สิ่งที่ประกอบมาเป็นตัวตนเรานี้ประกอบไปด้วย กายเนื้อ กายทิพย์ จิตเดิมแท้ จะเรียกว่ามี คือกายอยู่ซ้อนกันอยู่ถึง 3 ชั้น <O</Oกายเนื้อ คงพอจะเชื่อมโยงได้ว่ามันประกอบมาจากธาตุดิน น้ำ ลม และไฟนี้เท่านั้น พุทธองค์ท่านสอนว่า กายนี้มันเป็นเพียงเป็นการประชุมของธาตุทั้ง ๔ นี้เช่นกัน เมื่อพิจารณาเห็นจริงตามนั้น ใช่หรือไม่ <O</O -ธาตุ ดิน คือ สัณฐานหลัก เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก<O</O -ธาตุน้ำ คือ ส่วนที่เอิบอาบ เช่น น้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำเหงื่อ ฯลฯ<O</O -ธาตุลม คือ ส่วนที่พัดไหว เช่น ลมหายใจเข้า – ออก ลมในร่างกาย <O</O -ธาตุไฟ คือ ส่วนที่อบอุ่น เผาผลาญ เช่น ความร้อน ความอบอุ่นในร่างกาย<O</O <O</O กายทิพย์ คือรูปแบบของจิตที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังงานละเอียด หากเป็นประเภทสุขก็เรียกเทวดา หากเป็นประเภททุกข์ก็เป็นสัตว์นรก เปรต เป็นต้น สนามพลังงานนี้เกี่ยวข้องกันไปกับจุดกำเนิด และสนามพลังงานของโลก ซึ่งจริงๆ โลกก็เป็นเพียงสนามพลังงานขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีทั้งรูปแบบพลังงานหยาบ และรูปแบบพลังงานละเอียด ห่อหุ้มเป็นชั้นๆ มีหลายเรื่องราวที่กล่าวถึงภูติ ผี เทวะบุตร เทวดา สมมติเรียกชื่อว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็คือ กายทิพย์ที่ว่านี้ ซึ่งเป็นรูปแบบพลังงานละเอียด ทั้งที่เชื่อมโยงกับพลังงานหยาบ(กายเนื้อ) เช่น ภูมิมนุษย์ และภูมิเดรัจฉาน หรืออยู่เป็นอิสระตามมิติของสนามพลังงานที่ต่างๆกันออกไป ทั้งรูปแบบกายทิพย์ที่สุข หรือรูปแบบกายทิพย์ที่ทุกข์ สนามพลังงานที่ห่อหุ้มโลกเป็นชั้นๆนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า นรก หรือ สวรรค์ <O</Oบางคนไม่เชื่อว่า นรกมี สวรรค์มี อันนี้ขอให้พิจารณาอย่างละเอียด ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ หรือหากอยากรู้ ลองเพียรจนจิตตั้งมั่น คงจะสัมผัสได้ อย่าเป็นคนที่จะคอยแต่จะเชื่อในสิ่งที่ตาตนเองเห็น หรือหูได้ยินฯลฯ เท่านั้น เพราะมันไม่ได้เป็นไปเหมือนสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น หากเทียบ มิติระดับนี้ถือว่าเป็นระดับที่หยาบสุด มิได้ละเอียดอะไรเลย <O</Oสมมติว่าสนามพลังงานที่ว่านี้คือภูมิ ของกายทิพย์เป็นชั้นๆ ต่างกันไป มีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่พลังงานที่ห่อหุ้มจิตนี้ไว้มันจะไม่เสถียร มีขึ้น มีลง เพราะยังมิได้หลุดออกไปจากสนามพลังงานพวกนี้ จึงเป็นเหตุให้มาเวียนเกิด เวียนตามไม่จบ ไม่สิ้น <O</Oสนามพลังงานที่ซ้อนทับใกล้ผิวโลก ความเหลื่อมที่ใกล้กันเป็นเหตุให้เราเห็นได้ เช่น ภูมิเทวดา รุกขเทวดา เปรต หรือสัมภเวสี <O</Oบางคนคิดว่า พญานาค คงเป็นตัวยาวๆ เหมือนงู ลอยน้ำไปมาเหมือนปลา ความจริงแล้วท่านเหล่านั้นมิได้เป็นเช่นนั้นเลย ท่านเหล่านี้เป็นเพียงรูปแบบพลังงานละเอียดห่อหุ้มจิตไว้เช่นกัน มิได้มีตัวตนเช่นใด มีเกิด มีตายเช่นกัน เพราะพลังงานไม่เสถียร แต่ไม่มีกายเนื้อที่เป็นกลุ่มพลังงานหยาบห่อหุ้ม มีแต่พลังงานละเอียดเท่านั้นห่อหุ้มจิตเดิมแท้ไว้ กายทิพย์บางดวงมีอำนาจ บางดวงไม่มีอำนาจ อ่อนแอไร้กำลัง การดึงดูดเข้ามิติพลังงานก็เป็นไปตามสนามพลังงานที่มีอยู่ ที่เป็นภพภูมิต่างๆ <O</Oจิตเดิมแท้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว จิตเดิมแท้นี้มักจะถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังงานละเอียด จนก่อรูปเป็นกายทิพย์ตามรูปแบบพลังงานที่สะสมมา <O</Oการจะสลัดออกซึ่งพลังงานละเอียดพวกนี้ ทั้งพลังงานประเภทบุญหรือประเภทบาป เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน ถึงการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง จิตเดิมแท้นี้ แต่การที่จะสามารถเข้าถึงนี้ ก็มิใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่มนุษย์จะพึง บำเพ็ญเพียรให้เกิดได้ <O</O
จิตสัมผัส จิตนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อท่านผู้ใดสามารถรวมจิตให้เป็นหนึ่งแห่งเอกัคตาจิตได้ ก็สามารถเปิดประตูแห่งจิตเพื่อขยายขอบเขตการรับสัมผัสด้วยจิตนั้นไปอย่างไร้ขอบเขต ท่านผู้นั้นจะเข้าใจในความจริงแห่งธรรมชาตินี้ <O</Oการสัมผัสด้วยจิตนี้ สามารถแสดงออกให้ผู้ปฏิบัติเห็นได้ซึ่งที่เรามักประสบพบด้วยตนเองคือการสัมผัสด้วยอารมณ์ใจ เช่น เกิดความรู้สึกอึดอัด คัดแน่น ไม่เย็นสบาย เมื่อพบพูดคุย กับคนที่มีจิตใจที่คับแคบ ตระหนี่ เหนียว หรือความกระพือโหมด้วยความโกรธที่ผู้นั้นแม้มิได้แสดงออกมาทางวาจา หรือท่าทาง แต่เราก็รู้ว่าเขาโกรธ และอีกหลายๆอย่างที่เรารู้สึกด้วยใจ มิใช่คิดนึกเอา แต่สิ่งเหล่านี้ สำหรับอริยะชนแล้ว มันชัดเจนแจ่มใสมากเสียกว่าแสดงออกมาเป็นคำพูดด้วยซ้ำ<O</O