หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    กลับบ้านเกิดเมืองนอนครั้งแรก

    กล่าวย้อนไปถึงการเดินทางกลับ อำลาท่านผู้บังเกิดเกล้า ที่เมืองอยุธยา จำเดิม แต่ได้พลัดพราก จากบ้านเกิดเมืองนอน มาเป็นเวลาร่วมสิบปี มีครั้งเดียวเท่านี้ ที่ฉันได้กลับไปเห็นหน้าบิดา มารดา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ เมื่อได้ทำพิธีอำลา ท่านผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เจ้าบุเรงนองก็พากลับ และให้กลับทุกคน แม้แต่พระอนุชาของฉัน เพราะเจ้าบุเรงนอง มันใช้อำนาจบาทใหญ่ พระราชบิดาของฉัน จะร้องขออะไรมันก็ไม่ยอม แม้แต่ท่านจะขอกำลังทหารไทย ไว้ป้องกันประเทศ มันก็ด่าว่าเอา มันบอกว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นใครที่ไหนจะใหญ่ จะมีกำลังเหนือมัน มันเคี่ยวเข็ญ เย็นค่ำ ร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย

    พระราชบิดาของฉัน ก็กลัวมันยิ่งกว่าเสือ เหลือร้ายจริงอ้ายบุเรงนอง เมื่อกลับถึงถิ่นเมืองหงสาวดีแล้ว พิธีการการอภิเษกสมรส ระหว่างฉัน กับเจ้าบุเรงนองก็เกิดขึ้น ฉันก็ตกเป็นของเจ้าบุเรงนอง ตามประเพณีของเขา แต่น้องชายของฉันสิเหงา เพราะดูกิริยาท่าทางของเขา เศร้าสร้อยหงอยเหงาจริงๆ เพราะเขาเคยอยู่กับฉัน เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ฉันฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาด้วยมือ เลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ ฉันสงสารน้องชายที่ว้าเหว่ ฉันจึงวางเล่ห์กลอุบาย กับเจ้าบุเรงนองว่า ท่านเจ้าขา อันพระอนุชาทั้งสองของฉันนั้น เขาได้เติบใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นแน่นรักษาตัวได้ และเอาตัวรอดได้แล้ว ฉันจึงอยากจะขอร้อง ให้น้องชายทั้งสองคน กลับไปช่วยราชการ ของพระราชบิดาที่เมืองไทย

    เพราะได้รับข่าวว่า พญาละแวก คือพวกขอม (เขมร) ได้ยาตราทัพอันเกรียงไกร มาประชิดติดแดนไทยแล้ว และก็ตีได้แล้วหลายเมือง ทางทิศตะวันออกของไทย ถ้าเราช้าไปจะต้องเสียใจ เพราะเมืองไทย ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพญาละแวก เราจะสูญเสียประเทศราชของเราไปอีก ฉันเชื่อแน่ว่า พระน้องยาเธอของฉันทั้งสอง เขาจะเอาชนะพญาละแวกได้ เพราะไพร่พลคนไทย ก็จะมีกำลังใจ ในอันที่จะต่อสู้ กับพญาละแวกได้ เมื่อเจ้าบุเรงนองได้ฟัง มันก็เชื่ออย่างสนิทใจ มันจึงปล่อยให้เจ้าองค์ดำพี่ชาย กับเจ้าองค์ขาว กลับเมืองไทย พร้อมด้วยบริวารอีกจำนวนหนึ่ง ท่านขาตอนที่น้องทั้งสองของฉัน ที่ฉันได้ทนุถนอม กล่อมเกลี้ยงเขามาแต่แบเบาะ มีเคราะห์กรรมอะไรหนอ ที่จะมาพรากให้ฉันต้องอยู่เดียวดาย

    ในขณะที่น้องชายของฉันจากไปนั้น ฉันมีความรู้สึกสังหรณ์ใจว่า จากนี้ไปภายหน้าตลอดชีวิต ฉันจะไม่ได้เห็นน้องชายทั้งสอง ของฉันอีกแล้ว จึงได้ยินแต่สั่งคำเดียวว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ น้องทั้งสองจะจดจำคำว่า แม่ แม่ แม่ ไว้ในห้วงแห่งดวงใจตลอดไป ท่านขา ในคราวนั้นเอง ฉันรู้สึกว่าดวงตา ดวงใจของฉัน มันหลุดลอยออกจากร่าง มันทำให้จิตใจเวิ้งว้าง ว้าเหว่ ไม่มีฟ้า ไม่มีดิน ได้ยินแต่เสียงน้องสั่งว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ ถึงเขาจะออกเดินไปแลัว จนสุดสายตา แต่เสียงสั่งลาของน้อง ก็ยังก้อง อยู่ในโสตประสาทของฉัน ไม่มีวันลืมเลือน ฉันจึงยืนขึ้น เอามือขวาค้ำสะเอว ส่งกระแสจิตให้รุนแรงว่า ไปดีเน้อน้อง ไปดีเน้อน้อง

    มันเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งนะท่าน ที่พระราชบิดาของฉัน สอนเอาไว้ว่า ถ้าจะอวยชัยให้พรใคร เมื่อเขาจากไป ถ้าเป็นผู้หญิงให้ใช้มือซ้าย ถ้าเป็นผู้ชายให้ใช้มือขวา ถ้าเป็นทั้งหญิงทั้งชาย ให้ใช้ทั้งสองมือ ดูแต่คราวที่พวกคณะเราจะจากท่านมา ทั้งสองครั้ง ท่านก็ใช้พระหัตถ์ ทั้งสองข้างของท่านค้ำสะเอว เราจึงไปมาอย่างปลอดภัย เมื่อเขากลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าทัพ แล้วเปลี่ยนคำว่า หัวหน้าใหญ่ ให้เป็นแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วประกาศเป็นพระราชอาญาว่า หากมันผู้ใดมันอุตริ เปลี่ยนชื่อแม่ทัพ ให้เป็นศัพท์อื่นๆ นามอื่นขอให้บุคคลผู้นั้น มันถึงซึ่งความวิบัติ ฉิบหายวายวอดเถิด

    นี่แหละท่านน้องที่กตัญญู เขาเอาชื่อแม่ที่เขารัก และมีพระคุณกับเขา ไปตั้งเป็นแม่ แม่ แม่ อยู่กับตัวเขาตลอดไป (กองทัพไทยเราจึงมีแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา) และกาลต่อมาภายหลัง เมื่อน้องชายฉันกลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นแม่ทัพ ได้รวบรวมสรรพกำลังให้เกรียงไกร แล้วขับไล่กองทัพ ของพญาละแวก ให้แตกกระเจิง แล้วรวบรวมไพร่พล ของพญาละแวก เข้าเป็นกำลังเสริม ร่วมกันเล่นงานกองทัพอ้ายหม่อง ให้ม่องเท่งไปไม่เป็นกระบวน แต่การเอาชนะกับเจ้าหม่องนั้น ล่าช้ามากๆ ส่วนน้องชายฉันเขารู้ รู้ว่าเจ้าหม่อง มันส่งชายฉกรรจ์ แต่งตัวปลอมตัวเป็นพระ มาสืบความลับว่า จุดอ่อน จุดแข็งของกองทัพไทย อยู่ตรงไหน

    เจ้าพวกแต่งตัวเป็นพระนี้เอง คนไทยไม่รู้ว่าเป็นพระพม่า หรือพระไทย เพราะเหมือนกันหมด ดูไม่ออกว่าพระพม่า หรือพระไทย พอน้องชายทั้งสองของฉันกลับไป ก็ขอร้องให้ท่านพระพลรัตน์ วัดป่าแก้ว ที่สอนคาถาปราบศึกให้ สั่งให้พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศ โกนคิ้วทิ้งให้หมด เพื่อให้คนไทยรู้ว่า พระพม่า หรือพระสงฆ์ไทย องค์ไหนไม่โกนคิ้ว องค์นั้นเป็นพระหม่อง ขับออกไปจากเมืองไทยให้หมด คนไทยกำหนดรู้ รู้กันโกนคิ้วไม่โกนคิ้วนี่เอง ฉันเห็นท่านมาวันนี้ ท่านโกนคิ้วจึงรู้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไทย พอเขาแก้ไขได้ทุกอย่างแล้ว ก็จะหวนกลับมา ตีเอาเมืองหงสาวดี และปริมณฑล เพื่อยึดเอาตัวฉันกลับไป ท่านขา พอเจ้าบุเรงนองมันสืบรู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มีฉันเป็นผู้วางแผน

    ในระยะนั้น ก็มีความไม่สงบเกิดขึ้น เพราะตัวพระคุณเจ้าเอง วางแผนให้เจ้าบุเรงนอง ผู้ครองความเป็นใหญ่ อันเจ้านันทบุเรงนั้น มันมักมากในกามคุณ มีเมียมากนับไม่ถ้วน แต่มีคนหนี่งชื่อ สุวนันทา เป็นภรรยาคนที่สาม ชาวไทยใหญ่ เป็นคนสวย เจ้านันทบุเรง ก็หลงใหลมันมาก มันอยากเป็นราชินี จึงบังคับให้สามี วางแผนแย่งอำนาจ แย่งสมบัติจากพระราชบิดา มาเป็นใหญ่เสียเอง เจ้าบุเรงนองผู้บิดา จึงทรงตรอมพระทัย ในที่สุดก็ขาดใจตายดังกล่าวแล้ว ให้ทะเลาะกันกับเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นลูกชาย เลยเกิดโรคหัวใจวายตายไป อย่างกระทันหัน มันคือเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นอุปราชขึ้นครองเมือง ชื่อเจ้านันทบุเรง มันได้ครองราชย์เป็นใหญ่ และเป็นระยะที่เขาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ความวุ่นวายมีอยู่ทั่วไป
     
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    กอปรกับมารู้ข่าวว่า กองทัพของไทย ขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมัน คือฉันเอง ให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชก ต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าว อดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส (มันเลวยิ่งกว่าหมา เพราะธรรมดาแล้ว หมาตัวผู้จะไม่กัดหมาตัวเมีย อันคนจำพวกที่ชอบรังแกหญิง เอาเปรียบผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศตัวเมียนั้น จึงเป็นบุคคล จำพวกที่มีสันดานเลว ยิ่งกว่าหมาเสียอีก) ท่านขา เมื่อมันเห็นว่าฉัน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ (และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ)

    แล้วฉันก็ตายไป พร้อมกับลูก อยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผี มาทำพิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยการผูกรัดรึง ตรึงฉันด้วยไม้กางเขน ตรากระสัง ให้วิญญาณของฉัน ไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมาก ที่ท่านได้มาช่วย แก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน อันเรื่องนี้เอง ก็เป็นวิบากกรรม ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องไปรับรู้รับเห็น เรื่องของเจ้าหญิงทุกอย่าง และท่านกล่าวว่า ในกาลต่อไปข้างหน้า ฉันตั้งปณิธานไว้ว่า (ฉันจะไปอุบัติบังเกิด ช่วยบ้านเมืองในสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน แต่จะไปอุบัติ ในสกุลสุขุมาลย์ชาติ ในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง) ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดี ให้นั่งอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแก้ลำที่คนไทยลืมฉัน

    โดยจะไม่สนใจใยดี กับการที่จะอภิเษกสมรสเลย เพราะฉันเข็ดแล้วเข็ดอีก เรื่องผู้ชาย แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทย ฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้ว บอกฉัน และฉันขอฝากรูปลักษณ์ของฉัน ที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉัน ให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอ ของฉันจารึกไว้ ก็คงจะสลายหายสูญ ไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว

    ขอให้ท่านหวนจิต คิดย้อนกลับไปดู ภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมา เป็นธิดาองค์ใหญ่ ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดา ได้ไปครองเมืองอยุธยา ได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคา อย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน นับว่าฉันเองได้สถิต อยู่ในมไหยสมบัติ อยู่ในดินแดนเมืองมนุษย์ มีความสุขสุดที่จะพรรณา แต่ต่อมา พม่าตีเมืองได้ ฉันกับน้องชาย ต้องตกเป็นเชลย ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นขี้ข้าเขา แล้วได้มาเป็นเมียบุเรงนอง แล้วถูกจำจอง ด้วยเครื่องพันธนาการ ฉันเองได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน ทั้งกายและจิตใจตลอดมา

    จำเดิมแต่ได้พลัดพราก จากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ ทรมานในการจำจากน้องทั้งสอง อันเป็นที่รักที่สุด ดุจกับว่าดวงตา ดวงใจ มันหลุดลอยออกไปจากร่าง ออกไป สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเอง เฆี่ยนตีทำโทษ จนถึงแก่ความตาย อย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆ จะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไป เพื่อความอยู่รอด ของประเทศชาติบ้านเมือง ฉันเสียใจ ที่คนไทยลืมฉัน ฉันจะหาที่เกิดเป็นกุลสตรี ที่ได้นั่งอยู่บนหัวใจ ของคนทั้งชาติ โดยปราศจากการมีครอบครัว
    แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัย ไปสู่สถานที่ ที่ไม่มีการเกิด การตายอีกแล้ว แต่เรื่องนั้นจะมีขึ้นได้จริง ก็ต้องพึ่งพิงอาศัย กระแสดวงใจของคนจำนวนมาก ช่วยค้ำจุนหนุนส่งให้ ดังนั้น จึงอยากจะขอร้องท่าน ช่วยเอารูปลักษณ์ของฉัน ออกให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป ที่เขาอยากรู้ อยากเห็นด้วย นี้แหละท่านอันชีวิตคนเราทุกๆ คน จะคละเคล้าไปด้วยสุข และทุกข์ เสียงหัวเราะและน้ำตา เสียงสนุกเฮฮา และร้องไห้โหยหวน ชวนให้คิดว่า นี่แหละโลก นี่แหละชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกชีวิตก็ตกเป็นทาส เพราะตกอยู่ใต้อำนาจ ของความปรารถนา

    ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา ปลูกสร้างขึ้นมา แล้วก็ยึดถือหวงแหนไว้ ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของกู ตัวกูไปทุกสิ่ง ได้ครอบครองสิ่งใดแล้ว ก็ชื่นชมยินดี เทิดทูน และผูกติดกับสิ่งนั้น ไว้ด้วยความหลงผิด หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังบ้า แบกภาระอันหนักหน่วง เอาไว้ไม่รู้จักวาง ทางออกที่ดีก็คือ การไม่เกิดแล้วก็ไม่ตาย และท่านกล่าวต่อไปว่า อันความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่เอง ที่ทำให้คนเราโง่ ทำให้คนโง่เขลา พากันมัวเมาหลงผิด คิดว่าเป็นของตัวเองทุกอย่างไป ดวงใจมันก็ได้รับแต่ความทุกข์ แต่ฉันเองรู้สึกเสียใจมาก ที่บ้านเมืองของเราหลายๆ แห่ง ได้ถูกกองทัพเจ้าพม่า มันฆ่าทารุณผู้คน ขนมาเมืองมัน จนไม่เหลืออะไรแล้ว มันก็สั่งให้คนไทย จุดไฟเผาบ้านเรือน ตลอดพระราชฐาน วัดวาอารามที่สวยๆ งามๆ ให้เหลือแต่ซากสลักหักพัง พินาศสันตะโร

    แต่กรุงศรีอยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี ก็มีพระยาตากมากู้เอาไว้ ท่านองค์นี้มีสายตาไกล ท่านไม่ยอมเอาเมืองหลวงเก่าเป็นราชธานี ท่านกลัวว่ามวลหมู่ ผีร้ายๆ จะก่อกวน จึงชักชวนพวกอพยพ ไปตั้งราชธานีที่เมืองบางกอก แต่พวกพม่านั้น มันก็ได้รับผลกรรม ตอบแทนอย่างคุ้มค่า เรียกว่ากรรมตามทัน ทำให้มันต้องรบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน ไม่มีเวลาสิ้นสุด แต่การรบราฆ่าฟันกันนั้น จะติ หรือใส่ร้าย แต่พวกพม่าก็ไม่ได้ ส่วนมากก็คนไทยนั่นแหละ เป็นไส้ศึกเป็นตัวการ ช่วยเผาผลาญ บ้านเมืองตัวเองให้พินาศ เพราะจิตใจคิดอาฆาต ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จนเจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช พระราชบิดาของฉัน มาเป็นมหาอุปราช ผลสุดท้าย ของพระราชบิดาของฉัน ก็ได้ครองราชแทน

    เพราะพระเจ้ามหินทราธิราช ได้มาสิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ ก็พระคุณท่านนั่นเองแหละ ได้รวบรวมหมู่เชลยไทย ช่วยกันถวายพระเพลิงศพท่าน แล้วเอาพระอัฐิท่านมาไว้ที่โน้น อันการเกิดกุลียุค เผาผลาญบ้านเมืองในคราวนั้น ผู้ลงมือเอง ส่วนมากคือคนไทยเอง ที่เขาเคืองแค้น ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากผู้เป็นใหญ่ผู้มีอำนาจ ที่หลงอำนาจ บ้ายศ หลงตัว ถือตัว มหาภัยยุคเข็ญ มันก็ต้องเกิด ดังนี้ จะหาโทษพม่าเป็นคนทำลาย ไม่ถูกหรอก ท่านจงให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้าง ก็คนไทยนั่นแหละ เป็นตัวการเผาผลาญบ้านเมืองตัวเอง เขาเผาเพราะความแค้น
    ส่วนพญาละแวก คือพวกขอม ขะแม มันก็ตัวศัตรูคู่แค้น คู่อริกับคนไทยมาตลอด จิตใจมันมืดบอด ไม่เห็นบาปกรรม ที่มันทำลายล้างผลาญ สังหารคนไทย นับครั้งไม่ถ้วน การที่มันกระทำนั้นเอง จึงเป็นมรดกตกทอด มาถึงลูกหลานของมัน และมันก็เข่นฆ่าทารุณกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจ ก่อความวินาศฉิบหาย จนสูญสิ้นชาติขอม มาเป็นขะแม สิ้นขะแมมาเป็นเขมร เขมรก็รบกัน เหลือแต่หัวกะโหลกกองไว้ ให้ชาวโลกได้เย้ยหยัน นี่แหละคือผลของความบ้าอำนาจ บ้ายศ จำไว้เน้อ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าบ้านัก และอย่าลืมตัว ส่วนเมืองสยามไทย ไทยเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ให้คนไทยทั้งชาติ ตกอยู่ในยุคทั้งสิบ แบ่งเป็นยุคละยี่สิบปี คือยุคพระกาฬ พานยักษ์ รักบัณฑิต สถิตธรรม จำแขนขาด ราชโจน นนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นตาขาว ยุคชาววิไล ขอให้ท่านดูไปก็แล้วกัน แต่ดีอย่างหนึ่ง ที่คนไทยไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ชอบจะเป็นมิตรกับคนทุกชาติ

    แต่เสียอย่างเดียว ที่คนไทยมีนิสัย ไม่ผิดกับหมาไทย คือถ้ามีใครมารังแก มันจะไม่ยอมแพ้ มันจะแห่กันเล่นงานทันที แต่ยามไม่มีใครมาเข่นฆ่าราวี มันก็ตีกันเอง คือพวกบ้าอำนาจ บ้ายศ บ้าจี้ มันนึกว่ามันดีกว่าทุกคน เมื่อถึงยุคราชโจน อาจจะมีนักปกครองปัญญาอ่อน แต่บ้าอำนาจ จะเอาบ้านเอาเมืองไปขายกิน ก็อาจจะเกิดมีได้ดูไปเถอะ แต่กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดี คนไทยเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะเขามีพระดี หลวงพ่อดี หลวงพ่อองค์นั้นก็คือท่าน ผู้ประทับอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งชาติ คงจะเป็นพระยาธรรมมิกราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง แต่อยากถามว่า พระคุณเจ้าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปด้วย ไปช่วยสร้างบารมี มุณีทั้งหลาย

    ท่านจึงหาทางออกจากวัฏสงสาร ด้วยการทำความดีแก่ตน และสั่งสมให้มากที่สุด ที่จะมากได้ แล้วท่านจึงตรัสถามข้าพเจ้าว่า เมื่อพระคุณเจ้าถูกจับกุม ในข้อหาที่หนักๆ ทางการเมืองมาตั้งหลายครั้ง หลายคราวนั้น ท่านมีทุกข์ใจมากไหม เพราะเท่าที่ฉันรู้มาว่า ท่านโดนเขาเล่นงานมาถึงสี่ครั้งแล้ว ก็ตอบท่านว่า ทุกครั้งที่อาตมาเจอกับความทุกข์ เราจะไม่ยอมแพ้มัน คือเรารู้จักวิธีฝึก ให้จิตอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์อยู่เหนือจิต สร้างความรู้สึกนึกคิด ประดิษฐ์สิ่งที่ร้าย ให้เป็นสิ่งที่ดีเอาไว้ (เราเอ๋ยเรา) อดรนทนไว้เถิด นานๆ ไปมันจะชินไปเอง ผู้มีความฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้าง ทุกขเวทนาให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ ฉันก็ดี โยมก็ดี ก็มีทุกข์ไม่แพ้กัน แต่ตัวฉันนี้เอง เป็นคนที่มีความขยันที่สุด ที่ฉันจะล่วงรู้อะไรได้ ก็เพราะได้มาเจอท่าน

    ท่านหญิงเป็นมัคคุเทศก์ อย่างวิเศษในดวงใจ และดวงตาของฉัน ที่ได้นำพาให้ฉัน กลับไปรู้ไปเห็นว่า ฉันเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ที่บอกท่านว่า เป็นคนขยันนั้นคือ ขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย ท่านหญิงยังสบาย เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมาน อันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวี จากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติ เป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหารหนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้ เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่ง ไปตายที่กรุงโรม และก่อนตาย ก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวย สร้างความมั่งมี เอาไว้ที่เมืองฝรั่ง แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์ เป็นถึงบัณฑิตครูสอน

    แล้วย้อนกลับมาบวช ในศาสนาพุทธที่เมืองไทย อะไรกันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลิน ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลส ตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำ นำพาให้เรา ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ พอมาถึงตอนนี้ ท่านหญิงก็หัวเราะ เพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอย คือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ ที่ประจักษ์อยู่ใน มโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตา ของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย และก็รับปากท่าน เพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้

    จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดี กับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ต ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้ เพราะเราเป็นช่างเขียน เรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใด ที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดู ในเวลาเขียน เขาจะไม่เอา เพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขา เข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้น จะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัส ทางจิตวิญญาณให้ได้
     
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][​IMG][/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]พระพี่นางสุพรรณกัลยา ณ.เมืองปาย[/FONT]​


    อันการสัมผัสได้ ด้วยทางจิตวิญญาณนั้น แบบเรารู้เอง เราเห็นเองเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน คนอื่นๆ เขาไม่ได้สัมผัส เขาไม่ได้เห็น เขาก็ไม่เชื่อ จึงมาใช้ความพินิจพิเคราะห์ดูว่า เราจะทำอย่างไรหนอ เราจะเอาสิ่งที่เห็นด้วยตาใจ ให้มาเห็นด้วยตาจริง เพื่อที่จะได้สิ่งอ้างอิง ให้เป็นรูปธรรม ได้ปรากฏแก่สายตา คนภายนอกได้ จึงมาค้นคิดขึ้นได้ว่า เราต้องใช้วิธีการ ถึงสองระบบ ได้แก่ ระบบนามธรรม คือทางจิต ไสยศาสตร์ทางจิตวิญญาณ และทางรูปธรรม คือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่กล้องถ่ายรูป จึงหากล้องถ่ายรูปมาสองตัว สองยี่ห้อ คือ กล้องโอลิมปัส Olimpus ของเยอรมัน (ตามที่มีผู้อ่านบางท่าน โต้แย้งมาเรื่องกล้อง Olympus ของเยอรมัน ว่าเขียนผิด ผู้เขียนเองรู้ที่มา ที่ไปของกล้องยี่ห้อนี้ เพราะผู้เขียนเองอยู่เยอรมัน ก่อนคนค้านจะเกิดอีก คือเมื่อ พ.ศ. 2496 ทีแรกเป็นของเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นลอกแบบมาทำ เมื่อ พ.ศ. 2479 เพราะกฎหมายลักลอบ ลอกเรียนทางปัญญา ของประชาคมโลก ยังไม่มีในยุคนั้น แต่กล้องที่ถ่ายนั้น เป็นของคนชาติเยอรมัน เขามาอยู่ด้วย เขาเขียนไว้ว่า MADE IN GERMANY


    เพราะเขาถือว่า ต้นตระกูลเขา ออกแบบมา แล้วก็ขายลิขสิทธิ์ให้ญี่ปุ่น เรื่องก็เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าจึงเขียนอย่างนั้น ขอบอกตรงๆ ว่า ถ้าไม่อยากอ่าน ก็อย่าอ่านเลยดีกว่า ไม่ต้องเอามาอ่าน ให้รกสมองของตน ด้วยโดยไร้เหตุผล) และกล้องโพโตลอง Potolon ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกล้องเก่าแก่ที่สุด มาดัดแปลง ติดตั้งอันเด็บเตอร์ พ่วงเข้าใส่นาฬิกา ตั้งเวลาให้เป็นออโตเมติก ให้ถ่ายได้เองทุกสิบนาที การดัดแปลงทางอิเล็คทรอนิกส์ อย่างนี้เราถนัดมาก เพราะเราเรียนอิเล็คทรอนิกส์มาแล้ว แล้วจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลหมากรากไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมี เครื่องขัดแป้งแต่งตัว น้ำอบน้ำหอมผ้าถุงเสื้อนุ่ง เป็นสีทอง ดังที่เรามองเห็น จากมโนภาพทางฝัน เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ เสร็จแล้วก็เตรียมตัว เตรียมใจ ในอันที่จะทำพิธีการ ในสถานที่ที่เราถูกกักบริเวณ ที่เราฝันเห็นนั้นเอง เพราะตอนนั้นเราเข้าๆ ออกๆ ได้แล้ว หมดเรื่องกับผู้ต้องหา การถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณ อันหลักการอย่างนี้ ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

    ในหลักของพระพุทธศาสนา ก็มีมาในบาลีว่า ยังกัมมังกริสสันติ กัลยานังวา ปาปะกังวา ตัสสะทายาทาภวิสสามิ ได้ใจความว่า ไม่ว่ากรรมใดๆ ที่บุคคลกระทำแล้ว กรรมนั่นจะไม่หายไปไหน และจะติดตามให้ผล แก่ผู้กระทำตลอดไป ไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า และในทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสาร ย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไป สลายตัวไป ก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป (เพราะอุณหภูมิ คือความร้อนรักษาไว้ เมื่อเราได้จัดแจง อุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสอง เข้าหาพานเครื่องเส้นทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเอง ไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้วสวดคาถาว่า เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา ภาวนาได้เจ็ดครั้ง แล้วก็หยุด เอาสติตามลม เข้าออก เข้าออก เข้ารู้ ออกรู้ จนลมที่ออกๆ เข้าๆ มีความละเอียดลง ละเอียดลง

    ใช้ความรู้สึกอย่างแรง ในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนาง ก็ปรากฏขึ้นใน มโนภาพเห็นชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะเราเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ผิดอะไรกับที่เห็น ในสัมผัสทางฝัน แต่รูปอื่นๆ ก็ติดมาบ้าง ที่ไม่รู้จักเราไม่เอามา ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า มีรูปคนอื่น ผีอื่น วิญญาณอื่นบ้างหรือเปล่า ขอตอบว่ามีโลกเมืองผี กับโลกเมืองคน มันก็มีสับสน วุ่นวายพอๆ กัน แบบไทยมุงก็มี ผีมุงก็มาก มันอยากดู อยากเห็นเหมือนกัน

    เรามีพร้อมแต่ไม่เอาลงมาที่นี่ เราก็เลือกเอาเฉพาะ ที่เราต้องการเท่านั้น เมื่อได้ออกมาแล้ว ก็เก็บเอาไว้ดู อยู่มาอีกหลายสิบปี เมื่อจะทำงาน อะไรที่เห็นว่าเป็นงานใหญ่ และเป็นงานท้าทาย เกี่ยวกับสังคม ก็ระลึกนึกถึงท่าน เพราะเราถือว่าท่านเป็นเทพธิดา ผู้ซึ่งเคยปวารณา อาสากับเราไว้ ดังงานค้นหาเสาหลักเมือง จังหวัดพิจิตร เขาคิด เขาค้นกันมานานไม่พบ เขาบอกว่า ถ้าได้เสาหลักเมืองขึ้นมา จากตรงไหน ก็จะขอมอบที่ดินทั้งหมด ให้ทางราชการ เขาควานหากันหลายสมัยผู้ว่า ก็ไม่พบ พอเขามาร้องขอเราไปเดินดู นั่งดู นอนดู สองวันเจอเลย จึงได้ลงมือก่อสร้าง ศาลเสาหลักเมือง และอุทยานเมืองเก่าไว้ ทุกวันนี้ แต่ปี พ.ศ. 2510 มาแล้ว และที่เสาหลักเมือง จังหวัดน่าน อีกเช่นกัน ท่านก็ชี้บอกให้ว่าอยู่ตรงไหน เสาจริงที่เป็นไม้ เขาเอาไปฝังไว้ใต้โบสถ์​
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2137-951.jpg
      2137-951.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.2 KB
      เปิดดู:
      3,536
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    และต่อมาทางราชการ กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้โรงเรียน ทุกโรงเรียน ต้องมีเครื่องหมายทางศาสนา ไว้หน้าเสาธง และให้มีทั่วประเทศ ไม่เกินห้าปี ถ้าไม่รีบทำอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม้กางเขนละสิ มันง่ายดี เมื่อในโรงเรียน มีเครื่องหมายของศาสนาอื่น เด็กชาวพุทธ ก็ถูกกลืนหมดแน่นอน ข้าพเจ้าจึงรีบร้อนจัดทำ จัดสร้างพระพุทธวิโมกข์ ขนาดหน้าตัก 19 และ 29 นิ้ว ขึ้นแจกฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ ร่วมแสนกว่าองค์ ใช้ทุนรอนส่วนตัวไป หมดไปหลายล้าน โดยไม่ยอมรับ บริจาคเงินทุน ไม่ยอมบอกบุญ เอาทุนเอารอนจากใครทั้งนั้น เพราะมีพร้อมแล้ว เรื่องนี้งานทั้งหมด ยกให้ท่านพระสุพรรณกัลยา เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกทึ่งใจ เพราะงานคราวนี้ เป็นงานท้าทายกับความสามารถที่สุด ที่มนุษย์ดีๆ เขาทำกันไม่ได้ แต่เราก็ทำได้

    ทำให้สังคม สร้างให้พระพุทธศาสนา ใครจะไหว้ จะไม่นับถือ เราก็มีเครื่องคุ้มกัน กันศาสนาอื่น ไม่ให้ยื่นมือเข้ามายุ่งกับนักเรียน เมื่อครบกำหนด จำนวนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นองค์ ดังที่ได้บอกพระนางท่านไว้ ก็จัดปั้นการหล่อ เราลงมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แล้ว แต่ขณะนั้น ยังมีงานเรื่องสร้างเสาศาลหลักเมือง ให้จังหวัดสระแก้ว กับจังหวัดพิษณุโลกอยู่ และตอนหลักเมืองจะเสร็จ ก็ได้ปรารภกับ ท่านสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ ซึ่งท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ในสมัยนั้น แต่ท่านก็มีอันที่จะต้อง ไปรับราชการเป็นรองปลัดมหาดไทย เสียก่อน

    ท่านจึงได้เรียนบอกท่าน พลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพภาคสาม ท่านแม่ทัพก็รับปากทันที ตกลงกันว่า เราจะอัญเชิญพระรูปของท่าน ให้ไปประดิษฐานไว้ที่ที่ท่าน จะทอดพระเนตรเห็น น้องยาเธอทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ท่านร่ำร้อง ต้องการอยากจะทัศนาทอดสายตา ดูน้องชายทั้งสองของท่าน ตลอดไปอีกนานเท่านาน ซึ่งไม่ไกลจากวังจันทร์เกษม ซึ่งถือเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน รูปหล่อนี้ เราหล่อด้วยเนื้อทองเหลือง และทองแดง ส่วนมากจะเป็นทองของเก่า ที่ขุดมาได้จากอยุธยาเป็นส่วนมาก แล้วลงรัก ปิดทอง ประดับด้วยอัญมณี ที่เป็นสมบัติของท่านเอง แต่อดีตชาติ แล้วก็ลงมือ หล่อรูปบูชาขึ้นมาอีก และทำรูปเหรียญ ของท่านขึ้นมาอีกด้วย หลายพันเหรียญ เพื่อให้ท่านแม่ทัพ จะได้แจกจ่าย แก่ผู้เคารพนับถือ ในพระนางท่านอีกต่อไป เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัส มาด้วยตนเองเป็นเวลา ล่วงมาได้สี่สิบห้าปีแล้ว รู้สึกว่าได้อาศัย บารมีของท่านตลอดมา เฉพาะงานที่เสี่ยงๆ และท้าทาย

    ท่านทั้งหลาย ที่ได้อ่านหนังสือนี้เข้า ก็คงจะหาว่า เอาเข้าแล้วหลวงตาโง่น แกจะบ้าหรือไง ไปเลื่อมใสกับผี กับวิญญาณไม่เข้าเรื่อง ขอบอกท่านผู้อ่านอย่างตรงๆ ว่า อันข้าเอง ก็ยังไม่สำเร็จอรหันต์ อรหลอะไรนี้หว่า ในขณะที่เดินไป ตกหลุมเลนโดยไม่รู้ตัว กลัวจะจมลงไปลึกกว่านั้น มีอะไรที่จะค้ำยันไว้ก็ต้องเอา หรือกำลังลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในท้องทะเลอันกว้างไกล จะจมตายแหล่มิตายแหล่ เห็นอะไรลอยมา ถึงจะเป็นซากศพของผีตายโหง แต่พอที่จะเกาะไว้กันตายได้ก็เอาละ ขอให้พ้นจากความตายได้ก็พอ อันเรื่องที่ข้าพเจ้า จะได้ติดต่อสัมผัส กับโลกวิญญาณ โลกลี้ลับที่กล่าวมาแล้ว ก็เป็นเรื่องบังเอิญ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดฝันมาก่อน แต่เรื่องบังเอิญเรื่องนี้ เวลาร่วมห้าสิบปี ก็ยังไม่ลืมเลือน จะลืมได้อย่างไร

    เพราะถ้าไม่ฝันไปเห็นท่านเข้า เราก็คงติดคุกอ้ายหม่องจนหัวโต ตายในที่ที่เขากักขัง ป่านนี้ก็คงจะเป็นตายโหง อยู่เมืองพะโคไปแล้ว และถ้าไม่ฝันไปเห็นเจอท่าน เราก็คงจะไม่ได้ศึกษา เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ และก็คงโง่เง่าดักดาน คัดค้านเรื่องโลกลี้ลับ ตลอดมาอย่างเดิม เพราะเคยโง่มาเป็นเวลาครึ่งชีวิต และเมื่อเราจับทาง ที่ท่านนำพาให้รู้แล้ว จิตใจเราก็ผ่องแผ้วสงบเย็น และเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ทางฝัน จึงถือว่า พระนางท่านเป็นสหาย เป็นมิตร อยู่ใกล้ชิดตลอดมา และเป็นผู้ให้ความสดชื่นอุรา ในเวลาหงอยเหงา เป็นผู้ช่วยแบ่งเบา ในคราวเจอกับงานหนักๆ เป็นผู้ให้ความพิทักษ์ ปกป้องในคราวเกิดอันตราย และหลายครั้งที่เจอกับอุบัติเหตุ ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางรถยนต์ เราได้รอดพ้นมาได้อย่างอภินิหาร คนอื่นๆ ที่ประสบพร้อมกับเรา เขาเหล่านั้น ก็เรียบร้อยโรงเรียนผีกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว ต้องขึ้นศาลเป็นพยานโจทก์ และพยานจำเลย มาหลายครั้ง ครั้งที่ห้า

    และครั้งที่หก ที่ศาลจังหวัดพิจิตรนี้เอง เพราะทางศาล หาใครเป็นพยานบุคคลไม่ได้ มันตายหมด ดังนั้นข้าพเจ้า จึงอดที่จะไม่นำเอาเรื่องราว ของพระนางท่านมากล่าว ให้ผู้สนใจไม่ได้ ได้ใช้ดุลยพินิจคิดว่าคงมี สาระประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวนี้ ก็มิใช่จะมีเจตนา ที่จะชักนำให้ท่านได้หลงใหล งมงาย ในเรื่องผี เรื่องวิญญาณอะไรทั้งนั้น เพราะเรื่องอะไร ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตใจของเรา อันอิทธิฤทธิ์ก็ดี และอภินิหารก็ดี มันไม่อยู่ที่อื่น แต่มันมีรากฐานอยู่ที่ กำลังใจของแต่ละท่าน แต่ละคนเท่านั้น แต่จิตใจมันจะตั้งมั่น ก็ต้องมีเครื่องยึด คนที่ไม่ปฏิเสธ และไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่ายๆ คือคนฉลาด เพราะเขาจะต้องหาเหตุผล เท่าที่ได้ค้นคว้าทางโลกวิญญาณมามากต่อมาก คือตลอดเวลาที่เป็นนักบวช ทางศาสนาพุทธร่วมหกสิบปี ได้ใช้สติปัญญา เวลาทั้งหมด ค้นแต่เรื่องของจิตใจ เรื่องของวิญญาณ

    เพราะคำสั่งสอน ในทางพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่า จิตเตนนิยติโลโก โลกอันจิต ย่อมนำไปทั้งที่เป็นวิญญาณเฝ้า และวิญญาณแฝง แต่ก่อนอื่น ที่จะเป็นจิตวิญญาณอื่นๆ ได้ก็ต้องฝึกหัดให้รู้ ให้เห็นจิตวิญญาณของตัวเองเสียก่อน อันจิตวิญญาณของเรานี้ มันอยู่กับเรา แต่เรามองไม่เห็นมัน ข้อสำคัญคือ ให้เห็นเราก่อน ตัวจิตตัวเราคือธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจตัวนี้เห็นมันยาก พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต อันการค้นคว้า หาจิตวิญญาณนั้น มันอยู่เลยความตายไปอีก เราจะให้พบ จิตวิญญาณของเราได้ ก็ต้องกำหนดจิตกับกาย ให้อยู่คนละส่วน ฝึกจิตใจ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกู จิตอยู่ในที่ว่าง วางแล้วมันจะสงบ มันจะหลบเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นภะวัง ภะวังคือภพของจิต ร่างของจิต ติดอยู่กับอุปทยรูป คือรูปแฝง มันจะเป็นรูปร่างที่เบา ไม่มีใครเห็นได้ นอกจากตัวเอง เรื่องนี้ ขอยกไปอธิบาย รายละเอียดไว้ตอนต่อไป
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    ณ. พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์

    แต่เรื่องราวของ พระสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องที่ท่านได้มีบุญ มีพระคุณ แก่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงส่วนรวมแล้ว พระนางท่าน มีพระคุณอย่างเหลือหลาย เหลือที่จะบรรยาย เป็นภาษามนุษย์ ทรงมีปิยคุณท่วมท้น ล้นฟ้าชลาธาร ท่วมวิญญาณทวยราชทั้งชาติไทย เมื่อกล่าวถึง เชื้อพระวงศ์แล้ว พระนางท่านก็อยู่ในระดับ เจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ คือเป็นพระธิดา ของพระมหาธรรมราชา ซึ่งต้นตระกูลของท่าน ก็ได้จัดสร้างพระพุทธชินราช ซึ่งงามที่สุดในโลก ไว้ให้ชาวพุทธได้บูชา แต่ต่อมา ก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ของวงค์สุโขทัย ที่ได้ไปครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนับว่า เป็นพระราชธิดา ของต้นตระกูลไทย พระองค์หนึ่ง ตอนที่ยังทรงพระเยาว์วัย ก็ได้สถิตอยู่ในไอศูรย์สมบัติ อันน่ารื่นรมย์ ประทับอยู่ในสถานที่น่าชื่นชม น่าทัศนา กาลต่อมา บ้านเมืองพังพินาศ พระนางท่านต้องนิราศรอนแรมไกล ไปเป็นเชลย ได้ใช้ชีวิตแบบทาส อยู่ใต้เบื้องบาทผู้เป็นนาย แล้วเลี้ยงดูน้องชายทั้งสอง ได้ประคับประคองจนเติบใหญ่ ขึ้นเป็นจอมไทยมหาราช คือพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ มีพระนามปรากฏขจรไกล แก่ชาวไทยทั้งประเทศ

    ผู้เป็นเหตุ ในพระคุณนี้คือพระนาง ท่านทำคุณประโยชน์ ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง สยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรี หรือวีรบุรุษท่านใด ในอดีตถึงปัจจุบัน ที่จะได้เสียสละอย่างนั้น ซึ่งก็มีวีรสตรีบางท่าน ที่ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลัง ได้ก่อสร้างรูปเป็นอนุสาวรีย์ไว้ แต่ท่านเหล่านั้น ก็ยอมเสียสละให้ เฉพาะบ้านนั้น เมืองนั้นเท่านั้น นับว่าเป็นวงแคบ ส่วนพระนางสุพรรณกัลยานี้ ท่านยอมเสียสละ พระชนม์ชีพตลอดทั้งความสุข เพื่อคนไทยทั้งชาติ และเพื่อแผ่นดินสยามไทย อันกว้างไกลทั้งประเทศ ที่เราๆ ท่านๆ ได้มีผืนแผ่นดิน ที่อุดมสมบูรณ์ อันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งได้รับความสุข ความสำราญกันทั่วหน้านี้ มิใช่เราได้มาจากพระเมตตา และการเสียสละ ของท่านนะหรือ แล้วสมควรไหม ที่ชาวไทยจะลืมท่านลง ลืมกันหมดแล้วจะบอกให้ แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่

    (พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011
  6. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    เบี้ยแก้แห่งวังหน้าร่วมกับหลวงปู่ภู* แห่งวัดอินทร์ บุทองคำ (มีบุเงิน นาค และทอง) เลี่ยมกรอบเงินลงยา แบบนี้เรียกว่าตัวเมียแต่ดูเหมือนจะแรงกว่าตัวผู้ เป็นของดีที่ต้องนำติดตัวตลอดแม้ยามหลับนอน หรือเข้าไปที่อโคจรก็ไม่มีข้อห้ามอันใด

    ผมเคยให้เจ้านายที่เป็นชาวเยอรมันช่วยตรวจสอบพลังให้ ปรากฏว่าท่านได้รับกระแสพุ่งออกจากสะดือของท่าน ซึ่งต่างจากพระเครื่องทั่วไป ท่านจักได้รับกระแสพุ่งเข้าหาตัวท่าน

    เคยเจอประสบการณ์กับตัวเองสองครั้ง ครั้งแรกไปติดตั้งระบบเครือข่ายที่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สะเรียงที่ office เช่าไว้ให้พนักงานไปแวะพักผ่อนระหว่างการเดินทางไกล ผมอยู่คนเดียวบนบ้านขณะเดินไปหน้าต่างเบี้ยแก้สั่นตุ๊ดๆ 3-4 ครั้ง ผมตั้งสติได้ไม่ตกใจยังคงทำงานตามปกติ แม่บ้านก็เคยเจอกับตัวเช่นกัน (ตอนนี้ลาออกไปแล้ว) ภายหลังได้ตรวจสอบพบว่าเจ้าของบ้านเป็นผู้หญิงซึ่งตายไปนานแล้ว ซึ่งท่านคงหวงสถานที่นี้อยู่

    หลังจากนั้นอีกหลายเดือน ผมเองได้ไปนอนพักกับพนักงานขับรถระหว่างการอัญเชิญพระบรมฯไปถวายวัดต่างๆในแถบภาคเหนือ นำน้ำมนต์ไปด้วยเพื่อจะไปกำหราบ(เพราะเห็นว่าต้องมีคนมาพักเรื่อยๆ)แต่ปรากฎว่าไม่มา แม้กระทั่งในนิมิตต่างๆ

    ครั้งที่สอง (ปีที่แล้ว) มีผู้มีวิชาได้เข้ามาพูดคุยกับผมที่บ้านข้างๆห้องพัก และเปรยๆถึงห้องนอนที่ห้องเช่าว่ามีพระเกือบครึ่งห้องไม่เห็นต้องขึ้นไปดูเลย (เราก็งง มันรู้ได้ไงฟะ) จากนั้นพอละจากกันขึ้นมาบนบ้าน ปรากฏว่าเบี้ยแก้เรามีรอยแตก เป็นแนวพุ่งออกนอก ... ผมต้องอัญเชิญท่านไปเข้ากรอบเงินลงยาข้างต้น

    ทุกวันนี้คุณไสย์ยังไม่หมดไปจากแผ่นดิน ยังไงก็หามาป้องกันตัวไว้นะครับ และโปรดอย่าเชื่อในสิ่งที่ผมเชื่อ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเอง

    หลวงปู่ภู*
    - หลวงปู่ภูน่าจะเป็นผู้อัญเชิญปรอทเข้าสู่ตัวเบี้ยแก้ให้กับช่างสิบหมู่ฯ
    - ยังมีไม้ครูแห่งวังหน้า(มีน้อยมาก>มากที่สุด)ที่หลวงปู่ภูท่านกำกับการสร้างและการบรรจุมวลสาร จากนั้นจะอาราธนาหลวงปู่พระอิเกสาโรท่านมาเสกให้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1150167.jpg
      P1150167.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138 KB
      เปิดดู:
      5,923
    • P1150159.JPG
      P1150159.JPG
      ขนาดไฟล์:
      152.6 KB
      เปิดดู:
      1,841
    • P1150260.jpg
      P1150260.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.7 KB
      เปิดดู:
      1,695
    • P1150261.jpg
      P1150261.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.9 KB
      เปิดดู:
      1,750
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011
  7. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    เบี้ยแก้ตัวผู้ครับ
    ทราบมาว่ามีของเก๊แล้ว
    แม้จะมีของเก๊ออกมา ยังไงก็เชื่อว่าไม่วิจิตรขนาดนี้

    การเลี่ยม ควรเปิดช่องให้อากาศธาตุไหลเข้าออกได้ง่ายด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ....<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เมื่อวานช่วงเย็น
    ปฐมได้เป็นตัวแทนพี่ๆในคณะและผม (อัญเชิญลงไปหาดใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว) อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุนิมิตคณะเผยแผ่พระพุทธศาสนา *พระสมเด็จองค์ TOP1,4 พระกริ่งปวเรศ (องค์ในกระแส) พระบูชาสามสมัย (ถึงยุค) พระพิมพ์แห่งวังหน้า ถวายแด่พระอาจารย์ของน้องฯที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสตูล
    ก็ขอโมทนาสาธุร่วมกัน ขอให้ได้บุญเสมอกันแม้ไม่ได้ถวายด้วยตัวเองก็ตาม

    * ผมถวายเป็นการส่วนตัว
     
  9. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    โมทนาสาธุครับ

    ช่วงนี้งานยุ่งมากๆๆ

    เลยไม่ได้เข้ามาในเวป
     
  10. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, IT Man </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเที่ยงครับท่านสมบัติ

    สบายดีไหมครับ
     
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    สบายดีครับ ผมเองก็ยุ่งพอสมควรเช่นกันครับ หุหุ ...
     
  12. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
  13. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ
    กัมมุนา วัตตะตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)
    อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้ จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึง บุพกรรมของผู้เขียน เพื่อเรียนเจริญพร ให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอย ถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรม ที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติ ของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบ เรื่องมาแล้วนั้น อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดา โยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนา อยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขต เมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง ส่วนตระกูลของโยมบิดา เป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สัก ให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือน คุณโยมมารดา เข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง

    เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือน คุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิง ใช้เวลาร่วมเดือน จึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลก ในกลางสายน้ำนี้เอง ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียน จึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำ และแม่จริงเป็นคนแปลก ที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิง กับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุ คือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า เมื่อปวดท้องปัสสาวะ แม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือ ผู้เขียนเองก็หลุดออกไปตกลงในน้ำ ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเอง ก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่า หมากับฉันมีชื่อเดียวกัน

    เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมือง ในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์ จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี

    เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิด เพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทาง ศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่ ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่ การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใส เพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้ จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์ เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความอยู่รอด ของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไป คุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะ คือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่าย เหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011
  15. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรณภาพ ไปสู่อนาคามีนี้ ท่านกล่าว ในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรม เป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบต และทั่วเมืองไทย อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอ หลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่าน สั่งสอน เข้าหลักธรรมชาติประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามาก ต่อมากที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มาก ยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมด มีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติ กับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆ ไป ที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป ท่านชวน ให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่า ปฏิปทาของพระอาจารย์วัง ใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา

    ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่ง ในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลด อยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่ เราอยากจะให้คุณ ไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ ได้สู้กับกรรมเวร ที่คุณทำมาแต่ อดีตชาติ จึงขึ้นรถไฟ จากลำพูนถึงอยุธยาลงจากรถไฟ แล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่า ที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆ ที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกเผา ทำลายมาหลายครั้ง จากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไป ก็เห็นแต่ พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนา ไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง ในคืนแรกนั้นเอง ฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุ แต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทาง ทิศตะวันตก แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเรา และกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสน สาหัสสากันอย่างไร ขณะนั้น ได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไข ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ จึงรีบไปเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไปผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้น ที่จะช่วย ให้คนไทยให้พ้นภัย

    เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขาร ของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณ พระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วก็ออกเดินทาง มุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น เราพักปักกลด อยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่า เป็น สถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด ในพื้นแผ่นดินสยาม เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตาย เกลื่อนกลาดตลอดสัตว์ คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกัน น่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์ และนักธรณีวิทยา พากันมาขุดค้นหากันจริงๆ ก็คงจะเจอกองกระดูกของคน และสัตว์มากที่สุด และจะมากกว่าทุกๆ แห่ง ในพื้นแผ่นดินสยามไทย แต่ในนิมิตจิตใจของเราเอง ก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด
     
  16. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวัน แล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทาง จากเขาพนมทวน จึงด่านเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 7 วัน แล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่า จะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ ตามนิมิตฝัน นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไร ที่ต้องเข้าไปเมืองพม่า อันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ

    ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆ ปี เพราะความระยำ อัปรีย์ของมันที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่น แล้วเผาผลาญ เมืองอโยธยา ซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรืองมั่งคั่ง ดังเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญ ให้เหลือแต่ซาก เราผ่านอุทยานเมือไร มันดลใจให้น้ำตาไหลทุกที เพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่า ราวีพี่น้องไทย ให้เหลือแต่กระดูก ฝังไว้ใต้พื้นพสุธา ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ ไปรู้ ไปเห็น เมืองที่เขาเจริญ รุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เราไปเห็นมาแล้ว และอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆ ที่ยกทัพมารังแกคนไทย ละลอกแล้วละลอกอีก นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง

    จึงมาคิดได้ว่า นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์ ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ ใจรอนๆ อ่อนล้ามานิรันดร์ เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ จึงตกลงว่า เอ๊าไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไปไปใช้กรรม ใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมาเวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติ เราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือ และเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิ ไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน เจ้าหม่องกวาดต้อนเอาไป

    และเขาจัดเรา ไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษา เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย และรับภาระทุกอย่าง ในสิ่งที่ท่านต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆ คนที่เป็นเชลย แล้วชาตินี้ ก็ต้องไปใช้กรรม นำเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีมาให้หมด และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมา ก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผน ให้เจ้าบุเรงนอง ผู้เป็นบิดา กับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยน แผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ แล้วกรรมนั้น ก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำ เพราะโทษทัณฑ์ ทางการเมืองในชาตินี้ เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัส แทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าทวยเทพเทวา ไม่มาเข้าฝัน ให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลย หรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    พบพระวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ ร้องขอให้เดินทางต่อไป

    เราพักค้างอ้างแรม อยู่ที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ เป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะต้องทำความเพียรทางจิต อย่างอุกฤษฏ์แบบเอาเป็นเอาตาย เพราะ ใจหนึ่งอยากไป แต่อีกใจหนึ่งไม่อยากไป ยังตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะเอา อย่างไรดี แต่เราก็มีลางสังหรณ์ ในเวลาลืมตาไม่อยากไป พอเวลาหลับตา ก็จะไปให้ได้ เราต้องไปใช้กรรม ไปแก้กรรม ถ้าไม่ไปจะไม่รู้จักทางแก้ แน่นอนที่สุดคือต้องไป

    ในราตรีคืนวันที่ 29 เมษายน 2490 เราตั้งใจทำความเพียรทางจิต เพื่ออุทิศบุญกุศล ไปให้คุณบิดา มารดา ผู้บังเกิดเกล้า เพราะ พรุ่งนี้เช้า เป็นวันศุกร์ที่ 30 เมษายน เป็นวันที่เราได้อุบัติเกิดขึ้นมา ลืมตาดูโลก คือ วันเกิดของเรา รัตติกาลผ่านเข้าสองยาม ไปแล้วก็ปรากฏเห็นนิมิต ในฝันว่า มีผู้สูงศักดิ์สองท่าน แต่งตัวเป็นนักรบระดับสูง พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก เข้ามาพบ ด้วยแสดงความนอบน้อม พร้อมด้วย เอ่ยปากว่า พวกกระผมโชคดี ที่ได้มาพบท่าน

    เพราะแต่กาลก่อน ท่านเคยเป็นขุนอารักษ์ ศักดิเสนา แต่นี้ท่านเป็น นักบวชแล้ว แต่ก่อนได้ช่วยอภิบาล ดูแลพวกเรา ให้พ้นภัย และท่านต้องรีบไปช่วยพวกเรา ที่ตกยากอยู่ต่างแดน ที่เมืองหงสาวดีโน้น พวกเราจะจัดแจง ให้มีคนที่เป็นนายพรานป่า นำพาท่านไป โดยสวัสดิภาพ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง แล้วท่านทั้งสองก็ชี้มือให้ดูว่า ทางโน้นครับนายพรานป่า เขาจะนำท่านไปเอง ไปช่วยเหลือพวกเรา ที่ถูกจองจำ ตกยาก และรับรองว่า ท่านคนเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยได้ เพราะเป็นบุพเพสันนิวาส เคยเป็นทาสรับใช้มาแล้ว แต่ปางหลัง

    พอรุ่งสางขึ้นวันใหม่ เรามาทบทวนหวนจิต คิดถึงนิมิตฝันที่ผ่านมา เมื่อราตรีกาลคืนนั้นว่า ใครหนอที่แต่งตัว แบบจอมทัพ กับบริวาร มาไหว้วานให้เรา ต้องเข้าไปทางตะวันตก แล้วก็ขึ้นเหนือ เพื่อช่วยคน อันท่านทั้งสองผู้สูงศักดิ์นั้น คือใครกันแน่ จะเป็นเทวดา ผี หรือคน หรือทวยเทพ เทวดา ผู้ที่เคยเป็นนักรบ แพ้เขาแล้วเป็นเชลย และเราก็ไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน จึงกำหนดจิต คิดย้อนสู่อดีตกาล จึงพอจะรู้ว่า ท่านคือองค์มหาราช ที่ได้กอบกู้ เอาบ้านเมืองไว้ แต่เรายังไม่รู้ ว่าเป็นใครอีกเช่นกัน เพราะความฝัน ก็คือฝันเอาจริงไม่ได้ จิตจะฝัน ก็เพราะจิตใต้สำนึกไม่สงบ แต่ในชั้นกามภพ ก็ควรจะให้มีแต่การนอนฝัน นี้เรานั่งฝันไปนี่นา แล้วจะเอาจริงอะไรเล่า แต่การนั่งฝันของเรา เราเคยเชื่อตนเอง ถึงร้อยเต็มร้อยมาแล้ว เพราะได้ศึกษาเรื่องตัวฝัน ตัวแฝงมาบ้าง
    นายพรานป่าที่น่าหวาดกลัวเข้ามาหา
    เวลาอัสดงของวันนั้น เรากำลังเดินจงกรม อยู่ด้วยความสงบ เดินไปเดินมาอย่างช้า ได้ยินแต่เสียงวิหค นกกามาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว หาที่นอนตามธรรมชาติของมัน ในขณะนั้นเอง เราเห็นนายพรานป่า ที่น่าสะพรึงกลัว เพราะบนหัว แกโพกผ้าสีแดง มือทั้งสองถือปืนยาว แบกปืนโบราณ ใช้เหล็กนกนับหิน คงเป็นปืนที่ใช้ล่าเนื้อ สะพายย่ามใบใหญ่ ด้านหลังมีมีดเล่มใหญ่ ใส่ฝัก ออกปากทักคำเดียวว่า พระคุณท่าน แล้วแกก็คุกเข่า เอาปืนวางไว้ข้างๆ ถอดมีดอีโต้ ออกมาจากเอวข้างหลัง แล้วยกมือไหว้แบบโบราณ คือ ยกมือขึ้นใส่เกล้าบนหัว แล้วกราบลงสามครั้ง แล้วออกปากว่า พระคุณท่าน ผมชื่อ หิรัญพนาสูร ผมมาตามคำสั่ง ของเจ้าเหนือหัว ผู้ยิ่งใหญ่ ให้มาเป็นอารักขา พาเป็นมัคคุเทศก์ ช่วยป้องกันเหตุร้าย ที่จะมากล้ำกราย ทำร้ายท่าน

    ในขณะที่ท่าน จะเดินทางสู่แดนอันตราย และเรียบผ่านป่าเขาลำเนาไพร ไปทางทิศตะวันตก แล้ววกขึ้นไปทางเหนือ ที่ท่าน จะต้องลัดเลาะ เข้าไปในเขตทุรกันดาร ผ่านมนุษย์หลายเผ่า หลายชาติ หลายศาสนา แม้แต่พวกคนเงาะ คนป่าก็มีไม่น้อย เจ้าเหนือหัวให้ข้าไปด้วย ดูแลเพื่อจะได้ช่วยแก้ไข ภาวะวิกฤตที่พี่น้องของพระองค์ท่าน ยังตกติดค้างอยู่ต่างแดน เป็นเชลยยังติดอยู่ ท่านจะต้องใช้เวลาเดินทาง อย่างน้อย 1 เดือน ผมจะไปด้วย เพื่อช่วยนำบอกทาง และป้องกันอันตราย ไม่ไปไม่ได้ คอขาดแน่ เจ้าเหนือหัวสั่งมา ผมจะรับอาสา ไปส่งและกลับพร้อมท่าน ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า โยมจะพาฉันไปไหนหละ ก็ไปตามทาง ที่เจ้าเหนือหัวสั่งนั่นแหละ ผมจะนำพาท่านไปเอง เราก็ตอบเขาว่า มันจะเหมาะหรือ คุณโยม ฉันเป็นนักบวช เป็นพระภิกษุสงฆ์ จะไปด้วยกันกับท่าน ที่เป็นนายพรานป่า ผู้มีอาวุธอยู่ในมือ ในพระวินัยสงฆ์ ก็ห้ามพูดคุยกับบุคคล ผู้มีศัสตราวุธในมือนะโยม ถ้าฝ่าฝืน อาตมาก็เป็นอาบัติ และฉันเองบวชเข้ามา ก็มิใช่เป็นพระนักรบอย่างคนอื่นๆ เขา พอแกได้ฟังแล้ว ก็ท่างงๆ แล้วออกปากถามว่า พระนักรบ เป็นอย่างไร พระคุณท่าน เออคุณโยม พระนักรบก็คือ พวกรบกวนชาวบ้านนะซิโยม ได้แก่ นักบวชที่ชอบขอ ที่ชอบเรี่ยไรไม่รู้จักพอ ขอตะบันยันเต

    คือเมื่อหลายวันมาแล้ว ฉันเดินธุดงค์ มาหยุดพักตามห้างไร่ห้างนา ได้อาศัยเอาเป็นที่บรรเทาความร้อน ได้ถามชาวบ้านเขาว่า เป็นอย่างไรบ้างโยม ข้าวนาข้าวไร่ มีพอใช้พอกินตลอดปีหรือเปล่า เขาตอบว่า เออถ้าปีไหน หนูไม่กัด วัดไม่ขูด ก็พอกินเจ้าข้า พออาตมาได้ฟังเขาตอบอย่างนั้น แล้วก็รู้สึก อายตัวเอง และอายแทนพระนักรบ คือรบกวนชาวบ้านด้วย ดังนั้น จึงไม่อยากจะรบกวนใคร คราวนี้ถ้าคุณโยมไปกับฉัน ครอบครัวโยมจะลำบากอีก อาตมากับโยมไปด้วยกันได้ แต่จะพูดด้วยกันไม่ได้ ถ้าหาไม่ อาตมาก็เป็นอาบัติ อาตมาขอทีเถอะ คุณโยมอย่าไปเลย ถึงเจ้าเหนือหัว ท่านตรัสถาม หรือ ทำโทษโยม ก็ต้องกราบเรียนท่าน อย่างที่อาตมากล่าวมานี้ ขอบใจนะคุณโยม

    เราคุยสนทนากัน จนตะวันลับขอบฟ้า แล้วแกก็อำลาไป ก่อนไปนายพราน ยกสองมือขึ้น แบบประนมมือขึ้นเหนือศีรษะ กราบ 3 ครั้ง แล้วบอกว่า ผมขอถวายหัวกับพระคุณเจ้า เอามือทั้งสองถอดผ้าแดง ที่พันหัวแกอยู่ถวายให้ แล้วบอกว่าเอาไว้ป้องกันตัว เมื่อนายพรานจากไปแล้ว เราเอาผ้านั้นมาคลี่ดู เห็นเป็นผ้ายันต์ เขียนด้วยอักษรไทยเหนือ ในคำนำบอกว่า เป็นพระคาถา ที่พระพลรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ประสิทธิ์ประสาทให้ พระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ พร้อมด้วยทหารหาญ ในการกู้บ้านกู้เมือง เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ภาวนาบ่อยๆ เนืองนิจจะพิชิตหมู่ไพรี ไล่ความอัปรีย์ จัญไรได้หมด ข้าพเจ้าอ่านแล้ว ก็พับเอาไว้อย่างเดิม เพราะคาถานี้ ข้าพเจ้าเองสวดทุกเช้าเย็น

    และตอนกลางคืน คือ วันศุกร์ที่ 30 เมษายนนั่นเอง นายพรานคนนั้น ก็กลับมาอีก มาคราวนี้แกนำเอาแท่งเงิน แท่งทองคำ มาให้จำนวนมาก บอกว่า กลัวท่านจะลำบาก ในการเดินทาง เมื่อท่านอดอยาก ก็ขายเงินแท้ๆ ทองคำแท้ๆ เพื่อประทังชีพในการเดินทาง เพราะทางเปลี่ยว ต้องข้ามเขา ลงห้วย ลำบาก ก็ปฏิเสธแกไปว่า ไม่หรอกโยม ขอบใจมากที่เป็นห่วง ขอให้คุณโยมเอากลับไปเถิด อาตมาไม่เอาติดตัวไป ไม่ว่าทรัพย์สมบัติชนิดใด ที่เขา สมมุติว่ามีค่า สิ่งนั้นจะนำทุกข์มาให้ทุกอย่าง อาตมาเอง มาแสวงหาทรัพย์ภายใน คือ อริยทรัพย์ ส่วนทรัพย์ภายนอกคือ ข้าวของเงินทอง ที่จะต้อง ใช้จ่าย เพื่อความสุขของชีวิตทางโลกนั้น อาตมาไม่ถือเงินทองไปด้วยเลย มีก็แต่เสื้อผ้า ที่จะนำไปให้คนจน อาตมาจึงขอขอบใจ เจตนาดีของคุณโยม อย่างมาก เมื่อเราไม่ยอมรับ แกก็กลับไป

    และก่อนไปแกถวายไม้เท้าไว้หนึ่งท่อน แกบอกว่าป้องกันได้สารพัด อันตัวหนอน ตัวทาก มันชุกชุม มันรุมกัน ไต่ขึ้นขา มาดูดกินเลือด ตัวมันคล้ายตัวปลิง ปลิงบกเราเรียกทาก หากมันเกาะ เอาไม้นี้แตะเข้า มันจะหลุดไป และกันภัยได้ทุกอย่างเลย อันไม้เท้าที่แกให้นั้น บัดนี้เรายังรักษา และถือประจำอยู่ จึงนึกในใจว่า ผู้ชายนายพรานคนนี้ เป็นใครกันแน่ แต่ที่แกบอกว่า ชื่อหิรัญพนาสูรนั้น คือใครกันแน่ และแกอยู่ที่ไหน เราก็ลืมถามแกด้วย เมื่อพิเคราะห์ดู ก็คงจะเป็นเจ้าป่า คือท้าวหิรัญ ซึ่งมีรูปปั้นหล่อ อยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎนั้นเอง จึงมาเชื่อมั่นว่า คิดดี พูดดี ทำดี ผีช่วย เราจึงมีรูปท้าวหิรัญ ไว้ดูเป็นขวัญตามาทุกวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2011
  18. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ได้เทพสุนัขแสนรู้เป็นเพื่อนใจ
    ในตลอดรัตติกาลคืนนั้น เรามุ่งมั่นทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ขบฉันอะไร มาได้สองวันแล้ว แต่ก็ไม่หิวไม่เหนื่อย เพราะตั้งใจว่า อีกสองวันข้างหน้า ก็จะออกเดินทางต่อไป หรือถ้าจะอยู่ไปอีก คงไม่ได้แน่ คนชักจะรู้ว่า มีพระปฏิบัติมาพำนักอยู่ แล้วก็จะเฮโลหลั่งไหลมาหา ขอของดี ของขลัง ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ยุ่งอีก พอรุ่งสางแดดอ่อนๆ ตอนเช้า มองเข้าไปทางชายป่า เห็นหมาตัวโตตัวหนึ่งวิ่งตามทาง อันเป็นที่ที่ นายพรานหิรัญ ออกมานั่นเอง มันวิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน พอมาถึง มันก็ทำกิริยาท่าทาง เหมือนรู้จักมักคุ้น กันมาก่อน แสดงความเป็นมิตร ชิดชอบ มันแสดงความดีใจ ทำเสียงครึ่งเห่าครึ่งร้อง ใช้ลิ้นเลียแข้ง เลียขา เลียหน้า เลียหัว และเลียไปทั่วตัว เราก็ไม่ว่า ไม่ห้ามมัน เพราะนิสัยเรารักหมาอยู่แล้ว และรักมากกว่าคนเสียอีก เพราะชีวิตเรา อยู่มาได้เพราะหมา แต่ตอนเล็กๆ ยังเป็นเด็ก โยมแม่เล่าให้ฟังว่า เอ็งต้องรักหมา เลี้ยงหมาเน้อ เพราะหมามันมี บุญคุณกับเอ็ง ตั้งแต่วันแรกเกิด คือวันแม่คลอดเอ็งออกมา แต่แม่ฝันไปว่า มีพญากาเผือก กาขาวบินมาจับบ่าแม่ หลายครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่เคยเห็น

    แต่เจ้าอยู่ในท้องแม่นาน แม่ไม่รู้ตัว เพราะอุ้มท้องมาได้สิบสองเดือน มีคนอื่นเขาถามแม่ว่า นี่มันจะสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ในท้องของแม่หรืออย่างไร ทำไมไม่ออกมาสักที แม่ก็ตอบเขาว่า มันก็ดิ้นทุกๆ วัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ชอบกลนะลูก ตอนแกอยู่ในท้องนั้น แม่สุขภาพดี เงินทองไหลมาเทมา แม่ค้าขายอะไร มีคนรัก และเมตตา คนซื้อของเกือบทุกราย ไม่เอาเงินทอน แม่จึงเก็บหอมรอมริบไว้ได้หลายสิบชั่ง แม่ออกไปนั่งปัสสาวะบนแพ เพราะบ้านเราเป็นเรือนแพ อยู่บนกระแสน้ำ สองสายมารวมกัน แม่น้ำปิง กับแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพนี่เอง ขณะที่น้ำปัสสาว ะมันไหลออก แกก็ออกไปด้วย ตกลงไปในน้ำ จุ๋มไปเลยโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นสุนัขคู่ใจของพ่อเจ้า ชื่ออ้ายเก่ง มันกระโจน ลงไป คาบขาเจ้าขึ้นมา ด้วยความรวดเร็ว ได้ยินเสียงเจ้า ร้องอุแว้ อุแว้ อยู่ในปากหมา พ่อเจ้ากระโจนมารับเอาไว้ ดังนั้น เจ้าจึงมีแผลเป็น อยู่ที่โคนขาข้างขวา เพราะรอยแผล จากเขี้ยวหมาอ้ายเก่งนั้นเอง มันเก่งสมชื่อ ถ้าไม่มีมัน ลูกก็จมน้ำตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่ารังเกียจหมานะ ให้ถือว่าหมาช่วยชีวิตเจ้าไว้ หมาหนึ่ง อีกาหนึ่งลูกต้องรักมัน

    อันสุนัขตัวที่วิ่งมาหา แล้วเลียแข้ง ขา หน้าตานั้นเป็นพันธุ์ใหญ่ ดูแล้วคงจะเป็นพันธุ์ผสม ระหว่าง เกรดเดน กับรอดไวเล่อร์ เพราะความโตของมันนั้นเอง หมาชาวบ้านจึงไม่กล้าแหยม เพราะมันใหญ่โต สูงเกือบเพียงสะเอว แต่ไม่ดุร้าย ซึ่งเว้นไว้แต่มีใครมาวุ่นวาย กับเจ้าของมัน ในเรื่องไม่ชอบมาพากล มันจะเข้ามาขวาง ทำตาเขม็งใส่ แล้วคำรามหื่อๆ ใส่ทันที แล้วก็นอนขวางไว้ ทำสายตาไม่เป็นมิตรกับเขาเลย

    เราพามันอยู่ที่นั่นต่ออีกสองวัน ก็ออกเดินทางต่อ ทำการประทักษิณ บูชาพระธาตุเจดีย์ พระแม่ธรณี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าสุนัขคือเจ้าเก่ง ที่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่นี้ มันมีชีวิต จิตวิญญาณของนายพรานป่า ที่ใช้ให้มา โดยท่านมี เจตนาดีกับเรา สิงอยู่ในจิตวิญญาณ ของเจ้าเก่งนี่แล้ว ให้มันนำพา ช่วยอารักขาให้เราไปถูกเส้นทาง ที่ท่านนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ผ่านมาสมัยก่อนเถิด และอย่าเกิดอุปสรรคใดๆ ในการเดินทางเลย อันความอธิษฐานก็สมความตั้งใจ เจ้าหมาแสนรู้คู่ใจ นำพาออกเดินทาง ข้ามภูเขาตะนาวศรี ขึ้นภูผาที่สูงชั้น ซึ่งก็ดูเป็นรูปทางเก่า สมัยโบราณท่านเดินผ่าน หรืออาจจะเป็นแนวทางยกทัพมา เพื่อมาติดต่อค้าขาย หรือรบรากัน หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นกัน สมัยโบราณ

    เจ้าเก่ง สุนัขแสนรู้ มันเดินและวิ่งออกหน้า เพื่อตรวจตราดูความปลอดภัย ในการเดินทางของเรา ถ้าเห็นว่า ไม่น่าไว้ใจ มันก็รีบกลับมาเตือน ยืนขวางทางเอาไว้ บางแห่งต้องเดินผ่านป่าลึก ใช้เวลาเป็นวันๆ จึงจะถึงบ้านคน เมื่อเราเหนื่อย เมื่อยล้า มันจะเข้ามาหา เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ตัวเรา บางแห่งเรานอนพักเอาแรงกลางวัน มันจะเข้ามาหา แล้ว เกลือกกลั้วไสไปมา ด้วยปลายคาง มันชำเลืองมอบรัก ด้วยสายตา มันเห็นว่า เราเปล่าเปลี่ยว และว้าเหว่ มันเดินเร่ ทำเริงร่าเข้ามาหา มันส่งรักประจักษ์จิต ด้วยสายตา ให้เราได้รู้ว่า ตัวข้ายังมีมัน (คือเจ้าเก่ง) เราเดินผ่านป่า เข้าป่า พวกสัตว์ป่าก็มาก จึงได้ยินแต่เสียงวิหคนกร้องอยู่ทั่วไป เสียงจักจั่น เรไร ไก่ขันสนั่นดง ผ่านไพรพงดงใหญ่ไกล จากบ้าน จิตเบิกบานวิเวกใจในไพรสณฑ์ ผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น กระเหรี่ยง แม้ว มอญ เหย้า ขมุ มูเซอ ไทยใหญ่ กระทั่งเจอคนป่า ที่เขาเรียกว่า เงาะป่า ตัวเตี้ย ตัวเล็ก ผมหยิก และผ่านโขลงช้าง สัตว์ป่านานาชนิด เดินข้าม เขาลงห้วย ลงเหวลูกแล้วลูกอีก

    คนชาวเขาแต่ละกลุ่ม เขาจะนับถือลัทธิศาสนาต่างๆ กัน เช่นพวกแม้ว เหย้า ขมุ เขานับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ จะมีการเซ่นไหว้ มีบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความจงรักภักดี เราเชียร์เขาว่าดี เพราะได้กตัญญู ต่อผู้มีบุญคุณ บางพวกนับถือผีฟ้า ผีแถน ก็โอเคกับเขาว่า ผีฟ้าเขาอยู่สูง เขาอยู่บนฟ้า เขาให้ความสุข เพราะให้ฝนตกลงมา ให้พสุธาชุ่มชื่น ส่วนพวกนับถือคริสต์ ก็สรรเสริญเขาว่า พระผู้ให้กำเนิดของคริสต์ นั้นคือพระ เป็นเจ้า พระยะโฮวา ผู้ทรงมีเมตตา แก่สัตว์โลก และเป็นผู้สร้างโลก มาให้เราได้อาศัยดีแล้ว พระคริสต์ท่านเป็นพระ นักเสียสละ อันพวกนับถือศาสนาอิสลาม ก็อนุโมทนา ในคำสอนของพระคำภีร์อัลเลาะ ท่านสอนนักสอนหนาว่า การใส่ร้าย ป้ายสี ติฉิน นินทาคนอื่น เป็นบาปหนัก ตกนรกหมกไหม้

    และอย่างอื่น ท่านไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ออกเงินตกดอกเบี้ย ไม่ได้ เล่นแชร์ เล่นหวยไม่ได้ รับสินบนไม่ได้ ผิดคำสอนของพระเป็นเจ้า บาปหนักอีกเช่นกัน ให้ทุกคนต้องถือศีลบวช บวชเพื่อถือศีลอด ให้อดข้าว อดน้ำไม่ดื่ม ไม่กินอะไรเลย ให้รู้ว่าความอดอยากโหยหิว ไม่มีอันจะกินนั้น ก็เป็นเช่นกันกับคนอื่น จะได้เสียสละ สงเคราะห์ผู้อื่นที่ตกยาก นับว่าคำสอนของพระอัลเลาะ ในคำภีร์อัลกุระอ่านนั้น ประเสริฐแท้ ที่สอน ให้มนุษย์โลก อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ส่วนพวกนับถือผีป่า ผีฟ้า ผีแถน ตลอดสารพัดผี ตามประเพณี และลัทธิของชุมชนเผ่าต่างนั้น ก็อนุโมทนาตามเขา เราไม่ห้าม แถมยังยกยอเขาอีกว่า คบกับผี บูชาผี ดีกว่าคบกับคน พวกเนรคุณ เพราะผีเชื่อง่าย สอนง่าย กินง่าย ดูแต่เราเอาแกลบ เปลือกข้าวใส่กระบอก ใส่ไห แล้ว บอกว่าเป็นสุรา มันยังเชื่อ เอาดินเหนียวมาปั้น เป็นรูปม้า รูปช้าง รูปคนไปเซ่นไหว้มัน มันก็เอา รวมความว่า พวกผี พวกวิญญาณ เทวดาเป็นพวกที่ซื่อสัตย์ น่ารัก น่าเอ็นดู คบง่าย จึงให้กราบไหว้ไปเถอะ จะได้มีที่พึ่งทางใจ
     
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    บางแห่งก็ พบกับพวกนับถือพระศิวะ (ศิวลึงค์) ก็เชียร์เขาว่าดี ถ้าคนเราไม่มีอ้ายเจ้านี่ โลกมนุษย์ก็จะไม่มี และบางที่ บางแห่ง ก็ต้องโง่ ว่าเขามีวิธีการอย่างไร เขาจึงพากันปลุกเสก เจ้าปลัดขิกนี้ให้ลอยน้ำ วิ่งไล่กันได้ เขาก็สอนให้ แต่ต้องยกครู ให้เขา คิดเป็นเงินไทยหนึ่งเฟื้อง คือสิบสองสตางค์ บางแห่งเขานับถือเจ้าแม่กาลี (คืออีเป๋อ) ก็ทำการศึกษากับเขาไป โดยทำตัวเป็นคนใบ้ก็ได้ โง่ก็เป็น โดยถือคติว่า (โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็น จะฉลาดยาก) เราไปแบบเข้าเมือง ตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองคนงาม ก็ต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัวหัวเราะ และยิ้มเอาไว้ จะไปได้ปลอดภัย การเดินทางข้ามเทือกเขาตะนาวศรี อันสลับซับซ้อน ลูกแล้วลูกเล่า ใช้เวลาถึงห้าวัน จึงถึงเมืองทานบยูซายัด (Thanbyuzat) อยู่ตอนเหนือ ของเมืองตะนาวศรี เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน อีกสามวันถึงเมืองมูดอน (Mudon) จากเมืองมูดอน ถึงเมืองมะละแหม่งใช้เวลา 5 วัน (ที่เมืองมะละแหม่งนี้เอง มีพระธาตุอินทร์ แขวนตั้งอยู่) แต่ภาษา อังกฤษเขาเขียนว่า (Moulmein)

    เราพักอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง 10 วันเพื่อพิสูจน์ ค้นคว้าด้านวิญญาณ ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอุทุมพรมาสวรรคตที่นี้ จากมะละแหม่ง ตามสายน้ำสาละวิน ร่วมกับแม่น้ำสโตง อีกสองวันถึงเมืองบาอัน (Pa An) จากบาอัน ข้ามแม่น้ำสาละวิน ไปเมืองท่าทอง (Thaton) แต่ต้องเปลี่ยนแผน เพราะจะเข้าไปเมืองพะโค เป็นอ่าวปากน้ำ มีอาวุธของข้าศึกมหาเอเซีย ยังไม่ยกกลับ จึงต้องขึ้นเหนือ Pequ (เมืองพะโค คือเมืองหงสาวดี) ที่เรา จะต้องไปนั้นเอง อันชื่อเมืองต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของชาติเมียนม่า แต่เก่าก่อนนั้น ฝรั่งมันเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ให้ใกล้ กับภาษาของมัน แต่บางทีไม่ถนัด ทั้งภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เราจะอ่านไม่ออก เช่นเมืองมะละแหม่ง มันเรียกว่า moulmein คือถ้ามันเอาตัว น. หนูเป็นตัวงองู ดูๆแล้ว น่าขัน ดังนั้น ท่านที่จะไปเมืองเมียนม่าในยุคนั้น ต้องอ่านได้ทั้ง ภาษาไทยใหญ่ พม่า รามัญ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเอาตัวรอด เมื่อไปถึงเมืองพะโค คือ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็ได้พบ เพื่อนเก่าทั้ง 4 ชาติ ที่เคยตกทุกข์ได้ยาก จากแดนไกล คือ ทวีปยุโรปมาด้วยกัน

    คือ ท่านมหาคุรุปิตะโก พระพม่า ท่านคุนูกุรูเถรา จากศรีลังกา ท่านอะมะราตะนันท จากเนปาล และข้าพเจ้า แบบสี่เกลอเก่า อภิทะชะมหาอัตตะคุรุ การเข้าไป อยู่ เขาให้เราอยู่แบบอิสระ เขาต้องการให้เราไปช่วยบูรณะของเก่า ให้เหมือนเดิม ตรงนั้นเท่าที่สืบรู้ ก็คือคุ้ม หรือหมู่บ้าน ของพวกเชลย ที่เป็นคนไทย ซึ่งถูกกวาดต้อนไป และไม่ไกลกับวัด มีบริเวณเดียวกัน ที่กว้างขวางเป็นร้อยๆ ไร่ รอบกำแพงอันเก่าๆ เราช่วยปลูกต้นมะพร้าวเต็มหมด จึงเป็นเครื่องบดบัง เป็นหลังคาไปในตัว เราเองก็ชอบอย่างนั้น เพราะวิเวกดี มีพระสงฆ์ของศรีลังกา เนปาล และอินเดียมาอยู่รวมกัน 4 รูป ซึ่งก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมา เมื่อ 10 ปีมาแล้ว ที่ยุโรปซึ่งเป็นพระคงแก่เรียน และชอบเป็นนักสัญจรรอบโลกกันมาทั้งนั้น ในสมัยนั้น มหาอำนาจเริ่มยกให้สหภาพพม่า เป็นอิสระแล้ว แต่เจ้าของผู้เป็นเมืองขึ้นของพม่า คือ อังกฤษ เขาก็ยังมีอำนาจดูแลอยู่ แบบเป็นที่ปรึกษา และ ข้าหลวงใหญ่ ก็รักพวกเราดี

    ยังมีชาวต่างประเทศ ชาวยุโรปอยู่ดูแลเป็นส่วนมาก จึงเป็นการสะดวกสบาย ที่เราสี่สหาย ได้เคยรู้จักกับเขาไว้ก่อน ตอนที่อยู่ต่างแดน พวกเราจึงขอสถานที่ อยู่พักอาศัยได้ ตามความต้องการ เขาจึงจัดให้อยู่ อย่างอิสระแบบพระต่างแดน อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจะเป็นวังเวียงเก่า เท่าที่สืบดู ก็เป็นสถานที่ของ เจ้าบุเรงนอง หรืออะไรดูไม่ออก เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ มีปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และอีกข้างติดกัน ก็เป็นที่ของ นันทบุเรง แต่ก็ถูกทำลาย ไปด้วยกาลเวลา และภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเราจึงร่วมกัน ปลูกต้นมะพร้าวรอบๆ บริเวณ ได้สี่ร้อยเก้าสิบต้น เป็นที่ระลึก แต่ก็น่าเสียใจ เมื่อเรากลับไปคราวหลัง เมื่อปี 2510 เจ้าหม่องตัดทิ้งหมด เพื่อ สร้างวังใหม่ ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือแล้ว เมื่อเราได้สถานที่อยู่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีจดหมายถึงคุณเกษม ล่ำซำ ที่เรา เคยรักกัน และได้ทำบัญชีการเงิน ไว้ให้เขาส่งไปให้จำนวน 5 แสนบาท เป็นเงินของส่วนตัว เรามารับที่เมืองแรงกูน เพราะอยู่ทางใต้ของเมืองพะโค ลงไปประมาณ 50 กิโลเมตร อันการเดินธุดงค์ แสวงธรรมตามรอยกรรม ก็เป็น อันจบลงเท่านี้ และยังมีกรรมเก่าๆ ที่เราสร้างไว้ ทำไว้ จะตามมาสนองอีก โปรดอ่านต่อไป
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    พบอาคันตุกะพระมหามิตรเดิม

    เมื่อเราได้ที่อยู่อาศัย แบบต่างแดนแล้ว และท่านได้จัดสร้างอาศรม อันกระทัดรัดชั่วคราว โดยเอาต้นหมาก ต้นตาลเป็นเสา เอาใบตองมุงหลังคา กั้นฝาด้วยเสื่อลำแพน ให้คนละหลังยาว 5 ศอกกว้าง 4 ศอก พออยู่กัน อย่างสบายๆ แบบสมณะ นับว่าเป็นอาศรมหลังน้อยๆ แต่มันให้ความสุข ทางใจอย่างเหลือหลาย ยิ่งกว่าเวียงวัง อันกว้างใหญ่ไพศาล แสนสง่างาม ของพระเจ้าจักรพรรดิ์เสียอีก เราอยู่รวมกับสหธรรมิก ต่างชาติกัน แต่ก็รักกัน ฉันพี่น้อง เพราะมีพรรษาที่บวชมาพร้อมกัน คือได้แค่ 10 พรรษาเท่านั้น ท่านมหาคุรุปิตะโก เจ้าของบ้านท่านกรุณา ได้นำเที่ยว แสวงบุญไปนมัสการ สถานที่สำคัญๆ ทั่วทุกแห่ง ในประเทศพม่า แต่ท่านอะมะราตะนันท พระเนปาล สังขารท่านไม่แข็งแรง จึงอยู่เฝ้าอาศรม เป็นเพื่อน เจ้าเก่ง หมาคู่บารมีของเรา

    การเดินทางโดยรถไฟ รถยนต์ เรือ ใช้เวลา 15 วันก็กลับ นับว่าได้ไปอภิวาท กราบไหว้สิ่งศักดิ์ แทบทุกแห่งในพม่า ในยุคก่อนนั้น พม่าเขามีสองเมืองหลวง คือ เมืองย่างกุ้ง (แรงกูน) เป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ เมืองมันฑะเล คือ เมืองอังวะ เป็นเมืองหลวงของ พม่าเหนือ และรัฐเชียงตุง เป็นเอกของรัฐฉาน การเดินทางคราวนั้น ข้าพเจ้าถวายค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง พอกาลเวลาจะเข้าพรรษา คือเพ็ญตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2491 เป็นวันเข้าพรรษา ตุ๊เจ้าทั้งสององค์ คือ ท่านอะมะรานันทะ ท่านเป็นรองเจ้าคณะใหญ่ ในเนปาล ท่านได้ถูกรัฐบาลประเทศท่าน นิมนต์ให้กลับ ส่วนท่านมหาเถระ ที่ศรีลังกาเขาก็นิมนต์ให้กลับ เพราะท่านทั้งสอง เป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับชาติ

    ท่านกลับก่อน 5 วัน เหลือ แต่เราคนเดียว เปลี่ยวเอกา มีหมาแสนรู้เป็นคู่ใจ ส่วนท่านผู้นิมนต์เราไป คือท่านคุรุปิตะโก ก็ถูกเรียกตัว นิมนต์ไปเป็นอาจารย์สอนวิชา อยู่ที่อ๊อกฟอร์ด เมืองแคนดี้ เราอยู่คนเดียว ก็เที่ยวบริจาค ช่วยเหลือสงเคราะห์ ผู้ยากไร้ สงเคราะห์คนจน ทั้งใกล้และไกล เขาเข้าใจว่า เป็นเทพเจ้าผู้ใจบุญ ทั้งนี้เพราะ ระยะนั้น เป็นระยะที่เราผู้หนึ่ง ที่มีเหลือใช้เหลือกิน เงินใกล้จะหมดอีกแล้ว ก็ให้ส่งจากเมืองไทย สามครั้งเป็นเงิน 1 ล้านบาท

    ไปช่วยเหลือวัดวาอาราม ทั่วไป แต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ ได้ดีอย่างเดิม เพราะความเก่าแก่ คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานาน หลายร้อยปี และแถมยังถูกทำลาย ด้วยภัยสงคราม อีกอย่างเหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองไม่กี่ปี จึงมีคนหลายชาติ ตกค้างอยู่จำนวนมาก ของดีๆ งามๆ จึงเหลือแต่ซาก ที่ยังเหลือจริงๆ ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา ผู้คนก็อดอยาก ยากแค้น เศรษฐกิจก็ตกต่ำ คนว่างงาน แต่พวกโจร พวกอันธพาลไม่ค่อยมี เพราะเขานับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เราจึงได้คนงาน ช่วยปลูกต้นไม้ผล คือต้นมะพร้าวได้มาก ค่าจ้างแรงงาน ก็ไม่เกินวันละ 5 บาท (คิดเป็นเงินไทย)
    นั้น การเข้าไปอยู่ของเรา จึงสะดวกมีแต่คนรักนับถือ เพราะเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเขา ให้พ้นภัย คือความอดอยากหิวโหย แต่เราก็มั่นใจว่า อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ไม่ผิดกับสถานที่เราตั้งความหวังเอาไว้ เพราะมันรู้สึกสังหรณ์ใจว่า เคยเป็น สถานที่เรา และพวกพ้องเคยมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เหลือวิสัย ที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิม เพราะความเก่าแก่ คร่ำคร่า ที่ผ่านกาลเวลา มานานหลายร้อยปี และแถมยังถูกทำลาย ด้วยภัยสงคราม อีกอย่าง เหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามที่สอง

    เมื่อเพื่อนสหธรรมิก ทั้งสองท่าน ได้กลับภูมิลำเนาของท่าน ยังเหลือแต่ท่านมหาคุรุปิฏะโก ซึ่งท่านต้องอยู่ทำงานทาง คณะสงฆ์ อยู่ที่กรุงแรงกุน เหลือแต่เราคนเดียว เปลี่ยวเอกา เหลืออยู่แต่ หมาคู่ใจเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับการดูแล เยี่ยมเยียน จากนักบวช นักบุญชาวพม่าตลอดมา และในระยะนั้น ถึงพม่าจะได้รับอิสระ แต่ก็ต้องพึ่งพามหาประเทศ ผู้เป็นนายอยู่อย่างเคย เพราะพึ่งเสร็จสงครามโลกครั้งที่สอง ไปหมาดๆ ทุกๆ ชาติ แม้แต่ไทยเราก็ยังย่ำแย่ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ทุกข์ระทมกันไปทั้งเอเซีย ดังนั้น ผู้ที่จะสร้างมิตรได้ดีที่สุด ก็คือผู้มีเงิน ที่จะช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงอยู่ในขั้นที่ หามิตรสหายพวกพ้องได้ยาก ผู้ตกยากจึงยื่นมือรับ เพราะเรามีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางพระพุทธศาสนา ในเมืองนี้ชื่อ Dhammayancy Phocho ของเขา ยังมีสภาพเหมือนเดิม และยังสวยงามอร่ามตา น่าสักการะ อยู่ทุกวันนี้

    และมีอีกอย่าง ที่คนต่างชาติเขายกย่อง ว่าเรามีเสน่ห์กับสัตว์ปีก คืออีกา พอตื่นเช้าขึ้นมา มันจะพากันโผผิน บินมาขอกิน บางทีมัน จับหัว จับบ่าส่งเสียงร้อง เกรียวกราวไปหมด ไม่ว่าไปที่ไหน ณ เมืองใด ข้าพเจ้ามีนิสัย เข้าได้กับอีกา ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนออกเดินทาง ก็ต้องทำบุญ เลี้ยงอีกาทุกวัน แล้วมันจะบินออกหน้าไปส่ง แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ที่บริเวณวัดจำนวนมาก หากผู้ใดไปนั่งอยู่นานๆ มันจะมาขับไล่ ถ้าไม่ไปก็โดนแย่ง ขโมยเอาของให้ได้ ยิ่งคราวไปอยู่เมืองพะโค ยิ่งมากใหญ่ ค่าอาหารกาสมัยนั้น วันละไม่ต่ำร้อยบาท ดังนั้น คนพม่า และคนต่างชาติ คือภาษาพม่า เขาเรียกเราว่า ตั่งข่าแก ตั่งข่าแปลว่าพระ ต่างชาติมันจึงตั้งชื่อว่า ตุ๊เจ้ากา ถือเป็นพระที่น่าอัศจรรย์ ที่เรียกอีกา มากินอาหารในมือได้ หายาก นอกจากอีกาแล้ว ยังมีนกป่า ที่รู้ภาษาของเขา เรียกมันบินมาเป็นร้อยๆ แต่ละวัน เช้าเย็นต้องเลี้ยงข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว และผักต่างๆ ก็ต้องซื้อ มาเตรียมไว้ คติภาษาจีนบอกว่า อีกาเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่อง และไม่มีใครๆ จะสามารถเรียกอีกา มากินข้าวในมือได้ เมื่อเขาเห็นเราเรียกได้ ทำได้จริง ซึ่งฝืนคำพังเพย เขาจึงเลื่อมใสว่า หาไม่มีอีกแล้ว

    ในคืนวันหนึ่ง เท่าที่จดบันทึกเอาไว้ คือเวลาเที่ยงคืน วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2491 ทางจันทรคติ คือเป็นวันเพ็ญ เห็นดวงจันทร์ เต็มดวง บนท้องฟ้า ได้มองเห็นพระภิกษุผู้เฒ่า เดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ ที่เราทำไว้ แสงไฟเทียนหลายเล่ม ที่เราจุดไว้ สว่างไสวรอบบริเวณ ทั้งนี้เพราะ จิตนิจสัยของเรา ชอบแสงไฟ ชอบมองไฟ เพ่งไฟ เอาไฟเป็นอารมณ์ ซึ่งภาษาสมณะเขาเรียก พวกเพ่งเตโชกสิณ และเพ่งมองแสงไฟ แสงเดือน ในน้ำ (เงาไฟเงาเดือน) ในน้ำเป็นอารมณ์ มันจะถึงให้จิตสงบได้ง่าย ในอารมณ์เดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...