มงคลที่ ๑๑.การบำรุงบิดามารดา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Komodo, 11 เมษายน 2009.

  1. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    [​IMG]

    [​IMG]"ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์
    เมื่อถึงเวลา ไม่ยอมออกดอกออกผล ก็ต้องโค่นทิ้ง

    คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
    แต่ไม่ยอมตอบแทนคุณพ่อแม่ก็เป็นคนหนักแผ่นดิน
    ทองคำแท้หรือไม่โดนไฟก็รู้ คนดีแแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่
    ถ้าดีจริง ต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยง แสดงว่าดีไม่จริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊"

    พระคุณของพ่อแม่

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน
    ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านนั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ
    แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด ​

    ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแแทนปากกาน้ำในมหาสมุทรแทนหมึก
    เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด
    น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด ​

    บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ

    ๑.เป็นต้นฉบับทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้น

    ตัวอย่างเช่นก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา
    ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้
    หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีกเช่นแบบเป็นพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น
    ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแแบบที่พิมพ์นั่นเอง ​

    ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง มัา วัว ควาย ฯลฯ
    แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้แบบเป็นคน
    ซึ่งเป็นโครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำความดีทุกประการ
    พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้วยิ่งท่านอบรม
    เลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกนันต์ ​

    ๒.เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท
    ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก

    สมญานามของพ่อแม่

    สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก
    ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้

    -พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมธรรม ๔ ประการ ได้แก่

    ๑. มีเมตตา คือ มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
    ๒. มีความกรุณา คือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
    ๓. มีมุทิตา คือ เมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
    ๔. มีอุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษา ให้เมื่อลูกต้องการ

    -พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่

    ๑. เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยาก ได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน
    ๒. เป็นพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
    ๓. เป็นเนื้อนาบุญของลูก มีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
    ๔. เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก

    คุณธรรมของลูก

    เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน
    คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือ รู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร
    สูงขึ้นไปอีกคือตอบแทนคุณท่าน

    ในทางศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้น ๆ
    แต่จับความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า "กตัญญู กตเวที"

    คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้

    กตัญญู หมายถึง เห็นคุณท่าน คือ เห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา
    ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาว ๆ ไปเท่านั้น

    คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือ ประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากคนอื่น
    ตามธรรมดาของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อจะอุปกาะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์
    หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ
    แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใด ๆ เลย
    เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียวยัง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่
    ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ไม่รู้ทั้งนั้น
    หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ทั้ง ๆที่ไม่มี
    ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย
    เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผลอย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น
    การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละเรียกว่า"กตัญญู"
    เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร
    แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้นเท่านั้น

    กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ

    ๑.ประกาศคุณท่าน
    ๒.ตอบแทนคุณท่าน

    การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผุ้อื่นรู้ว่า พ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด
    เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมากไปทำตอนงานศพ คือ เขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก
    การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น
    ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือ ที่ตัวเรานี่เอง

    คนเราทุกคน คือ ตัวแทน ของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่านเนื้อก็แบ่งมาจากท่าน
    ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน
    ความประพฤติของตัวเรานี่แหละจะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุด
    หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม
    แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาสศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดที่ไป
    สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อยแต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล
    อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง

    กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์
    ให้ช่างเรียงพิมพ์แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง
    อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา

    พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านซิประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้
    ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง
    ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว
    นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ดจะทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

    ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา
    คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง
    หรือจะใจดำถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

    การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ

    ๑.เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่านเลี้ยงดูท่านตอนเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
    ๒.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
    แม้เราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญที่ท่านมีต่อเรา
    ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้

    ๑.ถ้าท่านยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    ๒.ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    ๓.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
    เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธาการให้ท่าน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนา เป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ประพฤติปฏิบัติเองทั้งในภพนี้ ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

    อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา

    ๑.ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    ๒.ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
    ๓.ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
    ๔.ทำให้พ้นทุกข์
    ๕.ทำให้พ้นภัย
    ๖.ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
    ๗.ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    ๘.ทำให้เทวดาลงรักษา
    ๙.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    ๑๐.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
    ๑๑.ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
    ๑๒.ทำให้มีความสุข
    ๑๓.ทำให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง ​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2011
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    <CENTER>หลักและวิธีการที่เอาดีกับบิดามารดา

    </CENTER>


    [​IMG]
    บิดา-มารดา เป็นบุคคลที่บุตรธิดาควรปฏิบัติเพื่อเอาดีกับท่านทั้งสอง เพราะว่าท่านเป็นพระของเรา เป็นพระเหนือหัวเรา

    พระพุทธเจ้าทรงยกย่องบิดามารดาว่า

    เป็นพระพรหมของลูก...
    เป็นพระอรหันต์ของลูก...
    เป็นเนื้อนาบุญของลูก...


    ผู้ที่จะให้ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง คือ พระอรหันต์องค์นี้ บิดาบารดามีแต่ความหวังดีต่อบุตรที่ตนให้กำเนิด ไม่มีบิดามารดาคนใดที่จะไปอิจฉาริษยาบุตรธิดาของตน ดังนั้น ท่านจึงสมควรแล้วที่จะเป็นพระพรหม

    เขาเขียนรูปพระพรหมไว้ ๔ หน้า เขาเขียนโกหก ความจริงพระพรหมไม่มี ๔ หน้า ๔ ตาอะไรหรอก มีหน้าเดียวเหมือนมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าพระพรหมท่านมีคุณธรรม ๔ อย่างคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ท่านก็เลยเขียนเป็นปริศนาเอาไว้เป็นรูปพระพรหม ๔ หน้า

    พรัหมาติ มาตาปิตะโร...
    บิดามารดา ชิ่อว่าเป็นพระพรหมของลูก


    คือท่านเป็นผู้มีน้ำใจเมตตา เปี่ยมไปด้วยความรักความปรารถนาดี เต็มไปด้วยความกรุณา คิดที่จะช่วยจะเหลือบุตรธิดาของตนให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก มีความพลอยยินดีในเมื่อบุตรธิดาของตนได้ดี มีความสบายใจ เบาอกเบาใจเมื่อบุตรธิดาของตนได้ดีมีสุขอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น จึงสมควรแล้วที่ท่านจะได้นามว่าพระพรหม

    บิดามารดาเป็นผู้มีใจบริสุทธิ์สะอาดต่อบุตรธิดาของตน ท่านไม่มีความอิจฉาตาร้อน ไม่เบียดเบียน ข่มเหง ไม่รังแกเรา มีแต่ประคับประคองให้เราได้ดำรงชีพอยู่อย่างเป็นสุขและให้ได้ดิบได้ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้น ท่านจึงสมควรแล้วที่จะเป็นพระอรหันต์ของลูก

    พ่อแม่เป็นบุพการี พ่อแม่เป็นบุรพาจารย์ พ่อแม่เป็นผู้ผลิตเราขึ้นมา เป็นผู้เลี้ยงดูเรามา และเป็นผู้อบรมสั่งสอนให้เรารู้จักดีชั่ว

    พระเจ้าพระสงฆ์กับพ่อแม่มีค่าเท่ากัน เราจะได้มาพบหน้าพระเจ้าพระสงฆ์ก็เพราะพ่อแม่ให้เกิด เรารู้จักพระเจ้าพระสงฆ์ก็เพราะพ่อแม่สั่งสอน เราจะรู้จักทำบุญสุนทานก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้สอน เป็นผู้พาทำ ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นครู

    พ่อแม่เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ให้วิชาความรู้ เป็นผู้ให้ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ให้น้ำจิตน้ำใจทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ใครยังมีพ่อแม่อยู่ รีบอุปถัมภ์อุปัฏฐาก รีบทำบุญกับท่าน อย่าปล่อยให้ท่านลำบาก

    บิดามารดาเป็นบุคคลที่บุตรธิดาควรให้ความเคารพ บูชา ยกย่อง เราควรปฏิบัติต่อบิดามารดาของเราทุกเช้าค่ำวันคืน

    [​IMG]

    เรามีมือสองข้าง ก่อนจะยกไหว้คนอื่น ให้ประคองไหว้พ่อแม่ของเราก่อน
    ก่อนจะออกจากที่หลับที่นอนให้กราบหมอนสามทีประนมมือขึ้นเหนือหว่างคิ้ว อธิษฐานจิตว่า เราขอกราบไหว้บิดามารดาของเรา แล้วจึงค่อยไปไหว้คนอื่น

    ถ้าหากมีกำลังกาย กำลังความคิด สติปัญญาใด ๆ ที่พอจะช่วยอนุเคราะห์ด้วยการรับใช้หรือการทำอะไรให้ถูกอกถูกใจ ก็หยิบยื่นให้พ่อแม่ก่อน

    ถ้าเรามีทรัพย์สมบัติสิ่งของ ก่อนที่จะหยิบยื่นให้ใครต่อใคร ควรจะประเคนให้บิดามารดาของเราก่อนอื่น ซึ่งเป็นการเลี้ยงดูบิดามารดาของตน

    บางทีเราอาจจะศรัทธาในพระเจ้าพระสงฆ์ มีของดี ๆ ขนไปให้พระเจ้าพระสงฆ์ฉันหมด แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายปล่อยให้อด ก่อนอื่นนี่ต้องนึกถึงพ่อถึงแม่เสียก่อน ส่วนนี้จะใส่บาตรให้พระ ส่วนนี้จะให้พ่อแม่รับประทาน

    การทำบุญ เมื่อไม่มีโอกาสไปทำบุญกับวัดกับวากับพระสงฆ์ ก็ให้ทำบุญกับพ่อแม่ปู่ย่าตายายของตนเอง

    ดังนั้น
    ใครจะทำบุญสุนทาน ใครจะทำอะไร ใครจะให้อะไรแก่ใคร ควรจะคิดถึงพ่อแม่เป็นอันดับหนึ่ง อย่าปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบากยากเข็ญ ไปทำบุญแต่ที่อื่น ไม่รู้จักทำบุญกับพ่อแม่ก็ไม่มีความหมาย เพราะเราเป็นผู้แล้งน้ำใจต่อพ่อแม่ ขาดความกตัญญูกตเวที

    ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมพื้นฐานให้เกิดคุณงามความดี คนที่จะรู้จักว่าผู้อื่นดีได้ก็ต้องรู้จักว่าพ่อแม่ตัวเองดีกว่าใครทั้งหมด พ่อแม่ถึงจะเป็นขี้เหล้าเมายา เล่นการพนัน เป็นนักเลงโต ศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังมีโดยสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง

    บิดามารดาของตนเป็นผู้มีพระคุณอันล้ำเลิศ การสนองความต้องการของบิดามารดาในทางที่ถูกที่ชอบ เมื่อบิดามารดากล่าวอบรมสั่งสอน หรือมีคำสั่ง เมื่อท่านบอกว่า "
    อย่านะลูก" เราต้องหยุดทันที "อย่า" แล้วต้องหยุดทันที

    เมื่อเราเจริญเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวพอที่จะมีคู่รักคู่ใคร่ ถ้าหากไม่เป็นที่ชอบใจของบิดามารดา ท่านไม่เห็นดีเห็นชอบด้วย เราควรเลือกเอาบิดามารดาของเราไว้ก่อน

    เพราะบิดามารดาของเราเป็นผู้มาก่อน คนรักมาทีหลัง
    ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ที่บิดามารดาจะทิ้งบุตรธิดาของตนโดยไม่มีเหตุผล มีแต่บุตรธิดาเท่านั้นที่ทอดทิ้งบิดามารดา

    ดังนั้น
    การเลี้ยงดูบิดามารดาของเรา การเลี้ยงน้ำใจเป็นเรื่องสำคัญ คือ หมายความว่า เมื่อท่านบอกว่า "อย่า" แล้วหยุดทันที

    สาธุชนผู้ปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม คือความกตัญญูกตเวทีซึ่งเป็นคุณธรรม เป็นเครื่องหมายของคนดี

    มาตาปิตุอุปัฏฐานัง
    การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดา
    เอตัมมังคะละมุตตะมัง
    เป็นมงคลอันสูงสุด

    มาตาเปติ ภะรัง ชันตุง
    การเลี้ยงดูบิดามารดา มีอานิสงส์ทำให้ผู้ปฏิบัติตายแล้วไปเกิดเป็นพระอินทร์

    กุเล เชฎฐา ปะจายินัง
    ผู้มีความเคารพนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล มีอานิสงส์ตายแล้วไปเกิดเป็นพระอินทร์

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงย้ำนักย้ำหนาว่า การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด มงคล ก็หมายถึงสิ่งที่ดีงามในชีวิตของเรา ผู้มีความรู้สึกสำนึกในพระคุณของบิดามารดา ย่อมเป็นผู้มีกาย วาจา สงบเรียบร้อย ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูกตเวที รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ
    นี่คือหลักและวิธีการที่เอาดีกับบิดามารดา


    [​IMG]
    พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=379081
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    มงคลที่ ๑๑


    บำรุงบิดามารดา - เลี้ยงดูพ่อแม่ เกิดก่อสวรรค์

    บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม
    นักปราชญ์ทั้งหลาย
    ย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลกนี้
    บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว
    ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์


    สภาพใจของคนทั่วไปที่ยังไม่ได้ฝึกฝน มักจะซัดส่าย ไม่หยุดนิ่ง ดิ้นรนไปมาเหมือนปลาที่ถูกยกขึ้นวางบนบก อยากกลับไปหาแหล่งน้ำ ร่างกายของคนเรานั้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นตามวัย อีกทั้งเป็นรูปธรรม แต่กลับไม่มีใครสามารถบังคับให้อยู่ในอำนาจตามต้องการได้ ผิดกับใจที่ดูเหมือนว่ามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กลับพร้อมที่จะยอมรับการฝึกฝนให้เป็นไปตามต้องการ และเมื่อฝึกฝนจนกระทั่งละเอียดอ่อนนุ่มนวล ควรแก่การงานแล้ว ก็สามารถที่จะโน้มน้าวไปที่ไหนก็ได้ตามปรารถนา


    มีวาระพระบาลีใน สุวรรณสามชาดก ว่า


    "โย มาตรํ ปิตรํ วา มจฺโจ ธมฺเมน โปสติ
    อิเธว นํ ปสํสนฺต เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ

    บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลกนี้ บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์"


    ปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วโดยวัดกันที่มาตรฐานการศึกษา ค่าครองชีพ และเทคโนโลยีต่างๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับความเจริญทางด้านวัตถุ คือ พ่อแม่ที่แก่เฒ่าถูกทอดทิ้งเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาสังคม รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้แก้ไข ด้วยการจัดสถานที่รองรับคนชราที่ลูกทอดทิ้ง ผู้สูงอายุเหล่านั้นต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง บางคนต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา เพราะความจำเป็นก็มี จำใจไปก็มี เช่น บางคนไปอยู่เนื่องจาก ไม่อยากให้เป็นภาระลูกต้องมาลำบากเพราะพ่อแม่ อยากให้ลูกมีความสุขกับชีวิตครอบครัว ได้ทำงานอย่างเต็มที่ คิดอย่างนี้ก็มี

    ลูกบางคนบอกว่า ไม่มีเวลาดูแล จึงให้พ่อแม่ไปอยู่ที่นั่น แล้วส่งเงินไปให้ใช้เป็นประจำ มีบางท่านอยากให้พ่อแม่อยู่บ้านเหมือนกัน แต่ลูกๆ ไม่รู้วิธีการเอาใจคนชราว่าต้องการอะไร เมื่อพ่อแม่เห็นว่าลูกไม่เอาใจใส่ตนเอง มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องธุรกิจการงาน ทำให้เกิดอาการน้อยใจ จึงตัดสินใจหนีไปอยู่ บ้านพักคนชรา ทำให้คุณธรรม คือ ความกตัญญูกตเวทีระหว่างลูกต่อบิดามารดา ผู้เป็นบุพการีลดลงไปเรื่อยๆ


    เรื่องหน้าที่ของลูก ที่พึงปฏิบัติต่อบิดามารดานี้มีตัวอย่าง เป็นเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง แม้ท่านบวชมาแล้ว ยังอุตสาหะทำหน้าที่พระลูกชายยอดกตัญญู ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า

    *ในสมัยพุทธกาล ที่กรุงสาวัตถี มีลูกชายเศรษฐีท่านหนึ่ง เป็นคนมีบุญ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธา จึงขอพ่อแม่ออกบวช แต่ได้รับการปฏิเสธ ลูกชายอดอาหารประท้วงถึง ๗ วัน บิดามารดาคิดว่า "ถ้าไม่ยอม ลูกคงตายแน่ แต่ถ้ายอมให้ลูกบวช ยังมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกชายบ้าง" จึงพร้อมใจกันยินยอมให้ลูกบวช

    ลูกชายดีใจเป็นที่สุด กราบแทบเท้ามารดาบิดา แล้วรีบไปที่วัดเชตวันมหาวิหารเพื่อขอรับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาคันถธุระอยู่ ๕ พรรษา แล้วจึงปลีกวิเวกด้วยการเข้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าตามลำพัง ท่านทำความเพียรอยู่ ๑๒ ปี แต่ยังไม่ได้คุณวิเศษอะไร ส่วนโยมพ่อโยมแม่ เมื่อไม่มีลูกชายแล้ว ก็ไม่อาจรักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ได้ เพราะความแก่เฒ่า ธุรกิจการค้าจึงถูกเขาโกงไป แม้แต่ข้าทาสบริวารก็ขโมยทรัพย์สินไปหมด แม้บ้านของตัวก็จำเป็นต้องขายเพื่อเอาทรัพย์มาเลี้ยงชีพ และต่อมาเมื่อทรัพย์หมดก็ไร้ที่อยู่อาศัย ในที่สุดจำต้องเลี้ยงชีพด้วยการขอทานอย่างน่าเวทนา


    วันหนึ่ง พระภิกษุผู้เป็นบุตรเศรษฐีได้ข่าวจากเพื่อนภิกษุอาคันตุกะว่า โยมพ่อโยมแม่ของท่านกำลังลำบากต้องขอทานเขากิน ท่านรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ ประกอบกับช่วงนั้นท่านรู้สึกท้อแท้เพราะผลการปฏิบัติธรรมที่ไม่ก้าวหน้า จึงคิดอยากสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ เพื่อเลี้ยงดูมารดาบิดา จึงรีบเดินทางกลับกรุงสาวัตถีทันที


    เมื่อเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่ง ระหว่างไปบ้านเกิดกับไปวัดพระเชตวัน ท่านคิดว่า ไหนๆ จะสึกแล้ว เราไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะดีกว่า ปรากฏว่าเช้าวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องความกตัญญู เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็เกิดวิริยอุตสาหะ ที่จะบำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดาในเพศบรรพชิต ได้ออกตามหาจนพบ เมื่อมองเห็นมารดาบิดาทั้งสองกำลังนั่งขอทานอยู่ จึงเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ


    "นิมนต์พระคุณเจ้าข้างหน้าเถิดเจ้าข้า" โยมแม่พูดโดยไม่กล้ามองหน้าพระ ฝ่ายพระลูกชายได้แต่ยืนนิ่ง น้ำตานองหน้า เพราะสงสารเหลือเกิน แม้โยมแม่จะกล่าวนิมนต์ให้ไปข้างหน้าตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ยังยืนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ฝ่ายบิดาเริ่มเอะใจจึงสังเกตดูภิกษุรูปนี้ ในที่สุดก็จำได้ว่าเป็นพระลูกชาย ทั้งสามต่างร่ำไห้กันยกใหญ่


    พระลูกชายปลอบใจโยมทั้งสองว่า "โยมพ่อโยมแม่ไม่ต้องลำบากหรอก จากนี้ไปไม่ต้องขอทานแล้ว พระจะบิณฑบาตมาเลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก"

    ตั้งแต่นั้นมาอาหารบิณฑบาตที่ได้มาท่านก็นำมาให้มารดาบิดารับประทานก่อน ผ้าจีวรที่เขานำมาถวาย ท่านก็จะนำมาให้มารดาบิดาซักย้อม และตัดเย็บสวมใส่ แม้พระลูกชายจะมีอาหารไม่พอฉัน แต่ก็สู้อดทนเลี้ยงดูด้วยความกตัญญูกตเวที จนในที่สุดท่านซูบผอมร่างกายเหลือง สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น

    เพื่อนสหธรรมิกเห็นอาการผิดปกติเช่นนั้น จึงไต่ถามดูว่า "อาวุโส เมื่อก่อนท่านมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส แต่เดี๋ยวนี้ร่างกายผ่ายผอมสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านป่วยเป็นโรคอะไรหรือ" ท่านบอกว่าตนเองไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรหรอก เพียงแต่ว่าอาหารไม่พอฉัน เนื่องจากต้องแบ่งอาหารบิณฑบาตให้โยมพ่อโยมแม่


    เพื่อนสหธรรมิกได้ยินเช่นนั้น เนื่องจากเป็นผู้เคร่งครัดในธรรมวินัย จึงตำหนิท่านว่า "การนำอาหารที่เขาถวายมาด้วยศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร" เรื่องการเลี้ยงอาหารแก่คฤหัสถ์จึงถูกโจษขานขึ้นในหมู่สงฆ์ ภิกษุสงฆ์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสเรียกท่านเข้ามาสอบถามในท่ามกลางมหาสังฆสมาคม ท่านได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำตำหนิในท่ามกลางสงฆ์



    เมื่อถูกพระพุทธองค์ตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุ เธอนำอาหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์จริงหรือ"

    "จริงพระเจ้าข้า"

    "เธอนำอาหารไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์ไหนกันล่ะ"

    "เป็น มารดาบิดาของข้าพระองค์เองพระเจ้าข้า" ภิกษุหนุ่มเตรียมใจรับคำตักเตือนด้วยความเคารพ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงสาธุการจากพระองค์ถึง ๓ ครั้งว่า "สาธุ สาธุ สาธุ เธอทำถูกต้องแล้ว แม้เราในอดีตก็บำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดาเหมือนกัน" จากนั้นพระองค์ตรัสเล่าเรื่องสุวรรณสามชาดก ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธองค์ ที่บำรุงเลี้ยงมารดาบิดาผู้ตาบอดทั้งสองข้างด้วยความขยันขันแข็ง แม้ว่าจะประสบเภทภัยจนเกือบถึงแก่ชีวิต ก็ไม่อาลัยกับชีวิตตน จิตห่วงใยแต่มารดาบิดาทั้งสอง และด้วยแรงกตัญญูจึงทำให้ท่านรอดพ้นจากอันตรายครั้งนั้นมาได้

    ภิกษุหนุ่มฟังแล้วปลื้มใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะสิ่งที่ท่านทำลงไปนอกจากจะไม่ผิดธรรมวินัยแล้ว ยังได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาอีกด้วย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นท่านมีจิตแช่มชื่นเบิกบานดีแล้ว ทรงเริ่มแสดงอริยสัจ ๔ ท่านได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ศูนย์กลางกายของท่านที่เคยมืดมิดมาตลอด ๑๒ ปี ก็สว่างโพลงขึ้น มีใจหยุดใจนิ่ง จนในที่สุดเข้าถึงพระธรรมกายโสดาบัน เป็นพระอริยเจ้า

    เราจะเห็นว่า การเลี้ยงดูบิดามารดามีอานิสงส์ใหญ่ นอกจากมนุษย์และเทวดาทั่วไปจะพากันยกย่องสรรเสริญแล้ว แม้พระพุทธองค์ยังทรงอนุโมทนาอีกด้วย พ่อแม่ถือว่าเป็นยอดแห่งบุพการีชน เป็นประดุจพระอรหันต์ของพวกเราทุกคน เพราะฉะนั้นแม้ลูกจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม ต่างมีหน้าที่ เหมือนกัน คือ ต้องเลี้ยงดูบิดามารดา ขนาดพระพุทธองค์ยังอนุญาตให้ภิกษุสามารถเลี้ยงดูบิดามารดาได้


    ดังนั้น ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราต้องมีจิตสำนึกของความเป็นลูกกตัญญู เลี้ยงดูท่านให้มีความสุขทั้งทางกายและทางใจ ดูแลท่านทั้งสองให้มีความสุขมากกว่าที่เราเคยได้รับจากท่าน อย่าให้ท่านต้องน้ำตานองหน้า อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย นั่งเหม่อลอยอยู่ตามบ้านพักคนชรา เพราะลูกหลานไม่เหลียวแล อย่าทำให้ท่านต้องตรอมใจ ตำหนิลูกหลานอยู่ในใจว่า เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณคน ขอให้ทุกท่านตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ หมั่นทำบุญกับพระอรหันต์ในบ้านให้เต็มที่ ให้ดีที่สุด


    พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

    *มก. สุวรรณสามชาดก เล่ม ๖๓ หน้า ๑๖๘
    บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//mongkol02-58.html

     
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    มงคลที่ ๑๑ "การบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข"

    [​IMG]

    จาก หนังสือ มงคล 38 และอุทุมพริกสูตร


    ต่อไปก็เป็นมงคลที่ ๑๑ พระบาลีว่า มาตาปิตุ อุปฏฺฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข ชื่อว่าเป็นอุดมมงคล นี่บาลีท่านกล่าวว่าบำรุงบิดามารดา แต่หากว่าเราบำรุงให้มีความทุกข์ละมันจะมีประโยชน์อะไร ก็เลยต่อท้ายอีกนิดว่าบำรุงบิดามารดาให้มีความสุข ถ้าทำให้ท่านมีความทุกข์เขาไม่เรียกบำรุง เขาเรียกทำลาย

    ตอนนี้ซิคนที่เป็นบิดามารดา คือ เป็นพ่อเป็นแม่ นี่เคยฟังเขามา เข้าไปในกรุงเทพฯเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เขาว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพูดว่าพ่อแม่ไม่สำคัญ ครูบาอาจารย์ไม่สำคัญ พระมหากษัตริย์ไม่สำคัญ เอ๊ะ แล้วเขาว่าใครสำคัญล่ะ นี่เขายังไม่เป็นพ่อคนแม่คนนะเขาพูด พอเขาเป็นพ่อคนแม่คนเข้าเถอะ พอเขารู้ว่าลูกของเขาพูดแบบนั้นเขาจะสลดใจเต็มที่ จะคิดว่าไอ้ลูกระยำคนนี้ เราเลี้ยงมันมาด้วยความรัก เราทะนุบำรุงมันมาด้วยความลำบาก เรามีความทุกข์อย่างหนักทุกอย่างเพื่อลูก เราจะไม่มีกินก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกมีกินก็แล้วกัน เราจะทุกข์สักเท่าใดก็ตามขอให้ลูกมีความสุข เราจะตายก็ช่างขอให้ลูกมีชีวิตอยู่ นี่ความรู้สึกของพ่อแม่ทุกคนเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าพ่อแม่นี่สละชีวิต สละความสุขเพื่อลูกได้ แต่หากถ้ารู้ว่าลูกมีอารมณ์จัญไร ถือว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ ท่านจะมีความรู้สึกยังไง เป็นอันว่าชีวิตและเลือดเนื้อของท่านนี่น่ะ ท่านได้มาจากไหนมานั่งคิดดูซิ ถ้าเราไม่มีพ่อไม่มีแม่เราเกิดมาได้ไหม หรือจะไปพูดแบบคนจัญไรทั้งหลายเคยได้ฟังมาหลายคน ว่าความจริงที่เขาเกิดมานี้น่ะ พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเกิดหรอกเขาย่องเกิดขึ้นมาเวลาที่พ่อแม่กำลังสนุกกัน เอ้า ถ้าบังเอิญมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ช่างเถอะ ตานี้ไอ้แดนที่เราเกิดน่ะ เกิดมาจากแดนไหน ไม่ใช่เกิดมาจากแดนของพ่อของแม่หรอกรึ? ที่บางทีท่านบังเอิญจะคิดว่า ช่างมัน เราไม่ได้ตั้งใจให้ลูกเกิด นี่เรามาร่วมรักเพื่อปรารถนาความสุข ตามความปรารถนาทางใจ แต่ว่าไอ้ลูกจัญไรเสือกมาเกิดทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้อนุญาต

    ตานี้ พอท่านที่เป็นพ่อเป็นแม่รู้แล้วว่ามีลูกทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าหากว่าท่านขาดความดี คือพรหมวิหาร ๔ ท่านก็คิดว่าไอ้ลูกจัญไรคนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจให้มาเกิด เสือกมาเกิดทำไมไม่เอา ฆ่ามันเสียให้ตาย อยู่ในครรภ์ไม่มีโทษอะไร ทำง่าย ๆ นิดเดียวมันก็ตายหรือไม่ยังงั้นทนเอาหน่อย พอออกมาจากท้องแล้วปล่อยมันเสีย ไม่ให้นมมันกิน ไม่เหลียวไม่แลไม่ดู มันจะเป็นยังไงช่างหัวมัน มันอยากจะตายก็เชิญตายไปตามอัชฌาสัย ไม่ได้ให้มันมาเกิดนี่ เท่านี้ไอ้เจ้าลูกอัปรีย์คนนั้นที่พูดแบบนั้น มันก็จะไม่มีโอกาสมาเห็นโลก ไม่มีโอกาสมาพูดข่มขู่ทำลายความดีของพ่อแม่ พ่อแม่ประกอบไปด้วยความดี พยายามระงับความสุขของตนเพื่อบำรุงความสุขของลูก ยอมทุก ๆ อย่างเพื่อลูกในท้อง ยอมมีความทุกข์ทุกอย่างเพื่อการศึกษาดีของลูก ยอมมีความทุกข์ทุกอย่างเพื่อลูกจะได้มีฐานะมั่นคง เป็นอันว่าความดีของพ่อของแม่ไม่ต้องพรรณนากันก็ได้ เพราะคนทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่คนอยู่แล้ว ตานี้ลูกคนนั้นก็ยังไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่คน แต่พอเป็นพ่อเป็นแม่คนเขาจะรู้สึกตัวเองว่าการบำรุงรักษาลูกมันหนักแค่ไหน หนักกายหนักใจเพียงไร รู้สึกเสียใจเพียงใด ถ้าลูกของเขาพูดอย่างนั้นได้

    นี่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ได้มีความเห็นเสมอกับคนประเภทนั้น ท่านบอกว่าพ่อแม่นี่ เป็นคนที่มีความสำคัญมาก เราจะมีชีวิตขึ้นมาได้ก็อาศัยพ่ออาศัยแม่ แล้วพ่อแม่ท่านเป็นคนดี ดีตรงไหน ดีที่มีพรหมวิหาร ๔ กับลูกทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านมีความรักจริง ถ้าท่านไม่รักเราท่านก็ปล่อยให้เราตายไม่เลี้ยง ท่านสงสาร สงเคราะห์ทุกอย่าง นับตั้งแต่อยู่ในท้องจนออกมาใหม่ ไม่รังเกียจ ขี้เยี่ยวอะไรก็ตาม ถ่ายออกมาเมื่อไหร่แม้แต่มือของท่านก็กอบอุจจาระของลูกไปทิ้งได้ ไม่มีความรังเกียจ ลูกมีความป่วยไข้ไม่สบายก็ยอมทน ไม่หลับไม่นอน ยอมเสียเงินเสียทองเพื่อลูกทุกอย่าง ลูกโตขึ้นมาแล้วให้การศึกษาทุกอย่าง มันจะเป็นหนี้เป็นข้าเพียงใดก็ตามที ขอให้ลูกของเรานี้มีความรู้ก็แล้วกัน ต่อมาในขั้นปลาย ท่านก็ตั้งใจจะทะนุบำรุงให้ลูกตั้งหลักตั้งฐานไปด้วยดี เมื่อลูกนี้แยกออกไปแล้วก็ยังไม่หมดความห่วงใย แม้แต่ลูกตายก็ยังมีจิตคิดสงเคราะห์ นี่ ว่ากันย่อ ๆ เพียงเท่านี้ เป็นความดีของพ่อแม่

    ตานี้ ถ้าเราเป็นคนดี ต้องการที่จะเป็นคนมีมงคล องค์สมเด็จพระทศพลบอกว่าต้องบำรุงพ่อบำรุงแม่นะ ถ้าเราไม่บำรุงพ่อบำรุงแม่ละก็แย่เลยพวกเรา ทำไมถึงจะเป็นยังงั้นก็เพราะว่าถ้าเราขาดการบำรุงพ่อบำรุงแม่ ใครเล่าเขาจะเห็นว่าเราดี ก็ชีวิตร่างกายของเรานี้เป็นของพ่อของแม่นี่ เพราะพ่อแม่ท่านให้ชีวิตเรา คือชีวิตเลือดเนื้อทั้งหมดที่มีในร่างกายของเราเป็นของท่าน อย่าลืม ถ้าไม่มีท่านเสียแล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง ตานี้ พอตั้งปฏิสนธิแล้ว พ่อแม่มีความรัก ปรารถนาดี สงเคราะห์ทุกอย่าง อดออมทุกอย่าง ถ้าสิ่งใดจะเป็นภัยแก่ลูกในครรภ์ ท่านพ่อแม่ยับยั้งทุกอย่าง ไม่ทำอย่างนั้น ไม่บริโภคอาหารอย่างนั้น เห็นใจหรือยังว่าท่านมารดามีความหนักใจเพียงใด อันตรายในการคลอดบุตรนะท่านเอ๋ย คนออกลูกตายเสียเยอะแยะแล้ว ตายเพราะอะไร ตายเพราะรักลูก ถ้าไม่อยากตายก็มีอย่างเดียว ลูกมันเกิดมาก็ทำให้มันแท้งไปเสียก็หมดเรื่อง นี่เพราะรักลูกตายเพราะคลอดลูกเสียนับไม่ถ้วน ท่านพ่อก็หนักมากขึ้นเมื่อท่านแม่มีลูก ภาระต่าง ๆ ที่พ่อแม่เคยช่วยกันก็ต้องถูกยับยั้งไป บางอย่างทำไม่ได้ เพื่อหวังดีแก่ลูก พ่อก็แบกซี แบกอื้อแทนท่านแม่ขึ้นมา นี่เป็นอันว่าท่านพ่อช่วยหามาเพื่อให้ท่านแม่บำรุง

    ตานี้ เมื่อถึงเวลาของเราบ้าง เราก็ต้องบำรุงท่าน การสนองคุณพ่อคุณแม่นี้บรรดาท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าบอกว่าโอ้โฮ คุณของพ่อของแม่นี่มหาศาลจริง ๆ บรรดาท่านชายหญิงทั้งหลายจะทำยังไงก็ตาม จะคิดว่าการสนองคุณพ่อคุณแม่ให้เสมอกับความดีของท่านน่ะ อย่าไปคิดยังงั้น มันเสมอไม่ได้แน่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตและเลือดเนื้อเรานะ ทีนี้เราจะเอาชีวิตของเราไปให้พ่อให้แม่เวลาท่านแก่แล้ว บอกนี่อย่าแก่เลยพ่อและแม่เอ๋ย เชือดคอเราเอาเนื้อเข้าไปยัดในกายของท่านให้เป็นหนุ่มขึ้นมาทำได้ไหม ทำไม่ได้ซี กลัวเจ็บกลัวตาย ตานี้ท่านจะตาย บอกว่าอย่าตายเลย เอาชีวิตของเราไปใส่แทนท่าน มันไม่มีโอกาสจะทำได้ นี่เป็นอันว่าเราให้อะไรท่านก็ให้ได้ แต่ให้ชีวิตร่างกายแก่ท่านจริง ๆ น่ะ ให้ไม่ได้

    ทีนี้ การสนองความดีของพ่อแม่นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าทำยังงี้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าท่านต้องการอะไร เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยจัดหาให้ท่านตามสมควรแก่ฐานะและความสามารถของเรา แล้วก็จงอย่าสร้างความสะเทือนใจให้เกิดแก่ท่าน เห็นท่านมีความเห็นผิดคิดมิชอบอย่าค้านตรง ๆ ค่อย ๆ หาทางเลี่ยง เป็นการหารือ สมมติพ่อและแม่บอกว่าไอ้หนูนี่ไปขโมยสตางค์คนนั้นมาทีเถอะ สตางค์ของเรามันไม่มี ถ้าเราไปค้านว่าไม่ดีอาจจะไม่ถูกใจท่าน ทำให้ท่านเดือดร้อน เราก็เอายังงี้ซี ทำทีเหมือนว่าไปขโมย ไปนอนแอบอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วก็กลับมาบอกว่าพ่อไม่ได้หรอกบ้านนั้น ตาคนนั้นแกระวังนั่งจ้องปืนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเข้าไปเมื่อไรแกฆ่าทันที แต่พอถึงเวลาอารมณ์ดีเรามีสตางค์ เราก็เอาสตางค์ไปให้ท่าน แล้วคุยไปคุยมาก็ลองถามท่านว่า พ่อ ไอ้สตางค์ของเรานี่น่ะถ้าบังเอิญใครเขามายื้อแย่งลักขโมยนี่เราพอใจไหม แกก็จะต้องตอบว่าไม่ได้ซิ ของเราใครจะขโมยไปไม่ได้ ดีไม่ดีต้องฆ่ากันตายเลยถ้าขืนขโมยกัน ตานี้เราก็ได้ท่าแล้วนี่ เราก็บอกนั่นน่ะซีพ่ออีวันนั้น ที่พ่อให้ไปขโมยสตางค์เขาน่ะ ผมก็คิดยังงั้นเหมือนกันครับ คิดว่านี่ทรัพย์สินของเขา เขาคงรักเหมือนเรารักของเรา แต่ความจริงผมไปผมไม่ได้ขโมยเขาหรอก ผมไปนั่งคิดนอนคิดว่าเขาคงคิดแบบนี้ ผมก็เลยไม่ได้ลักขโมยของเขา เพราะเห็นว่าเขาคงจะรักของ ๆ เขาเหมือนเรารักของ ๆ เรา นี่ ค่อย ๆ โอ้โลมปฏิโลม

    เป็นอันว่า จงพยายามทำจิตใจของพ่อแม่ที่มีความเห็นผิดให้กลับมีความเห็นถูก อย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงจะกล่าวว่าเราจึงจะเป็นลูกที่ดี จัดว่าเป็นการบำรุงพ่อแม่ทั้งวัตถุและจิตใจ ถ้าทำได้อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรท่านบอกว่าทำความดีคล้าย ๆ กับความดีของท่านที่มีกับเรา นี่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าคล้าย ๆ กันนะ ไม่ใช่ว่าความดีที่เราทำนี่เสมอเหมือนกับความดีท่านให้เราจะชื่อว่าเป็นการตอบสนองความดีของท่านให้มีความสุขเสมอกับความดีของท่านที่ให้เรายังใช้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าท่านให้ชีวิตจิตใจเรา เป็นแต่เพียงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคล้ายกันเท่านั้น การสนองความดีของพ่อแม่ให้หมด เช่นว่าให้เท่านี้พอแล้ว ความดีที่ให้กับพ่อแม่ ความดียิ่งกว่านี้ไม่มีอีก หมดกันทีบุญคุณของพ่อแม่ไม่มีสำหรับเรา ถ้าคิดอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน นี่เรียกว่าเราไม่รู้คุณบิดามารดามากล่าวถึงโดยโทษถ้าเราเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณท่าน อุปการะท่าน เอาใจท่านทุกอย่างพยายามหลีกเลี่ยงความชั่วที่ท่านมี หาความดีมาใส่ให้ท่าน ไม่สามารถจะสอนเองได้ก็เอาคนอื่นที่ท่านเคารพนับถือมาค่อย ๆ ช่วยแนะนำ แล้วปฏิบัติทุกอย่าง เช็ดผ้าขี้สีผ้าเยี่ยวบำรุงรักษา พยาบาลเมื่อท่านป่วยไข้ไม่สบาย แม้แต่ท่านจะตายก็ไม่รังเกียจในศพ หากว่าท่านเป็นคนประเภทนี้นะ

    ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าเป็นอุดมมงคล เป็นคนดีมีความสุขเพราะอะไร เพราะว่าคนทั้งหลายที่เขาเห็นว่าท่านนี่น่ะเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณพ่อรู้คุณแม่จริง ๆ สนองความดีของพ่อของแม่ด้วยหาความรังเกียจไม่ได้ ถึงแม้ว่าพ่อแม่ตายไปแล้ว ก็นอนใกล้ ๆ ศพได้โดยไม่มีความรังเกียจ พ่อแม่ตายไปแล้วยังคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ทำบุญให้พ่อให้แม่อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ชาวบ้านทุกคนโดยถ้วนหน้าเขาก็จะบอกว่าแหม เจ้านี่เป็นคนดีจริง ๆ คบได้ ถ้าพวกเราจะคบคนประเภทนี้ละก็ไม่เสียทีแน่ ในเมื่อพ่อแม่ของเขา ๆ ก็มีความกตัญญูรู้คุณ ถ้าเราจะสงเคราะห์เขาบ้าง เราจะช่วยเหลือเขาบ้าง คนประเภทนี้ไม่เป็นคนอกตัญญูทำลายความดีของเราแน่ เราให้เท่าไรไม่มีเสียเรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ สงเคราะห์เท่าไรก็ชื่อว่าบุคคล ๆ นี้ไม่อกตัญญู ไม่ทำลายความดีที่มี นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลาย ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าการบำรุงบิดามารดาชื่อว่าเป็นอุดมมงคล

    เมื่อเราเองก็กลายเป็นบุคคลที่ชาวบ้านชาวเมืองเขารัก เขาเห็นว่าเราเป็นคนดี ไปบ้านใคร ใครเขาก็ไม่รังเกียจให้พัก ไม่รังเกียจในการสงเคราะห์ แล้วไปที่ไหนก็หาศัตรูได้ยาก เพราะว่าเราเป็นคนดีเป็นคนที่ชาวบ้านรักมาก ในเมื่อเราเป็นคนที่ชาวบ้านเขารักไปบ้านใครก็ได้กินข้าว หนาวก็มีผ้าห่ม ป่วยไข้ไม่สบายก็มีคนสงเคราะห์ จะมีอันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นก็มีคนคอยช่วยเหลือ อย่างนี้ ท่านชื่อว่าเป็นความดี เป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์ หรือว่าเป็นความชั่ว เอ้า ท่านวัดเอาเองก็แล้วกัน เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรม ทรงสอนใครแล้วไม่เคยบอกใครว่า นี่ฉันสอนแกทำอย่างนี้แกต้องเชื่อฉันนะ นี่พระที่ดีท่านไม่พูดแบบนี้ ท่านบอกว่าฟังแล้ว ๆ ก็นำไปคิดก่อน นำไปปฏิบัติดูก่อน ถ้ามันดีจริง ๆ ละก็ค่อย ๆ นำไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าหากว่ายังดีไม่ได้ หาความดีไม่ได้ จะไปประพฤติปฏิบัติทำไมเสียเวลาเปล่า ๆ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสของท่านอย่างนี้นา เพราะว่าท่านแน่ใจว่า คำตรัสสิ่งที่เป็นมงคลนี้เป็นของดีจริง ๆ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับมงคลข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ ๑๑ เห็นไหมล่ะ ก็บอกแล้วนี่ว่าเจอะเอาคนไม่ดี ปากก็ไม่ดี แล้วแถมตาก็ไม่ดีเสียอีกด้วย เขียนไว้แล้วเชียวนาว่ามงคลข้อ ๑๑ แว่นก็ใส่ มองมามองไปก็ไม่รู้ว่าเลขอะไร นี่เป็นอันว่าคนพูดไม่มีอะไรดี แต่ความดีซึ่งจะพึงมีจากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ สำหรับคำอธิบายก็ว่ากันแบบนี้ ผิดบ้างถูกบ้างก็ขออภัยด้วย เป็นอันว่ามงคลที่ ๑๑ ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้

    ที่มา : www.luangporruesi.com/836.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2010
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ความกตัญญูกตเวที<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ทุกๆปีเมื่อถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นที่รักและเคารพของพวกเรา รัฐบาลได้กำหนดวันนี้ให้เป็นวันพ่อแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์ให้ลูกๆ ทุกคนได้ระลึกถึงพระคุณของพ่อ และของแม่ด้วย เพราะว่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้านั้น เป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อลูกๆ อย่างยิ่ง เป็นต้นเหตุที่ทำให้มีลูกๆเกิดมาได้ ถ้าไม่มีบิดามารดา ลูกๆทั้งหลายย่อมไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นมาในโลกนี้ได้ พระคุณของพ่อแม่จึงเป็นพระคุณอันใหญ่หลวง ยิ่งใหญ่กว่าน้ำในมหาสมุทร กว้างกว่าท้องฟ้าอย่างมากมาย พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า ถึงแม้จะเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดีที่สุด แบกหามท่านไว้บนบ่า บนไหล่ ให้ท่านขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะใส่ตัวเรา บุญคุณของท่านก็ยังทดแทนไม่หมด เพราะว่าพระคุณของท่านมาก ยิ่งกว่าที่ลูกๆจะสามารถทดแทนได้ จึงควรพยายามขวนขวายทดแทนพระคุณของบิดามารดาให้ได้เท่าที่จะสามารถทำได้ อย่าปล่อยให้ท่านต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ ลำบากยากเข็ญ อย่าปล่อยให้ท่านไปอยู่ตามสถานที่สงเคราะห์คนชรา ท่านเลี้ยงดูเรามาได้ จะลำบากยากดีมีจนอย่างไรท่านก็เลี้ยงเรามาจนได้ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเลี้ยงดูท่าน เราก็ต้องเลี้ยงดูท่านเหมือนกัน อย่าปล่อยปละละเลยหน้าที่อันนี้ แล้วเราก็โยนหน้าที่นี้ให้คนอื่นเขาไป เช่นไปฝากไว้ตามสถานที่เลี้ยงคนแก่ คนชรา อันนี้แสดงถึงความไม่กตัญญูกตเวที คนที่ไม่มีความกตัญญูกตเวทีนั้นเป็นคนไม่ดี<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    คนจะมีความกตัญญูได้นั้น ต้องเป็นคนที่มีความสำนึกในบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณกับเรา แล้วพยายามทดแทนบุญคุณของท่าน คนที่มีความกตัญญูกตเวทีนั้นไม่ว่าไปอยู่ที่ไหน กับใคร ย่อมประสบแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง เพราะว่ามีแต่คนชื่นชมยินดี ยินดีที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือต่างกับคนที่มีความอกตัญญู อยู่กับใครก็ไม่มีใครอยากจะสงเคราะห์ เพราะว่าสงเคราะห์ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ดีไม่ดีอาจจะแว้งกัดเอาก็ได้เหมือนกับอสรพิษ เราคงได้ยินเรื่องชาวนากับงูเห่า ชาวนาไปพบงูเห่าตัวหนึ่งกำลังบาดเจ็บไม่สบาย ชาวนานั้นด้วยความสงสารจึงนำงูเห่าตัวนั้นไปดูแลรักษาจนงูเห่าหายดี วันดีคืนดีชาวนาเผลอไปเหยียบหางเข้า งูเห่าตัวนั้นจึงกัดชาวนาจนถึงแก่ความตาย นี่เป็นลักษณะของผู้ที่ไม่มีความกตัญญู เหมือนกับเดรัจฉาน ไม่มีปัญญา ไม่มีสำนึกในเรื่องผิด ถูก ดี ชั่ว ไม่รู้ว่าใครมีพระคุณต่อเขา ถ้าอยากเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นคนที่ดีแล้ว ต้องพยายามระลึกถึงพระคุณของท่านผู้มีพระคุณ ระลึกถึงพระคุณของบิดามารดาอยู่เสมอๆ แล้วพยายามทดแทนพระคุณท่านตามแต่กรณีที่สมควร<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญกับคุณของบิดามารดาอย่างยิ่ง แม้กระทั่งเวลาที่บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ตามปกติแล้วเวลาพระท่านออกไปบิณฑบาต อาหารที่ท่านได้จากการบิณฑบาตนั้นท่านห้ามไม่ให้เอาไปแจกคนอื่นก่อน ให้เอาแจกกับพระภิกษุสงฆ์ก่อน แล้วถึงค่อยเอาไปแจกคนอื่น แจกลูกศิษย์ลูกหาได้ แต่ถ้าเป็นกรณีของพ่อแม่แล้ว ท่านยกเว้น ท่านไม่ว่า อาหารที่ได้มาจากการบิณฑบาตนี้ สามารถเอาไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ เพราะว่าพ่อแม่นั้นเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งกับลูกๆ ท่านเปรียบเหมือนกับเป็นพระอรหันต์ของลูกๆเลยทีเดียว ดังนั้นเวลาอยากจะทำบุญกับพระอริยเจ้า พระอริยบุคคล หรือพระอรหันต์ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล เรามีพระอรหันต์อยู่ที่บ้านเราแล้ว ทำบุญกับพระอรหันต์ที่บ้านของเราก่อน ได้บุญมากมายก่ายกอง ไม่ต้องไปหาพระที่อื่นทำหรอก นอกจากว่าหลังจากที่เราได้ทำบุญกับพ่อแม่ของเราแล้ว อยากจะทำบุญกับพระอรหันต์ข้างนอกแล้วก็ค่อยไป แต่อย่าลืมพระอรหันต์ที่บ้านของเรา เลี้ยงดูท่านให้ดีก่อน อย่าให้ท่านต้องอยู่อย่างลำบากยากเย็นเข็ญใจแย่กว่าเรา เราอยู่อย่างไร เรามีความสุขอย่างไร ก็ให้ท่านอยู่เหมือนกับเรา ไม่ใช่เราอยู่สุขอยู่สบาย เราร่ำรวยแล้ว แต่ท่านต้องอยู่อย่างลำบากยากจน มีความเป็นอยู่อย่างอดๆอยากๆ อย่างนี้ไม่ถูก<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงสุภาษิตไว้ว่า มาตาปิตุอุปัฎฐานัง เอตัมมังคลมุตตมัง การได้เลี้ยงดูบิดามารดานั้นเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นสิริมงคลกับตัวเรา ไม่มีใครอยากจะประสบกับความหายนะ ความทุกข์ ความฉิบหาย ความเสื่อมเสีย ทุกคนปรารถนาความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง ความมีสิริมงคล พระพุทธองค์จึงทรงชี้ทางแห่งความมีสิริมงคล ว่าอยู่ที่การกระทำของเรานั่นเอง การกระทำที่ดีที่งาม ก็เริ่มจากความเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที คอยเลี้ยงดูบิดามารดา

    นอกจากการเลี้ยงดูบิดามารดาแล้วนั้น การทดแทนพระคุณของบิดามารดา ยังมีอีกหลายวิธีด้วยกันเช่น ถ้าเรายังเป็นผู้ที่ยังอยู่ในความปกครองของท่าน ก็ขอให้เรามีความเคารพในโอวาทของท่าน ท่านอบรมสั่งสอนอะไร ก็ขอให้เราเชื่อฟัง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ท่านบอกเรา ท่านสอนเราอาจจะไม่เข้าหู ไม่ถูกใจเรา ก็ขอให้เราระงับโทสะไว้ อย่าไปตอบโต้ อย่าไปเถียงท่าน เพราะว่าบิดามารดาสั่งสอนด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนเรา ท่านรู้จักสิ่งผิดถูกดีชั่ว ดีกว่าเรา เมื่อท่านเห็นว่าเรากำลังดำเนินชีวิตของเราไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ท่านก็ห้ามเรา ซึ่งมักจะไม่ค่อยถูกใจเราเพราะว่าใจเราถูกกิเลสครอบงำทำให้อยากไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เช่นชอบออกไปเที่ยวเตร่ ไปเล่นการพนัน กินเหล้าเมายาเป็นต้น<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    เวลาบิดามารดาเห็นเรากำลังเดินไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ท่านก็คอยให้สติ ว่ากล่าวตักเตือน แม้ว่าเราจะเกิดความไม่พอใจ เกิดโทสะขึ้นมา เพราะไปขัดกิเลสเรา ก็ต้องพยายามตั้งสติไว้ให้มั่น พยายามบอกตัวเองว่า นี่พ่อแม่เรา ท่านสอนเรา ชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา สิ่งไหนที่ไม่ถูก ไม่ดีไม่งามนั้น บางทีเรามองไม่เห็น มองข้ามไป เมื่อท่านเตือนแล้ว เรารู้ เราจะได้แก้ไข ชีวิตเราก็จะปลอดภัย ถ้าเราดำเนินไปในวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง เช่นเอาแต่เที่ยวเตร่ เกียจคร้าน ไม่ไปโรงเรียน ไม่เรียนหนังสือ ไม่ทำมาหากิน เอาแต่ใช้เงินใช้ทอง ต่อไปเงินทองก็จะหมด แล้วชีวิตเราจะลำบาก เพราะว่าเมื่อหมดเงินหมดทองแล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย เมื่อหาเงินหาทองด้วยความสุจริตไม่ได้ ก็ต้องหาด้วยวิธีที่ไม่สุจริต เช่นประกอบมิจฉาชีพทั้งหลาย ขายยาเสพติด ขายตัวเป็นต้น<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากการที่ดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักเบรกตัวเอง เวลาบิดามารดาคอยสั่งคอยสอนก็ไม่เชื่อฟัง แล้วสุดท้ายใครจะเป็นคนรับเคราะห์ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง พ่อแม่ก็ต้องมาทุกข์ไปด้วยกับเรา แต่ถ้าเชื่อฟังและประพฤติปฏิบัติตัว ให้ดีให้งามตามที่ท่านสั่งสอน ชีวิตของเราก็จะเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นดีงาม มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง พ่อแม่ก็มีความสุข เพราะว่าหัวใจของพ่อแม่นั่นไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ก็อยู่ที่ลูกๆนั่นเอง อยู่ที่การอยากจะให้ลูกๆ มีความสุข มีความเจริญ อยากให้ลูกได้ดิบได้ดี แต่ถ้าลูกเกิดตกทุกข์ได้ยาก ตกระกำลำบาก ติดคุกติดตะราง ก็เหมือนกับพาจิตใจของพ่อแม่ให้ไปติดคุกติดตะรางด้วย ถ้าอยากให้พ่อแม่อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ก็ขอให้พยายามประพฤติตัวให้ดีงาม คอยดูตัวเองอยู่เสมอ ว่าวิถีชีวิตของเรานั้นเป็นไปในทิศทางที่ดีงามหรือเปล่า อยู่ห่างจากอบายมุขหรือเปล่า เช่นยาเสพติดก็ดี เล่นการพนันก็ดี การคบคนที่ไม่ดีก็ดี ความเกียจคร้านก็ดี การเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืนก็ดี เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทำไปแล้วจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ความหายนะแก่ตัวเราเอง และสร้างความไม่สบายใจให้กับบิดามารดา สร้างความทุกข์ให้กับพ่อแม่ของเรา<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    ถ้าอยากจะเป็นคนดี มีความกตัญญูกตเวที ก็ขอให้พยายามน้อมเอาโอวาทของบิดามารดาเข้ามาใส่ใจ พยายามประพฤติปฏิบัติตัวเราให้อยู่ในทิศทางที่ดีงาม แล้วชีวิตของเราก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น พ่อแม่ก็จะมีความสุข เราก็จะเป็นคนที่มีความกตัญญูกตเวที ไปอยู่ที่ไหนย่อมประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองโดยถ่ายเดียว ขอฝากเรื่องความกตัญญูกตเวที เรื่องพระคุณของบิดามารดาให้กับพวกเราทั้งหลายที่เป็นลูกๆ จงระลึกอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน อย่าลืมเป็นอันขาดว่าการที่เรามีตัวตนขึ้นมาได้นั้นก็เพราะบิดามารดาของเรา และหลังจากที่บิดามารดาได้ถึงแก่กรรมตายไปแล้ว เรายังทดแทนบุญคุณของท่านได้ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้กับท่าน เช่นวันนี้เรามาทำบุญกัน ก็ขอให้เรากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับท่าน ถ้าบิดามารดาได้ล่วงลับไปแล้วเผื่อท่านรออุทิศส่วนกุศลอันนี้อยู่ ท่านก็จะได้รับประโยชน์จากที่เราทำให้ในวันนี้ การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>ที่มา : http://www.kammatthana.com/D_24.htm</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  6. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    มงคลที่ ๑๑ บำรุงมารดาบิดา (มาตาปิตุ อุปัฏฐานัง)

    การบำรุงมารดาบิดา เป็นคุณธรรมของบุตร เพื่อทดแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ ที่มารดาบิดาเป็นผู้ให้แก่บุตรมาก่อน โดยสรุป คือ.

    ๑. เป็นผู้ให้กำเนิด มารดาบิดาให้ชีวิตความเป็นคนแก่บุตร โดยเป็นต้นแบบทางกาย ก่อกำเนิดในครรภ์มารดา กินอาหารจากท้องของมารดาประมาณ ๑๐ เดือน มารดาต้องทนทุกข์ทรมานขณะคลอดอย่างสาหัส กว่าลูกจะคลอดเป็นคนโดยปลอดภัย

    ๒. เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู มารดาบิดาเลี้ยงบุตรตั้งแต่คลอดจนเติบใหญ่ด้วยน้ำนมจากเต้าของมารดา และด้วยทรัพย์ที่มารดาบิดาช่วยกันหามาได้ สำหรับคนบางคน มารดาบิดามิได้เลี้ยงดู ผู้ที่เลี้ยงดูก็เป็นผู้มีพระคุณรองจากมารดาบิดา เพราะถ้ามารดาบิดาไม่ให้กำเนิด ผู้เลี้ยงดูคงไม่มีโอกาสเป็นผู้มีพระคุณแก่เรา

    สมญานามของพ่อแม่

    ๑. เป็นพรหมของบุตร เพราะมีธรรมของผู้ใหญ่ ๔ ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    ๒. เป็นเทวดาของบุตร เพราะสอนให้บุตรละอายบาป และเกรงกลัวต่อบาป
    ๓. เป็นครูคนแรกของบุตร เพราะสอนบุตรทุกเรื่องตั้งแต่แรก เกิดก่อนเข้าโรงเรียน
    ๔. เป็นพระอรหันต์ของบุตร เพราะ
    - เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุตร
    - เป็นผู้ปกป้องอันตรายและให้ความอบอุ่นแก่บุตร
    - เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อท่าน
    - เป็นผู้ควรแก่การเคารพ กราบไหว้ของบุตร

    คุณธรรมของลูกต่อมารดาบิดา คือ กตัญญู กตเวที
    กตัญญู : เห็นคุณท่านว่าให้กำเนิดเราเลี้ยงดูเรา
    กตเวที : ตอบแทนคุณของท่านตั้งแต่เดี๋ยวนี้

    ผลดีของการบำรุงมารดาบิดา
    ๑. ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    ๒. ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เจริญก้าวหน้า
    ๓. เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตรทำให้บุตรเลี้ยงเราตอบ
    ๔. ทำให้เป็นผู้สมควรที่จะได้รับทรัพย์มรดก

    บุตรพึงบำรุงมารดาบิดา ด้วยสถาน ๕
    ๑. ท่านได้เลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
    ๒. ทำกิจของท่าน
    ๓. ดำรงวงศ์สกุล
    ๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก
    ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่านมารดาบิดามีคุณต่อบุตรมากมายมหาศาล แม้ว่าบุตรจะวางท่านไว้บนบ่าและเลี้ยงดูท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

    การตอบแทนของบุตรที่มีคุณค่าสูงสุด คือ
    ๑. ทำให้ท่านมีศรัทธาในพุทธศาสนา
    ๒. ทำให้ท่านยินดีในทานและบริจาค
    ๓. ทำให้ท่านรักษาศีลเป็นนิจ

    ๔. ทำให้ท่านทำสมาธิภาวนาเป็นนิจ เพราะ ทาน ศีลภาวนาเป็นทางไปสู่ นิพพาน
    “ทองแท้หรือไม่โดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่ให้ดูตรงที่การเลี้ยงดูพ่อแม่
    การเลี้ยงพ่อแม่ที่สมบูรณ์ ต้องเลี้ยงให้พ่อแม่มีความสุขทั้งกายและใจ”

    ที่มา : http://membres.lycos.fr/artycenter/artill/moko11.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  7. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    มงคลที่ ๑๑


    บำรุงบิดามารดา - ฝ่าเท้ามารดา หนทางพาสู่สวรรค์

    บุคคลใดปฏิบัติชอบในมารดา ในบิดา ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในสาวกของพระตถาคตเจ้า คนเช่นนั้นย่อมได้ บุญมากแท้ เพราะความประพฤติธรรมในมารดาบิดา ในโลกนี้ บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญเขา ครั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์

    เครื่องพันธนาการที่คอยเหนี่ยวรั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ติดข้องอยู่ในภพสาม ไม่ใช่เครื่องจองจำที่ใช้เหนี่ยวรั้งนักโทษ แต่เป็นความยินดีในทรัพย์สินเงินทอง และในกามคุณทั้งหลาย หากเราไม่มีสติกำกับให้ดี เท่ากับว่า เราตกอยู่ในที่คุมขังที่แน่นหนาที่สุด ยากที่จะหลุดพ้นออกมาได้ เพราะจะถูกกักขังกันเป็นชั้นๆ เริ่มตั้งแต่ นิริยภูมิ มนุสสภูมิ โลกสวรรค์ แม้กระทั่งพรหมและอรูปพรหม ล้วนตกอยู่ในที่คุมขังทั้งสิ้น ดังนั้น ควรหมั่นให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา ฝึกฝนอบรมใจให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ เมื่อความบริสุทธิ์เต็มเปี่ยม จิตจะหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งปวงและมุ่งสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นความสุขอันเป็นอมตะอย่างแท้จริง


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทุติยขตสูตร ว่า


    "มาตริ ปิตริ จาปิ โย สมฺมาปฏิปชฺชติ

    ตถาคเต จ สมฺพุทฺเธ อถวา ตสฺส สาวเก
    พหุญฺจ โส ปสวต ปุญฺญปิ ตาทิโส นโร ฯ
    ตาย ธมฺมจริยาย มาตาปิตูสุ ปณฺฑิตา
    อิเธว นํ ปสํสนฺติ เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ

    บุคคลใดปฏิบัติชอบในมารดา ในบิดา ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในสาวกของพระตถาคตเจ้า คนเช่นนั้นย่อมได้บุญมากแท้ เพราะความประพฤติธรรมในมารดาบิดาในโลกนี้ บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญเขา ครั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์"


    บิดามารดา ท่านผู้รู้กล่าวว่าเป็นทิศเบื้องหน้า ที่เราจะต้องเคารพบูชากราบไหว้ เป็นบุพการีชนที่มีอุปการะต่อเราก่อนใครๆ เป็นบุรพาจารย์ คือ เป็นครูคนแรกของลูกที่สอนให้รู้จักยืน เดิน นั่ง นอน สอนการพูดจา และกิริยามารยาทต่างๆ ท่านเป็นพรหมของลูก คือ มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ ได้แก่ มีความเมตตาปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด มีความกรุณาปรานี ไม่หวังสิ่งตอบแทนจากลูก ขอเพียงให้ลูกเติบโตเป็นคนดีของสังคมเท่านั้น ก็พอใจแล้ว ครั้นลูกประสบความสำเร็จ พ่อแม่ก็เป็นคนแรกที่มีมุทิตาจิต ปลื้มอกปลื้มใจ ที่เห็นลูกเจริญรุ่งเรืองในชีวิตและมีอุเบกขาธรรม มีใจเป็นกลางรักลูกทุกคนเท่ากันหมด


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประพฤติตนเป็นแบบอย่างของความเป็นลูกยอดกตัญญูมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ตั้งแต่สมัยเป็นพระมหาชนก แบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทร ๗ วัน ๗ คืน ไม่ยอมปล่อยมารดาทิ้งให้เป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายกลางทะเล เมื่อเสวยพระชาติเป็นสุวรรณสาม มีพ่อแม่ตาบอดสนิททั้งสองข้าง ท่านก็อุปัฏฐากบำรุงเป็นอย่างดี


    แม้กระทั่งพระพุทธองค์ทรงถือกำเนิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ทรงสามารถประพฤติวัตร คือ ความกตัญญูกตเวทีได้อย่างสมบูรณ์


    *เช่นในสมัยที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นช้างเผือก ที่มีความ กตัญญู มีบริวารถึง ๑๐๐,๐๐๐ เชือก สามารถปกครองช้างทั้งหมดให้อยู่กันอย่างมีความสุข มารดาของท่านตาบอด ไม่สะดวกในการหาอาหารด้วยตนเอง ในคืนวันหนึ่ง พญาช้างโพธิสัตว์จึงพามารดาไปอยู่ในถ้ำที่เชิงเขาตามลำพัง คอยหาน้ำ หาอาหารมาเลี้ยงดูแลท่านด้วยความกตัญญู

    ต่อมา พรานป่าคนหนึ่งเข้าไปล่าสัตว์ในป่าใหญ่ เกิด เดินหลงป่าวนอยู่ถึง ๗ วัน ๗ คืน หาทางออกไม่พบ กระทั่งเดินมาพบพญาช้าง พระโพธิสัตว์จึงให้นายพรานนั่งบนหลัง และนำออกจากป่าไป นายพรานเป็นคนอกตัญญู คิดจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คิดว่าหากกลับไปถึงในเมืองเมื่อไรจะต้องไปกราบทูลพระราชา เผื่อจะได้รับพระราชทานเงินรางวัลบ้าง


    ขณะที่ออกจากป่า นายพรานได้แอบทำเครื่องหมายตามต้นไม้ เมื่อกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยแล้ว จึงไปกราบทูลพระราชา บังเอิญในช่วงนั้น ช้างมงคลของพระราชาล้มตายลง พระราชาทรงดีพระทัย รับสั่งให้นายหัตถาจารย์เดินทางเข้าป่าพร้อมกับนายพราน เพื่อที่จะไปนำพญาช้างโพธิสัตว์ มาเป็นช้างมงคลประจำเมือง


    เมื่อพญาช้างเห็นนายหัตถาจารย์ พร้อมกับทหารมากมายเข้ามาในป่าใหญ่ รู้ว่าภัยกำลังจะเกิดขึ้น เพราะอาศัยบุรุษชั่วที่เคยช่วยเหลือไว้ ท่านจึงสอนตนเองว่า ตัวเรานี้เป็นผู้มีกำลังมาก สามารถจะกำจัดช้างได้ตั้ง ๑,๐๐๐ เชือก หากโกรธแล้ว สามารถทำแว่นแคว้นของพระราชาให้ย่อยยับได้ แต่วันนี้ เพื่อรักษาศีล แม้เราจะต้องถูกเขาผูกไว้ที่เสาล่ามช้าง เอาหอกทิ่มแทง เราจะไม่โกรธ จะอดทน เมื่อคิดอย่างนั้น ท่านจึงน้อมศีรษะลงและยืนนิ่งเฉย


    นายหัตถาจารย์เห็นพญาช้าง ซึ่งสมบูรณ์ด้วยลักษณะครบทุกประการ จึงกล่าวด้วยความเมตตาว่า "มานี่แน่ะลูก มาเป็นช้างมงคลของพระราชาเถิด" แล้วขึ้นขี่หลัง นำกลับไปกรุงพาราณสี ฝ่ายมารดาพระโพธิสัตว์ เห็นว่าลูกช้างไม่กลับมาหา ก็นึกเอะใจว่า คงถูกจับตัวไปแล้ว จึงไม่ยอมดื่มน้ำ ไม่ยอมไปที่ไหนเลย นางคิดถึงลูกมากจึงตั้งใจว่า หากลูกช้าง ไม่กลับมา จะไม่ยอมกินอาหาร


    แม้พระโพธิสัตว์จะได้รับการต้อนรับอย่างดี อยู่ในโรงช้างที่ประพรมด้วยน้ำหอม มีอาหารรสเลิศ แต่ก็คิดถึงมารดาตลอดเวลา ไม่ยอมรับอาหารใดๆ เช่นกัน เมื่อพระราชาทรงทราบข่าว จึงเสด็จมาดูช้างมงคลด้วยพระองค์เอง ทรงอ้อนวอน พระโพธิสัตว์ว่า "ดูก่อนพญาช้างผู้ประเสริฐ เชิญพ่อรับคำข้าวเถิด อย่าได้ผ่ายผอมเลย ราชกิจที่จะต้องทำมีอยู่มากมาย เชิญกินก่อนเถิด"


    พระโพธิสัตว์ได้แผ่กระแสแห่งความเมตตาไปยังพระราชา พลางอธิษฐานจิตพร้อมกับกล่าวเป็นภาษามนุษย์ว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพเจ้ามีแม่ซึ่งตาบอด รอคอยอาหารจากข้าพเจ้า อยู่ในป่า นางอดอาหารมาหลายวัน เมื่อไม่มีผู้นำทาง คงจะสะดุดตอไม้ ตกเหวตายอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหากปราศจาก มารดา ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้"

    พระราชาทรงสดับเช่นนั้นแล้ว รู้สึกชื่นชมในความกตัญญูของพญาช้าง จึงรับสั่งให้นายหัตถาจารย์ปล่อยพญาช้าง กลับไปหามารดาตามเดิม

    เมื่อพญาช้างหลุดพ้นจากเครื่องผูก ได้รับอิสรภาพแล้ว ก่อนจะออกจากเมือง ได้แสดงทศพิธราชธรรมถวายพระราชา พร้อมเหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพาร จากนั้นก็มุ่งหน้าไปหามารดา ซึ่งรอคอยอยู่ในป่า ท่านได้เลี้ยงดูมารดาซึ่งตาบอดจนตลอดอายุขัย เมื่อละโลกแล้ว ได้ไปบังเกิดในสวรรค์


    นี่เป็นตัวอย่างของความกตัญญูกตเวทีของพระบรมศาสดาของเรา ในสมัยที่ยังสร้างบารมีอยู่ เราจะเห็นว่า กี่ภพ กี่ชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ก็ตาม พระองค์ได้บำเพ็ญวัตรของผู้มีความกตัญญู บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดาได้อย่างสมบูรณ์ มาในภพชาติสุดท้าย พระองค์ยังเสด็จไปโปรดเทพบุตรพุทธมารดาถึงบนสวรรค์ ให้ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน


    เพราะฉะนั้น ทุกท่านต้องตระหนักถึงคุณธรรมความกตัญญูไว้ให้ดี ต้องหาโอกาสตอบแทนผู้มีพระคุณ บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดาของเราให้ดี ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "บุคคลใดปฏิบัติชอบในมารดา ย่อมได้บุญมากแท้ ครั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์" คำว่า ปฏิบัติชอบ เราก็รู้หลักกันหมดแล้วว่า ต้องให้ท่านมีศรัทธา ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

    วิธีการที่ควรประพฤติปฏิบัติในแต่ละวัน คือ การแสดงออกทางกายและทางวาจาต่อท่าน จงอย่าดูเบา ทางกายต้องปรนนิบัติท่านให้ดี ทางวาจาต้องมีถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ไม่พูดจาให้ท่านสะเทือนใจ ก่อนนอนก็ให้ก้มกราบ ระลึกถึงคุณของบิดามารดา นั่นคือ หนทางพาสู่สรวงสวรรค์ เพราะเรากำลังกราบเนื้อนาบุญ กราบพระประจำบ้าน ใครที่กราบพ่อกราบแม่ได้ แสดงว่ามีจิตใจสูงมาก ยอมรับคุณธรรมความดีของท่านทั้งตัวและหัวใจ ตัวเราจะเป็นที่รองรับของคุณธรรมความดีทั้งหลาย ดังนั้นให้ทุกท่านบำรุงบิดามารดาให้ดี และประพฤติดีปฏิบัติชอบต่อท่าน ทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า เป็นอภิชาตบุตร


    พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

    *มก. สีลวนาคจริยา เล่ม ๗๔ หน้า ๒๓๔
    บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/dhamma_for_people/mongkol02-60.html

     
  8. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" id=AutoNumber14 border=0 cellPadding=3 width=610 height=192><TBODY><TR><TD style="COLOR: #0000cc; FONT-WEIGHT: bold" height=8 width="100%">
    มงคลที่ ๑๑ บำรุงบิดามารดา​
    </TD></TR><TR><TD height=8 width="100%">
    </TD></TR><TR><TD height=4 width="100%">
    "ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ
    เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด
    คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
    เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่และผู้มีอุปการคุณฉันนั้น
    ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้
    คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่
    ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าดีไม่จริง
    เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊"


    พ ร ะ คุ ณ ข อ ง พ่ อ แ ม่

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

    ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด

    บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ

    ๑. เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง

    ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใด ก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้เกิดเป็นคน ได้โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำ ความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง

    ๒. เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์

    ส ม ญ า น า ม ข อ ง พ่ อ แ ม่
    สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้

    - พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประ-การ ได้แก่
    ๑. มีเมตตา คือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
    ๒. มีกรุณา คือหวั่นใจในความทุกข์ของลูก และคอยช่วยเหลือเสมอ ไม่ทอดทิ้ง
    ๓. มีมุทิตา คือเมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
    ๔. มีอุเบกขา คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ

    - พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัย เลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ

    - พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรมทั้งคำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ

    - พ่อแม่เป็นวิสุทธิเทพของลูก เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่
    ๑. ไม่ถือสาในความผิดของลูก แม้ว่าบางครั้งลูกจะพลาดพลั้ง ล่วงเกิน ก็ให้อภัยเสมอ
    ๒. ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงปรารถนาให้ลูกได้ดี มีความสุข
    ๓. เป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
    ๔. เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก

    คุ ณ ธ ร ร ม ข อ ง ลู ก

    เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูก เริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนา ได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้

    กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญาว่า ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น

    คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่วๆ ไป เมื่อจะอุปการะใคร เขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่า อุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้น เป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใดๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่า ไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียว ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า อวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้ว ยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียว ระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ทั้งๆ ที่ไม่มี ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ ต้องคิดดูด้วยเหตุผล อย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละ เรียกว่า กตัญญู เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใส และสว่างมากขึ้นเท่านั้น

    กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ

    ๑. ประกาศคุณท่าน
    ๒. ตอบแทนคุณท่าน

    การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมาก ไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือที่ตัวเรานี่เอง

    คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่***บศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่า พ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกได้ไม่ดี

    พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็จงประกาศคุณความดีของท่านสิ ประกาศด้วยความดีของตัวเราเอง ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่ พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ด จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

    ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่าน หรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเรา ด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำ ถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้า ด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

    การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ

    ๑. เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่าน ให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือ เมื่อท่านเจ็บป่วย
    ๒. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
    แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่าน ให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้

    ๑. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    ๒. ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    ๓. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    ๔. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
    เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน

    อ า นิ ส ง ส์ ก า ร บ ำ รุ ง บิ ด า ม า ร ด า

    ๑. ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    ๒. ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
    ๓. ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
    ๔. ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย
    ๕. ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
    ๖. ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    ๗. ทำให้เทวดาลงรักษา
    ๘. ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    ๙. ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
    ๑๐. ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
    ๑๑. ทำให้มีความสุข
    ๑๒. ทำให้เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง
    ฯลฯ

    "เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดานั้นแล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้นี่เอง เขาละโลกไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์" ขุ. ชา. สตฺตติ ๒๘/๑๖๒/๖๗


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=lovele&topic=12&Cate=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  9. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=660><TBODY><TR bgColor=#f0ffff><TD align=middle>มงคล ๓๘ ตอน ๑๑ บำรุงบิดามารดา... </TD></TR><TR><TD bgColor=#fffff0 align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=660 bgColor=#fffff0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="18%" align=right>รายละเอียด : </TD><TD align=left>บำรุงท่าน อันบิดา แลมารดา
    เราเกิดมา ท่านเมตตา รักษาสอน
    เป็นผู้ให้ ด้วยใจจริง สิ่งแน่นอน
    คุณบิดร และมารดา มากกว่าใคร
    อันกิจใด ช่วยท่านได้ ให้ทำเถิด
    จะประเสริฐ เกิดนิยม สมสุขใส
    เมื่อท่านอยู่ จงดูแล อย่าแปรใจ
    บุญยิ่งใหญ่ จดจำไว้ ในใจเทอญ

    บทที่ ๑๑ บำรุงบิดามารดา

    ผู้ชายที่ให้บิตรธิดาเกิดมา เรียกว่า บิดา ผู้หญิงที่ให้บุตรธิดาเกิดมา เรียกว่า มารดา เรียกง่าย ๆ เป็นคู่กันว่า พ่อแม่ พ่อแม่นั้นมีคุณกับลูกมาก ท่านมีความประพฤติเช่นเดียวกับพรหม เพราะท่านมีเมตตาความรักความปรารถนาดีมอบให้ลูกด้วยใจจริง มีกรุณาความสงสารช่วยเหลือเมื่อลูกประสพความลำบาก ชื่นชมยินดีเมื่อลูกประสพความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้ ท่านเป็นดังเทพผู้ประเสริฐ เพราะนำประโยชน์สุขมาให้แก่ลูกโดยส่วนเดียว ท่านเป็นบุรพาจารย์ของลูก เพราะเป็นครูผู้ให้รู้จักสิ่งต่าง ๆ ในโลกก่อนใคร ๆ ท่านเป็นอาหุไนยบุคคลของลูก เพราะมีอุปการะเลี้ยงดูมา แสดงโลกนี้ให้ปรากฎแก่ลูก จึงสมควรที่ลูกทั้งหลายจะต้องให้ความเคารพ บำรุงเลี้ยงดูท่าน ปรนนิบัติในความเป็นอยู่ส่วนตัวรับใช้ทำกิจการงานของท่าน ทำตนให้สมควรรับทรัพย์มรดกชื่อเสียงวงศ์ตระกูลสืบต่อไป ส่งเสริมให้พ่อแม่มีความเชื่อถือเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ให้มีศีลมั่นคง ให้มีการเสียสละเพื่อกำจัดความตระหนี่ และให้มีปัญญาในกุศลธรรม เมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้ว ควรทำทานตามเพิ่มให้ซึ่งส่วนบุญ ความเป็นผู้รู้จักบำรุงเลี้ยงบิดามารดา ย่อมเป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย

    ที่มา : http://www.tourthai.com/picture/general/pic06654.shtml

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  10. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=17425[/MUSIC]

    เนื้อเพลง ค่าน้ำนม

    แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
    ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
    แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่
    กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเห ไปจนไกล

    เมื่อเล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
    แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
    เติบ โตโอ้เล็กจนใหญ่
    นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม

    * ควร คิดพินิจให้ดี
    ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม
    โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม
    เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน

    ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง
    แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน
    บวช เรียนพากเพียรจนสิ้น
    หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย

    ที่มา : รวมเพลงวันแม่ เปิดฟังแล้วรู้สึกรักแม่มากขึ้นอีก^^หญิงที่รักเราแท้แน่คือแม่เรา - Buddhism Audio
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2010
  11. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ปาฐกถาธรรมเรื่อง
    การบำรุงมารดาบิดาเป็นมงคลอันสูงสุด
    โดย พระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย​

    วันอาทิตย์ ที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ เวลา ๐๘.๐๐ น. ​
    เจริญพร ญาติโยมสาธุชนผู้ฟังทุกท่าน
    วันนี้อาตมภาพจะได้บรรยายเรื่อง “การบำรุงมารดาบิดาเป็นมงคลอันสูงสุด” คือ เป็นข้อปฏิบัติที่ย่อมให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติให้ถึงความเจริญและสันติสุขในชีวิตได้อย่างดีที่สุด ข้อ ๑ ในมงคล ๓๘ ประการ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วแก่เทพบุตรตนหนึ่ง ในยามราตรี ในสมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้นครสาวัตถี

    ข้อปฏิบัติอันเป็นมงคลสูงสุดนี้ เป็นพระพุทธดำรัสตรัสแก่เทพบุตรในพระคาถาที่ ๔ มีความโดยสังเขป ดังที่ท่านทั้งหลายจะเคยได้ยินเวลาที่พระสงฆ์ท่านเจริญพระพุทธมนต์ บทมงคลสูตร ในงานมงคลว่า

    <TABLE width="48%" align=center><TBODY><TR><TD width="12%"></TD><TD width="42%">อเสวนา จ พาลานํ</TD><TD width="46%">ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา</TD></TR><TR><TD></TD><TD>อนากุลา จ กมฺมนฺตา</TD><TD>เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ”



    </TD></TR><TR><TD colSpan=3>“การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรและภรรยา ๑ การงานไม่อากูล ๑ นี้เป็นมงคลอันสูงสุด”



    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในวันนี้อาตมภาพจะได้กล่าวเฉพาะมงคลข้อแรกในพระคาถานี้ คือ ข้อ “การบำรุงมารดาบิดาเป็นมงคลอันสูงสุด” พอเป็นคุณเครื่องประกอบสติสัมปชัญญะ ด้วยปัญญาอันเห็นชอบ แก่ท่านผู้สนใจในธรรมสืบต่อไป

    ๑. พระคุณของมารดาบิดา
    พระคุณของมารดาผู้กระทำกิจที่ทำได้ยากนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสเล่าเรื่องแต่อดีตชาติที่เคยเป็นดาบสชื่อ โสณบัณฑิต และได้ประกาศความที่มารดาเป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยากแก่พระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น มีปรากฏในพระคาถาโสณนันทชาดก สัตตนิบาต (ขุ. ชา. ๒๘/๑๖๒/๖๕-๖๗) มีความว่า
    ”มารดาผู้หวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่เทวดา และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดูและปีทั้งหลาย
    เมื่อมารดานั้นมีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ก็ย่อมมี เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้นมารดาจึงแพ้ท้อง เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า เป็นผู้มีใจดี (สหุทา)
    มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปีหรือหย่อนกว่าปีแล้วจึงคลอด เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ชนยนฺตี และ ชเนตฺตี ผู้ยังบุตรให้เกิด
    มารดาย่อมปลอบบุตรผู้ร้องไห้อยู่ให้รื่นเริง ด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้าง ด้วยการขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้มแนบไว้กับอกบ้าง เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตรให้รื่นเริง
    ต่อแต่นั้น มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน ไม่รู้จักเดียงสา เล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอันกล้าก็เข้ารับขวัญ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า โปเสนฺตี ผู้เลี้ยงดูบุตร
    มารดาย่อมคุ้มครองทรัพย์แม้ทั้งสองฝ่าย คือ ทรัพย์ของมารดาและทรัพย์ของบิดา เพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า ทรัพย์ทั้งสองฝ่ายพึงเป็นของบุตรแห่งเรา
    มารดายังบุตรให้ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้ซิลูก อย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบาก
    เมื่อบุตรกำลังรุ่นหนุ่มคะนอง มารดาย่อมคอยมองดูบุตรผู้หลงเพลิดเพลินในภรรยาผู้อื่น จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ย่อมเดือดร้อนด้วยประการฉะนี้

    บุตรผู้อันมารดาเลี้ยงดูมาแล้ว ด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงมารดา บุตรนั้น ชื่อว่า ประพฤติผิดในมารดา ย่อมเข้าถึงนรก

    บุตรผู้อันบิดาเลี้ยงมาด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงบิดา บุตรนั้น ชื่อว่า ประพฤติผิดในบิดา ย่อมเข้าถึงนรก

    เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุงมารดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น
    เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุงบิดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น
    ความรื่นเริง ความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งว่า พึงได้เพราะการบำรุงมารดา

    ความรื่นเริง ความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งว่า พึงได้เพราะการบำรุงบิดา”
    นี้เป็นคำประกาศพระคุณของมารดาที่โสณบัณฑิต ซึ่งในอดีตชาติ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ได้เคยเสวยพระชาติเป็นดาบส คือ ฤาษีชื่อว่า ”โสณบัณฑิต” ได้ประกาศความที่มารดาเป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยาก แก่พระราชาในชมพูทวีปในกาลนั้น อนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส (องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๖๓/๙๒) ต่อไปอีกว่า
    ”ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ‘พรหม’, ‘บุรพาจารย์’, ‘อาหุไนยบุคคล’ (ผู้ควรรับของอันบุตรทั้งหลายพึงนำมาบูชา) นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะมารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ประคบประหงมเลี้ยงดูบุตร เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร .... เพราะเหตุนั้นแหละ บุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงนอบน้อม พึงสักการะท่านด้วยข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ที่นอนที่นั่ง อบกาย ให้อาบน้ำและชำระเท้า เพราะเหตุที่บุตรผู้เป็นบัณฑิตได้บำรุงปรนนิบัติในมารดาบิดา บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขา ครั้นเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์”
    ๒. มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร
    ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร” นั้น ก็เพราะว่า คำว่า “พรหม” นั้น หมายถึง ท่านผู้มีคุณธรรมอันประเสริฐ ด้วยพรหมวิหารธรรม กล่าวคือ เมตตา คือ ความรักปรารถนาที่จะให้สัตว์โลกทั้งหลายอยู่ดีมีสุข กรุณา ความเวทนาสงสาร ปรารถนาที่จะให้สัตว์โลกทั้งหลายผู้มีทุกข์ให้ได้พ้นทุกข์ มุทิตา ความพลอยยินดีที่ผู้อื่นได้ดี มีความสุขความเจริญ อุเบกขา มีใจมัธยัสถ์เป็นกลางวางเฉย เมื่อเห็นสัตว์โลกถึงซึ่งความวิบัติอันตนไม่อาจจะช่วยได้
    พระคุณของมารดาบิดานั้น เทียบได้กับคุณธรรมของพรหม มีท้าวมหาพรหม เป็นต้น ท้าวมหาพรหมนั้นเป็นผู้เจริญพรหมวิหารธรรมในหมู่สัตว์อยู่เสมอเป็นนิจ ฉันใด มารดาบิดาก็เป็นผู้เจริญพรหมวิหารทั้ง ๔ ในบุตรอยู่เสมอ ฉันนั้น

    ดังลูกๆ ต่างมีประสบการณ์ในเมตตาธรรมของพ่อ-แม่อย่างมากมาย จะเห็นได้ชัดที่สุดก็ได้แก่ พ่อ-แม่นั้นมีแต่ความรักให้ลูก ปรารถนาที่จะให้ลูกได้ดีมีสุขเทียมหน้าเทียมตาผู้อื่นเขา ตั้งแต่เริ่มจะมีลูกก็พากันสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างฐานะของครอบครัวไว้ให้ดีที่สุด เพื่อไว้รองรับลูก ครั้นทราบว่าแม่ตั้งครรภ์ก็ตื่นเต้นดีใจ คอยประคบประหงมลูกในครรภ์ เพื่อให้เจริญเติบโตด้วยดี คอยระวังมิให้อะไรมากระทบกระเทือนให้ลูกในครรภ์เดือดร้อน ครั้นลูกคลอดออกมาแล้ว ก็ยิ่งคอยเอาใจใส่ดูแลให้ลูกเจริญวัยด้วยดี ให้มีความสุขทุกประการ เมื่อลูกๆ ถึงวัยเรียน พ่อ-แม่ก็ขวนขวายที่จะให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือในสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดในสายตาของพ่อ-แม่ เท่าที่จะสามารถส่งเสียให้ศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาระดับนั้นได้ แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง จนแทบจะเกินกำลังทรัพย์ของตน หรือแม้บางครั้งก็เกินกำลังทรัพย์เกินฐานะของตน พ่อ-แม่ก็พยายามขวนขวายทำให้สำเร็จ ด้วยปรารถนาที่จะให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่ดีๆ เทียมหน้าเทียมตาผู้อื่นเขา แม้จะทุกข์ยากลำบากก็ไม่ยอมปริปากบอกลูกให้ลูกต้องสะเทือนใจ หวังอยู่แต่ที่จะให้ลูกมีความสุขความเจริญถ่ายเดียว นี้คือ เมตตาธรรม ที่พ่อ-แม่ทั้งหลายมีให้ลูกๆ เป็นส่วนมาก เพราะเหตุนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า “มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร”

    พ่อ-แม่มีพระคุณต่อลูกๆ เช่นนี้ เยาวชนทั้งหลาย เธอทั้งหลายเคยพิจารณาเห็นหัวอกของพ่อแม่บ้างไหม ? บางคนใช้จ่ายเงินที่พ่อ-แม่ให้มาในเรื่องที่ไม่จำเป็น อย่างสุรุ่ยสุร่าย เช่น สรรหาเครื่องแต่งตัวหรือเครื่องใช้ไม้สอยตามแฟชั่นแปลกๆ และที่มีราคาแพง เพียงเพื่อแสดงว่าตนมีฐานะดี ตามผู้ที่เขามีฐานะการเงินมั่นคงดีจริงๆ และ/หรือ ต้องเสียงค่าใช้จ่ายไปในเรื่องการบันเทิงเริงรมย์เกินฐานะของเด็ก ซึ่งยังหาเงินไม่เป็น มีแต่คอยแบมือขอเงินจากพ่อ-แม่ เธอทั้งหลายเคยทราบไหมว่า พ่อ-แม่ของเธอนั้นมีเงินถุงเงินถังใช้ไม่รู้จักหมด หรือว่าต้องอกไหม้ไส้ขม ต้องขวนขวายหาเงินไว้ให้ลูกใช้จนเกินฐานะ บางครั้งต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาให้ลูก ต้องหาเงินใช้หนี้เขาทั้งต้น ทั้งดอกเบี้ย ? ยิ่งสภาวการณ์เศรษฐกิจในประเทศของเราและของทั่วโลกฝืดเคืองอย่างนี้ หลวงตากล้ากล่าวว่า พ่อ-แม่ของลูกๆ ที่ชอบไปเที่ยวเตร่สนุกสนานตามศูนย์การค้าและตามแหล่งบันเทิงเริงรมย์ มากกว่าครึ่ง ที่ต้องอกไหม้ไส้ขม เพราะต้องหาเงินให้ลูกไว้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินตัว เกินฐานะอย่างนั้น ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น บางรายและก็มากรายเสียด้วย ที่หลงใหลใจแตกไปกับแสงสี ในแหล่งบันเทิงเริงรมย์ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทและกามารมณ์ จนเสียการเรียน เสียอนาคต

    เธอทั้งหลายเคยนึกเห็นอกเห็นใจพ่อ-แม่ผู้มีแต่ความรักลูก ปรารถนาแต่จะให้ลูกๆ ได้ดีมีสุข เทียมหน้าเทียมตาผู้อื่นเขา จึงยอมเสียสละเงินทองส่งเสียให้ลูกๆ ได้เข้าโรงเรียนดีๆ เพื่อจะให้ลูกๆ ได้มีอนาคตที่ดี จึงตั้งตาคอยที่จะเห็นลูกมีผลการเรียนที่ดี พอให้พ่อ-แม่ชื่นใจ บ้างไหม? แต่ลูกๆ กลับประมาท หลงระเริงไปตามเพื่อนซึ่งชักนำไปในทางเสื่อม ให้เสียการเรียน เสียอนาคต เธอทราบไหมว่า หัวอกพ่อ-แม่นี้เป็นอย่างไร ?
    หลวงตาจึงขอเตือนเธอทั้งหลาย ผู้ประมาทแล้ว จงกลับตัวกลับใจกลับมาสู่ทางดีตามคำแนะนำสั่งสอนโดยชอบของพ่อ-แม่เสีย หรือผู้ที่กำลังเริ่มหลงเพื่อนตามเพื่อนผู้แนะนำไปในทางเสื่อม ที่จะเป็นเหตุให้เสียการเรียน เสียอนาคต ก็รีบกลับตัวกลับใจ หันมาเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียนให้จริงจัง ให้เห็นอกเห็นใจพ่อ-แม่ อย่าได้หลงประมาทใช้จ่ายเงินทองไปในทางที่ไม่จำเป็นและสุรุ่ยสุร่าย เพื่อช่วยให้พ่อ-แม่ท่านเบาใจ และได้เห็นความสำเร็จและความเจริญในชีวิตของลูกๆ บ้าง ก็จะได้ชื่อว่า เธอได้ตอบแทนพระคุณพ่อ-แม่ให้สมกับพ่อ-แม่นั้นรักลูก และมีแต่ปรารถนาดีที่จะให้ลูกๆ มีความสุขความเจริญแต่ถ่ายเดียว
    ยิ่งเป็นกรณีที่ลูกๆ ที่ประมาทแล้ว ไม่เชื่อฟังคำของพ่อ-แม่ที่แนะนำสั่งสอนด้วยดี เอาแต่เชื่อเพื่อนผู้แนะนำไปสู่ทางอบายมุข อันเป็นปากทางแห่งความฉิบหาย ใจแตก หลงใหลไปกับแสงสีตามแหล่งบันเทิงเริงรมย์ หลงเสพและติดสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท และหลงหมกมุ่นอยู่ในกามกิเลส ไม่เอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียน เป็นเหตุให้เสียการเรียน เสียอนาคต ดำเนินชีวิตไปอย่างคนไร้จุดหมาย ไร้คุณค่า จนยากที่จะกลับตัวกลับใจมาสู่ทางเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิตได้อีก พ่อ-แม่บางรายมีน้ำตาอาบแก้มนองหน้าอยู่ ก็ยังมีแต่ความเวทนาสงสารลูก ยอมให้อภัยแก่ลูก ขอให้แต่ลูกได้กลับมาสู่อ้อมอกของพ่อ-แม่อีก ขอแต่เพียงให้ลูกผู้ประมาทแล้วจงกลับตัวกลับใจ เลิกละการดำเนินชีวิตอันเหลวแหลกนั้นเสีย และให้หวนกลับมาเริ่มต้นชีวิตที่ดีที่ชอบใหม่ พ่อ-แม่ก็ชื่นใจแล้ว พ่อ-แม่บางรายพยายามอ้อนวอนลูกผู้ประมาทแล้วนั้น เพื่อนำไปฝากกับพระภิกษุเจ้าอาวาสขอให้ช่วยรับบวชให้ ด้วยหวังจะให้พระภิกษุสงฆ์ช่วยอบรมกล่อมเกลาอุปนิสัยใจคอ และความประพฤติปฏิบัติให้ดีขึ้นใหม่ ด้วยพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า รายที่มีคุณสมบัติที่จะรับบวชให้ได้ตามพระธรรมวินัย ตามกฎหมาย และกฎ/ระเบียบมหาเถรสมาคม ก็ย่อมได้รับเมตตาจากพระอุปัชฌาย์รับบวชเพื่อช่วยขัดเกลาอุปนิสัยใจคอให้ พ่อ-แม่ก็เบาใจ ดีใจเป็นหนักหนา นี้คือกรุณาธรรมของพ่อ-แม่ที่มีต่อลูก

    อนึ่ง นับตั้งแต่ลูกเล็กหัดเดินหัดวิ่งเล่นได้เตาะแตะ ไปจนถึงลูกที่เจริญวัยน่าดูน่าชม พ่อ-แม่ก็มีจิตใจเอ็นดูลูกน้อยด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความรัก เมื่อลูกๆ เติบโตศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษาชั้นสูง และประกอบอาชีพดี มีความเจริญรุ่งเรือง พ่อ-แม่ก็ไม่คิดอิจฉาริษยาในความสุขความเจริญของลูก และไม่คิดจะเบียดเบียนลูก มีแต่จิตใจชื่นชมยินดีที่ลูกได้ดี มีสุข นี้คือ มุทิตาธรรม ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

    ยามเมื่อลูกมีความผิดหรือมีชีวิตตกต่ำ แม้จะดุด่าว่ากล่าวรุนแรง เพราะความผิดหวังในลูกบ้าง แต่พ่อแม่โดยมากก็ไม่มีเจตนาที่จะซ้ำเติมลูกให้ต้องเสียใจยิ่งไปกว่าเดิม มีแต่จะคอยช่วยปลอบใจ ให้อภัยในความผิดพลาด และคอยให้กำลังใจแก่ลูก ให้ประพฤติกลับฟื้นคืนดีขึ้น นี้คือ อุเบกขาธรรม ที่แม่มีให้แก่ลูกๆ เสมอ

    เพราะความที่พ่อ-แม่ มีแต่ความเมตตา-กรุณา-มุทิตา-และอุเบกขาพรหมวิหาร ต่อลูกในกาลทุกเมื่อดังนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสว่า “มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร”

    ๓. มารดาบิดาเป็นบุรพเทพของบุตร
    คำว่า “เทพ” หมายถึงท่านผู้วิเศษ กล่าวโดยประเภท ได้แก่ “สมมติเทพ” คือ เทพโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา มหากษัตริย์ “อุปปัตติเทพ” คือ เทพโดยกำเนิด ได้แก่ เทวดาในเทวโลกชั้นต่างๆ และ “วิสุทธิเทพ” คือ เทพโดยคุณสมบัติ ผู้มีกาย วาจา ใจ อันบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ได้แก่ พระอรหันตขีณาสพ มารดาบิดานั้น ท่านประพฤติปฏิบัติต่อลูกดุจทวยเทพ กล่าวคือ ท่านคอยคุ้มกันชีวิตลูกๆ และให้ความอุปการะเลี้ยงดูลูกๆ ก่อนเทพเหล่าอื่น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “มารดาบิดาเป็นบุรพเทพของบุตร”

    ที่กล่าวว่ามารดาบิดาหรือพ่อแม่ท่านปฏิบัติต่อลูกดุจทวยเทพนั้น ได้แก่

    (๑) ท่านแสดงโลกนี้แก่ลูกก่อน คือ พ่อ-แม่นั้นเป็นต้นกำเนิดของลูกๆ ได้อุปถัมภ์ค้ำชูเลี้ยงดูป้องกันรักษาลูกมาก่อนใครเพื่อน ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนคลอดจากครรภ์และเจริญวัยมาจนถึงปัจจุบัน แม้ลูกที่เกิดมานั้นจะพิกลพิการต่างๆ พ่อ-แม่ก็ไม่ทอดทิ้งลูก รับภาระเลี้ยงดู จนลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอยู่ในทุกวันนี้ ก็เพราะพ่อ-แม่นั้นปฏิบัติต่อลูกดุจบุรพเทพของลูก นั้นเอง

    (๒) ท่านให้ความคุ้มครองลูกก่อน ยามเมื่อมีเหตุเภทภัยต่างๆ พ่อ-แม่ท่านมุ่งแต่จะปกป้องคุ้มครองลูกก่อน ดังมีตัวอย่างเวลาเกิดอัคคีภัย ที่ลูกติดอยู่ในอันตราย พ่อ-แม่โดยมากจะยอมเสี่ยงภัยไปช่วยเหลือลูกก่อนที่จะคิดถึงชีวิตของตนเอง นี่เพราะความรักและความมีน้ำใจต่อลูกดุจทวยเทพ เหตุการณ์เช่นนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีน้ำใจต่อลูกๆ ของมัน ดังเช่น แม่ลิงยามเมื่อตนเองถูกนายพรานยิงด้วยลูกศร สุดจะเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ก็พยายามตะเกียกตะกายพาลูกๆ ที่เกาะอยู่ข้างหน้าตัวหนึ่ง เกาะอยู่อยู่ข้างหลังอีกตัวหนึ่ง ไปสู่คาคบไม้ที่ปลอดภัย ครั้นถึงแล้ว มือข้างหนึ่งกุมลูกศรที่ปักอยู่ด้วยความเจ็บปวดทรมาน มืออีกข้างหนึ่งซึ่งใกล้จะหมดแรงแล้ว พยายามดึงลูกตัวที่เกาะอยู่ข้างหน้าไปวางไว้ที่คาคบไม้ แล้วก็ดึงลูกอีกตัวหนึ่ง ที่เกาะอยู่ข้างหลังไปวางไว้ที่คาคบไม้ เพื่อให้ลูกๆ ปลอดภัย ก่อนที่ตนเองนั้นจะหมดเรี่ยวแรงหล่นลงมาสู่พื้นดิน แล้วก็สิ้นใจตาย นี่แหละคือน้ำใจของแม่ผู้ทรงคุณวิเศษดุจเทพ คอยให้ความคุ้มครองลูกๆ อยู่ในกาลทุกเมื่อ จนสิ้นชีวิต

    (๓) ท่านให้อภัยแก่ลูกก่อน พ่อ-แม่นั้น แม้ลูกๆ จะประพฤติ ปฏิบัติ พลาดพลั้งหรือชั่วช้าเลวทรามอย่างไรๆ และแม้จะถูกลูกๆ ล่วงเกินด้วยกิริยาวาจาหยาบคาย พ่อ-แม่ก็พร้อมที่จะให้อภัยแก่ลูกเสมอ ขอแต่ให้ลูกรู้สึกตัวในความประพฤติผิดพลาดนั้น และกลับตัวกลับใจประพฤติปฏิบัติดีต่อไป พ่อ-แม่ก็สบายใจแล้ว มิได้มีความคิดอาฆาตเคียดแค้นต่อลูกเลย

    (๔) ท่านเป็นนายประกันลูกก่อน ในยามที่ลูกมีเรื่องหรือมีปัญหากับบุคคลภายนอก ไม่ว่าลูกจะผิดหรือถูกอย่างไร ท่านจะเป็นคนแรกที่คอยผ่อนผันสั้นยาว ผ่อนหนักเป็นเบาให้ลูกไว้ก่อนเสมอ บางรายแสดงความเจ็บร้อนแทนลูก ถึงกับโต้เถียงผู้ที่ติเตียนลูก ออกรับแทนลูกก่อน พยายามปกป้องลูกทุกวิถีทาง ส่วนว่าลูกจะผิดหรือถูกจริงๆ อย่างไรนั้น ค่อยมาว่ากันทีหลัง นี้คือน้ำใจพ่อ-แม่ที่มีต่อลูกดุจเทพที่คอยปกป้องลูกก่อน เป็นนายประกันให้ลูกก่อนอยู่เสมอ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสว่า “มารดาบิดาเป็นบุรพเทพของบุตร”

    ๔. มารดาบิดาเป็นบุรพาจารย์ของบุตร
    พ่อ-แม่นั้นเป็นอาจารย์คนแรกของลูกโดยแท้ ท่านเป็นผู้สอนลูกตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน นับตั้งแต่ให้หัดพูด หัดให้ดื่มและกิน ตลอดจนหัดกิริยามารยาทที่ควรประพฤติปฏิบัติให้เหมาะสมกับกาลเทศะ และให้เหมาะสมกับบุคคลตามฐานะ ให้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม และสอนให้ลูกๆ รู้จักวิธีการทำมาหากิน การประกอบอาชีพที่ดีที่ชอบก่อนใครเพื่อน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “มารดาบิดาเป็นบุรพาจารย์ของบุตร”

    ๕. มารดาบิดาเป็นพระอาหุไนยบุคคลของบุตร
    พระอรหันต์และผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ชื่อว่าเป็น อาหุไนยบุคคล คือ เป็นผู้ควรรับการเคารพนับถือ และนอบน้อมบูชาด้วยวัตถุสิ่งของมีข้าวน้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคเป็นต้น ฉันใด มารดาบิดาผู้ทำหน้าที่สำคัญแก่ชีวิตของลูก กล่าวคือ ท่านเป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก เป็นพระเดชพระคุณของลูก และเป็นเนื้อนาบุญของลูก จึงชื่อว่า อาหุไนยบุคคล ผู้ควรรับการเคารพนับถือ และนอบน้อมบูชา ด้วยวัตถุเครื่องสักการะ มีข้าวน้ำ ผ้านุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นต้น ฉันนั้น

    ลูกๆ ใดผู้รู้จักเคารพนับถือ เชื่อฟังพ่อ-แม่ที่แนะนำสั่งสอนโดยชอบ รู้จักนอบน้อมบูชาพ่อ-แม่ผู้มีพระคุณ ด้วยวัตถุเครื่องสักการะ อันมีปัจจัย ๔ และ เครื่องอำนวยความสะดวก เป็นต้น คอยให้ความสุขสบายแก่พ่อแม่ รู้จักปรนนิบัติบำรุงเลี้ยงดูพ่อ-แม่อยู่เสมอ ตามกำลังของตน ลูกผู้เช่นนั้น ย่อมจะประสบแต่ความสำเร็จในชีวิต และมีความสุขความเจริญไม่เสื่อมเลย
    ส่วนลูกใด เป็นคนอกตัญญูต่อพ่อ-แม่ ไม่รู้จักเคารพนับถือเชื่อฟังพ่อ-แม่ที่แนะนำสั่งสอนโดยชอบ มักดื้อดึงมีกิริยาวาจาที่หยาบกระด้างต่อพ่อ-แม่ผู้มีพระคุณ ไม่รู้จักนอบน้อมบูชาพ่อ-แม่ด้วยวัตถุเครื่องสักการะ ไม่รู้จักปรนนิบัติบำรุงเลี้ยงดูพ่อ-แม่ตามกำลังหรือสมควรแก่ฐานะของตน ลูกผู้เช่นนั้นย่อมจะประสบแต่ความเสื่อมในชีวิต หาความสุขความเจริญที่แท้จริงมิได้เลย




    เพราะเหตุนั้น ลูกๆ จึงควรปรนนิบัติเลี้ยงดูบำรุงพ่อ-แม่ อย่างน้อยหรืออย่างต่ำ ใน ๕ สถาน ดังต่อไปนี้
    1. เมื่อท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราต้องเลี้ยงท่านตอบ ควรหาโอกาสสนองคุณของ
    2. พ่อ-แม่ โดยการเลี้ยงดูทำนุบำรุงท่าน ให้ท่านมีความสุขสบายตามสมควรแก่ฐานะของตน ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี้แหละ ให้ดีที่สุด
    3. ช่วยทำกิจของท่าน เมื่อท่านไหว้วานก็ไม่หาทางหลีกเลี่ยง ให้สมกับที่พ่อ-แม่ทำกิจให้ลูก คือ ทำนุบำรุงดูแลรักษาลูกตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ โดยเต็มใจอยู่ตลอดเสมอมา
    4. ดำรงวงศ์สกุลของท่าน คือ รักษาเกียรติคุณความดีแห่งวงศ์ตระกูลของท่านให้ยั่งยืน ไม่ให้เสื่อมเสียไปเพราะลูกเป็นต้นเหตุ
    5. ทำตัวให้สมควรเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกของพ่อ-แม่ ไม่เป็นคนล้างผลาญทรัพย์ของพ่อ-แม่ที่อุตสาห์ทำมาหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง และเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น และไว้ยกเป็นมรดกให้ลูกในโอกาสอันสมควรต่อไป
    6. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศให้ท่าน
    ความที่พ่อ-แม่เป็นผู้มีอุปการคุณแก่ลูกมากดังที่ได้บรรยายมาแล้วนั้น แม้ลูกๆ จะตอบแทนพระคุณของพ่อ-แม่ด้วยสถาน ๕ ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังไม่คุ้มกับพระคุณของพ่อ-แม่เลย แต่ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใด ชักนำพ่อ-แม่ที่ยังไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ ในพระพุทธ พระธรรม และในพระสงฆ์ ให้กลับมามีศรัทธา ที่มีศรัทธาน้อย ให้มีศรัทธามากขึ้น ที่มีศรัทธามากอยู่แล้ว ให้เจริญและมั่นคงในพระรัตนตรัย กุลบุตรกุลธิดานั้น ชื่อว่า ได้กระทำการทดแทนพระคุณพ่อ-แม่คุ้ม หรือเสมอกับพระคุณของท่านแล้ว ด้วยเหตุนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย (องฺ.ทุก. ๒๐/๒๗๘/๘๗) มีความว่า
    ”ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒ ท่านทั้ง ๒ คือใคร ? คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ
    ภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย

    ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูกรภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา.
    สำหรับวันนี้ ขอยุติการปาฐกถาธรรมแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้ฟังทุกท่าน เจริญพร.



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  12. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ในหลวงของเรา... มหากษัตริย์ยอดกตัญญู
    คัดลอกจากหนังสือ หยุดความเลว...ที่...ไล่ล่าคุณ
    โดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน​
    ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ..ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ​
    ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
    ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
    เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
    หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
    ทีนี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญูที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้..ในหลวงของเรา...
    ในหลวง...นอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก..เป็น THE KING OF KINGS แล้ว ในหลวงของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วยความหวังของแม่... ทั้ง 3 หวัง ในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์
    เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา
    ในหลวงทำกับแม่ยังไง ? ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น....​
    [​IMG]

    หวังที่ 1 ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า..เฝ้ารับใช้...
    ใครเคยเห็นภาพที่... สมเด็จย่าเสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...?
    ใครเคยเห็น...กรุณายกมือให้ดูหน่อย...ขอบคุณ...เอามือลง ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ยมีคนเยอะแยะ...
    มีทหาร...มีองครักษ์ มีพยาบาล.. ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว

    แต่ในหลวงบอกว่า... "ไม่ต้อง....คนนี้...เป็นแม่เรา ..เราประคองเอง " ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน... เพราะฉะนั้น. ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน... ไม่ต้องอายใคร...
    เป็นภาพที่...ประทับใจมาก...เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่.. ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ... สองข้างทางฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น.....8,000 คน ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง..สรรเสริญ "กษัตริย์ยอดกตัญญู..." ในหลวง..เดินประคองแม่..คนเห็นแล้ว...เขาประทับใจถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน ...เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้...
    ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้... ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย...แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่ กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ... ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก...แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่...กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี...ประคองแม่ ....เป็นเรื่องของ...คนใช้... หลายคน...ให้ประคองแม่.. ไม่กล้าทำ อาย...เวลาทำดี..ไม่กล้าทำ...อาย เวลาทำชั่ว...กล้า....ไม่อาย...
    ใครเห็นภาพนี้ ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ...แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน... เอาไว้สอนลูก เห็นภาพ ชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น ...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น... ​
    [​IMG]
    หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา... ของสมเด็จย่า... มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า... ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง...เสด็จจากวังสวนจิตร... ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
    ไปทำไมครับ...? ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่...ชุ่มชื่น หัวใจ... พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง...
    โอ้โห!...ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา
    เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่... สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ? พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน?... 5 วัน มีใครบ้างครับ...? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่...สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก.....
    ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย... เป็นพันโครงการ... มีเวลาไปกินข้าว กับแม่... สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก...พลตรี...อธิบดี... ปลัดกระทรวง...ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่... บอกว่า...งานยุ่ง แม่บอกว่า... ให้พาไปกินข้าวหน่อย... บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ... ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง...?
    พ่อแม่...พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ...ฝนตก...น้ำเซาะ...อีกไม่นานก็โค่น... พอถึงวันนั้น... เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว... ในหลวงจึงตัดสินพระทัย...ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่ สมเด็จย่าอายุ...93 สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วันไปไหน ครับ...? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า... ในหลวงถือศีล 8 วันพระ ...ถือศีล 8 นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น... เลยไม่ได้ไปหาแม่... วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกินข้าวกับ พระราชินี...กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน... ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?
    ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว...ทุกครั้ง...ที่ในหลวง ไปหาสมเด็จย่า...ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง... เข้ามากอด... กอดเสร็จก็หอมแก้ม... ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงบ้าง...?​
    [​IMG]
    ภาพนี้...ถ้าใครมี... ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก...อย่างยอดเยี่ยม ตอนสมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวง... อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร...เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม... สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ... เพราะ ท่านได้กลิ่นหอม... จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญ
    ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
    ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา...สามัญชน ...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์... เหมือนเด็กหญิงทั่วไป... เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
    ในหลวงหน่ะ...เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์...เป็น พระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
    แต่ในหลวง... ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน... ก้มลงกราบ...คนธรรมดา... ที่เป็นแม่ หัวใจลูก... ที่เคารพแม่... กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว...
    คนบางคน... พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่... เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ...เป็นชาวนา... เป็น ลูกจ้าง... ไม่เคารพแม่...ดูถูกแม่
    แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว... นี่แหละครับความหอม
    นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง... ท่านหอมความดี... หอมคุณธรรม...หอมกตัญญู... ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย ...
    ตอนกินข้าวนี่...ปกติ.. .แค่เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว... นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ
    แม่ทั้งหลาย...ลองคิดดูซิ...อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...อันนี้ อร่อย...แม่ลองทาน... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่... เอ้าแม่ ...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล...เอาใจใส่...
    กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่... ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง... ทราบไหม...? ตอนในหลวงเล็ก ๆ...แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ..."อยากฟังแม่สอนอีก" เป็นยังไงบ้าง...?
    เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ... อยากฟังแม่สอนอีก... พวกเรา เป็นยังไง...? เราคิดว่า...เรารู้มาก ...เราเรียนสูง...เรามีปริญญา... แม่จบ ป.4 เวลาแม่สอน...ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว... รำคาญ...พูดจาซ้ำซาก... เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที... เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่...​
    [​IMG]
    สมเด็จย่าสอน...ในหลวงจะเอากระดาษมาจด... มีอยู่เรื่องหนึ่ง... ที่จำได้แม่น... สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ ...เข้ามาบอกว่า...อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
    แม่บอกว่า "ลูกอยากได้จักรยาน... ลูกก็เก็บสตางค์... ที่แม่ให้ไปกินที่ โรงเรียนไว้ซิ" ...เก็บมาหยอดกระปุก... วันละเหรียญ...สองเหรียญ พอได้มากพอ... ก็เอาไปซื้อจักรยาน...
    นี่คือสิ่งที่แม่สอน...แม่สอนอะไร...ทราบไหมครับ...?
    ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน...พอลูกขอ...รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย... ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ... ฟุ่มเฟือย... เหลิง... และหลงตัวเอง พอโตขึ้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้... ยิงตำรวจ...ยังได้... เพราะหลงตัวเอง... พ่อตนใหญ่ เห็นไหม...? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน...
    แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่... สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก...ลูกอยากได้ ...ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้... ไปหย่อนกระปุก... แม่สอน 2 เรื่อง คือ...ให้ประหยัด...ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
    "ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี" ใครสอนลูกให้ประหยัดได้... คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
    พอถึงวันปีใหม่... สมเด็จย่าก็บอกว่า... "ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน..." "เอ้า...แคะกระปุก...ดูซิมีเงินเท่าไหร่...?" เสร็จแล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้... ส่วนที่ แถมนะ... มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก...
    มีเมตตา...ให้เงินลูก... ให้...ไม่ได้ให้เปล่า... สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด สอนว่า...อยากได้อะไร... ต้องเริ่มจากตัวเรา... คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจน ทุกวันนี้...
    เขาบอกว่า...ในสวนจิตรเนี่ย... คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง... ประหยัดที่สุด... ทั้งน้ำ...ทั้งไฟ... เรื่องฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย..ไม่มี ...เป็นอันว่า... ภาพนี้ชัดเจน... ​
    ---------------------------------------------------------------------​
    หวังที่ 2. ยามป่วยไข้... หวังเจ้า... เฝ้ารักษา
    ดูว่าในหลวง ทำกับ แม่ยังไง...? สมเด็จย่า...ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช... ในหลวงไปเยี่ยม... ตอนไหนครับ...? ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ...จึงเสด็จกลับ... ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง...
    แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม...ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
    ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า... เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต ...ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดเวลาว่า... จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม...? จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น... ทำให้สมเด็จย่า... ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น... เห็นภาพไหม...?
    กลางคืน...ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า...คืนละหลายชั่วโมง...ไปให้ความ อบอุ่นทุกคืน ลองหันมาดูตัวเราเองซิ... ตอนพ่อแม่ป่วย... โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า...ตอนนี้...อาการเป็นยังไง...? พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว...โผล่หน้าไปให้เห็น พอแค่เป็นมารยาท... แล้วก็กลับ... เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู... เราไม่ได้ไปเพื่อ ทดแทนพระคุณท่าน...น่าอายไหม...?
    ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่... ตอนแม่ป่วย...ไปทุกวัน... ไปให้ความ อบอุ่น...ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง... นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ
    คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย... สมเด็จย่า...ก็ป่วย … ไปอยู่ศิริราช...ด้วยกัน ...อยู่คนละมุมตึก... ตอนเช้า... ในหลวงเปิดประตู....แอ๊ด.....ออกมา... พยาบาลกำลัง เข็นรถสมเด็จย่า... ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวง...พอเห็นแม่... รีบออกจากห้อง... มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก ...กราบทูลว่า ไม่เป็นไร...ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรัยสั่งว่า...
    "แม่ของเรา...ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น...เราเข็นเองได้..."
    นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน... เป็นกษัตริย์... ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่... ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่... เลี้ยงหัวใจ แม่... ยอดเยี่ยมจริง ๆ ... เห็นภาพนี้แล้ว....ซาบซึ้ง ​
    ---------------------------------------------------------------------​
    มาตามดูต่อ....
    หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา ...หวังลูกช่วย....ปิดตา ...เมื่อสิ้นใจ
    วันนั้น...ในหลวง...เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน... จับมือแม่...กอดแม่...ปรนนิบัติแม่... จนกระทั่ง..."แม่หลับ…" จึงเสด็จกลับ
    พอถึงวัง... เขาโทรศัพท์มาบอกว่า... สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์... ในหลวง...รีบเสด็จกลับไป...ศิริราช... เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง... ในหลวง ทำยังไงครับ...?
    ในหลวงตรงเข้าไป... คุกเข่า...กราบลงที่หน้าอกแม่... พระพักตร์ในหลวง...ตรงกับหัวใจแม่... "ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้ง สุดท้าย..." ซบหน้านิ่ง...อยู่นาน... แล้วค่อย ๆ เงยพระพักตร์ขึ้น.... น้ำพระเนตรไหลนอง....
    [​IMG]
    ต่อไปนี้... จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว... เอามือ...กุมมือแม่ไว้ มือนิ่ม ๆ .....ที่ ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก...จนได้เป็นกษัตริย์... เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง...ชีวิตลูก....แม่ปั้น...
    มองเห็นหวี... ปักอยู่ที่ผมแม่... ในหลวงจับหวี...ค่อย ๆ หวีผมให้แม่...หวี... หวี...หวี.... หวีให้แม่สวยที่สุด... แต่งตัวให้แม่...ให้แม่สวยที่สุด... ในวันสุดท้าย ของแม่....
    เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์เป็นที่สุด... เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู.... หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว.....
    ---------------------------------------------------------------------
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
    ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=94559
     
  13. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,794
    พระองค์ทรงทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
     
  14. Nukool

    Nukool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
     
  15. Nukool

    Nukool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
     
  16. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +372
    อนุโมทนา สาธุ_ sweet Home _
    คัดลอกมาฝาก

    พ่อแก่ - แม่เฒ่า
    พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
    จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน
    ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
    แต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป
    ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
    คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
    ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร
    ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
    เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้น ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
    ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
    เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
    หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม
    ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม
    ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย
    ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้
    วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง
    อ.สุนทรเกตุ
    :z4:z15rabbit_heart
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  17. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    มารดาบิดาเป็นมิตรแท้ของลูกด้วยค่ะ
    หากเราไม่มีเพื่อนคนไหนเลยในโลกนี้ มารดาบิดาก็ยังเป็นมิตรแท้ของบุตร-ธิดา สาธุ

    อ่านเจอจากกระทู้ของสมาชิกท่านอื่นค่ะ เดี๋ยวจะไปค้น
     
  18. ประเสริฐ2522

    ประเสริฐ2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +409
    อนุโมทนด้วยนะคับ
     
  19. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ตอนเด็กๆ เรานิสัยเลวมากเลย ชอบเถียงพ่อเเม่ ทำให้พ่อเเม่ร้องไห้อยู่บ่อย
    เพราะจิตใจที่ร้ายกาจของเรา เลวถึงขนาดบางทีเเช่งให้ตาย เลวถึงขนาดอธิฐานอย่าให้เกิดมาเจอกันอีกเลย ดูนั่นสิ ทำไมเลวได้ขนาดนี้

    เเละเเล้ววันหนึ่ง ก็ได้นึกยังไงไม่ทราบ เปิดวิทยุเอเอ็มนี่หล่ะ ได้หมุนไปเจอคลื่นที่มีพระเทศน์สอนเรื่อง เเม่...ว่ากว่าเราจะได้เกิดมาเป็นเรานี่เขาต้องลำบากขนาดไหน
    เราฟังไป น้ำตาไหลไป เเล้วเราก็เลยหันมาเข้าใจพ่อเเม่ หันมาขวนขวายในพุทธศาสนา จำได้ว่าตอนนั้นมีอายุประมาณเจ็ดขวบมั้ง

    วันนี้ได้มาอ่านกะทู้นี้ เลยทำให้คิดออกว่า วันก่อนเราเคยทำเลวกับพ่อเเม่ไว้ วันนี้เราอยากช่วยเขามากๆ เเต่เราก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก มันเป็นกรรมที่เราเคยไปทำไว้หรือปล่าวประกอบกับกรรมของเขาด้วย

    ด้วยความเข้าใจของเราว่า พ่อเเม่ เปรียบดังพระอรหันต์ของบุตร

    ดังนั้น เราจึงจะขอ ตั้งจิตอธิฐาน เเละถวายสัตย์ ว่า ในชาตินี้ ข้าพเจ้าจะขอบำรุง เเละดูเเลพ่อเเม่ตลอดไป จะไม่ทอดทิ้งให้พ่อเเม่ลำบาก เพื่อเป็นการถวายเเละชดใช้กรรมที่ลูกได้ก่อไว้เเล้ว....(เขียนไป น้ำตาจะไหล)
    จะพยายามชักชวน พ่อเเม่ ให้เข้าหาธรรมะ ตอนนี้เกิดมาได้ ยี่สิบสามปี ลูกขอยกพ่อเเม่ให้เป็นทีหนึ่งของลูกเลย จะทำอะไร ลูกก็คิดถึงพ่อเเม่ไว้ก่อนเสมอ เอาไว้เสาหลักในใจของลูก

    สาธุ
     
  20. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    มีเรื่องดีๆ เกี่ยวกับคุณแม่ที่น่ายกย่องค่ะ อ่านแล้วรู้สึกซึ้งใจมาก อยากแบ่งปันให้ทุกๆคนได้อ่านด้วยค่ะ ตามลิงค์นี้เลยนะคะ
    http://webboard.news.sanook.com/forum/index.php?topic=3189784.0
     

แชร์หน้านี้

Loading...