต่อมาได้มีการพิสูจน์ทราบว่า
    รังสีที่แผ่ออกมาในขบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทปนั้น
    ประกอบด้วย รังสีแอลฟา, รังสีเบต้า และรังสีแกมมา

    รังสีแอลฟา
    รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคแอลฟาซึ่งเป็นอนุภาคที่มีมวล 4 amu
    มีประจุ +2 อนุภาคชนิดนี้จะถูกกั้นไว้ด้วยแผ่นกระดาษ
    หรือเพียงแค่ผิวหนังชั้นนอกของคนเราเท่านั้น

    การสลายตัวให้รังสีแอลฟา
    90Th 232----->88Ra 228 + 2a 4

    รังสีเบต้า
    รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคอิเลคตรอนหรือโพสิตรอน
    รังสีนี้มีคุณสมบัติทะลุทะลวงตัวกลางได้ดีกว่ารังสีแอลฟา
    สามารถทะลุผ่านน้ำที่ลึกประมาณ 1 นิ้ว
    หรือประมาณความหนาของผิวเนื้อที่ฝ่ามือได้
    รังสีเบต้าจะถูกกั้นได้โดยใช้แผ่นอะลูมิเนียมชนิดบาง

    การสลายตัวให้รังสีบีตา
    79Au 198----->80Hg 198 + -1b 0
    7N 13----->6C 13 + +1b 0

    รังสีแกมมา
    รังสีที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูง
    มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับรังสีเอกซ์
    ที่สามารถทะลุผ่านร่างกายได้
    การกำบังรังสีแกมมาต้องใช้วัสดุที่มีความหนาแน่นสูง
    เช่น ตะกั่วหรือยูเรเนียม เป็นต้น

    การสลายตัวให้รังสีแกมมา
    27Co 60----->-1b 0 + 28Ni 60----->28Ni60 + g


    อ้างอิง : ฝ่ายวิศวกรรมนิวเคลียร์ (อนค.)

    (ยังมีต่อ)
     
  11. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    .........

    การใช้ประโยชน์จากรังสี
    ปัจจุบันได้มีการนำรังสีและสารกัมมันตรังสีมาใช้งานต่างๆ กัน
    เช่น ในทางการแพทย์มีการใช้ในการตรวจวินิจฉัย
    และบำบัดอาการโรคของผู้เจ็บป่วยจากโรคร้ายต่างๆ
    เช่น การฉายรังสีเอกซ์ การตรวจสมอง การตรวจกระดูก และการบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น
    นอกจากนี้ก็มีการใช้งานทางรังสีในกิจการอุตสาหกรรม การเกษตร และการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์
    อาทิเช่น การใช้รังสีตรวจสอบรอยเชื่อม รอยร้าวในชิ้นส่วนโลหะต่างๆ
    การใช้ป้ายเรืองแสงในที่มืด การตรวจอายุวัตถุโบราณ
    การถนอมอาหารด้วยรังสี และการฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือแพทย์

    อันตรายจากรังสี

    แม้รังสีจะมีอยู่ล้อมรอบตัวเรา และมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้
    แต่รังสีก็นับได้ว่ามีความเป็นพิษภัยในตัวเองเช่นกัน
    รังสีมีความสามารถก่อให้เกิดความเสียหายของเซลล์สิ่งมีชีวิต
    และถ้าได้รับรังสีสูงมากอาจทำให้มีอาการป่วยทางรังสีได้
    ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ
    เพื่อป้องกันตัวเองและสาธารณชนไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีเลย

    ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต
    รังสีที่แผ่ออกจากธาตุกัมมันตรังสีเมื่อผ่านเข้าไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
    จะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่รังสีผ่านไป
    ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต 2 แบบ คือ
    - ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย
    คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย
    เป็นแผลเปื่อย เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung)
    เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia)
    เกิดต้อกระจก (cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น
    ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ส่วนของร่างกายได้รับ และอายุของผู้ได้รับรังสี
    ดังนั้นผู้ได้รับรังสีมีอายุน้อยแล้วอันตรายเนื่องจากรังสีจะมีมากกว่าผู้ที่มีอายุมาก
    ในทารกแรกเกิดแล้วอาจได้รับอันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิตได้
    - ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์
    คือ ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้

    อ้างอิง : http://www2.egat.co.th/ned/

    (ยังมีต่อ)
     
  12. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    การป้องกันรังสี
    รังสีทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น
    จึงต้องทำการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสี
    หรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด
    ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
    เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวข้องกับรังสีแล้ว
    ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้
    - เวลาของการเผย (time of exposure)
    โดยใช้เวลาในการทำงานในบริเวณที่มีรังสีให้สั้นที่สุด
    เพราะปริมาณกำหนดของรังสีจะแปรตรงกับเวลาของการเผย
    - ระยะทาง (distance)
    การทำงานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีมาก ๆ
    ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง
    - เครื่องกำบัง (shielding)
    เครื่องกำบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกำเนิดรังสี
    จะดูดกลืนบางส่วนของรังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้
    ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสีและต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติงาน
    เราจำเป็นต้องใช้เครื่องกำบังช่วยเครื่องกำบังที่ดีควรเป็นพวกโลหะหนัก
    เพราะว่าโลหะ หนักจะมีอิเล็กตรอนอยู่เป็นจำนวนมาก
    ทำให้รังสีเมื่อวิ่งมาชนกับอิเล็กตรอนแล้วจะสูญเสียพลังงานไปหมด
    ตัวอย่างของเครื่องกำบังเช่น แผ่นตะกั่ว แผ่นเหล็ก แผ่นคอนกรีต
    ใช้เป็นเครื่องกำบังพวกรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา
    แผ่นลูไซท์ควอทซ์ ใช้เป็นเครื่องกำบังรังสีเบตาได้
    อากาศและแผ่นกระดาษ อาจใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคอัลฟา
    ส่วนน้ำและพาราฟินใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคนิวตรอนได้

    อ้างอิง : http://www2.egat.co.th/ned/


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา : กัมมันตภาพรังสี...คืออะไร?
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434

    การประกาศเอกราชที่เมืองแครง และสังหารสุรกำมาเหนือยุทธภูมิฝั่งน้ำสะโตงของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (หรือสมเด็จพระนเรศ) ในปีพุทธศักราช 2127 ได้สร้างความตระหนกแก่พระเจ้านันทบุเรงองค์ราชันหงสาวดีพระองค์ใหม่ ด้วยเกรงว่าการแข็งข้อของอยุธยาในครั้งนี้ จะเป็นเยี่ยงอย่างให้เหล่าเจ้าประเทศราชที่ขึ้นกับหงสาวดีอาศัยลอกเลียนตั้ง ตัวกระด้างกระเดื่องตาม แต่จนพระทัยด้วยติดพันศึกอังวะ จึงจำต้องส่งเพียงทัพพระยาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่เข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา ทางหนึ่งนั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงประมาทสมเด็จพระนเรศ ด้วยเห็นว่ายังอ่อน พระชันษา คงมิอาจรับมือจอมทัพผู้ชาญณรงค์ทั้งสองได้ ทางหนึ่งก็สำคัญว่ากรุงศรีอยุธยายัง บอบช้ำแต่คราวสงครามเสียกรุง ไพร่พลเสบียงกรังยังมิบริบูรณ์คงยากจะรักษาพระนคร

    ครั้งนั้นพม่ารามัญยกเข้ามาเป็นศึกกระหนาบถึง 2 ทาง ทัพ พระยาพะสิมยก เข้ามาทาง ด่านพระเจดีย์สามองค์ เลยล่วงเข้ามาถึงแดนสุพรรณบุรี ส่วนพระเจ้าเชียงใหม่-นรธาเมงสอ มาจากทางเหนือ นำทัพบุกลงมาตั้งค่ายถึงบ้านสระเกศ แขวงเมืองอ่างทอง

    กิตติศัพท์การชนะศึกของสมเด็จพระนเรศหลายครั้งหลายคราระบือไกลถึงแผ่นดิน ละแวก เจ้ากรุงละแวกมิได้ทอดธุระ ได้ลอบส่งจารชนชาวจีนฝีมือกล้านามว่า “จีนจันตุ” มาลอบสืบความ ที่กรุงศรีอยุธยาแต่ถูกจับพิรุธได้จนต้องลอบตีสำเภาหนีกลับกรุงละแวก สมเด็จพระนเรศทรงนำทัพเรือออกตามจนเกิดยุทธนาวี แต่พระยาจีนจันตุหนีรอดได้ เมื่อเจ้ากรุงละแวกได้ทราบกิตติศัพท์การณรงค์ของพระนเรศจึงเปลี่ยนพระทัยหัน มาสานไมตรีกับอยุธยา และส่งพระศรีสุพรรณราชาธิราชผู้อนุชามาช่วยอยุธยาทำศึกหงสา หากแต่พระศรีสุพรรณผู้นี้ต่างจากเจ้ากรุงละแวกเพราะหาใคร่พอใจผูกมิตรด้วย อยุธยา การได้ พระศรีสุพรรณ มาเป็นสหายศึกจึงประหนึ่งอยุธยาได้มาซึ่งหอกข้างแคร่ ข้างสมเด็จพระนเรศเมื่อทรงประกาศเอกราชแล้วก็จัดเตรียมการรับศึกหงสาวดี แต่เพราะกำลังรบข้างอยุธยาเป็นรอง จึงทรงวางยุทธศาสตร์รับศึกโดยมุ่งอาศัยกรุงศรีอยุธยาเป็นที่มั่นเพียงแห่ง เดียว ครั้งนั้นได้โปรดให้เทครัวหัวเมืองเหนืออันเป็นแคว้นสุโขทัยเดิมลงมารวมกับ ครัวที่อยุธยา การณ์ปรากฏว่าเจ้าเมืองพิชัย และสวรรคโลกข้าหลวงเดิมแข็งเมืองไม่เทครัวลงมาสมทบ จึงทรง ยึดเมืองแล้วลงทัณฑ์มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

    สมเด็จพระนเรศทรงเห็นว่ากำลังข้างอยุธยายังเป็นรองพม่ารามัญ จึงทรงปรับเปลี่ยน ยุทธศาสตร์การรบเสียใหม่ โดยมิปล่อยให้ทัพพระยาพะสิมและนรธาเมงสอเจ้าเมืองเชียงใหม่ เข้ามารวมกำลังผนึกล้อมร่วมกันตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นทรงจัดทัพออกรับศึกในแขวงหัวเมือง แลด้วยทัพพม่ารามัญแยกสายเข้าตีเป็นสองทางเดินทัพช้าเร็วไม่เสมอกัน จึงทรงเทกำลังเข้ารับศึกพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณบุรี ตั้งพระทัยจะตีทัพเบื้องประจิมทิศก่อน แล้วจึงเทกำลังเข้าตีทัพพระเจ้าเชียงใหม่เบื้องอุดรทิศภายหลัง การทั้งหมดทั้งสิ้นต้องทำแข่งกับเวลา หากพลาดท่า แม้เพียงก้าวอยุธยาก็ไม่พ้นพินาศ ถึงแม้ครั้งนั้นทัพพม่ารามัญจะมิได้ยกมาดั่งทัพกษัตริย์เช่นศึกพระเจ้าช้าง เผือกบุเรงนอง แต่ไพร่พลก็มากเหลือประมาณ เพียงพอจะสร้างความย่อยยับให้ เหล่าอาณาประชาราษฎร์เกินคาดเดา

    ภายใต้บรรยากาศกลิ่นอายสงครามนับแต่ศึกจีนจันตุ ตลอดถึงศึกพระยาพะสิมและ ศึกพระเจ้าเชียงใหม่ ในพระนครก็เกิดไฟรักโชติขึ้นท่ามกลางไฟสงคราม กลายเป็นเรื่องรักระหว่างรบ ด้วย “เลอขิ่น” ธิดาเจ้าเมืองคัง มีอันมาพบ “เสือหาญฟ้า” คนรักเก่าที่รอดชีวิตมาแต่ศึกเมืองคัง โดยบังเอิญ เกิดขัดข้องเป็นรักสามเส้ากับ “พระราชมนู” คนรักใหม่ทหารเสือพระนเรศ ไฟรักยิ่งลุกลามเมื่อนางพระกำนัลทรงเสน่ห์นาม “รัตนาวดี” มาทอดไมตรีให้พระราชมนู เกิดเป็นปมรัก ซ้อนปมรบ

    ทางฝ่ายหงสาวดีนั้น พระเจ้านันทบุเรงกษัตริย์พม่ารามัญพระองค์ใหม่มีใจพิศวาส พระสุพรรณกัลยา-พระพี่นางในสมเด็จพระนเรศ หมายจะได้มาแนบข้าง ซ้ำพระนเรศอนุชา มาประกาศเอกราชท้าทายอำนาจของพระองค์ ทำให้สถานะของพระสุพรรณกัลยาในฐานะ องค์ประกันต้องสุ่มเสี่ยงต่อราชภัย พระสุพรรณกัลยา ซึ่งขณะนั้นมีพระราชโอรสด้วยพระเจ้าบุเรงนองแล้ว ทรงถูก พระเจ้านันทบุเรง ข่มขู่ บีบบังคับให้ต้องเลือกระหว่างการยอมพลีกายถวายตัวเป็น บาทบริจาริกา หรือยอมจบชีวิตด้วยการถูกย่างสดตามโทษานุโทษของพระอนุชา ชะตากรรมของ พระพี่นางสุพรรณกัลยา นั้นสุดรันทด

    เมื่อ พระเจ้าหงสาวดี ทรงเสร็จศึกอังวะก็เตรียมการเปิดศึกกับอยุธยา ทรงระดมไพร่พล แต่งเป็นทัพกษัตริย์ กองทัพใหญ่โตเหลือคณากว่าทัพบุเรงนองช้างเผือก เฉพาะไพร่ราบมีกำลัง รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 240,000 คน ทัพนี้หมายมุ่งบดขยี้อยุธยาลงเป็นผุยผงหากทัพพระยาพะสิมและทัพพระเจ้า เชียงใหม่ตีกรุงไม่สำเร็จ แต่สมเด็จพระนเรศก็สู้ศึกนันทบุเรงและนำพากรุงศรีอยุธยา ให้รอดจากภัยสงคราม กู้บ้านเมืองมิให้ต้องตกเป็นประเทศราชหงสาซ้ำสองได้ด้วยกุศโลบาย การศึกที่เหนือชั้นด้วยพระอัจฉริยภาพ
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]
    <HR>
    [​IMG]



    ได้อ่านจาก
    เรื่องย่อ พร้อมตัวอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 - คลิปแมส
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทางสายธาตุอ่านแล้วเกิดสงสัย ไม่รู้จะไปโพสที่ไหน ขอโพสเรื่องพระยาจีนจันตุ เกี่ยวกับปีพ.ศ. นะคะ เพราะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ที่เคยอ่าน

    อ้างอิงเรื่องย่อในตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาค 3

    ในเรื่องย่อ พระยาจีนจันตุเข้ามาในปี พ.ศ. 2127 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพแล้ว

    แต่ประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านมาจากเวปทหารเรือเป็นดังนี้ค่ะ

    ที่จริงพระยาจีนจันตุ เข้ามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2121 ก่อนจะประกาศอิสรภาพ

    อันไหนจึงจะถูกต้องกันแน่ในเรื่องของ พ.ศ. สงสัยต้องรอผู้รู้มาเฉลยเสียแล้ว

    อ่านแล้วงงเกี่ยวกับปีพ.ศ. จึงนำมาเสนอให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันค่ะ

    ไปดูเวปไซด์หนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว คิดว่าเพราะมีผู้ชมเรียกร้องให้มีฉากพระยาจีนจันตุ จึงสร้างตอนยุทธนาวีเพิ่มขึ้นอีกตอน แต่ยุทธนาวีน่าจะเป็นภาค 2 ส่วนภาคที่แล้วตอนประกาศอิสรภาพน่าจะต้องเป็นภาคที่ 3 เพราะดูๆผู้สร้างคงจะสลับช่วงเวลาของ 2 เหตุการณ์นี้เพื่อให้ภาพยนต์มีอรรถรสยิ่งขึ้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2011
  15. แววตา

    แววตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอสดุดีต่อท่าน คะ

    ขอถวายความสดุดี ต่อท่าน
    แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพุทธบริษัท 4 ที่กำลังสร้างความเพียรเพื่อการพ้นทุกข์ นะคะ ขอถวายนมัสการ และสดุดี เจ้าคะ:cool:
     
  16. แววตา

    แววตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +6
    เคารพ 3 สถาบันชาติ

    ความหมายของธงชาติไทย
    " ขอร่ำรำพรรณบรรยาย ความคิดเครื่องหมาย
    แห่งสีทั้งสามงามถนัด
    ขาว คือ บริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์
    และธรรมะคุ้มจิตไทย
    แดง คือ โลหิตเราไซร์ ซึ่งยอมสละได้
    เพื่อรักษาชาติศาสนา
    น้ำเงิน คือ สีโสภา อันจอมประชา
    ธ โปรดเป็นของส่วนองค์
    จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ จึ่งเป็นสีธง
    ที่รักแห่งเราชาวไทย
    ทหารอวตารนำไป ยงยุทธ์วชัย
    วิชิตก็ชูเกียรติสยามฯ "
    ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    " คนไทยเป็นศาสนิกชนที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา
    อันเป็นศาสนาประจำชาติ " พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
    (ข้อความตอนหนึ่ง ในพิธีต้อนรับ โป๊บ จอห์น ปอล ที่ ๒ ณ. พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2527
    พระมงกุฏเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ กับพระพุทธศาสนา
    " ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งคู่กับพระราชอาณาจักร ให้ดำเนินไปในทางวัฒนาถาวรพร้อมกันทั้งสองฝ่าย " เมื่อรู้สึกแน่นอนแล้วว่า ศาสนาในสมัยนี้เป็นของที่แยกจากชาติไม่ได้...ถ้าข้าพเจ้าจะขอแก่ท่านทั้งหลายว่า พุทธศาสนาเป็นของไทย เรามาชวนกันนับถือพระพุทธศาสนาเถิด... ผู้ที่แปลงศาสนา คนเขาดูถูกยิ่งเสียกว่าผู้ที่แปลงชาติเพราะเหตุฉะนั้นเป็นความจำเป็นที่เราทั้งหลาย ผู้เป็นไทยจะต้องมั่นอยู่ในศาสนาพระพุทธซึ่งเป็นศาสนาสำหรับชาติเรา..."
    ( พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาชิราวุธ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว, เทศนาเสือป่า , องค์การค้าของคุรุสภา พ.ศ. ๒๕๒๖หน้า59 ,60,70,158,161,173 )
    เชิญคนไทยรักชาติศาสน์กษัตริย์ ร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนา ให้อยู่ในรัฐธรรมนูญไทยโดยบัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย เพียงศาสนาเดียวในรัฐธรรมนูญไทย เพื่อตอบสนองเจตนารมภ์และดำรงไว้ซึ่งเจตน์จำนงขององค์พระมหาษัตริย์ไทย ที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ให้สมกับเป็นคนไทย
     
  17. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6
    ภาพพระสิวลีอัญมณีหยกขาว ขนาดความสูงรวมฐาน ๒ เมตร ที่ถวายให้กับวัดตาลเอน อ.บางปะหัน จ.อยุธยา เมื่อ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2011
  18. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6
    สถานที่ประดิษฐานพระบรมรูปของทั้งสามพระองค์ ที่วัดตาลเอน

    และพิธีบวงสรวงก่อนการถวายองค์พระสิวลีอัญมณีหยกขาว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2011
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนาและขอต้อนรับคุณแววตา ครับ

    ขอขอบคุณ คุณ Florence125 ที่นำภาพในวันพิธีถวายพระสิวลีอัญมณีหยกขาวมาให้สมาชิกได้ชื่นชม ทราบว่าพิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและอย่างสมบูรณ์ โมทนาสาธุครับ
     
  20. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6
    ภาพพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่วัดตาลเอน ส่วนความเป็นมาและปณิธานของท่านเจ้าอาวาสวัดตาลเอน ในการสร้างพระบรมรูปของทั้งสามพระองค์นั้น คุณทางสายธาตุได้เคยนำมากล่าวไว้ก่อนหน้า ในกระทู้นี้แล้วค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...