เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จะไหวเหรอ...
    กายมันเป็นเพียงก้อนธาตุ ถูกแล้ว เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่ถูกบงการด้วยตัวสั่งงานคือจิต
    เปรียบเปรย...
    จิตนั้นมีธรรมชาติอาศัยเหตุเกิดคือ อดีตกรรม อารมณ์ เจตสิก วัตถุรูป
    มันสะสมมันก็ต้องวิ่งวุ่นวายหาค่า ความหมายทั้งดีและเลวอยู่ตลอดห้ามไม่ได้ที่
    จะเกิด มันเกิดเองตามธรรมชาติ ถูกแล้ว
    อวิชชา คือความไม่รู้
    ตัณหาคือตัวผลักดัน แรงส่ง
    อุปทานคือความหลงไหล เชื่อมั่นว่าสิ่งนี้เป็นตัวมัน ของมัน

    คอมพิวเตอร์สร้างภาพแต่ละภาพมันต้องแปรค่าความหมายประมวลผล
    แม้แต่เสียง รูป การสัมผัสหน้าจอเพื่อเลื่อนภาพ

    กายก็คือองค์ประกอบเป็นเพียงวัตถุุรูปเพื่อให้มีวิญญาณสถิตย์อาศัยในถ้ำคูหาของจิตคือวิญญาณอายตนะทั้ง5
    คอมก็มีองค์ประกอบมากมายก็เป็นเพียงวัตถุรูป
    มีกระแสไฟฟ้าสถิตย์วิ่งอยู่ภายในเพื่อแปรค่าความหมายที่บรรจุข้อมูลเอาไว้

    ไม่ต่างจากเซลสมองที่ถูกกระตุ้นด้วยเซลประสาทที่มีกระแสไฟฟ้าสถิตย์วิ่งแปรค่า
    ในความหมายที่ปรากฏที่ช่องทวารทั้ง5

    ถามว่าในขณะกิน เนื้อนุ่มๆ ลิ้นมันรู้รส หรือกระแสไฟฟ้าแปรค่าความหมาย
    เพราะเกิดการสัมผัสที่ลิ้นในเซลประสาทรับรู้ กระแสไฟฟ้าสถิตย์ก็วิ่งเข้าที่สมอง
    เซลสมองในส่วนต่างๆแปรค่าความหมายออกมา ว่าอร่อย ไม่อร่อย เฉยๆ

    ในหลักของแมททริก แท้จริงๆแล้วมีแต่กระแสไฟฟ้าพลังงาน สสารที่ปรากฏเกิดขึ้น
    วิ่งวุ่นวายเพื่อตีค่าในสิ่งที่เกิดผัสสะกระทบตลอดเวลา

    ความเกิดดับที่รวดเร็วอย่างมหาศาลจึงไหลหล่อหลอมรวมเป็นรูป เป็นจิตและมนุษย์ก็สร้างตัวแทนของตนคือคอมพิวเตอร์ในรูปแบบวัตถุรูปและการสั่งงาน

    สิ่งนี้คือหลักของวิทยาศาสตร์
    เพียงแต่ว่ามีสิ่งที่ละเอียดกว่าแมททริกอีกที่ซ้อนเอาไว้คือคนนั่งเล่นคอม
    ตัวนี้คือตัวการอย่างแท้จริง เป็นภพที่ซ่อนอยู่ภายใน ขันธ์ภายในที่ละเอียดซับซ้อน

    คอมอย่างไรก็เป็นเพียงวัตถุรูป กระแสไฟฟ้าก็เป็นเพียงวัตถุรูปไม่ใช่จิตที่แท้จริงอันเป็นนามธรรม ถามว่าเมื่อไหร่เราจะ Shut Down แบบถาวร ก็ต้องสอนคนสั่งการโดยการอบรมเพื่อเตือนตัวสั่งให้รู้ว่า

    สิ่งที่รู้อยู่ตรงหน้าที่เห็นเป็น ภาพ แสง สี เสียง รส กลิ่น สัมผัสนั้นๆ มันไม่ใช่ตัวมัน
    ไม่ใช่ของๆมัน มันไม่มีอะเลยที่อยู่ตรงหน้า
    หลักของวิปัสสนาต้องอาศัยการเกิดขึ้นมาเองอย่างธรรมชาติเพราะจดจำได้หมายรู้ในลักษณะอย่า...
    พยายามเข้าไปรู้ ตรงพยายามเข้าไปรู้ ตรงนี้เป็นการคลุกคลีเป็นอุปทานจิตว่ากำลังรู้การเกิดดับ คำว่ารู้การเกิดดับนั้น เร็วมากมากโดยต้องอาศัยความรู้สึกในขณะที่จิตตั้งมั่น สติปรากฏ ปัญญารู้ในชั่วแวบเดียวขณะนั้นๆ

    ถ้าสติมีกำลังมาก สภาวธรรมนั้นๆจดจำได้มากขึ้น สติก็ปรากฏถี่เหมือนดั่งหลอดไฟที่สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่กระพริบแวบๆ ดังนั้นเราต้องเริ่มจากการอบรมระหว่างวัน
    ยืนเดินนั่งนอนเหลียวเหยียดคู้ และรู้ว่าตอนนี้จิตเป็นอย่างไรตามจริงเพื่ออบรมให้เกิดการจดจำได้หมายรู้เสียก่อน

    พื้นฐานนี้เป็นคุณธรรมในการตรัสรู้คือสติปัฎฐาน4รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม
    ตรงนี้เราต้องเรียนรู้อบรมเสียก่อน ไม่ใช่อ่านคำครูแล้วไปคลุกว่านี่กำลังเกิด นี่กำลังดับ โดบลืมไปว่า จิตเกิดดับเร็วมหาศาลจะใช้คิดตามรู้ไม่ได้

    ัมัเป็นเพียงแวบเดียวที่ปรากฏแสงและถ้ามันปรากฏแสงแวบต่อเนื่องถี่ยิบเหมือนดั่งหลอดไฟฟ้าหลอดไฟก็จะสว่างจ้า ในหลักของวิทยาศาสตร์หลอดไฟที่เราเห็นกระพริบ1วินาทีประมาณ40-45ครั้ง มันเร็วมากจนเราไม่รู้ว่าแท้จริงๆแล้ว

    หลอดไฟที่เราเห็นสว่างจ้านั้นมันเกิดและกับในตัวเองตลอดทุกเสี้ยววินาทีแล้วจิตละมันมหาวินาศยิ่งกว่าหลอดไฟเสียอีก
    มานะนั้นเป็นสิ่งที่ละยากของพระอริยเจ้าในละดับพระอนาคา ยากมาก
    พี่ก็มี ดังนั้นเราต้องทำจิตตนให้อ่อนโยน ถ่อมตน ที่มีอยู่กีดีแล้วแต่ควรทำให้มากขึ้นและอบรมพื้นฐานสำคัญ เสมอๆ
    ดูสภาวะลงที่ปัจจุบันตามจริงสบายๆ รู้ซื่อๆ แล้วนับ1เสมอเป็นหลักหัวใจที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนหยิบจับเอาสิ่งดีมาใช้นะ

    เราทำสมาธิเพราะจิตมันฟุ้ง ไม่มีกำลังของสติที่จะเข้าไปจัดระเบียบจิต สิ่งนี้ต้องเข้าใจนะ เพราะจิตมันซัดส่าย ฟุ้งซ่านแล้ว เมื่อรู้สึกว่าจิตมันฟุ้ง ถูกนิวรณ์ครอบงำ
    เราจึงทำสมาธิเพื่อให้สติมีกำลังเพื่อเอามาพิจารณาขันธ์ นี่คือสมาธิ

    ดังนั้นระหว่างวันทำอะไรก็รู้ตามจริงแบบซื่อๆระวังจะอายเด็กๆนะ ถามอะไรมันรู้ตามจริงหมด พวกเรามักจะดัดแปลงกันมากไป พยายามเข้าไปรู้จนเกินงาม
    วิปัสสนาแท้จริงจึงไม่ปรากฏเพราะมีโมหะนำ

    คิดไม่ได้ทำให้รู้แต่ต้องอาศับคิดเพื่อให้มันจดจำได้หมายรู้ จนมันชิน
    เมื่อปรากฏเกิดขึ้นเช่นเหมือนเห็นคนที่คุ้นเคยเดินผ่านหน้า จิตแวบเดียวเท่านั้นมันสงสัยว่า เอ๊...คนๆนี้เหมือนเคยรู้จัก เคยเห็นมาก่อน

    วิปัสสนาก็คล้ายๆเช่นนี้แต่สมาธิมีกำลัง สติมีกำลัง ปัญญาที่ปรากฏ มันสมดุลย์กันเป็นมรรคสมังคีชั่วแวบเดียที่รู้และก็ชั่วแวบเดียวไม่กี่ขณะจิต...

    ที่ทำลายตัวตนโดยการShut Down มันลงเพราะ
    อวิชชา(ไม่รู้)ถูกแทรกด้วยวิชชา(รู้)
    ตัณหาถูกแทรกด้วยการละ ต้องบอกว่าละ ไม่ใช่หมด ละเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งปลอมด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
    อุปทานถูกทำลายเพราะจางลงหมดสิ้นสงสัยว่าไม่ใช่จะเอาอะไร

    อนุโมทนานะครับ หวังงว่าพอเข้าใจบ้างนะครับ
    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สมาปัญญา...
    ทำนะจะรู้เอง ครูอาจารย์ท่านเปรียบเปรยเรื่องของจิตที่รวมเข้าไปภายในในเรื่องของสมาธิและฌานเอาไว้ ทำแล้วลองมาถามดูนะครับ
    ในท่าเดินก็มีสมาธิ พอมานั่งก็มีสมาธิต่อเพราะยังจดจำอารมณ์ที่วางจิตเอาไว้อยู่
    พอมานอนจิตก็ไหลรวมเข้าไปในอารมณ์เดิมได้อีกแต่สติมีน้อยโน้มเข้าภวังค์
    กลายเป็นฌานหลับไป (ลองอ่านฌานหลับของหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำดูนะ ท่านอธิบายชัดเจนดี)
    พอจิตตกฌานเข้าไปแล้วรู้สึกนี่เป็นภวังค์บาท ยังไม่เกิดนิมิต เพราะยังไม่ถึงขนาดเชื่อมั่นในนิมิต ภาพสี แสง จึงวับๆแวมๆเหมือนละอองฝัน
    เหมือนความคิดของภาพวัตถุล่องลอยเข้ามามากมายแต่ยึดจับไม่ได้แล้วรู้สึกตัว
    ตื่นขึ้น หรือบางครั้งตามรู้ในอารมณ์ที่วางเอาไว้ในเวลานอน
    แต่กายกลับหลับไป ลมหายใจให้สังเกตุว่าเป็นธรรมชาติของกายไปหมดแล้ว
    อาจจะพบว่ากายมันกรนให้เห็น ตรงนี้คือแยกกายและจิตออกจากกัน
    คือกายหลับจิตตื่นภายใน กายมันกลายเป็นก้อนเนื้อชนิดหนึ่งแต่ช่วงที่

    กายหลับจิตตื่นนั้น ไม่ต่างจากการไม่ได้นอนเลย รู้สึกตัวได้ตลอดรอบด้าน
    ส่วนที่เล่ามาตอนท้ายเป็นสภาพของกายที่ถูกธาตุลมกำเริบ กดดันตรงบริเวณสันหลัง ทำให้เกิดอาการชาของกายเหมือนดั่งอัมพาตชั่วคราว สลึมสลือเหมือนดั่งเบลอๆไปแล้ว

    ถ้าเป็นพวกผีอำ จิตวิญญาณมาเยือนจะเห็นรูปร่างพวกเค้าหรือจิตที่พยายามสื่อถึง
    ถ้าเงาดำเป็นวิญญาณชั้นต่ำ กลุ่มควันดำก็เช่นกัน
    ถ้าเป็นภาพ กลุ่มควันสีขาว นี่เป็นพวกเทพ มีอำนาจ

    ถ้าเป็นพวกวิญญาณร้ายๆส่วนมากเราจะโดนเค้ามาถึงก็เหยียบยอดอกแบบไม่ต้องพูดพร่ามทำเพลง หรือวิ่งเข้ามากด หรือทับ หรือเห็นเป็นภาพที่น่ากลัวของวิญญาณที่ไม่สงบสุข
    อนุโมทนา ทำๆไปนะ สมาธิเป็นการทำเพื่อให้นิวรณ์มันราบเรียบ จิตก็มีศีลปรากฏ
    คือความสะอาดของจิต เมื่อจิตสะอาดไร้โลกธรรมก็รวมเข้าหาใจ แล้วก็เอาใจอันเป็นสัมมาสมาธิพิสูจน์สัจธรรมที่จิตมันจะไหลออกมาจากใจเพราะกระเพื่อมหวั่นไหวอีกเสมอๆ รู้ถูก รู้ชัด รู้ตามความเป็นจริง

    นิ่งสงบสยบทุกสิ่ง(อุเบกขาธรรม)
     
  3. จะไหวเหรอ

    จะไหวเหรอ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    ขอบคุณมากครับ อาอ้อง พูดซะเห็นภาพเลย
    อย่างที่อาอ้องพูดอีกแล้วครับ.

    เรื่องมานะ.ตอนที่คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมอ่าครับ มันยากมากตรงที่ต้องยอมรับความจริงว่าเราคิดไปเอง เพราะมีมานะว่าเราเก่งขึ้นมา อีกครั้ง กับตอน คิดว่าทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ มันไม่มีอ่ะไรอยู่จริง เลยไม่รู้จะเรียนไปทำไมนี่ นี่เลิกเรียนจริงๆไปแล้วด้วยครับ พยายามจะบวชลูกเดียว เพราะมีมานะอีกแล้ว ว่าความคิดเราต้องถูก เราเก่ง นี่หลงผิดขั้นร้ายกาจ แต่มีปัญญาอยู่หน่อยหนึ่งเลยรอดมาได้แบบหวุดหวิดแต่ กว่าจะยอมรับความจริงนี่สาหัสเลยครับกรณีนี้ ตอนนี้ต้องกลับมาอ่านหนังสือแล้วละครับ เลิกอ่านไปเกือบเดือน มานะ+ความขี้เกียจนี่ น่ากลัวจริงๆ มีหนังสือที่ต้องอ่านให้จบ หลายเล่ม งานหนักเลยครับ

    ดังนั้นเราต้องทำจิตตนให้อ่อนโยนถ่อมตนที่มีอยู่กีดีแล้วแต่ควรทำให้มากขึ้นและอบรมพื้นฐานสำคัญเสมอๆ
    ดูสภาวะลงที่ปัจจุบันตามจริงสบายๆรู้ซื่อๆแล้วนับ1เสมอเป็นหลักหัวใจที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนหยิบจับเอาสิ่งดีมาใช้นะ ที่อาอ้องแนะนำ สั่งสอน ผมจะจำไว้ครับและจะปฎิบัติด้วย

    ส่วนตอนนี้ ผมปฎิบัติ สมถกรรมฐานมาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง มา1ปีกว่าๆ ผมยิ่งเจอเรื่องแปลกๆเยอะด้วยอาอ้องน่าจะพอเดาได้ละครับ ผมมีคำถามเต็มสมองเลยอาอ้องพอมีคำแนะนำในการปฎิบัติสมถกรรมฐานไหมครับ กันเพี้ยน กันวิปลาส

    มาตอนนี้รู้อีกอย่างหนึ่งว่า ความคิดที่จะช่วยแม่นี่เป็น อุปสรรคในการบรรลุธรรมแต่กำลังใจผม ลุ่มๆดอนๆถอยได้ตลอด ไม่มั่นคง ถ้าหมดความคิดที่อยากจะช่วยเมื่อไร หรือบารมีผมเต็ม ผมอาจจะ shut downแบบถาวร ได้ครับ

    การเวียน ว่าย ตายเกิด มันแสนยาวนานซึ่งผมไม่รู้ในสิ่งที่ทำไว้ในอดีต เพื่อเป็นการไม่ประมาทและเป็นโอกาสดีที่จะขอ ขมาอาอ้อง หากผมได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินอาอ้อง ไม่ว่าด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขออาอ้องโปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2010
  4. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    สวัสดีครับอาจารย์อ้อง

    ขอบคุณมากครับ ใช่อย่างที่อาจารย์แนะนำมาครับ "นิ่งสงบสยบทุกสิ่ง"
    การที่เราจะ "นิ่งสงบ" นั้นก็คือ ความว่างเปล่านี้เอง สิ่งที่เกิดขึ้นมาล้วนมาจากจิตของเรา "จิต" ไป "สติ" ไป "สมาธิ" ไป "ปัญญา" กลับมาที่
    "จิต" อีก วนเวียนเป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ จิตที่มีสติสำคัญจริงๆ ครับ

    วันนี้ผมก็ทดลองทำอีก เพราะจะได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่วันนี้ที่ผมทดลองทำ ผมมีความพร้อมมากกว่าทุกครั้ง ความพร้อมนี้ก็คือ สติ

    เหมือนเดิมครับ นั่งสมาธิก่อนจนร่างกายมันฟ้องว่า เริ่มที่จะเหมื่อยแล้วนะ ผมก็เปลี่ยนมาเป็นท่านอนทันที แต่ครั้งนี้ผมมีสติคอยดูอยู่ตลอด จนกระทั่งอาการแบบนี้ก็มาอีก ผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ สติรู้อยู่ในความว่างเปล่า แต่ความรู้สึกของครั้งนี้จะต่างกว่าทุกครั้ง

    เพราะครั้งนี้เรามีสติดูอยู่ว่าจะเกิดเมื่อไร พอเกิดเราก็ปล่อยให้มันเกิด ไม่ไปบังคับ ความรู้สึกที่ได้เหมือนถูกดูดให้รวมเป็นหนึ่ง ผมก็ปล่อยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนฝันไปว่า ตัวเองนี้ถูกดูดให้ลอยไปตกที่ใดที่หนึ่ง ผมก็ปล่อยไปอีก อยากรู้ว่าจะไปตกตรงไหน พอตกลงมาแล้วมันจะเจ็บไหม

    ตอนที่ผมปล่อยให้จิตมันไหลไปเรื่อยๆ เหมือนถูกดูดนี้ ไม่ได้ไปบังคับมัน ผมว่าตอนนี้ผมกำลังจะหลับ ที่เหลือจากนั้นมันคือฝัน หรือจินตนาการต่อเนื่อง ซึ่งผมจำได้แม่นเลยละครับว่าถูกดูดไปแล้ว แต่จะต้องหาทางกลับ

    ขอบคุณมากครับอาจารย์อ้อง ผมยังต้องฝึกอีกนาน ต้องกลับไปหาความรู้เพิ่มเติม ขอบคุณจริงๆ ครับ ขอให้ผลบุญนี้ส่งผลกลับไปยังอาจารย์ดัวยครับ

    สมาปัญญา
     
  5. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    สวัสดีลุงอ้องครับ
    และสวัสดีกัลยาณมิตรทุกๆท่านด้วยนะครับ

    วันนี้เข้ามาอ่านธรรมะภาคปฏิบัติแล้ว ชื่นใจครับ (สดชื่น)

    ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนากับคุณสมาปัญญา และคุณจะไหวเหรอ ด้วยนะครับ

    ผมอ่านของคุณสมาปัญญาแล้ว
    ทางที่คุณเดิน ประสบการณ์ที่คุณเล่ามานั้น ผมอ่านไปผมก็ยิ้มตามไปด้วย
    เพราะสิ่งที่คุณเล่ามานั้น บางช่วงบางตอนคล้ายคลึงกับผมมาก
    (ผมถึงอ่านแล้วยิ้มตามไปด้วยครับ)

    ควานหาทั้งในกาย ทั้งในจิต ควานหาจนไม่มีอะไร แท้จริง มันไม่มีอะไรเลย(ว่างเปล่าแต่ยังไม่ว่างจริง) ผมควานหาคล้ายคุณสมาปัญญา
    อาการที่เจอใหม่ๆก็คล้ายๆ คุณสมาปัญญา
    โล่ง โปร่ง เบา ไม่มีน้ำหนัก จิตว่องไว ไม่ยึดอะไรง่ายๆ รู้แล้วก็จบลงที่รู้ เมื่อไม่ยึดกาย กายก็เบา เมื่อไม่ยึดจิต จิตก็เบา (แต่ไม่ใช่ว่าไม่ยึดเลยนะครับ ยังยึดอยู่ แต่ในช่วงที่สมาธิสมบูรณ์ มันไม่ยึดจริงๆ จิตมันไวต่อสภาวะ ช่วงนั้นนะ)
    แต่พอสมาธิ ถอยกำลังลง สภาวะทางจิต ก็กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์ปกติ
    แต่ความเบา ความโล่ง ยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่หวือหวาเหมือนตอนเจอใหม่ๆ

    จุดต่อไป ก็คือ ระวังติดว่าง โล่ง โปร่ง เบา เพราะติดตรงนี้ ออกยากจริงๆครับ
    ผมติดมา1ปีเต็มๆ กว่าจะออกมาได้ ตอนช่วงที่รู้ตัวว่าติด แล้ว จะถอนออกมานะครับ เป็นช่วงที่ทรมานมากๆครับ เพราะยิ่งอยากหลุดออกมา มันก็ยิ่ง วิ่งเข้าไปเกาะในความว่างเหมือนเดิม
    วิธีออกจากว่าง แท้จริง ก็ไม่ได้ยาก (จะว่าง่าย ก็ไม่ใช่ จะว่ายากก็ไม่เชิง)
    ก็แค่เจริญสติ รู้สึกตัวเหมือนเดิมนี่แหละครับ
    แต่จิตเรานะครับ เขาจะหันไปดูที่ความว่างแทน (ดูทั้งวัน)
    จิตจะวิ่งไปที่ว่างตลอดเวลา(สำหรับคนที่ติดว่าง)
    เขาจะวิ่งเข้าไปของเขาเอง จากความเคยชิน
    เมื่อจิตวิ่งไปที่ว่าง มีสติรู้ทัน จิตก็จะคลายจากว่าง แล้วก็จะวิ่งเข้าไปอีก
    พอมีสติรู้ทัน จิตก็คลายจากว่าง จะเป็นอย่างนี้แหละครับ
    วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละครับ
    เมื่อเราฝึกรู้ทันความว่าง จนจิตชิน(ชินที่จะรู้) จิตก็จะถอยคลายออกจากความว่างเอง ได้ทีละนิดๆครับ
    ช่วงที่ติดความว่างนะครับ สบายมากๆครับ(จิตพรหม) แต่พอรู้ตัวว่าติด แล้วจะออกนี่แหละครับ ทรมาน อิอิ ต้องลอง

    เมื่ออกจากว่าง มาได้นะครับ จิตคุณจะมาเป็นจิตมนุษย์ธรรมดาๆ(นี่แหละจิตที่ควรแก่การเจริญสติจริงๆ)


    จากจุดสงสัย และเริ่มควานหาคำตอบ และคลำหาทางมาเรื่อยๆ ทีละนิดๆ
    จนเห็นประตูที่ใช่ ประตูสู่ธรรม
    การจะควานหาประตูที่ใช่ที่ถูกได้นั้น ยากมากๆครับ

    แต่เมื่อเจอประตูแล้ว เราต้องเดินต่อ เพื่อเข้าประตูให้ได้ในชาตินี้
    เพราะการที่จะเจอประตูได้นั้น มันยากจริงๆครับ

    และเมื่อเจอประตูแล้ว อย่าชะร่าใจนะครับ ให้เดินต่อเหมือนเดิม(เพราะถ้าเรายังไม่เข้าไปในประตู เราก็มีโอกาสที่จะพลาดล่วงไปได้)

    เพราะตัวผมเอง เห็นผล ของการชะร่าใจ และความขี้เกียจแล้วครับ
    จากที่จิตสว่าง ใส ไว รู้สภาวะเร็ว ก็กลับเป็นมัว ตื้อ มองสภาวะที่แท้จริงไม่ออก
    ถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ฟื้นเลยครับ (ตัวผมเอง)
    ล่วงลงมาลึกจัดครับ ก็จะค่อยๆคลานขึ้นครับ



    สาธุในธรรมครับ สู้ๆนะครับ
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนาน้องวันชัยนะ...
    สบายดีนะ ได้คุยกับครูบาโมดบ้างไม๊ล่ะ ท่านเพิ่งไปเวียงจันทร์เพิ่งกลับมาได้เดือนละ
    ไปสร้างโรงทานสมเจตนาท่านเรียบร้อย ครูบาก็เดินปัญญาอยู่ภายใน
    เริ่มเข้าสู่กักแต่รู้ว่าทุกสิ่งก็คือธรรมชาติห้ามไม่ได้ที่จะเกิด ตาต้องได้เห็น
    หูต้องได้ยิน อื่นๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่จิตมันเข้าไปกระทบผัสสะและยกเอาขึ้นมา

    ปัญญาที่ไวขึ้นของท่านทำหน้าที่รู้แล้ววางลงไป อารมณ์จึงขาดลง อำนาจในการปรุงแต่ง(จิตสังขาร)เมื่อมีสติรู้ตามเท่าทัน สมาธิที่ตั้งมั่น ปัญญาชั่วแวบก็วางลงเสียได้ด้วยการเห็นเป็นทุกข์เป็นโทษ
    เห็นว่าชั่วแวบเดียวนั้นๆมีเหตุปัจจัยให้เกิด ตั้งอยู่ไม่ได้ สลายหายไปเป็นเรื่องธรรมดา

    ยอมรับความจริงของธรรมชาติแต่ไม่เผลอตามไปกับธรรมชาติจนปรุงแต่งและเกิดกิเลสมาย้อมจิต อำนาจของความปรุงแต่งทั้งหลายก็ถอยลงไปเรื่อยๆเป็นลำดับ
    เพราะจดได้หมายรู้ในสภาวะด้วยสติที่มีำกำลัง สมาธิที่ตั้งมั่นคงไม่ซัดส่ายอยู่กับอารมณ์หรือวางจิตเอาไว้ ปัญญาก็รู้ชั่วแวบนั้นๆไม่กี่ขณะจิต ตัวตื่นรู้ก็ทำหน้าที่ไป

    คำว่าว่างของน้องวันชัยเป็นเหมือนดั่งอากาศธาตุ เวิ้งว่างไร้ขอบเขต เข้าสู่อรูปคือไม่เอารูปเป็นอารมณ์ ท้ายสุดจะเข้าไปดับจิต(ชั่วกาลเวลาหนึ่งที่ยาวนาน)
    แต่เมื่ออารมณ์นั้นๆคลายออกแล้วก็จะเหมือนกับที่น้องวันชัยเล่ามาอีกเช่นกันคือ...
    กลับสู่สภาวะโลก ขันธ์หยาบ เพราะยังทำลายอวิชา ตัณหา อุปทานลงไปไม่ได้
    เป็นเพียงแต่การหยุดไป เหมือนค้าง กั๊ก หยุดไปในห้วงแห่งกาลเวลา

    การที่น้องวันชัยทำอยู่คือมีสตินั้นถูกแล้วอนุโมทนา อย่ากลัวแม้ในความว่าง แต่จงเอามันมาเป็นสภาวะธรรมในความละเอียดคือตื่นรู้ว่าว่างอีกแล้วละเอียดอีกแล้ว
    หายไปอีกแล้ว สบายๆ เวิ้งว่างไร้ขอบเขต ไร้การปรุงแต่งอันเป็นสิ่งหยาบ ขันธ์หยาบไม่มีแต่ขันธ์ละเอียดปรากฏอยู่ ยังรู้สึกถึงการมีตัวตนคือรู้ว่าว่าง

    คำว่ารู้ว่าว่าง มันมีจุด มีตำแหน่งให้หยั่งถึงแม้จะดูว่าเวิ้งว่าง แต่ก็มีตำแหน่งให้สืบค้น ใจยังมีภพอันละเอียดยึดติดในภพ แม้จุดเพียงเสี้ยวก็เป็นภพ เกิดชาติขึ้นได้เสมอ

    เมื่อไม่กลัวว่าว่าง แต่รู้ว่ามันปรากฏเกิดขึ้นได้ มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ตลอดไป ในที่สุดก็จะปรากฏการถดถอดออกมา ช่วงที่ถดถอยออกมาจึงควรพิจารณาตลอดเส้นทาง
    ในสัจธรรมของพระไตรลักษณะ ความคลายยึดในอุปทานก็จะคลายสงสัยไป

    ดีจึงเป็นธรรม ไม่ดีก็เป็นธรรม คำว่าธรรมก็คือธรรมชาติ เรามารู้จักธรรมชาติของความว่าง เราไม่กลัวว่ามันจะว่าง เมื่อเรารู้จักมันเราจะเห็นสัจธรรมความจริง

    จนคลายความสงสัยว่าแม้คำว่าว่างนั้นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิตเรา ว่างที่แท้จริงจะปรากฏเกิดขึ้นคือสะอาดแท้ บริสุทธิแท้ คือว่างจากขันธ์ ว่างจากอำนาจในการปรุงแต่ง สติ สมาธิ ปัญญาที่สมดุลย์กันจึงทำให้ทางเดินนั้นเกิดเส้นทางแห่งนิโรธ
    คือดับสิ้นไป ไม่เอาอะไรไม่เหลืออะไรกับอะไรอีก
    คำว่าวันชัยไม่ใช่เรา กายวันชัยก็ไม่ใช่เราเป็นเพียงที่อาศัยของจิตแม้จิตก็ไม่ใช่เรา
    เพราะมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเพราะอาศัยเหตุเมื่อหมดเหตุจิตนั้นก็ไม่หลงเหลืออีกต่อไป

    อนุโมทนาขอให้น้องพี่เจริญในธรรม ทำให้ถึงที่สุดแห่งชาตินี้ที่ได้เข้าถึงธรรม
    อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความพร้อม ปัจจัยมีตลอดแล้ว ทำให้สิ้นไปเสียน้องพี่ ขอเจริญด้วยคุณธรรมอันเป็นการก้าวข้ามโอฆะให้สิ้นไป สาธุ
    พี่อ้อง
     
  7. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    สวัสดีครับลุงอ้อง
    ลุงสบายดีไหมครับ (หน้าฝนมาเยือน)
    ส่วนผมสบายดีครับ

    ยังไม่ได้โทรไปหาครูบาเลยครับ พอดีเบอร์ในเครื่องหายหมดครับ
    ซิมติดมือลูกค้าไปน่ะครับ ก็เลยขอเบอร์เดิม แต่ซิมใหม่
    รายชือหายหมดเลยครับ

    ลุงครับขอไฟล์ด้วยคนได้ไหมครับลุง
    ไฟล์PDFความศักดิ์สิทธิ์พระคาถา /คำภีร์หมื่นโลกธาตุ/มิติภูต
    และขอเบอร์ครูบากับของลุงด้วยนะครับ
    www.santamano13@hotmail.com

    ขอบคุณลุงมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  8. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    .....ขอโทษครับ กดซ้ำครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  9. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    สวัสดีครับคุณวันชัย 13

    ขอบคุณมากๆ ครับ ขอให้ผลบุญนี้ส่งผลกลับไปยังคุณวันชัย 13 ด้วยครับ

    สมาปัญญา
     
  10. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ธรรมชาตกับคำว่า "ว่าง"

    สวัสดีครับอาจารย์อ้อง

    วันนี้ผมขออนุญาตเข้ามาต่อจิ๊กซอร์กับคำว่า "ว่าง" นะครับ จะผิดถูกอย่างไรรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ

    หลังจากที่อาจารย์ได้แนะนำให้ผมไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องญาณ ที่หลวงพ่อฤษีลิงดำท่านได้บรรยายไว้ก็ทำให้ผมมีความเข้าใจมากขึ้น เริ่มจับต้นชนปลายถูก

    พอเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นก็เกิดเป็นความอยากขึ้นมา อยากที่จะรู้ อยากที่จะเห็น อยากที่จะลอง หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิตามปกติ โดยมีความอยากนำ มีสติตั้งมั้นอยู่กับคำว่ารอ รอว่าเมื่อไรจะเกิดเสียที เมื่อไรจะมานะ ฉันรอจนเหมื่อยแล้วนะ แต่ในระหว่างที่นั่งสมาธิรออยู่นั้น

    ปัญญาก็เกิดขึ้นว่า ในเมื่อตัวเราว่างแล้ว ไม่อยากได้อะไรแล้ว แต่ตอนนี้เรากำลังเอากิเลสมาห่อหุ้มจิตใจอยู่ใช่ไหม ซึ่งรู้สึกว่ามันผิดธรรมชาตกับคำว่า "ว่าง" ที่เราสัมผัสได้ในขณะนี้

    ซึ่งความคิดนี้ในระหว่างนั่งสมาธิ ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่ามันถูกหรือมันผิด ก็นั่งรอไปเรื่อยๆ ไม่มาสักที ทีนี้เปลี่ยนเป็นนอนรอบ้าง ก็ไม่มาซักที จนอาการเหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ซึ่งมีความรู้สึกว่าทรมาน ไม่เห็นเหมือนกับตอนที่เรานั่งสมาธิด้วยความว่างเปล่าเลย

    จึงกลับมาทบทวนดูใหม่ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจิตเราในขณะนั้นเกิดความอยากขึ้นมา เมื่ออยากเกิดขึ้นมาแล้ว ว่างจึงหายไปใช่หรือเปล่า ถ้าว่างหายไปก็แสดงว่า จิตเราไม่ว่างเสียแล้ว กลายเป็นอยากแทน

    ที่นี้ก่อนนอนก็ได้เวลานั่งสมาธิ แต่ไม่เอาแล้วครับกับความอยาก อยากที่จะรู้โน้น อยากที่จะรู้นี้ อยากที่จะเข้าใจตรงนั้น อยากที่จะเข้าใจตรงนี้ เวลานั่งแล้วรู้สึกทรมานเหมือนกับจิตมันร้อนกระสับกระส่ายไปมา ต้องคอยมาบังคับจิตอยู่ตลอด

    แต่คราวนี้นั่งเหมือนเดิมดีกว่า ปล่อยให้จิตเป็นไปธรรมชาติ มีสติตั้งมั่นอยู่กับความว่างเปล่า ไม่ต้องไปคอยบังคับจิต สักพักก็รู้สึกได้เออต้องแบบนี้ ความรู้สึกที่เคยสัมผัสได้เป็นแบบนี้ ปล่อยให้เป็นไปธรรมชาต

    พอช่วงเช้ามืด ผมตื่นขึ้นมานั่งสมาธิ ทีนี้ก็เอาอีกแล้ว ความอยากเริ่มกลับมาอีกแล้วครับ อยากที่จะรู้อีกแล้ว ไหนๆมาแล้วก็ไม่เป็นไร นั่งสมาธิแบบนี้อีก แบบมีความอยากนำ เรียกว่ายังไม่เข็ด ต้องลองอีกให้มันชัดไปเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร สุดท้ายเหมือนเดิมเลยครับ เรายังสงบไม่พอ

    เหมือนเรากำลังเอากิเลสมาห่อหุ้มจิตเราอีก เมื่อความอยากก่อตัวขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ มันก็เหมือนกับเรากำลังเปิดช่องทางให้กิเลสกับเข้ามาสะสมได้อีก

    วันนี้จึงทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ที่อาจารย์อ้องบอกว่าว่างนั้น เราต้องรู้จักกับธรรมชาตของคำว่า "ว่าง"ด้วยนั้นเป็นแบบไหน ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เพราะคำว่าว่างเขียนได้หลายอย่าง แต่ละอย่างความหมายก็ไม่เหมือนกัน ถึงจะเป็นว่างก็ตามที

    เมื่อก่อนผมก็ลังเลนะครับ ว่าว่างของเรานั้นอุปทานขึ้นมาหรือเปล่า คิดไปเองหรือเปล่า จากวันนี้ทำให้ผมเข้าใจมากยิ่งขึ้นกับคำว่าว่าง "ว่าง" นั้นธรรมชาตของเขาเป็นเช่นไร เมื่อธรรมชาตของเขาเป็นเช่นนั้น เราเอาอะไรไปใส่ให้กับเขา เราอะไรไปเติมให้กับเขา มันก็กลายเป็นว่างผิดธรรมชาตไปเสีย

    ขอบคุณมากๆครับอาจารย์อ้อง กับคำว่า "ว่าง" ถึงวันนี้ผมยังว่างไม่ 100 % ก็ตามที แค่นี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้วครับ ขอให้ผลบุญกุศลนี้ส่งกลับไปยังทุกๆท่านที่คิดดี ทำดี อยู่ในหลักคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า .......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2010
  11. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    ความ"ว่าง"ที่มีหลายว่าง ขอแลกเปลี่ยน"ว่าง"แบบ โลกิยนะครับ

    วันนี้ขอมาแลกเปลียนด้วยนะครับ
    คำว่า"ว่าง"
    ว่างที่สัมผัสมานั้น คือ
    การว่างจากสิ่งปรุ่งแต่งหยาบๆ
    ว่างจากสิ่งปรุงแต่งปานกลาง
    ว่างจากสิ่งปรุ่งแต่งที่ละเอียด
    แต่ยังไม่ว่าง ถึงที่สุด คือ"ว่างจากกิเลส"

    เมื่อสัมผัส(ลิ้มรส)กับสภาวะว่าง ไม่ว่าจะเป็นว่างในระดับใดก็ตาม
    หากขาดสติสัมปชัญญะ
    ในการรอบรู้ และรู้รอบในสภาวะนั้นๆ
    สิ่งที่เราจะประสบคือ เราจะถลำเข้าไปในสภาวะนั้นเองโดยอัตโนมัติ
    แล้วถ้ายิ่งเจอสภาวะว่างที่ละเอียดมากๆ
    เราแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า เราได้ถลำเข้าไปแล้ว(จริงๆครับ)

    เมื่อเราเจริญสมาธิ จิตเราจะค่อยๆว่างจากสิ่งปรุ่งแต่งหยาบๆทีละนิด

    เริ่มจากว่างจากนิวรณ์5(ชั่วคราว) ------ ว่างจากสิ่งปรุงแต่งหยาบๆ

    ว่างจาก วิตก
    ว่างจาก วิจารณ์ ---------- ว่างจากสิ่งปรุ่งแต่งปานกลาง
    ว่างจาก ปีติ
    ว่างจาก สุข

    ว่างแบบอุเบกขา เอกัคคตา ซึ่งก็มี4ว่าง ซึ่งเราเรียกว่า "อรูป"

    ว่างแบบเวิ้งว้าง กว้างไกล ดังอยู่กลางอวกาศ (อากาสานัญจายตน)

    ว่างแบบเหมือนมีตัวจิต ตัวเดียวที่สว่าง ใส กระจ่าง รู้อยู่เพียงอย่างเดียว ไม่มีอะไร นอกจากตัวจิตตัวเดียว (คือจิตที่ใส สว่าง แบบไม่มีอะไรเลย)(วิญญานัญจายตน)

    ว่างแบบสภาวะที่ว่า ไม่มีอะไรเลย ตัวจิตก็ไม่มี ไม่ยึดอะไรเลย
    ว่างแบบนี้ใช่ว่าไม่มีจิต มีจิตนะครับ แต่ระงับไว้ด้วยอารมณ์ของอรูปฌานชั่วขณะ จิตน้อมไปอยู่ในอารมณ์ที่ว่าไม่มีอะไรเลย(อากิญจัญญายตน)

    ว่างแบบใสขึ้นอีกมากๆ คือว่างจากสัญญา ที่เป็นแบบว่า"มีก็เหมือนไม่มี"(ว่างจากสัญญาหยาบ แต่สัญญาละเอียดมีอยู่)
    คือสิ่งทีจะรู้ไม่มีให้รู้ สิ่งที่รู้ก็ไม่มี (อธิบายได้ยากน่าดูครับ)
    ง่ายๆคือเราระลึกรู้อะไรเข้าไป แล้วมันว่างน่ะครับ มันไม่มีอะไรที่จะตอบกลับมา หรือให้เราระลึกรู้เลยน่ะครับ มันว่าง เงียบ ไม่มีอะไรเลย
    (เนวสัญญานาสัญญายตน)

    และก็มีว่างที่สูงกว่านี้อีก คือว่าง ที่ดับสัญญากับจิตลงไปเลย คือ พรหมลูกฟัก

    ว่างเหล่านี้เป็นอาการที่จิตน้อมเข้าไปอาศัย คือถลำเข้าไปเพราะความรู้ไม่เท่าทันต่อสภาวะ

    ในแต่ละว่างนั้น มีสภาวะที่ต่างกัน ละเอียดไม่เท่ากัน เห็นได้ชัด

    ว่างที่เกิดจาการถลำเข้าไป จะเป็นแบบแช่นิ่ง เยิ้ม(เพราะอินกับสภาวะนั้น)
    ว่างที่มีสติสัมปชัญญะกำกับนั้น จะมีความว่องไว ใส สว่าง รอบรู้ ควรแก่การงาน รู้เท่าทัน


    ขอเสริมนิดนะครับ เกี่ยวกับ "อรูปบัญญัติ"

    ในการเข้าอรูปแต่ละครั้ง
    เมื่อจิตจะเลื่อนเข้าสู่อรูปฌานตัวใด จิตเขาจะรวมทุกครั้ง

    เช่นเมื่อ จิตเข้าสู่ฌานที่4 แล้ว จิตจะคล้าย อยู่กลางอวกาศ ว่าง โล่ง เวิ้งว้างกว้างไกล เมื่อเราจะเลื่อนจิตให้เข้าสู่อากาสานัญจายตน
    จิตจะวิตก วิจารณ์ในสภาวะนั้น
    เมื่อวิตก วิจารณ์เต็มที่
    จิตก็จะรวมเข้าสู่ อากาสานัญจายตน

    และเมื่อจะเลื่อนจิตให้ถึงวิญญานัญจายตน
    จิตก็จะต้องวิตก วิจารณ์ ในสภาวะอากาสานัญจายตนจนรู้เต็มที่
    จิตถึงจะรวมและเลื่อนเข้าสู่วิญญานัญจายตน

    ในอรูปจะต่างจากในรูปฌานคือ จิตจะรวมทุกครั้ง หากจิตเลื่อนสูงขึ้น
    แต่ในรูปฌาน จิตจะรวมครั้งเดียว ตอนจะเข้าฌาน4


    นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผิดพลาดประการใด ขอผู้รู้แนะนำสั่งสอนด้วยนะครับ ลุงอ้องแนะนำด้วยนะครับ
     
  12. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    สวัสดีครับคุณวันชัย 13

    ต้องขอขอบคุณอาจารย์อ้อง และคุณวันชัย 13 มากๆครับ กับความรู้ที่นำมาต่อยอดให้ครับ เหมือนกับแสงไฟในยามค่ำคืน ที่ช่วยส่องแสงลงมา ทำให้เรามองเห็นเส้นทางข้างหน้าที่จะก้าวเดินต่อไป

    อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
    สมาปัญญา
     
  13. จะไหวเหรอ

    จะไหวเหรอ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    ขออนุญาตเรียกพี่นะครับ ขอร่วมอนุโมทนากับพี่วันชัย พี่สมาปัญญา ด้วยนะครับ เห็นที่ พี่วันชัยโพสไว้เกี่ยวกับความว่าง เหมือนผมกำลังทำขึ้นโดยไม่รู้ตัวยังไงไม่รู้ ดีมาเจอข้อความของพี่ผมจะตั้งสติสัมปชัญญะ ให้มากกว่านี้

    กำลังรออาอ้องตอบ แต่คงไม่ต้องแล้วละครับ พอกลับไปอ่านที่อาอ้องเคยโพสไว้ จะมีคำตอบไว้ให้แล้ว แต่มาถามก่อนโดยไม่ยอมอ่าน แหะๆ เห็นสิ่งที่อาอ้องทำแล้ว ขอร่วมอนุโมทนาบุญ กับอาอ้องอย่างยิ่งอีกครั้ง และขอให้อาอ้องสมปราถนาด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    วันนี้ผมมีคำถามจากการปฏิบัติ มาถามอีกแล้วครับ กลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาไปซะแล้วครับ รบกวนอาจารย์ทุกๆท่านช่วยแนะนำด้วยครับ

    เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมานั่งสมาธิเหมือนปกติทุกๆวัน แต่การนั่งสมาธิในวันนี้ แตกต่างออกไปจากทุกๆวัน คือ ความเข้าใจในธรรมชาตของความว่างเปล่า เรามีความเข้าใจมากขึ้น หลังจากที่ได้รับคำแนะนำของอาจารย์อ้อง และคุณวันชัย

    ผมเริ่มนั่งสมาธิตามปกตินะครับ พอหลับตาลง จิตก็อยู่ในความว่างเปล่าตามความเคยชินที่ทำอยู่ มีสติรู้อยู่ตลอด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาต ตัดความอยากรู้อยากเห็นออกให้หมด ให้เหลือไว้ซึ่งความว่างเปล่าที่เราเข้าใจ แล้วปฏิบัติตามที่เข้าใจ

    โดยมีสติดูรู้อยู่ตลอด จนปัญญาเกิดขึ้นมาแนบเคียงคู่กับความเข้าใจนี้ ซึ่งความว่างเปล่าของตัวเรานี้ คือ ว่างเปล่า

    ว่างเปล่าในธรรมชาตที่เราเข้าใจตัวนี้คือ ว่าง สงบ เงียบ ไม่ยึดติด ในเมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ว่างเปล่านั้นเป็นแบบนี้ แล้วเวลาที่ผ่านๆมา ที่เรานั่งสมาธิเราเป็นอย่างที่เราเข้าใจไหม ถ้าเราไม่เป็นดังที่เราเข้าใจก็แสดงว่า เรายังว่างไม่จริงใช่ไหม

    พอปัญญาเกิดมาตรงนี้ ผมกลับคิดไปทันทีว่า ในธรรมชาตที่ว่างเปล่าที่แท้จริงเป็นเช่นไร นั้นคือ ความเงียบ ความสงบ เราลองฟังเสียงธรรมชาตดูซิว่า เวลาธรรมชาตว่างเปล่านั้น เงียบและสงบแค่ไหน ทุกๆอย่างล้วนเกิดขึ้นมาเพราะธรรมชาต อย่างนั้นแล้วจิตของเราก็ต้องหวนกลับไปหาธรรมชาตได้ซิ

    ธรรมชาตเงียบไหม ธรรมชาติสงบไหม ความรู้สึกที่ได้ในตอนนั้น แตกต่างกว่าทุกๆครั้งที่นั่งสมาธิ เพราะทุกๆครั้งที่นั่งสมาธิ เรามองเห็นจิตของเราวิ่งส่ายไปมา ไม่ยอมนิ่ง ไม่ยอมสงบลงซักที

    แต่ครั้งนี้จิตกับไหลลื่นไปกับความนิ่ง ความสงบของธรรมชาต จิตที่เคยเห็นส่ายไปมานั้นกลับนิ่งและสงบลงมาก นิ่งและสงบจนมีความรู้สึกว่า ใบหน้าของเราเริ่มที่จะตึงๆแล้วนะ แต่ทำไมครั้งนี้ ความรู้สึกแบบนี้มาเร็วกว่าปกติมาก พอรู้สึกว่าหน้าตึงแล้วยังไม่พอ

    อ้าวเริ่มที่จะชาแล้ว อ้าวหน้าเริ่มที่จะบิดแล้ว แต่ก็ยังมีสติดูอยู่ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาต อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จำได้ครับอาจารย์อ้องบอกว่า ให้ใช้ความนิ่งสยบทุกสิ่ง(อุเบกขาธรรม) ก็ปล่อยไปตามนั้น ที่นี้หน้ามันไม่บิดอย่างเดียวสิแล้วอาจารย์ ความรู้สึกว่ามันกำลังจะหมุนแล้ว มันหมุนแล้วนะอาจารย์ มันหมุนติ้วๆเลยครับ รู้สึกได้เลยครับ ว่าเรากำลังหมุนอยู่ ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝันไป ไม่ได้อยู่ในท่านอน เพิ่งจะนั่งได้ประมาณ 10 กว่านาทีนี้เอง จำได้แม่นเลย

    ตอนนั้นสติก็ยังดูรู้อยู่ คอยประคองจิตให้มันไหลไปตามนั้น อยากหมุนนักก็ให้มันหมุนไป แต่ความรู้สึกที่ได้จากหัวใจในขณะนั้น หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น แสดงว่าเรากำลังตื่นเต้นกับการหมุนอยู่นี้ สติก็ประคองบอกว่าไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องตื่นเต้น เย็นไว้โยม เย็นไว้โยม

    สักพักหนึ่งมันก็ค่อยๆหยุดหมุน หยุดหมุน หยุดหมุน เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ หยุดหมุนแล้ว อ้าวแต่ที่นี้ ทำไมจิตมันเวิ้งว้างแบบนี้ วิ่งไปทางโน้นที ทางนี้ที ไม่เหมือนทีแรกที่สงบลงเลย แต่กลับรู้สึกว่ามันเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก เหมือนเรากำลังวิ่งไล่ตามมันอยู่ ให้มันอยู่นิ่งๆบางสิ กระโดดไปก็กระโดดมา ในความว่างเปล่า ณ ตรงนั้น จนกระทั่งออกจากสมาธิ

    มานั่งคิดดู จิตเราก็แปลกดีนะ มันมีอะไรซ้อนเร้นอยู่มากมาย อาจารย์อ้องครับ คุณวันชัยครับ ทำไมมันจึงหมุนติ๊วๆ อย่างนั้นละครับ มันเป็นอาการอะไรหรือครับ แล้วมันจะหมุนอีกไหม จะต้องทำอย่างไรบ้างครับ มันหมุนจริงๆ นะครับ รบกวนช่วยแนะนำผมด้วยครับ

    ขอบคุณมากครับ
    สมาปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    หมุนเข้าไปเป็นเกลียวสว่านดั่งสมาธิหมุนเพราะเพ่งเข้าไปรู้ลืมว่าถลำเข้าไปขาดการดำรงค์สติเฉพาะหน้าไม่หวั่นไหว

    จุดที่วางจิตมันส่ายไปรู้ในอาการของสภาวะนั้น มันลืมฐานของจิตที่วางเข้าไปถลำรู้ ตรงนี้ที่วันชัยสอนเอาไว้คือถลำแบบเผลอ

    จิตมันส่งเข้าไปในสภาวะนั้นจนทิ้งอารมณ์ที่เป็นกรรมฐานเดิม
    พอเพ่งเข้าไปรู้ก็เป็นเกลียวสว่าน ตึง หน่วง หนืดบริเวณกลางหน้านั่นหล่ะ
    ตรงนี้เค้าเรียกสมาธิหมุนเคยมีคนมาสอนเหมือนกันแต่หลักของสมาธิ

    เราต้องการสติโภชฌงค์ สัมมาสติ สติพละ อันเป็นคุณธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้
    มรรคจึงต้องเดินกำลังของพละ5 ให้สติมีกำลัง(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าพลังจิต)

    สมาธิจึงต้องส่ายภายในด้วยการรักษาฐานที่วางเพื่อให้จิตรวม
    ถ้ามีอาการรู้สึกว่าจิตส่ายไปหาของเก่า ของเดิมให้รู้ว่าการดำรงค์สติในจุดที่เราวางเอาไว้ได้เผลอถลำเข้าไป

    เมื่อรู้แล้วให้ใส่ใจพิจารณาแล้วย้อนกลับมาดำรงค์สติเฉพาะหน้าไม่หวั่นไหว
    นิ่งเสียไม่เกาะกุม ซักพักอาการนั้นๆจะจางไปเหมือนดั่งแขกที่อยู่ๆก็เข้ามาเยือน
    ถึงในบ้านแบบไม่รู้ตัว ถ้าเราไม่สนใจแขกเสียแล้ว

    จะมาพูดมาคุย มาถาม ก็นิ่งเฉย แขกก็จะหายไปเพราะไม่ใส่ใจ ไม่เกาะกุม นิ่งเข้ามาในจุดตำแหน่งที่วางจิต

    สมาธิจึงมีจุดวางจิต จิตถึงฐาน อยู่กับฐาน รักษาที่มั่น จิตที่ซ่ายไปตามธรรมชาติ
    จะวิ่งกลับมาหาฐานที่ตั้งเมื่อถูกกำลังของสติปกครองมัน เรียกมัน

    สมาธิก็จะเกิดสภาพของจิตที่ส่ายไปมาไหลมารวมในจุดที่ตั้ง นานเข้ามากขึ้น
    จนจิตมีสภาพใสสะอาด ศีลแห่งอริยมรรคก็ปรากฏ ไม่ใช่ศีลที่จงใจ กำหนด
    ศีลคือความสะอาดของจิตที่ไม่วิ่งใส่หาโลกธรรม

    เมื่อจิตมีสภาพที่สะอาด ปราศจากนิวรณ์ ปราศจากกิเลสมาเกาะกุม
    จิตก็จะรวมเข้าไปสู่ใจ

    ใจก็คือฐานที่เป็นสัมมาสมาธิ เฉยๆ เป็นกลาง เที่ยงธรรม
    จิตจึงเป็นอาการของใจที่วิ่งส่ายออกมาหาโลกธรรม

    ในรูทวารทั้ง5ปิดลงประหารใจ
    ใจเมื่อยังมีอวิชชา ตัณหา อุปทานหลงเหลือใจก็จะเผลอส่งจิตโคจร
    แต่ยามใดที่ใจรู้แจ้งตามความจริงของธรรมชาติ

    ใจที่มืดบอดเพราะถูกอวิชาครอบงำก็จะคลายยึดมั่นถือมั่นในขันธ์
    ตัณหาตัวทะยานอยากที่จะส่งจิตจะอ่อนแรงลง จางลง
    อุปทานในขันธ์ถูกสภาวะธรรมที่อบรมมาด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    ก็จะคลายออกจากโลกไปทีละน้อยที่ใจ

    เอกัคคตาจิต ได้พบความจริงในแต่ละขณะที่ปรากฏสัจธรรมพระไตรลักษณ
    คำว่าว่างในความหมายของหลวงปู่ดูลย์คือจิตนั้นหลอมกลมกลืนกลับสู่ธรรมชาติของจักรวาลหล่อหลอมรวมกันเรียกว่านิพพานอันบรมสุขยิ่ง

    เมื่อใจไม่ข้องเกี่ยวกับโลก กับกายและจิต ใจไม่ยึดกายยึดจิตเป็นมันอีกต่อไป
    ทุกข์จะมาจากไหนกันอีก เพราะขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ไม่หลงเหลือเสียแล้ว
    โลกจึงว่างเปล่า ขันธ์ว่างเปล่า กิเลสถูกรู้ละวางลง ไม่หลงเหลืออะไรกับอะไร
    วางลง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งว่าเป็นเราของเรา มันเป็นเพียงแค่ธรรมชาติ

    ที่ไหลไปไหลมา หาใช่กายหาใช่จิตเรา

    พวกเรากำลังเข้าไปรู้สิ่งหนึ่ง ที่เกิดดับเร็วมาก และมันกำลังถูกการตัดต่อ ตัดตอน
    ทำให้สะดุดหยุดลง สันตติที่ส่งต่อ ที่จะปรุงกลับถูกคำว่าตื่นรู้ในสภาวะ

    ตัดมันลง ทิ้งมันลง ด้วยการอบรมกายและจิตมาดีแล้วทั้งสิ้น
    ขออนุโมทนานะน้องสมาปัญญา

    ส่วนเรื่องของฌานนั้นถามวันชัยเอานะ ติดสภาวะเก่ามามาก
    ภพนี้กำลังเจริญเข้าสู่วิปัสสนาเพื่อพ้นไป อย่ารีบเร่งนะ อยู่กับสบายๆในงานชอบ

    งานนั้นๆจะเจริญก็เพราะพึงพอใจในฉันทะ ความเพียรชอบจะปรากฏ จิตก็จะตั้งมั่น
    รู้จิตในจิตอย่างต่อเนื่องในงาน เพราะใส่ใจพิถีพิถันในรายละเอียด

    เปรียบเทียบคนที่ทำงานละเอียดยิ่งรีบก็ยิ่งผิดพลาด
    แต่คนที่ไม่รีบเร่งแต่ใจชอบในงานนั้นมาก การทำงานก็ละเอียดพิถีพิถัน
    จิตก็จดจ่อในงานเพราะพึงพอใจ ในจุด ในตำแหน่ง งานที่ออกมาก็เข้ารูป เข้าร่าง
    พระพุทธองค์จึงเตือนเรื่องคุณธรรมเสมอ อย่าลืม อิทธิบาท4นะ

    คุณธรรมอันมีอุปการะมากนั้นสำคัญนะ
    ขออนุโมทนาครับ
    ชัชวาล
     
  16. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ขอบคุณมากๆครับอาจารย์อ้อง

    จริงๆอย่างที่อาจารย์อ้องแนะนำมาทุกอย่างครับ เมื่อได้รู้ได้เห็นแล้วก็จงหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ณ ช่วงเวลานั้นเราขาดสติของสมาธิไปจริงๆ เหลืออยู่เพียงแต่ สติที่อยากรู้ สติที่อยากเห็น สุดท้ายก็เท่านั้น


    ขอผลบุญกุศลนี้ส่งผลกลับไปยังอาจารย์ด้วยนะครับ
    ขออนุโมทนาครับ
    สมาปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2010
  17. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    เรื่อง สติ สมาธิ ปัญญา โดย ดร.ดาราวรรณ เด่นอุดม ดีมากๆครับ

    นำสิ่งดีๆมาฝากครับ ผมฟังแล้วดีมากๆครับ
    สติ สมาธิ ปัญญา โดยดร.ดาราวรรณ

    ฟังแล้วใช่เลยครับ ดีมากๆครับ
    อยากให้เพื่อนสหายทางธรรม ได้ฟังบ้างครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=SPqky32GT3c&feature=related]YouTube - สติ สมาธิ ปัญญา1 ดร.ดาราวรรณ[/ame] ตอนที่1

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=w2tfiCgr-zQ&feature=related]YouTube - สติ สมาธิ ปัญญา2[/ame] ตอนที่2


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=idMApdSusM4&feature=related]YouTube - สติ สมาธิ ปัญญา3[/ame] ตอนที่3

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sfDFPRL3pgE&feature=related]YouTube - สติ สมาธิ ปัญญา4[/ame] ตอนที่4


    อย่าลืมเข้าไปฟังนะครับ
    อนุโมทนากับอาจารย์ดร.ดาราวรรณ เด่นอุดม มากๆครับ สาธุครับ

    อ่านประวัติ ดร. ดาราวรรณเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
    http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=7717.0;wap2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2010
  18. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ขอขยายความเรื่อง สมาธิหมุน ของผมหน่อยนะครับ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน บางครั้งหลายๆท่านอาจจะผ่านมา ณ ตรงนี้

    ความจริงแล้วก็หมือนอย่างที่อาจารย์อ้องอธิบายไว้เลย ใช่เลยครับ

    "หมุนเข้าไปเป็นเกลียวสว่านดั่งสมาธิหมุน พอเพ่งเข้าไปรู้ก็เป็นเกลียวสว่าน ตึง หน่วง หนืดบริเวณกลางหน้านั่นหล่ะ"

    ตรงจุดที่ผมบอกว่ามันหมุนติ๊วๆ นั้นคือ สมาธิหมุนอย่างที่อาจารย์อ้องอธิบายไว้เลย แต่ผมไม่รู้จะเรียกอะไรดี ก็คือ สมาธิของเราตอนนั้นรู้สึกว่ามันหมุน มันหมุนเฉพาะสมาธินะครับ หมุนเหมือนกับลูกค้างเลย แต่หัวกับตัวเราไม่ได้หมุนตาม ยังนิ่งอยู่ในท่าทำสมาธิตลอด

    ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่า จิตตอนนั้นมันสงบ และนิ่งมากๆ จนรู้สึกเกิดอาการหมุนของสมาธิขึ้นมา โดยที่เราไม่ได้ไปบังคับให้มันเกิด เมื่อรู้สึกสมาธิหมุนขึ้นมา ก็ปล่อยไปตามนั้น สุดท้ายก็หยุดหมุนไปเอง ซึ่งเราตามดูรู้อยู่ตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ

    อย่างที่อาจารย์อ้องแนะนำมาตรงทั้งหมดครับ หลักของสมาธิที่ใช้
    เราต้องการสติโภชฌงค์ สัมมาสติ สติพละ อันเป็นคุณธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้มรรคจึงต้องเดินกำลังของพละ5 ให้สติมีกำลัง(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าพลังจิต).....

    อาจารย์อ้องอธิบายไว้ได้ละเอียดและเข้าใจมากครับ ขอบคุณครับอาจารย์
    สมาปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2010
  19. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ได้ฟังแล้วครับ ของจริงไม่ใช่ของแถม

    สนับสนุนตามคุณวันชัยครับ ดีมากๆ ตรงมากๆ

    ขอบคุณมากครับคุณวันชัยที่หาสิ่งดีๆมาให้ชมและได้ฟัง "ของจริงไม่ใช่ของแถม"
    อนุโมทนาด้วยครับ
    สมาปัญญา
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ธรรมชาติเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งพลังงานสสารแปรผันเปลี่ยนแปลงไปมาปรากฏธาตุ4
    ธาตุรู้ กายและใจ

    เดิมทีไม่มีรหัสแต่จิตไปให้ค่าในรหัสเพราะเข้าใจผิด(อวิชชา)
    เอามารวมๆกันจนเชื่อว่ารหัสนั้นๆที่เกิดดับเร็วมามาเป็นกายและจิต

    ผู้ใดรู้แจ้งซึ่งปวงธาตุ อายตนะ วิญญาณ สัจธรรม ในความจริง จะเข้าใจรหัสวิญญาณ ที่ปรากฏตรงช่องวิญญาณอายตนะตามจริงของสัจธรรม
    ตีความหมายของปวงธาตุที่แลกเปลี่ยนแปรผัน

    สิ่งที่เบียดเบียนเสมอตั้งอยู่ไ่ม่ได้ล้วนเป็นทุกข์เป็นพิษดั่งไฟร้อน
    สิ่งที่ดีอยากให้คงอยู่สิ่งที่ชั่วอยากให้สลาย

    เมื่อเข้าถึงรหัสของโลกธรรมดีเลว(ธรรมคู่)เป็นสัจธรรมที่ตีค่ามาเป็นกายและจิต
    จะเกิดขบวนการย้อนทวนกฎ ถอดถอนการผูกติดยึดเกาะกระเพื่อมในปวงธาตุ....

    Shutdownผู้สั่งการตัวจริงคือใจที่มืดบอดให้รู้แจ้ง
    ซึ้งวิมุติมรรค หลุดพ้นจากปวงธาตุหลอมกลมหลืนเข้ากับจักรวาล

    มาจากธรรมชาติกลับคืนสู่ธรรมชาติชั่วนิจนิรันดร์
    (ความรู้ชนิดนี้อ้องจะเอาไปฝากเตี่ยแม่และเพื่อนๆทุกๆคน)

    สิ่งที่อ้องรู้คือจิตมันเป็นธรรมชาติไหลไปหาสิ่งที่สร้างมันเกิดขบวนการ หนึ่งคือทำลายอุปทานในขันธ์ที่แปลกๆไม่ว่าหยาบละเอียดก็ล้วนเป็นสิ่งที่ สร้างที่ใจไปติดข้องใจที่มืดบอดส่งจิตให้ออกมา

    ด้วยแรงของตัณหาเพียงเสี้ยวเดียวจิตกระเพื่อมหวั่นไหวในอารมณ์ชั่วแวบเดียว หนึ่งมันจะทำลายอุปทานและเกิดคำว่าสักกายทิฎฐิคลายความสงสัยมันจางลงแต่มี สิ่งที่หนักขึ้นคือขันธ์

    ขันธ์มันเริ่มหนักมันหนักแบบบอกไม่ถูกเหมือนเราทิ้งคิดคิดก็หนักอุปทานในขันธ์ก็หนักมันฝืดๆ
    ไม่ว่าอย่างไรก็คงขอยืนยันว่าสิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนนั้นเป็นมรรคเป็นทางเอก
    อ้องหยิบในส่วนดีที่ท่านสอนมาคืออยู่กับสบายๆ(ทำจิตให้ผ่องใสเหมือนดั่งขัดกระจก)

    เพราะคุณธรรมที่พิจารณาได้เจริญขึ้นเป็นลำดับ
    เห็นอ้องเล่นเกมส์ทั้งวันจริงๆมันตามรู้สภาวะของการเคลื่อนเหมือนที่หลวงพ่อเทียนสอนไม่ผิดพลาดเลยกายเคลื่อน จิตเคลื่อน ดี เลว

    ไม่ว่าเราทำอะไรในชีวิตในทุกๆสิ่งเป็นงานขอบเพียรชอบรู้ชอบคิดชอบถ้ามีสติในการงานนั้นๆ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...