จะทราบได้อย่างไรว่า บรรลุโสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 21 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
    มหาวรรค ภาค ๑
    </CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <CENTER>ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร</CENTER> [๒๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่ารูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. เวทนาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. สัญญาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้วสังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิดวิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้นวิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิดวิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.<CENTER>ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์</CENTER> [๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง? พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.<CENTER>ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ</CENTER> [๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา. เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา. สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลายพึงเห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา. สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร เธอทั้งหลายพึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา. วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ เธอทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา. [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้นเมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. [๒๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลินภาษิตของผู้มีพระภาค. ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.<CENTER>อนัตตลักขณสูตร จบ</CENTER> ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์.<CENTER>ปฐมภาณวาร จบ</CENTER> </PRE>
     
  2. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    คุณ Sir-Pai

    เรามีความเห็นอย่างนี้ อย่าไป เป็นหรือไม่เป็น พระอริยะ เลย

    ออกมาเถอะ
     
  3. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถ้าเรามีภูมิปัญญา ตัดกิเลสได้ จะภูมิอะไร ก็ไม่สำคัญ
    ธรรม อยู่ในใจเรา ก็พอ
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    [​IMG]
    อนุโมทนา....สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    โอ้โฮ..รอมานานได้กลิ่นของดี ผมมันเป็นโรคเห็นของดีไม่ได้ ชอบลองของ ลองได้รึปล่าวครับ ท่าน โสดาบัน..sir-pai
    เข้ามาสาธุ ท่านขันธ์ ท่านอโศ และอีกหลายๆท่านด้วยครับ..ตั้งแต่ปราโมทย์..ปราโมชโช อริยะ โสบันเดาเอาเมียมาอยู่วัดด้วย ข่าวเริ่มจาง หายไปพัก วันนี้ได้เจอโสดาบันอีกคน..สิ่งที่ไม่แจ้งผมจะได้แจ้งกับท่านนี้สักครั้ง ขอได้โปรดให้ลองของด้วย ..จักขอบพระคุณยิ่งครับ ช่วยตอบด้วยครับ
     
  7. Rukava-praew-8

    Rukava-praew-8 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    อนุโมทนา นะคะ..

    ที่เคยได้ยิน เคยได้ได้ฟังมา พระโสดาบัน จะ รักษาศีล5 ได้อย่างบริสุทธิ์ เป็นปกติ (คือออกมาจากจิตใจ เพราะตระหนักรู้โทษนั้นๆ)

    มีความเคารพใน พระรัตนไตร อ่า... แล้วก็ มีจิตใจที่จะปฏิบัติเพื่อนิพพานอย่างจริงจัง

    รวมๆ ละสังโยชน์ 3 ข้อแรกอ่า... แต่ข้อแรก นั้นยังละไม่ได้หมด ^^


    ** ในความคิดเห็นของข้าพเจ้านะคะ.. คิดว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคผล นั้นก็เพื่อที่จะ
    ละความทุกข์ ออกไปจากชีวิต ความทุกข์ที่เกิดจากการยึดมั่น ... ความทุกข์ที่เกิดจาก
    อวิชชาทั้งหลาย ที่เห็นว่าดี ... มองทุกๆสิ่งตามความเป็นจริง

    การที่จะปฏิบัติถึงขั้นไหน ข้าพเจ้าว่าปล่อยไปดีกว่า.. เพราะ จริงๆ มันเป็นเครื่องวัดว่าเราอยู่จุดใดในกระแส ซึ่ง ยังไม่ถึงจุดหมาย พระนิพพาน ดังนั้น ข้าพเจ้าคิดว่า เราหมั่นละสังโยชน์ หมั่นขัดเกลาไปเรื่อยๆ เพื่อความไม่มีให้กระจ่างขึ้นแกใจดีกว่าน๊า. . .
    (อันเน้ความเห็นส่วนตัวนะคะ .. ถ้าข้าพเจ้าคิดผิดอย่างไร รบกวนชี้แนะนะค๊ะ )
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-smTpur7CPI&feature=related]YouTube - Kung Fu Panda- L' addestramento di Po[/ame]
     
  9. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    กระทู้ดี มีสาระ

    ฟันธงคราบ
     
  10. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ถ้าเป็นอริยะ ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ
    ถ้าไม่เป็นอริยะ แต่จะทำให้เป็นอริยะ ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ
    ทางอันเป็นกุศลทั้หลาย ใจขออนุโมทนา
    ทางอันเป็นบารมีทั้งหลาย ใจขออนุโมทนา
     
  11. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ความรู้สึกตอนบรรลุโสดาบัน จิตสงบว่างเปล่า ไร้อารมย์ มีแสงสว่างวาบขึ้นมา มีธรรมะจักรส่องแสงสว่างไสวด้านหลัง ประมาณ 1 วินาที หลังจากนั้นรู้สึกมีความสุข และน้ำตาไหล (จริงหรือเปล่า?)

    คนที่บรรลุโสดาบัน แล้วกลับไปเป็นคนบาปก็ได้อยู่ใช่หรือไม่
     
  12. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    ปัญหา พระเสขะจะเสื่อมจากมรรคผลชั้นต่ำได้หรือไม่ เพราะอาศัยอะไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้ยังเป็นพระเสขะ ธรรม ๒ อย่างคืออะไร คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธไว้ ความลบหลู่ท่าน ๑ ความดีเสมอ ๑ ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑.... มายา ๑ โอ้อ้วด ๑... ความไม่ละอายบาป ๑ ความไม่เกรงกลัวบาป ๑....

    พระสูตรนอกปัณณาสก์ ทุก. อํ. (๔๒๙)
    ตบ. ๒๐ : ๑๒๑ ตท. ๒๐ : ๑๐๘
    ตอ. G.S. ๑ : ๘๒-๘๓

    ความคิดเห็น น่าจะหมายถึงที่เพิ่งเริ่มเห็นกระแสพระนิพพาน
     
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    การบรรลุอริยะขั้นต้น หรืออริยมรรคสมังคี เข้ากระแสนิพพาน
    บางท่านไม่ได้หลับตาทำสมาธิ เจริญสติต่อเนื่อง สมาธิสมังคีตัวสุดท้าย กำลังสมาธิน้อยชั่ววูบ อาจไม่รู้ตัวแต่อย่างใด แต่เกิดปัญญาญาณในการตามรู้รูปนาม มีการพิจารณาธรรมตามมา (แต่อาจไม่ทราบว่าตัวเองเป็นพระอริยะก็ได้)
    บางท่าน ทำสมาธิเข้าเอกัคตา แต่อาจเป็นโลกียฌาน ข่มกิเลสไว้โดยสมาธิบ้าง ปัสสัทธิบ้าง ยังไม่ปหานกิเลส อาจคิดว่าตัวเองเป็นพระอริยะก็ได้
    บางท่านเป็นโลกุตตรฌานคือเพ่งรูปนามเป็นอารมณ์ เข้ากระแสนิพพานไปด้วย ความสว่างไสวเกิดนานแค่ไหนแล้วแต่กำลัง

    ความสว่างของโลกุตตรฌานสว่างไสวกว่าโลกียฌานมาก ยิ่งพระอริยะเชี่ยวชาญในฌานสี่ ย่อมมีการเข้าออกของโลกุตตรฌานและโลกียฌาน หากต้องการใช้อภิญญาญาณ

    ที่จริงภาวะการบรรลุธรรม ค้นกูเกิ้ลก็มีเยอะค่ะ ท่านธรรมปิฏกเคยอธิบายอย่างละเอียดถึงอริยมรรคองค์แปดที่เป็นกำลังต่างๆ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2011
  14. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า......ธรรมของตถาคต ไม่ยาก ถึงกับฟังแล้วพิจารณาตามแล้ว จะไม่ได้ และก็ ไม่ง่าย ถึงกับฟังแล้วไม่พิจารณาตามแล้ว จะได้
     
  15. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    โซดาตรงสิงห์ซ่าจนหยดสุดท้าย อึบแฮๆๆๆ!!!เอาแบบซื้อทั้งขวดหรือเอาแบบคืนขวดครับ
     
  16. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    <table border="1" cellpadding="2" cellspacing="2" width="90%"><tbody><tr><td align="center">สังโยชน์ 10</td></tr><tr><td align="left"> สังโยชน์ 10
    1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง
    2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น
    แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็ จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ
    สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ
    - สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ
    - วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    - สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด
    - อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ
    3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้
    4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า
    - สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
    - วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ
    - สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล
    - กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต
    - เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป
    - เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน
    - เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก
    แล้วก็ พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด
    - มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ
    - อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว
    - อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า
    ถ้าเราเป็น พระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต
    5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก</td></tr></tbody></table>
     
  17. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    ไม่มีความรู้นะครับ แต่เคยไปหาคุณซัน คนไม่อยากเห็นเคระห์เขาบอกผมเป็นโสดาบันแล้ว และเคยไปหาคุณเจน เขาบอกเป็นบัวพ้นน้ำก็ดีใจครับ แต่ว่าเราก็ยังไม่ใช้คนดีเท่าไหร่ ผิดศิลอยู่เหมือนกันเพราะยังไม่ดีเท่าไหร่ เราย่อมรู้ตัวเองดี แต่ก็จะพยายามให้ดีกว่านี้ แต่ทำยากครับ เขียนมาอย่ากเล่าสู่กันฟัง ไม่ค่อยได้เข้าวัดเท่าไหร่ แต่พอได้ฟังเทศน์มหาชาติเมื่อปี่53 ที่วัดพิชัยญาติ ได้นั้งฟังธรรมครบ 2วันและได้นั้งติดกับธรรมมาสที่เทศเลย ตั้งแต่เช้าจนมืด จำได้ว่าหลังฟังธรรมจบ น้ำตาไหลเลย มีเงินอยู่ตอนนั้น 4,500 บาท บริจากหมดเลย ไม่มีตังกลับบ้าน บ้านไกลด้วย แต่มีบัตรเอทีเอ็มไม่รู้กดได้หรือเปล่า ซึ่งครับ และรู้สึกว่าที่ผ่านมาเราโง้มาตลอดเลยขอเลิกเหล้าตลอดชีวิต ปกติไม่ดื่ม แต่ถ้าเข้าสังคมก็ตามเขาไป แต่วันที่ฟังเทศจบบอกกับตัวเองว่าจะไม่ดื่มอีกแล้ว และอีกอย่างคืออยู่ๆก็รักนิพาน ไม่อยากเกิดเป็นเทวดา พรหม มนุษย์ อีกแล้วรู้สึกมันไม่ใช้ความสุขที่แท้จริง ไม่อยากเกิดมาก เป็นอยู่ประมาณ 4-5วัน จนต้องเขาไปหาพระประธานในวัดขอให้ได้บวชตลอดชีวิต เข้าไปขออยู่3วันได้ ก็เลยได้เห็นอาจารย์หม่อมดังอยากจะรู้แต่จองคิวไม่ได้ เลยซื้อหนังสือมาอ่านในหนังสืออาจารย์หม่อมเขียนถึงคุณซัน ผมเลยโทรไปและได้ดูกับคุณซัน เขาบอก โสดาบันผ่านแล้ว ผมก็ถามแล้วทำไมเราถึงไม่รู้ตัวครับ คำตอบคือถ้าเป็นพี่จะไม่รู้แต่ตัวผม ผมมองว่าคนคนนี้ปฎิบัติได้โสดาบันแล้ว และเล่าว่าเจอมา5คน ผมเป็นคนที่หก คุณซันบอกให้ผมบวชและจะได้อรหันต์โอกาสสูง แต่นิพานไม่รู้นะ ผมถามกลับว่าแล้วคุณซันไม่บวชบ้างหรอครับ คำตอบคือคุณซันบอกจะบวช2ครั้ง ครั้งแรกสั้น ครั้ง2ยาว และสุดท้ายคือสิ่งที่คุณซันขอคือถ้าบวชขอให้ไปเอาผ้าไตรกับคุณซันครับ ผมก็ตกลงจบแล้วครับ ของผมไม่ต้องดูดวงคุณซันให้ผมบวชอย่างเดียวเพราะ เลยเวลามาแล้วควรจะบวชตั้งนานแล้ว ทีเล่ามาอยากบอกว่าที่ผ่านมาผมก็คิดว่าเรา บุญวาสนาน้อย ไม่ฉลาดทำอะไรก็ต้องพยายามกว่าจะสำเร็จ แต่สิ่งที่เราคิดบางทีเราคิดไปเอง ถ้าเราสะสมความดีไปเรื่อยๆและไม่ท้อ ความสำเร็จจะมาเมื่อถึงเวลาและอย่าท้อในการทำความดีครับ ตั้งแต่เด็กผมมีคำถามอยู่ตลอดคือเราเกิดมาทำไม แต่วันนี้ผมรู้แล้วผมมาเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาครับ ผมไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆ และชอบทดสอบคำสอนพระพุทธเจ้า วันนี้อายุ 39 ปีแล้ว จับผิดคำสอนของพระพุทธเจ้ามา ผมเคยได้ยินคนพูว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ผิดเลย จนวันนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีผิดจริงๆ ผมก้มหัวยอมรับครับนี้คือศาสดาโดยแท้ ผู้รู้จริง ผมจบวิศวะครับถ้าไม่เป็นวิทยาศสตร์ ไม่มีเหตุผลก็ไม่เชื่อครับ เออคุณซันบอกผมเป็นวิทยาศาสตร์ ข้างนอกอาจดูไม่ออก แต่จริงๆผมเป็นคนเชื่อเรื่องเหตุผลมากกว่า ตอนนั้นคุณซันก็ไม่รู้ผมทำงานอะไรผมทำงานด้านวิศวกรรม แถวนี้ครับ แม้แต่ไปฟังผมยังใช้เครื่องอัดเสียงอัดมาเลย อะไรๆของผมถ้ามีเทคโนโลยีช่วยผมก็จะใช้ทันที จบแล้วครับ อยากฟังของคนอื่นบ้างครับแต่อย่ายาวมากได้ไหมครับ อย่างได้แต่เนื้อหาครับ จะได้เอามาเสริมปัญญาครับทุกวันนี้ทุกข์ครับอย่ากบวชแต่ติดที่ครอบครัว แต่อีกไม่นานเวลาที่กำหนดไว้ก็จะมาถึง สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2011
  18. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ปฏิปัติไป สู้ๆ ถือศีลให้มากที่สุดแล้วก็เข้าใจสัจธรรมความเป็นไป สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ไปเบียดเบียนใคร มีความอดทนในชีวิตแล้วก็สร้างบุญสร้างกุศลช่วยเหลือผู้อื่น สังคม ทำบุญไป แค่นี้ ชีวิตก็ไม่หลุดทางธรรมแล้วครับ สู้ๆ
     
  19. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    บอกได้คำเดียว ถ้าคุณถึงแล้ว คงอยู่ในโลก มนุษย์ ได้ ไม่เกิน 7 วัน คุณเป็นแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ
     
  20. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    มันไม่มีอะไรจะบรรลุถึงอะไร หรือการปฏิบัติเป็นขั้นๆ (เจ้าตัวมักจะรู้เองว่าตัวถึงอะไรแล้ว) โสดาบัน สกะทาคา อนาคา อรหันตร์ ผู้เป้นก็รู้เอง เมื่อยังไม่เป้นก็ไม่รู้ ได้แค่ดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...