เรื่องของการบวช

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 29 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE width="93%" border=1><TBODY><TR><TD>โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง

    เนื้องจากคุณกรภพตรีรัตนนุกูลเพื่อนผมจะเข้าบว15/07/2550นี้ผมเลยขอโอกาสนำเรื่องของการบวชที่หลวงพ่อของเราท่านให้โอวาทไว้มาลงให้อ่านกันครับ
    [​IMG]


    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถระ)
    ๑. วัตรของพระ

    **********
    ๑) การบวชนี่ลูกเอ๋ยตั้งใจให้ดี อย่าถือว่าบวชเป็นประเพณี เพราะการเป็นพระนี่
    ลงอเวจีง่าย เข้าใจไหม อย่านึกว่า บางคนเขาบวชพระไม่ได้ อย่างพวกผู้หญิงนี่
    บอกเสียเปรียบผู้ชาย บวชพระไม่ได้ การบวชพระ ถ้าเราพลาด เราลงอเวจีง่าย
    ฆราวาสลงอเวจียาก
    รวมความว่า ถ้าบวชต้องหวังอย่างเดียว ต้องบวชเพื่อสิ้นทุกข์ ใช่ไหม บวช
    เพื่อความสิ้นทุกข์ หมายถึง การตัดกิเลส และจงอย่าคิดว่า บางคนถ้าบวชไม่ได้
    นาน ผลของการบวชจะน้อยไป ความจริงไม่น้อย นี่จำให้ดีนะ บางคนบวช ๕ วัน
    ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง พรรษาเดียวบ้างต้องสึก และสึกไปเป็นฆราวาสแล้ว จงอย่า
    ลืมว่า อานิสงส์ของการบวช หรือผลบุญของการบวชยังหนุนเราอยู่
    ๒) การบวชของทุกคนให้ระมัดระวังเรื่อง พระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วินัย
    ก็ดี ระเบียบของวัดก็ดี ให้ตัดสินใจว่า เวลานี้เราเป็นพระใช่ไหม เราไม่ใช่ฆราวาส
    เมื่อเป็นฆราวาสอยู่ในวัด ก็เป็นคนของวัด ทีนี้เมื่อบวชแล้วก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบ
    ของวัดด้วย ปฏิบัติตามพระวินัยด้วย พร้อมปฏิบัติตามกฏของกรรมฐานด้วย ให้ตั้งใจ
    ไว้อย่างหนึ่งที่หลวงพ่อปานเคยสอนหลวงพ่อและสอนทุกองค์นะทุกวันเวลาอบรม
    ท่านจะพูดกับพระทุกองค์ว่า
    "นิพพา นัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง
    คะเหตวา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
    " ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อ
    ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" ตรงนี้ต้องจำให้ดีนะ ทุกครั้งเตือนตัวเองว่า เราบวช
    มาเพื่อหวังนิพพาน
    ๓) เวลาบวชทุกคนตั้งใจให้ดีนะ อย่าให้พลาดนะ
    ๑.วินัย
    ๒.ระเบียบของวัด
    ๓. ปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ๔. การงานของวัด
    การทำการงานของวัดได้อานิสงส์พิเศษ ได้ ๖๐ กัปนะ อานิสงส์บวช อานิสงส์
    พิเศษที่พึงได้ก็คือ ทำให้ความแพรวพราวให้เกิดขึ้น วิมานสวยขึ้น ร่างกายดีขึ้น
    บุญบารมีดีขึ้นพร้อมกับประกอบกิจการงานของวัดหรือของสงฆ์นะ ไม่ใช่ของส่วนตัว
    ทุกคนต้องตั้งใจทำ แม้แต่กวาดลานวัดก็ได้บุญ เทกระโถนก็ได้บุญ ทำงานทุกอย่าง
    ได้บุญเพิ่ม ไม่ใช่บวชแล้วได้อานิสงส์ ๖๐ กัปได้แค่นั้นน่ะไม่ใช่ นั่นเพิ่มอานิสงส์
    พิเศษเหมือนว่าพวกเธอมีร่างกาย มีเครื่องประดับใหม่นะ ได้แหวนบ้าง ได้เสื้อบ้าง
    ได้กางเกงบ้าง ได้หมวกบ้าง ยิ่งทำ ของเหล่านั้นก็มากขึ้น อานิสงส์ของงานวัด
    พยายามทำให้ครบถ้วนนะ
    ๔) การปฏิบัติทุกวัน สะสมตัวทุกวัน ๆ บารมีมันเต็มขึ้น อย่างหลวงพ่อเองก็เหมือน
    กันปฏิบัติครั้งแรกก็มีวิมานที่พรหม แล้วก็พอใจวิมานที่พรหม ปรากฏว่า อีก ๒ - ๓ ปี
    ไปนิพพานได้
    ก็รวมความว่า ทุกคนก่อนจะบวชนี่ ก็สามารถเห็นนิพพานได้ทุกคนแล้วใช่ไหม
    ก็เป็นอันว่า ตั้งใจเพื่อนิพพานนะ ตั้งใจทำความดี
    ๕) พระนี่ชาวบ้านเขาถือว่า เป็นบุคคลที่ทรงไว้ซึ่งความเป็นมงคล องค์สมเด็จ-
    พระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่า พระ ต้องมี
    อธิศีลสิกขา ต้องมี
    ศีลบริสุทธิ์ มีอธิจิตสิกขา มีจิตตั้งมั่น มีฌานสมาบัติ มีอธิปัญญาสิกขาคือ
    มีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ไม่หลง พระต้องไม่คบ
    กับโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ปล่อยโลกธรรมทั้งหมด ไม่ต้องการลาภ ไม่ต้องการ
    ยศ ไม่ต้องการสรรเสริญ ไม่ต้องการสุข แต่ว่าพระองค์ไหนถ้าเมาในลาภ ยศ
    สรรเสริญ สุข ตะเกียกตะกายหาลาภ ตะเกียกตะกายหายศ หาคนยกย่องสรรเสริญ
    หาความสุขในทรัพย์สิน อย่างนี้ก็เป็นนักบวชพาลใช้ไม่ได้ ไหว้ไม่ได้บุญ องค์นี้ไหว้
    ไม่ได้บุญ เว้นไว้แต่ว่ายศถาบรรดาศักดิ์ พระราชาถวายด้วยความเคารพ แล้วก็ไม่เมา
    ในยศนั้น อย่างนี้ได้บุญ
    ๖) จงจำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ซึ่ง
    แปลเป็นใจความว่า ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คือเรา
    ไม่ประมาททั้ง ๒ ประการ ไม่ประมาทว่าเราโง่ เกินไป และก็ไม่ประมาทว่า เราฉลาด
    เกินพอดี เอาจิตใจควบคู่อยู่ในความดี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งใดที่นอกเหนือไป
    จากคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราไม่เอา เพราะเวลานี้มีอยู่
    ดื่น คำสอนของพระพุทธเจ้ามี เขาเป็นพระอรหันต์กันนับไม่ถ้วน เข้านิพพานนับ
    ไม่ถ้วน แต่ถ้าว่ากลับมาบอกว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เป็นเรื่อง โดยเฉพาะ
    อย่างยิ่งได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ว่า ภาวนาว่า พุทโธ ไม่มีความหมาย ไม่มีเกณฑ์บรรลุ
    มรรคผล สู้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เวลานี้ แม้แต่
    พระอรหันต์ทั้งหลายท่านยังภาวนาว่า พุทโธ อยู่ คำภาวนาถ้าทรงตัว จิตเป็นสมาธิ
    ปัญญามันก็เกิด คำว่า พุทโธ เป็น
    พระนามความดีของสมเด็จพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่เกาะพระพุทธเจ้า เราจะเกาะใคร อันนี้ช่วยกันนึกด้วย
    ๗) นี่กิจการงานทุกอย่างที่ท่านทำกัน ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่า จะได้รับรางวัลเป็น
    เงินเป็นทองจากผม ผมคิดว่า ทั้งหมดนี้ไม่มีใครคิด เพราะว่าผมไม่เคยจ้างท่าน
    ทำงานทุกอย่างนี่ผมไม่เคยจ้าง และไม่เคยจะคิดว่า จะให้รางวัลอะไรท่านด้วย
    เพราะว่างานหลายอย่างที่ท่านทำกันผมไม่ได้สั่ง แต่มันเป็นกิจควรทำ แล้วทุกท่าน
    ก็ทำ เมื่อทำกันไปอย่างนั้น ถ้าจะคิดเป็นค่าจ้างรางวัล ค่าแรงงาน ก็ลองคิดดูซิว่า
    จะต้องจ่ายให้พวกท่านวันละเท่าไร นี้การที่ท่านทำอย่างนั้น ท่านก็บอกว่าท่านตอบ
    ได้ทุกองค์บอกว่าหลวงพ่อพูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ที่ผมทำนะ ผมไม่ได้เป็นลูกจ้าง
    ของหลวงพ่อนะขอรับ ผมทำเพื่อเอาบุญกุศล คือเป็น คันถธุระ เป็นกิจของพระสงฆ์
    ที่บวชมาในพระพุทธศาสนาจะต้องทำ และส่วนวิปัสสนาธุระ ผมก็ทำตามกิจของผม
    คือว่าผมจำพระบาลีได้ว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา
    จึงแปลเป็นใจความว่า
    ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง
    พระนิพพาน แล้วหลวงพ่อจะไปนั่งคิดค่าแรงกับผมนะ มันจะถูกที่ไหน ผมทำตาม
    กิจในฐานะที่ผมเป็นภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา เพราะว่า
    ในพระพุทธศาสนา
    นี่มีธุระอยู่ ๒ อย่าง
    คือ
    ๑. คันถธุระ ได้แก่ ทุกขนิกาย คือ การทำงานมันเหนื่อย เขาเรียกว่า ทุกขนิกาย
    ๒. วิปัสสนาธุระ
    ผมต้องการเป็นพระของพระพุทธเจ้าให้ครบถ้วนเท่านั้น
    ๘) ผมเคยบอกแล้วนะขอรับว่า ฆราวาสน่ะตกนรกยากกว่าพระ พระนี่ตกนรกง่ายกว่า
    ฆราวาสมาก ถ้าพูดกันโดยเปอร์เซ็นต์ พระตกนรกมากกว่าฆราวาสเยอะ ถ้าพูดโดย
    ปริมาณแล้ว ฆราวาสเขามากกว่า เขาก็ตกมากกว่า แล้วพระเราตกดีด้วย ส่วนใหญ่ก็
    ไหลลงอเวจีเป็นที่พึ่ง
    ๙) สำหรับพระต้องระมัดระวังมาก เพราะว่าพระก็ดี เณรก็ดี นี่บรรดาท่าน
    พุทธบริษัททั้งหลายถือว่าเป็นปูชนียบุคคล เป็นคนที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชาก่อนที่เรา
    จะมาบวช บิดามารดาเราต้องไหว้ท่าน ญาติผู้ใหญ่มี ปู่ย่าตายายเป็นต้น เราต้องไหว้
    ท่าน นี่การอุปสมบทบรรพชาท่านถือว่าเป็น สามัญญผล คือเมื่อบวชเข้ามาแล้ว
    คนที่มีฐานะต่ำมาก่อน หรือมีศักดิ์ศรีต่ำ หรือมีตระกูลต่ำก็ตาม เมื่อบวชเข้ามาแล้ว
    ย่อมมีสภาวะเสมอกันจัดว่าเป็น
    ศากยบุตร คนที่เราเคยไหว้ท่าน ท่านก็กลับ
    มาไหว้เรา นี่เวลาใครถ้าเขาจะเอาของมาให้ แทนที่เราจะไหว้ผู้ให้ ผู้ให้ก็ไหว้เรา
    จุดนี้แหละบรรดาท่านเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ที่จะทำให้เราลงนรกง่าย
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราทำตัวไม่สมควรแก่การเคารพสักการะของปวงชน
    นั้นก็แสดงว่า เราอกตัญญูแด่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ตามพระบาลี ท่านเรียกว่า เถนะ หมายถึง ว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของ
    พระอรหันต์มาใช้ หลอกลวงชาวบ้านให้ชาวบ้านเขาสักการะ เขาไหว้ เขาบูชา
    เขานำของมาให้ คิดว่าเราเป็นคนดี
    ๑๐) อันดับแรกคิดไว้เสมอว่า ก่อนที่เราจะมาบวช เราเป็นฆราวาส เราทำมาหากิน
    เองอยู่แล้ว ไม่มีใครเขาให้กิน ไม่มอบเงินมอบทองให้ ไม่มอบของมีค่าให้ แต่
    เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เขาให้โน่นเขาให้นี่ จงคิดว่าสมบัติที่เราได้ระหว่าง
    เป็นพระ เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา เราจะกินเราจะใช้ตามความจำเป็น และ
    ใช้อยู่บนขอบเขตของความเป็นพระ อย่านำเงินเข้าบ้าน อย่านำของเข้าบ้าน
    ๑๑) ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายระมัดระวังตัวให้มาก จงลืมความเป็น
    ฆราวาสเสีย คิดว่าเราเป็นพระ พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ไม่ใช่ พระ แปลว่า
    ผู้เลว
    ๑๒) ภิกษุสามเณรต้องระวังให้มาก ถ้าพระกับเณรไม่มี
    กรรมบถ ๑๐ กรรมบถ ๑๐
    ไม่มีอยู่ ศีลประจำตัวที่มากกว่านั้นจะมีได้อย่างไร
    ๑๓) เพื่อนพระภิกษุสามเณร การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาอย่าประมาท อย่า
    ทะนงตนว่าดี จำพระบาลีที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่า อัตตนา โจทยัตตานัง
    จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดตนเองไว้เสมอ มองดูก่อนจะหลับทบทวนว่า
    ตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเวลานี้เรามีความดีจุดไหนบ้าง เราพลาดพลั้งจากความดีจุดไหน
    บ้างตั้งใจว่า วันต่อไปจะไม่ยอมให้พลาดพลั้งอีก แต่ใหม่ ๆ มันก็อดจะพลาดไม่ได้
    ก็พยายามยับยั้งมันเรื่อย ๆ ไป ในที่สุดอารมณ์ชินมันจะเกิด
    อารมณ์ชินใน
    สีลานุสสติกรรมฐาน เรียกว่า ผู้ทรงฌานในสีลานุสสติกรรมฐาน ทรงศีล
    จนกระทั่งเป็นปกติ เราก็มีแต่ความสุข
    ๑๔) ความจริงอาบัติที่เราต้องแล้ว เหมือนกับเราถูกปักเป้ากัดเนื้อมันแหว่งลงไป
    การเทศนาบัติ ก็เป็นการแสดงตัวว่า อาการอย่างนั้นเราจะไม่ทำอีก เราจะไม่พูด
    อีก เราจะไม่คิดอีก คือ เราจะไม่คิดจะไม่ทำอย่างนั้น เราจะไม่พูดแบบนั้น เราจะ
    ไม่ทำแบบนั้น เป็นอันว่าส่วนที่เสียมันก็เสียไปแล้ว ฉะนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
    เทศนาบัติในสมัยปัจจุบันยิ่งมีความเลวทรามมากไม่รู้ว่าแสดงอาบัติกันเพื่ออะไร

    การเทศนาบัติ หรือ การแสดงอาบัติก็เป็นการสารภาพบาป ตามแบบ
    ฉบับที่คริสต์เขาทำกัน แต่ว่าเราทำกันมาก่อน
    คำสารภาพบาปในที่นี้ก็หมายความว่า เราไปทำความชั่วอะไรมา ถ้าเรา
    อยู่มากด้วยกันเป็นคณะสงฆ์ ก็ต้องประชุมกันเป็นคณะสงฆ์ แล้วประกาศความ
    ชั่วร้าย ความผิดที่เราทำไว้ว่า เวลานี้เราไปทำผิดอะไรเข้า และคิดอย่างนั้นใน
    ตอนท้าย ท่านกล่าวว่า นะ ปุเนวัง กริสสามิ กระผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก

    นะ ปุเนวสัง ภาสิสสามิ กระผมจะไม่พูดอย่างนี้อีก
    นะปุเนวัง จินตยิสสามิ
    กระผมจะไม่คิดอย่างนี้อีก นี่เพ่งถึงการแสดงอาบัติก็จะทราบได้ว่า ความชั่วเป็น
    ความชั่วอยู่แล้วแต่ว่าเราจะไม่ทำความชั่วอย่างนั้นต่อไป จะสร้างความดีเพื่อเป็น
    การทดแทนและชำระหนี้ความชั่ว ก็หมายความว่า
    มันชั่วแล้ว แต่เราจะทำ
    ความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป และจะไม่ทำความชั่วนั้นต่อไป
    ๑๕) หลายคนถามว่า "เหตุที่ไม่สะสมทรัพย์นั้น มีความเป็นมาอย่างไร "
    ได้ตอบให้ทราบว่า มีมาตั้งแต่วันที่อุปสมบท (บวช) วันแรก เมื่อออกจาก
    โบสถ์แล้วพักเหนื่อยประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ๆ หลวงพ่อปานท่านเรียกเข้าไปหา
    ท่านแนะนำว่า เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก อย่าเผลอปล่อยให้ความโลภ
    เข้าครอบงำจิต ขออธิบายโดยย่อว่า
    ท่านแนะนำว่าอย่าสะสมเงินไว้ให้มากเมื่อมีคนถวายมาให้แบ่งส่วน
    ดังนี้
    ๑. ส่วนที่หนึ่ง ร่วมสังฆทาน คือเอาเข้าโรงครัว
    ๒. ส่วนที่สอง เอาไปเข้าร่วมวิหารทาน คือร่วมการก่อสร้าง
    ๓. ส่วนที่สาม เอาไว้ใช้ส่วนตัวเมื่อมีความจำเป็น
    ๔. ในจำนวนเงินที่เอาไว้ใช้ส่วนตัวนั้น จงอย่าให้มีเกินพันบาท ถ้า
    เกินพันให้ทำบุญเสีย
    ๕. เงินในปีนี้ จงอย่าให้เหลือถึงปีหน้า ถ้าเหลือให้คิดว่า ปีหน้า
    เราจะทำอะไรที่มีการใช้จ่ายเกินจำนวนเงินที่เหลือ และเมื่อถึง
    ปีหน้าจริง ๆ ให้ทำตามที่ตั้งใจไว้
    ๑๖) ขอคณะกรรมการสงฆ์โปรดทราบว่า บุคคลใดที่จะเข้ามาบวชในวัดนี้ ให้ดู
    ระเบียบปฏิบัติที่กล่าวไปแล้ว อธิบายไปแล้วนี่ จะเป็นหนังสือ ถามว่า ความดี
    ขั้นสะเก็ด ความดีขั้นเปลือก ความดีขั้นแก่น จะทรงอารมณ์ได้ไหม ถ้าเขาบอกว่า
    อย่างนั้นไม่สะดวก อย่างนี้ไม่สะดวก ผมป่วยไข้ไม่สบาย ผมมีอุปสรรค ก็เชิญให้
    เขาไปบวชที่อื่น ที่วัดนี้ไม่รับจะมีน้อยแสนน้อยเท่าไหร่ ก็ยังดีกว่ามีคนดีน้อย
    เราก็มีความสุข มีคนดีมากเราก็มีความสุข ถ้าคนดีมีมาก คนเลวมีแค่คนเดียว
    สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นทั้งคณะจะมีความวุ่นวาย ทั้งคณะจะมีแต่ความทุกข์
    ดูพระเทวทัต พระนับแสนในเวลานั้นวุ่นวายเพราะพระเทวทัตองค์เดียว
    ๑๗) ถ้าว่าท่านผู้ใดจะเข้ามาบวชในที่นี่ก็ดี หรือว่าบวชอยู่แล้วก็ดี ถ้าเขา
    ปรารภว่า ระเบียบนี้หนักเกินไปละก็ เขาไม่สามารถจะปฏิบัติได้ ขอคณะกรรมการ
    สงฆ์และพระสงฆ์ทุกองค์ ช่วยกันเชิญเขาออกไปจากวัดทันที เพราะอลัชชีประเภท
    นี้ไม่ควรมีในสำนักสำหรับระเบียบปฏิบัติ เราไม่ได้บังคับกันเกินไปว่า จะต้องทำ
    ให้ได้ทันทีทันใด ถ้ายังตัดไม่ได้ ก็ให้ระงับใจไว้ก่อน อย่าให้มันฟูออกมาจากจิต
    ฟูจากใจ ไหลมาถึงปาก ไหลมาถึงกาย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้ายังตัดไม่ได้ให้ระงับไว้
    ในใจ คือใช้ ขันติ อดทนเข้าไว้ใช้ได้ อย่าลืม ถือว่าเป็นระเบียบที่เราจะต้อง
    ปฏิบัติกันในสำนักจริงๆ สิ่งที่เราจะต้องตัดกันในปัจจุบันก็คือสังโยชน์ ๑๐ ที่เรา
    ปฏิบัติพระกรรมฐานกันนี่ ถ้าเราไม่ตัดสังโยชน์ ๑๐ เราก็ไม่ควรจะทำเลย ถ้ายัง
    ทำไม่ได้ก็ตัด ๓ ค่อยๆ ตัด อย่างไรๆ มันมีผลแน่
    ๑๘) ถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย ฟังถึง ๔ เวลาแล้ว ยังมีอารมณ์เลว ยังถือเรา ถือเขา
    อยู่ด้วยกัน มีอารมณ์ไม่เสมอกันบ้าง อยู่ไม่ได้ ขัดคอกันบ้าง มีอารมณ์ขวางกัน
    ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาเข้าหากันละก็ รีบไปเสียจากสำนักนี้ รีบออกไปเสียก่อน
    ที่จะไล่ให้ไปแล้วออกไปจากทีนี้ แล้วก็ไม่ควรจะไปอยู่ที่ไหนอีก ควรจะเข้าป่าไป
    อยู่คนเดียว เพราะคนที่เข้ามาอยู่ในเขตของผ้ากาสาวพัสตร์ ฟังคำสั่งและคำสอน
    ตามแนวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ฟังกันทั้งวันละ ๔ เวลา ยังเอาดี
    ไม่ได้ เห็นจะเหมือนกับพวกที่ไม่ได้บวชละกระมัง
    ๑๙) แล้วบางท่าน สมัยที่กำลังพูดนี่ก็ยังมีหลบการ หลบงาน เอารัดเอาเปรียบพรรค
    พวกนั่นมันเป็นความเลว สัญญาใดที่ก่อนเข้ามาบวช สัญญานั้นถ้าผิด เวลาตาย
    ร่างกายมันไม่ไปไหน มันจมดิ่งบ้าง เขาเผาบ้าง แต่ว่าอทิสสมานกายซิ มันจะลง
    อเวจีมหานรกไปเพราะอะไร เพราะว่าผิดสัญญากับสงฆ์ เราให้สัญญากับคณะสงฆ์
    ว่าเราบวชแล้วเราจะทำอะไรบ้าง ถ้าหากมีกำลังใจอย่างนั้น ท่านก็ถอยหลังไป

    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ว่าในชาติใด ๆ ที่เราเป็นคนเคยไร้สัจจวาจาไม่ปฏิบัติ
    ตามสัญญาตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นของดีที่เขาให้ไว้ แล้วก็ตายจากชาตินั้น
    เสวยผลเป็นอย่างไร
    ๒๐) เมื่อรับเงิน ท่านแนะนำว่า ให้คิดว่า ถ้าเราไม่เป็นพระ ไม่มีใครให้เงินใช้ฟรี ๆ
    อย่างนี้ เพราะเราบวชเป็นพระจึงมีคนถวายเงิน จงอย่าเมาเงินที่ญาติโยมถวายมา
    จงใช้อย่างพระ มีอย่างพระ อย่ามีมากกว่าที่กำหนดให้
    ๒๑) เราบวชเพื่ออะไร แต่ความจริงถ้าเพื่อตัวเอง ไม่ต้องมาสอนพระกรรมฐาน
    จะสอนทำไม ก็ทำเพื่อตัวเอง นั่งภาวนา นอนภาวนาสบาย ๆ ทำใจบริสุทธิ์คนเดียว
    ไม่ต้องเหนื่อยใช่ไหม นี่ทำเพื่อคนส่วนรวม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์
    คือว่า
    ช่วยกันประกาศพระศาสนา และทุกคนก็ตั้งใจทำจริง เขาศรัทธาแท้ เห็นไหม
    ที่มาที่นี่ใครเสียสตางค์มา ต้องเสียเวลามา เขามากันนั่งก็เมื่อย ทนเมื่อย เมื่อยทน
    หรือทนเมื่อย นี่ทุกคนเขามาด้วยกำลังใจ กำลังใจนี่คือบารมี เขาบำเพ็ญบารมี
    ขนาดนี้ เราไม่สนับสนุน มันก็พ้นวิสัยของพระ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. diors

    diors เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +126
    ได้อ่านรื่องนี้แล้วอยากจะบวชเร็วๆจังเลย
    คิดแล้วเหนื่อย เมื่อไหร่จะได้บวชกันนะเนี่ย อยากจะร้องไห้
    วันนี้ไปรับ 2000 รู้สึกว่าคนเราทำไมต้องมาทนทุกกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ด้วย
    เงินแค่เล็กน้อยต้องไปยื่นเข้าแถว(ไม่รู้เป็นแถวหรือป่าว) ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย
    ลำบากมาก เห็นอย่างนี้แล้วไม่อยากจะเกิดมาอีกแล้วครับ เกิดมาใหม่ต้องมาเรียนใหม่อีก
    ของเดิมที่เรียนมาในชาติก่อน ก็เอามาใช้ชาตินี้ไม่ได้ รูปร่างหน้าตาก็เอาของเก่ามาใช้ไม่ได้
    แล้วเราจะยังเกิดมาเพื่อประโยชน์อันใด
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  4. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +2,034
    "นิพพา นัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า " ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
    ชอบประโยคนี้จัง

    อนุโมทนา สาธุ
     
  5. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348
    ลิงค์ธรรมะในเว็บต่างๆของหลวงพ่อ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  6. MyNameIsNancY

    MyNameIsNancY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +196
    อนุโมทนาจริงๆ ค่ะ ได้ความรู้มากมายเลย

    หวังว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสรับใช้ศาสนาอย่างเต็มตัวค่ะ

    ถึงแม้เราจะเป็น ญ ก็ตาม
     
  7. junnyuu

    junnyuu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +92
    .....อนุโมทนาสาธุครับ.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...