สอบถามความสงสัยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สราวุธ ลำพูน, 19 ตุลาคม 2010.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ็ก็ รู้ในอริยาบท ก็เป็น กรรมฐานตามองค์พระศาสดาแล้ว

    จิตจะมาพร้อมอยู่ที่กาย แล้วไม่ปรุงไปในความคิด เอาให้ถึง จุดที่จิตพร้อมกับกาย

    จะรู้สึกว่า กายนี้เต็มขึ้นมาทันที แล้วจะอิ่มกาย จะเกิืดปีติและสุข ขึ้น นั่นแหละ เรียกว่า ใช้ได้ เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว จิตจะปล่อย จากอาการเฝ้ามองเอง

    จากนั้นก็ไปทำงานทำการ เพราะจิตมันควรค่าแก่งานการแล้ว

    จากนั้นค่อยๆ ประคองหลัก ของ สุข สมาธิ นั้นไว้ จำเอาไว้ ว่า นิ่งเป็นแบบนี้

    ต่อจากนั้น จะคิดจะทำอะไร ก็ทำไป แต่พอจิต เริ่มไม่สงบ ก็ให้มาจับหลักที่ได้นี้ไว้

    ให้นิ่งลงไป จะใช้พุทโธ หรือ อริยาบท ก็ได้

    นี่เรียกว่า เดินตามมรรค

    แล้ว กิเลส หรือ ความปรุง ความหลง ความไม่ทัน จะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป

    จิตจะคงความเป็น สมาธิ ได้ยาวนาน มากขึ้นไปเรื่อยๆ อารมณ์ ลดกวนใจ จะลดน้อยถอยลง จนเสมือนว่า เรานี้ ปกติ เที่ยง อยู่เสมอ
     
  2. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    รู้อยู่ในกายในใจ รู้อยู่ในปัจจุบันขณะ เวลาจริง มีอยู่แค่เพียงปัจจุบันขณะ
    ปัจจุบันขณะใดรู้อยู่ ปัจจุบันขณะนั้น เป็นการภาวนา เป็นการปฏิบัติ
    ง่ายแต่ยาก ก็ตามกำลัง
    อนุโมทนาในธรรมทั้งหลายครับ
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    เรียนคุณวุธ การที่คุณรู้สึกอึดอัด เพราะว่า คุณไปกำหนดลม พอไปกำหนดลม
    การหายใจมันไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เวลาที่เราหายใจปกติเราก็ไม่รู้สึกอึดอัดใช่ไหม พอไปกำหนดลมปรับการหายใจจะรู้สึกหนักและติดขัดทันทีมีหลายๆ ท่านบอกว่านั่งไปเถอะ เดี่ยวก็หายอึดอัดเอง จริงๆ หากไม่รู้หลักไม่หายหรอก หลักคือ รู้ว่ากำลังหายใจเข้า รู้ว่ากำลังหายใจออก สักพักลมหายใจก็จะอ่อนลง จำนวนถี่ในการหายใจของเราก็จะเริ่มลดจำนวนลง คุณจะภาวนาอะไรก็ได้ การเอ่ยชื่อ เรียกการบริกรรมภาวนา การตามลมเรียกเอาลมหายใจมาภาวนา การที่ประคองสติ แรกๆ ก็ต้องทำแบบนั้นแระ แต่ว่าต้องลองไปทำดูก่อนนะ เพราะสงสังอะไรมากๆ แล้วถามๆ วิธีทางเราจะเริ่มเพี้ยน คือไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อก่อนหลบภัยปฏิบัติเพื่อให้ใจสงบ แต่เดี่ยวนี้ไม่ใช่นะความสงบทำให้เราไปติดความสบาย ต่อไปเราจะยึดเอาความสงบเป็นสระณะมันไม่ใช่ทางน่ะ พอเรามาโดนโลกกระทบ เราก็ถูกปลุกสัญญาญดิบอีก อย่าเพิ่งเชื่อ และค้านหลบภัย นะ ลอง วางและอ่านดู อ้อ การเพ่งกสิญ ของหลบภัย ไม่ได้เอาอะไรข้างนอกมาเพ่งแต่หลบภัยใช้กายสังขาร ในการเพ่งกสิญ มันลุ้นกว่ากันเยอะเลย
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะทำสมาธิ อะไรก็ตามให้เจริญ สติควบคู่ไปด้วย

    ให้มีสติพิจารณา คือ ตื่น ไม่คล้อยไปตามความคิดปรุงต่างๆ อันก่อให้เกิดอารมณ์ รัก โลภ กลัว ต่างๆ นาๆ

    เอาไว้ต่อสู้ เวลาที่ จิตไปจับ โดนกับอะไรต่างๆ นาๆ จิตจะเกิดความคิดปรุง แล้วเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้น เราจะได้มีสติตื่น แล้ววางลง ให้เป็น

    ทั้งกสิน ทั้งลม ต่างๆ นาๆ บางคน เวลาจิตเริ่มเป็นสมาธิ จิตอาจจะแสดงตัวรุนแรง

    ถ้าขาดสติ เราจะเกิด ความคิดปรุงต่างๆ กลัวไปต่า่งๆ นาๆ แล้วจะพลอยถอนออกจากสมาธิไป
     
  5. สราวุธ ลำพูน

    สราวุธ ลำพูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +302
    เอาหล่ะครับ.นี่พูดคำว่าเอาหล่ะแล้วหล่ะครับ ขอเวลาซัดกับมันก่อนครับ
    ขออณุญาติปิดกระทู้แค่นี้ก่อนนะครับ ขออนุโมทนาท่านทั้งหลายทุกผู้ทุกนาม
    ต่างเข้ามาให้กำลังใจและคลายความสงสัยครับ นอกจากนี้แล้วผมคงจะไม่มีเวลามาถามครับ จนกว่าจะเจอ มันซัดมาอีก........สราวุธ.
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    [music]http://dc106.4shared.com/img/74873114/fc02c183/dlink__2Fdownload_2FDQt-fpyW_3Ftsid_3D20101025-233546-58dc9f0/preview.mp3[/music]
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผมพูดตรง ๆ เลยนะ
    ไม่มีใครกล้าพูดหรอก
    เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ ก็บอกปฏิบัิติแบบไหนก็ได้
    ได้เหมือนกัน จิตสงบเหมือนกัน

    แต่ผมบอกเลย ดูการเคลื่อนไหวอย่างเดียวจิตไม่สงบหรอก
    ต้องมีคำบริกรรม หรือ อานาปานสติร่วมด้วย
    จึงจะทำให้จิตสงบได้
    เพราะการดูการเคลื่อนไหวมันส่งกระแสจิตออกข้างนอกหมด
    มันไม่เข้ามาข้างในจิต มันจะสงบได้ยังไง
    ก็เพราะความสงบมันสงบที่จิต ไม่ได้สงบที่กาย
    ผมถึงบอกว่าการดูการเคลื่อนไหวนี่จิตสงบไม่ได้
    ไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้หรอก
    ก็ลองมาแล้วถึงกล้าพูดนี่น่ะ

    แล้วที่บอกว่าปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความสงบ
    แล้วจะปฏิบัติไปทำไม ถ้าไม่เพื่อความสงบ
    พระพุทธเจ้าสอนให้สงบจากกิเลสทั้งปวง
    แล้วสงบที่ไหนล่ะ สงบที่ใจไม่ใช่เหรอ
    สงบด้วยสมาธิก็ขั้นนึงคือระงับไว้ได้ด้วยกำลังสมาธิ
    สงบด้วยปัญญา คือปัญญาฆ่ากิเลส แบบนี้สงบจากกิเลสโดยสิ้นเชิง
    ถ้าไม่ปฏิบัติเพื่อความสงบ จะปฏิบัติไปเพื่ออะไร มันหลงทางนะนี่
    คนสอนแบบนี้ มันหลอกคนนะนี่

    พระพุทธเจ้าสอน
    พอบวชเสร็จพระองค์บอกให้ไปอยู่ป่า อยู่เรือนว่าง ทั้งนั้น
    พระองค์ไม่ได้บอกให้ไปหาอะไรมากระทบใจนะ
    บอกให้ กายวิเวก จิตถึงจะเป็นจิตวิเวกได้
    เมื่อจิตเวก ก็ทำให้ อุปธิวิเวกได้
    นั่นไม่เคยสอนให้ไปอยู่กับผู้กับคน ไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มากระทบใจ
    ท่านให้อยู่คนเดียว
    เอ้าดูเทศน์หลวงตานี่
    นักปฏิบัตินี่ถ้าจิตเป็นสมาธิจริงนะ
    เวลาโดนโลกธรรมกระทบนี่ จะอุเบกขานะ
    ไม่ได้มีอารมณ์ไปตามโลกนะ

    แต่นี่บอกว่าไม่ได้ปฏิบัืติเพื่อความสงบ แต่ปฎิบัติเพื่อให้โลกกระทบได้นี่
    แสดงว่าจิตยังไม่เป็นสมาธินะ
    ถ้าจิตสงบแล้ว โลกธรรมกระทบจะไม่หวั่นไหวนะ
    นี่ไงเมื่่อจิตสงบแล้ว โลกกระทบก็ไม่หวั่นไหวด้วยสมาธิ
    เห็นมั้ยอุเบกขา อุเบกขามาจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่สมาธิ
    เมื่อยังไม่ถึงขั้นปัญญา ก็ต้องว่าตามสมาธิ อย่างนี้

    คนเราเมื่อจิตสงบ ไม่ว่าอะไรมากระทบมันก็สงบอยู่นั่นแหละ
    แต่ถ้าปล่อยผีโลภ ผีโกรธ ผีหลงออกมานี่ จิตยังไม่เป็นสมาธินะ
    สมาธิมีเป็นขั้น ๆ ถ้ายังปล่อยพวกผีออกมา จิตยังไม่เป็นสมาธิ

    โอ้ย....ถ้าจิตยังไม่เป็นสมาธิ
    แล้วยังไปหาโลกธรรมอะไรมากระทบ
    มันก็หลงไปตามโลก เท่านั้นล่ะ
    มันจะมีอะไร

    นี่แสดงให้เห็นเลยว่ารู้จักสมาธิยังไม่หมด
    ยังปฏิบัติไม่ถึงสมาธิที่แท้จริง
    มันบอกหมดแหละใครโพสต์อะไรออกมา....
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาธรรมไปอ่าน แล้วทำความสงบให้กับตนเองก่อน แล้วค่อยมาแนะนำคนอื่น
    มีแต่เทวทัตเท่านั้น ที่ชอบสอนคนอื่นโดยที่ตนเองยังไม่สงบ
    คุณธรรมง่ายๆ คุณยังไม่รู้จัก จะมาแนะนำคนอื่นทำห่าอะไร


     
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    สงสัยจะเก็บเอาไว้นานใช่มั้ย
    พอได้จังหวะมันก็เลยระเบิดออกมาด้วยคำประเภทนี้
    แต่ไม่เป็นไร ผมเป็นคนสุภาพ คงจะใช้คำพูดประเภทนี้ด้วยไม่ได้

    เห็นมั้ยผมถึงบอกแล้วว่าไม่มีใครกล้าพูดหรอก
    เพราะถ้าพูดต้องมีคนจองกฐินแน่นอน
    หรือจะจองในใจก่อนหน้าแล้วก็ไม่รู้นะ
    พอได้จังหวะก็จองลงกฐินซะเลย
    ก็มันหน้ากฐินนี่น่ะ

    ยกมหาสติปัฎฐานสูตรมาเหรอ

    1.เอารู้มั้ยทำไมการดูการเคลื่อนไหวไม่มีในกรรมฐาน 40 กอง
    และหลวงปู่มั่น หรือหลวงตามหาบัว ไม่เคยสอนให้ดูการเคลื่อนไหว
    เป็นอันดับแรก แต่สอนให้ตั้งสติก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจะเกิดสัมปชัญญะ
    ความระลึกรู้แผ่ซ่านไปทั่วกาย

    2.รู้มั้ยว่าทำไมในมหาสติปัฏฐานสูตร
    พระพุทธองค์ทรงยกอานาปาสติบรรพขึ้นมาก่อน
    แล้วตามด้วยอริยาบถบรรพ กับ สัมปชัญญะบรรพ ตามที่คุณอ้างมา

    3.และในอานาปานสติสูตรกล่าวว่า
    เพราะอะไร ก็เพราะการศึกษาปฏิบัติ
    สำหรับผู้ปฏิบัติทั่วไปขั้นเริ่มแรก
    ต้องศึกษาเป็นขั้นเป็นตอน
    ต้องเรียนอนุบาลก่อน แล้วค่อยต่อประถม มัธยม ตามลำดับ

    เห็นมั้ยแม้แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร
    พระองค์ก็ทรงยกอานาปานสติบรรพขึ้นมาก่อน
    การปฏิบัติต้องเริ่มด้วยสติ ต้องมีสติ ที่พร้อมก่อน
    เมื่อสติพร้อม การปฏิบัติ จะก้าวเข้าสู่สติปัฏฐานทั้ง 4 เอง
    เพราะการดำเนินชีวิตของคนเรา
    อยู่ในสติปัฏฐาน ทั้ง 4 นี้ทั้งนั้น
    เมื่อมีสติแล้วยังไงก็ต้องเข้าสู่สติปัฏฐาน 4 เอง

    ดังนั้นจึงควรตั้งสติให้ได้ก่อน
    โดยกว้างท่านสอน กรรมฐาน 40 กอง
    เห็นมั้ย ตัวอย่างเช่น คำบริกรรม เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    หรือ อานาปานสติ และอื่น ๆ
    คือให้ตั้งสติจากตรงนี้ให้ได้ก่อน
    เมื่อตั้งสติได้ ก็เข้าสู่สติปัฏฐาน 4 เอง

    เห็นมั้ยการศึกษาปฏิบัติธรรม
    ต้องมีขั้นมีตอนอย่างนี้
    ต้องเรียนอนุบาลก่อน แล้วไปประถม มัธยม ตามลำดับ
    แต่นี่อนุบาลยังไม่เรียนเลย
    จะฟาดไปมัธยมแล้ว เรียนยังไงก็สอบตกไปเรื่อยน่ะสิ

    ไม่ใช่สักแต่อ่านตำรา อ่านปรัชญา แล้วมาอวดมาอ้างนะ
    ผลการปฏิบัิติแม้ซักนิดในหัวใจยังไม่เคยปรากฏ อย่าเอามาอ้างนะ
    ขี้เกียจอ่าน

    และที่สำคัญมันแปดเปื้อนไปด้วยกิเลส
    คำที่เค้าไม่ใช้ในที่สาธารณะแบบนี้
    แต่กิเลสบงการเอามาใช้ เพื่อให้แปดเปื้อนคนนั้นคนนี้นี่
    มันสกปรกนะ
    อ่านทีไรต้องคอยไปล้างตาเอาความสกปรกออกทุกทีนี่
    มันน่าเบื่อนะ

    หัดเปลี่ยนนิสัยซะบ้าง
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ จับแพะชนแกะแล้ว คุณ เตชพโล

    ผมถึงบอกให้คุณไปทำความสงบก่อน เพราะว่า จิตใจคุณมันเต็มไปด้วย นิวรณ์และกิเลส

    เอาเป็นประเด็นไปแล้วกัน จะได้ไม่สับสน

    ตอบว่า การเดินจงกรม คือ การดูการเคลื่อนไหวของตน การมีสติอยู่กับ การกิน เดิน ยืน นั่งนอน และ การสำรวม คือ กรรมฐานข้อนี้
    คุณต้องศึกษาอีกมาก

    คุณ กำลังจะสรุป และ คาดการณ์เอาเอง แล้วจับโยงเพื่อสนับสนุนเหตุผลของตนเองเท่านั้น
    จริงๆ แล้ว อานาปานสติ หรือ กรรมฐานใดๆ ก็มีความหมายทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ในขณะนั้น ไม่ได้ดำเนินไปตามลำดับขั้น อย่างที่คุณกล่าวมา

    ดังที่ปรากฎว่า ครูบาอาจารย์ต่างๆ มิได้สอนให้เจริญอานาปานสติ เสมอไป

    ข้อนี้เหตุผลของคุณแย้งกันเอง ด้วยความสับสน เพราะคุณกล่าวตอนต้นว่า

    คำบริกรรม กับ อานาปานสติ ก็คนละอย่างกันแล้ว เตชพโล

    ข้อนี้ คุณสรุปหลักการของคุณ อย่างจับแพะชนแกะ ไปเองทั้งหมด

    เพราะว่า เรื่องอริยาบท ก็คือ การเจริญสติที่ กาย มีอยู่ในพระสูตรอยู่แล้ว พระศาสดาเป็นผู้กล่าว

    แต่ด้วยกิเลสของคุณ คุณก็อ้างเหตุผลไปเรื่อย อย่างผิดๆ

    อ่านแล้ว ทำความเข้าใจก่อน สำรวจตนเอง ตามที่คุณบอกคนอื่นนั่นแหละ ว่า การที่เรายังทำความสงบไม่เป็น อารมณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ เป็น สตรีวัยทอง หรือ เด็กสาวอายุ 18 ทั้งๆที่เรามีเพศ เป็น บุรุษ คุณก็ควรพิจารณาตัวเองก่อนว่า

    ผลในการปฏิบัติของเรา ยังไปไม่ถึงไหน แล้ว ทำไมเราจะกล้ามาถกธรรมกับคนอื่น
    และ ตำหนิคนอื่น
    อย่างน้อย เราก็ควรจะละอายว่า ธรรมของเรามันยังแค่ระดับ สะเก็ด มันยังไม่ถึงใจเรา เราควรจะต้องกล่าวเท่าที่เรารู้

    เข้าใจไหม
     
  11. ohm_chiangmai

    ohm_chiangmai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    193
    ค่าพลัง:
    +2,920
    ธรรมมะครับ ได้รสชาดของธรรมมะจริงๆ ดุเด็ดเผ็ดมัน ..ดื่มน้ำตามก็หายเผ็ด หายหวาน...แค่จำได้ว่าเคยเผ็ด เคยหวาน...ก็เท่านั้น
    จะคอยติดตามกระทู้ครับ ผมยังอ่อนมากๆเรื่องธรรมมะ คอยติดตามพี่ๆมาเรื่อยๆ หวังว่าจะได้แสงสว่างทางปัญญาเพิ่มขึ้นครับ...สาธุ
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ที่ไม่ได้เน้นว่าว่าอะไรคือสมาธิเพราะว่า อยากเน้นว่า ดูบ่อยๆๆๆซ้ำๆๆๆ นั่นก็คือสมาธิ แรกเริ่มเดิมทีของผู้ทำสมาธิมักเกิดความสงสัยต่างๆนานาๆ นั่นแหละเราต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาส มีโอกาสสูงที่จะได้ทั้งสมาธิและปัญญาในขณะเดียวกัน จึงเน้นให้ใช้สติมองสิ่งที่สงสัยนั้นในจิต อาจเรียกว่าอาการต่างๆที่เกิดขึ้นก็ได้ และอันที่จริงการที่คนเราจะมองเข้าไปถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนนั้นมันต้องผ่านกระบวนการรวมจิตหรือภาษาง่ายๆที่เข้าใจกันคือ การทำสมาธิ แต่ทุกคนมักคิดว่าการทำสมาธินั้นมีวิธีเดียว ที่จริงมีมากมายนักตามลักษณะนิสัยและอื่นๆของแต่ละคน โดยสรุปมี๔๐ กอง แต่นอกนั้นก็มีมันขึ้นอยู่กับว่า อย่างไหนที่ทำให้สิ่งที่เราติดขัดหายไปได้ บางทีการทำอานาปาณสติอาจไม่เหมาะสมกับคนที่เน้นการพิจารณาโดยตรงจึงต้องอาศัยทางอ้อมคือการ มองหรือทำความรู้จักกับสิ่งที่เจอแบบซ้ำๆ จึงทำให้จิตสงบลงได้เป็นองค์ฌาน แต่บางคนที่ไม่มีเหตุจำเป็นต้องพิจารณาโดยตรงก็ทำจิตให้สงบได้เลยโดย ทำกรรมฐานต่างๆรวมไปถึงอานาปาณสติ ความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นจึงเกิดได้สองทางคือ ระหว่างที่กำลังพิจารณา และระหว่างที่ทำความสงบให้เกิดกับจิต ดังนั้นต้องมองให้ออกว่า อะไรเป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านกันแน่ ติดอยู่ที่อะไรหากบุคคลนั้นชอบพิจารณาแต่อาศัยความซ้ำๆของสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ก็จะเป็นสมาธิได้ ส่วนบุคคลประเภทที่ไม่ชอบพิจารณาก่อนหรือไม่มีเหตุให้ต้องพิจารณา ก็อาศัยฌานสมาธิที่เกิดขึ้นโดยการฝึกปฏิบัติอย่างดี ให้จิตตั้งมั่น ปราศจากมลทินต่างๆ รู้อาการของความปราศจากมลทินนั้น นำมาใช้พิจารณาย้อนกลับไปในอารมณ์เมื่อเกิดการกระทบแล้วคล้อยตามไป จากนั้นเอาสติที่มีดึงกลับมาแล้วพิจารณาตามในตอนต้นๆ ต่อมาก็ไม่ตามเพราะเห็นแล้วรู้ว่านั่น เราเห็นมันแล้วว่า นั่นเพราะของแบบนี้เองที่ทำให้เป็นแบบนี้ แล้วความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นกับจิต และการปฏิบัติก็จะเป็นไปเพื่อตนเองโดยแท้ วันนี้แม้เรานึกถึงพระศาสดา เราก็ยังไม่รู้เลยว่าคำใดเป็นคำจริงของพระศาสดา ขอจงใช้ปัญญาพิจารณาว่า พระศาสดาสอนให้พ้นทุกข์ ละกิเลสตัณหา ไม่น้อมนำเอากิเลสทั้งหลายมาสู่ตัวสู่ตนสู่จิตใจ อันตอนนี้ถือว่าเป็นของตน หากทำได้ตามนั้นก็จะพบว่า คำไหนกันแน่เป็นคำสอนของพระศาสดา จริงๆแล้วทุกคนก็ตัดสินใจเองได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่มันต้องเป็นวิธีที่ให้ผลจริงๆ ไม่ใช่หลอกลวงเพื่อความเลิศเลอต่างๆนานา หวังว่าคงเกิดความก้าวหน้าทางธรรมแก่ท่าน เจ้าของกระทู้และผู้อื่นนะครับ
    สาธุคั๊บ
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ไม่เคยสอนนะ
    ว่าขณะเดินจงกรให้ดูเฉพาะการเคลื่อนไหวของตน
    องค์ท่านทั้งสอง สอนเสมอ ให้มีคำบริกรรมติดแนบพร้อมสติเสมอ
    ไม่เคยสอนให้ดูแต่การเคลื่อนไหวของตนอย่างเดียว
    อ้างอิง :
    วิธีการทำสมาธิแบบหลวงปู่มั่น
    นี่แสดงว่าแม้แต่ธรรมขั้นพื้นฐานก็ยังไม่รู้
    วิตก ในพุทโธ กับ อานาปานสติ นี่เหมือนกันนะ
    คุณมาบอกว่าคนละอย่างนี่แสดงว่า
    ผลการปฏิบัติยังไม่เคยเกิดกับใจอย่างแท้จริง
    วิตก ในพุทโธ หรือ อานาปานสติ
    ก็คือ ธัมมารมณ์ ที่กระทบกับจิตใจ
    ทำให้จิตใจผู้ปฏิบัติได้รับความสงบ
    เพียงแต่สมมติว่าวิตกนั้น เป็นพุทโธ หรือ ลมหายใจ แค่นั้นเอง
    แต่สิ่งที่จิตใจสัมผัสในวิตกทั้งสองนั้น เป็นธัมมารมณ์ อย่างเดียวกัน
    นี่ต้องปฏิบัติ ให้รู้จริงเห็นจริงสิ ถึงจะพูดได้แบบนี้
    นี่ธรรมะของพระพุทธองค์นี่ละเอียดลึกซึ้ง เกิดคาดเดาได้นะ
    คุณประเภทอ่านตำรามา อ่านปรัชญามา รู้ไม่ได้หรอก

    เห็นมั้ยพอหาเหตุผลมาแย้งไม่ได้
    ก็หาว่าผมจับแพะมาชนแกะ
    ผมก็บอกแล้ว
    ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระองค์ทรงยก อานาปานบรรพ ขึ้นก่อนเลย
    แล้วก็ตามด้วย อริยาบถบรรพ และ สัมปชัญญะบรรพ
    และในอานาปานสติสูตร ก็กล่าวว่าเมื่อเจริญอานาปานสติให้มาก
    ก็จะทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
    นี่ เพราะธรรมทั้งสองเกี่ยวเนื่องกันเป็นลำดับ
    อยู่ดี ๆ จะมาใส่สติปัฎฐาน 4 เลย
    โดยทีสติยังไม่พร้อม มันก็หลงโลกไปอย่างคุณเท่านั้นแหละ

    และในทางปฏิบัติคุณมีสติอยู่กับคำบริกรรมอย่างสืบเนื่องอย่างมีกำลังแล้ว
    เมื่อคุณเคลื่อนไหวร่างกาย ความระลึกรู้จะแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างกาย
    เกิดเป็นสัมปชัญญะขึ้นมาเอง
    และเมื่อชำนาญแล้วภายหลัง
    เมื่อสติมีความสืบเนื่องอยู่แล้ว จะสามารถกำหนดระลึกรู้แผ่ซ่านไปทั่วกาย
    เป็นสัมปชัญญะได้ด้วยความชำนาญ
    ซึ่งนักปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตนเอง
    นี่ในภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้

    เพราะสัมปชัญญะ มาจาก สติ
    เพียรสร้างสติกำกับจิตใจเถอะ สัมปชัญญะจะปรากฎขึ้นเอง

    ออกลวดลายจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์แล้วเหรอ
    ยั่วยุต่าง ๆ นา ๆ ทำไปเถอะผมเฉย ๆ
    ระวังนะพูดว่าผมบ่อยๆ เข้าเถอะ
    เดี๋ยวคุณจะอยากผ่าตัดแปลงเพศตอนแก่ขึ้นมา
    ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ
    อยากพูดอยากว่าอะไรเชิญนะตามสบาย
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่รู้จักดื่มเป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัย
    นี้ เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันใครๆ แสดงอยู่ ไม่ได้ความรู้ธรรม ไม่ได้ความรู้อรรถ
    ไม่ได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้จักดื่มเป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่รู้จักทางเป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัย
    นี้ ไม่รู้ชัดอริยมรรคมีองค์ ๘ ตามเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้จักทางเป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่ฉลาดในสถานที่โคจรเป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
    ในธรรมวินัยนี้ ไม่รู้ชัดในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ตามเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ฉลาดในสถาน
    ที่โคจรเป็นอย่างนี้แล.
     
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ธรรมะหากยังเป็นเพียงแค่จดจารเป็นตัวหนังสือ
    ก็ยังถือว่าเป็นธรรมปลอม หาเป็นธรรมแท้ไม่

    หากธรรมนั้นปรากฎขึ้นกับใจนักปฏิบัติ
    ประกาศป้างขึ้นมาในหัวใจนักปฏิบัติเมื่อใด
    นั่นแหละคือธรรมแท้ที่ปรากฎกับใจ

    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ปรากฎขึ้นที่ใจ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...