โค้งสุดท้ายของแผนการประกาศและเปิดเผยตัว อย่างเป็นทางการ ต่อชาวโลก ของมนุษย์ต่างดาว

ติดตามอ่านมาตลอด รู้สึกโล่ง ไปหมด อย่างบอกไม่ถูก ...เกิดอะไรกับตัวเองก็ไม่รู้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา...คิดไปเองหรือเปล่า


สำหรับการส่งแสงสว่าง ขอเป็นแผ่เมฆตาแทนได้มั๊ย เพราะรู้สึกคุ้นเคยวิธีนี้มากกว่า คือ แบบว่าทำอยู่เป็นประจำ

คนอื่นคิดว่าไง เป็นไงบ้าง

 

เดี๋ยวผมจะตามอ่านนะครับ ตอนต่อไป

 

2วันก่อนอ่าน ครายออน เล่ม2 ตอนท้าย ผู้สื่อสัญญาณถามครายออน ว่ามีอะไรจะบอกกับประธานาธิปดี สหรัฐ (บิล คลีนตัน) หรือไม่

ครานออน ตอบประมาณว่า "ควรจะเปิดเผยข้อมูลเรื่อง UFO ทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐปิดบังไว้มากว่า 50ปี (จากปี 1994) กระทั่ง ตัวประธานาธิปดีเองก็รู้เรื่องเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะว่าจะเป็นการดีกว่าให้ประชาชารู้เรื่องนี้ด้วยตนเอง เพราะอย่างไรเสียก็จะถึงเวลาเปิดเรื่องนี้แน่นอนในอีก 20ปีข้าง และเป็นการป้องกันแขกผู้มิได้รับเชิญให้เข้ามายากขึ้น และช่วยให้แขกผู้ถูกรับเชิญให้เข้ามาง่ายขึ้น"

 

หนังของด้านมืด ที่ต้องการปลูกฝังความกลัวเรื่องการเปิดเผยตัว
ของพี่น้องอวกาศของเรา มีคนเอาคลิปมาโพสต์ มีหลายตอน
เรื่อง V : ผู้มาเยือน (2009) Season 1 [ซับไทย]
และเป็นชื่อกระทู้ด้วย


 

เรื่อง V นี่มันแปลกๆอยู่น่ะ หรือว่าใกล้ถึงเวลาแล้วเลยออกมากันท่า อิอิอิ

 

เอามาโพสท์ให้อ่านบ้างสิครับเรื่องครายออน สนใจ

 

เรื่องนี้จะเกี่ยวกับ กระทู้นี้ไหมหนอ พอดีไปอ่านมาแล้ว สนุกดี

ช่วงรอข้อมูลจากคุณชยุต ขออนุญาติมาเล่าไปพลางๆก็นะ

--------------------------------------------------------------------

เผ่าพันธ์ Erran เป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ ที่มีอารยธรรมโบราณเผ่าพันธ์แรกๆในจักรวาล
ในช่วงประมาณก่อน 89.7 ล้านปี มาแล้ว เผ่าพันธ์นี้มีการเจริญเติบโตอย่างช้าๆ
พวกเขาไปตั้งรกราก และ กระจายไปอยู่ตามส่วนต่างๆในกาแล็คซี่

เมื่อประมาณ 70 ล้าน ปีที่แล้วเผ่าพันธ์นี้ได้เข้าไปร่วมทำสงครามกับ Drakarian Empire
(พวก Drakars เป็นประมาณ โจรสลัดอวกาศ ที่คอยไล่ล่าดาวอาณานิคม )
หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าร่วมกับกองกำลังพันธมิตรของกาแล็คซี่( Galactic Alliance)

ชาวErrans ทั้งหมดสูง 6 ฟุตหรือมากกว่า ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า เขียว หรือ สีน้ำตาลแดง
Errans เป็นรูปธรรมของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง และมีพลังจิตสูง

เมื่อประมาณ 64 ปีมาแล้ว จักรวรรดิ Drakarian กำลังกระทำการรุกรานต่อระบบสุริยจักรวาล
คือไประราน ดวงดาวต่างๆ
กองกำลังพันธมิตรของกาแล็คซี่( Galactic Alliance)
จึงได้ส่งเรือรบ Erran และ Scenarian เพื่อไปต่อต้านพวก Drakars
แต่ภาระกิจในครั้งนี้ของพวก Drakars ประสบความสำเร็จ
เพราะได้ทำลาย Maldek
(Maldek เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่กว่าโลก และเต็มไปด้วยหิน
เมื่อประมาณ 68-66 million ปีมาแล้ว
ชาว Zetans...ชาวกลุ่มดาว เซต้า เรคติคูลั่ม
เป็นเผ่าพันธฺผสมระหว่าง human และreptillian... ได้เข้าไปตั้งรกรากที่ดาวเคราะห์นี้)

ดาว Pluto, Charon และ Titan ต่อมาทั้งหมด(ยกเว้น muldec เพราะย่อยยับไปแล้ว)
จึงต้องยอมก็เข้าร่วมเป็นอาณานิคมของกองกำลังพันธมิตร
เพื่อป้องกันการรุกรานจากการรุกรานของDrakarian อื่นๆ

และหลังจากทำลายดาวต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Drakarian
ก็หันมาปล่อย asteroids(บางข้อมูลบอกว่ามี Nibiru ถูกใช้เพื่อการณ์นี้)
เพื่อรุกรากและทำลายล้าง ดาวอังคาร ดาวศุกร์ และโลก

ดาวอังคารได้รับผลกระทบที่รุนแรง จากการรุกรานนี้
ทำให้อ๊อกซิเจนที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร ถูกทำให้ลดลงไปถึง2ใน3
แล้วต่อมาดาวอังคาร ก็เข้าร่วมเป็นอาณานิคมกับ Galactic Alliance

(Erran/Drakar สงครามระหว่างมหาอำนาจทั้งสองนี้ จบลงไปเมื่อ 212 ปีมาแล้ว)
ทั้งสองมหาอำนาจต่างก็คุมเชิงกันอยู่ ในลักษณะสงครามเย็น
เพราะต่างก็รู้ดีว่า ศัตรูของพวกเขา (ไม่ว่าจะเป็นDrakar หรือ Erran)
นั้นสามารถที่จะทำลายดาวเคราะห์บ้านเกิดของพวกเขาได้

ดาวศุกร์ ได้รับผลกระทบน้อย เพราะ Drakarian
อาจคำนวณผิดพลาดทางเทคนิคไปหน่อย เพราะเห็นว่าทำกับดาวอังคารได้

ดาวเคราะห์โลก ได้รับผลกระทบในตอนนั้น ทำให้เผ่าพันธ์สิ่งมีชีวิตสูญพันธ์และเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง

มีบางข้อมูลกล่าวถึง การที่ดาว maldec จบสิ้นลง ว่า
เป็นการหมดวัฎจักรตนเอง เป็นการล่มสลายทางวัฒนธรรมของตน
และ ผู้รอดชีวิตอื่นๆก็กระจายไปอยู่ตามดาวเคราะห์อื่นๆ
และมีส่วนใหญ่มาที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์อยู่ที่โลกด้วย

หากข้อมูลนี้จริง ชาว maldec เป็นพวกมีวิวัฒนาการสูง
(Maldec เป็นเผ่าพันธ์ ผสมระหว่าง human และreptillian)
และบางแหล่งข้อมูลก็ว่าเป็นต้นกำเนิด เผ่าพันธ์ ของชาว Atlantis หรือ เลมูเรีย

ฟังๆดูแล้วเรื่องราวของการล่มสลายในอารยธรรมดูคล้ายคลึงกันมากๆ
คือมีทั้ง ทำลายตัวเอง กับ โดนโจมตี

--------------------------------------------------------------------

จุดประสงค์ที่นำเรื่องราวเหล่านี้ มาโพสต์ เพื่อ

1.เรื่องมนุษย์ต่างดาว ที่เกรงกลัวกันว่าจะมาทำลายล้างโลกมันก็มีแหล่ะ
แต่ก็จะมีกองกำลังพันธมิตร ที่คอยช่วยเหลือและปกป้องความสงบของกาแล็คซี่

ก็เหมือนกับ บ้านเมืองมีขื่อ มีแป ก็แสดงว่า มนุษย์ต่างดาวที่ประเสริฐก็มีอยู่ใช่น้อย
และน่าจะเยอะกว่าด้วย เพราะไม่งั้น พวกที่คอยรุกรานชาวบ้าน อย่าง Drakarian คงยึดจักรวาลได้หมดแล้ว

2.เรื่องราวของ ดาว maldec ที่แสดงให้เห็นถึงการล่มสลาย ก็คล้ายคลึงกับเรื่องราวบนโลก
ที่ไปเกี่ยวข้องกับ อาณาจักร แอตแลนติส และเลมูเรีย

3.อ่านแล้วหนุกดี เลยเอามาเล่า

ป.ล.ทั้งหมด ไม่ได้แปลตามตัวอักษร
อ่านแล้วประมวลๆเอาเท่าที่พอจะเข้าใจ แล้วมาเล่าให้ฟัง
ผิดหรือถูก จริงหรือไม่ ไม่ทราบได้จ้า
หากเพื่อความแน่ใจ ตาม link เหล่านี้ไป ตรวจข้อมูลเลยก็ได้จ๊ะ กันข้าพเจ้ามั่ว อิอิ

the destruction of maldek
Maldek
Erra

--------------------------------------------------------------------

ขอให้ทุกท่านได้รับความบันเทิงกันโดยถ้วนหน้าค่า[FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

 

เรื่องของครายออน มีข้อมูลบางส่วน
ที่น้อง Lady Of Light แปลไว้ ค่ะ
ตาม link นี้ไปเลยนะค่ะ

[URL="http://palungjit.org/posts/2963556[/URL]

 

ขอบคุณมากครับ

 

วันนี้เมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่มและเมื่อวันศุกร์ที่ 25 เวลาใกล้เคียงกัน หนูเห็นแสงไฟสีขาวๆ จ้าๆ แปลกๆ ลอยอยู่เหนือวัดพระธาตุดอยสุเทพอ่ะค่ะ มันไม่เหมือนดาว เพราะว่าดาวจะแสงไม่จ้าขนาดนี้ แต่ว่าอันนี้จ้ามากก แล้วซักแป๊ป ก็รู้สึกว่ามันเคลื่อนไหวได้ แต่ว่าไม่ได้วูบวาบนะคะ

คือ เหมือนว่าตอนแรกเรามองแล้วรู้ว่ามันอยู่จุดนี้ พอละสายตาไปซักแป๊ก มองอีกทีคือมันย้ายไปอีกจุด

แล้วซักแป๊ป แสงนั้นก็ค่อยๆจางไป เหมือนลดระดับความจ้าลง ...แล้วก็ค่อยๆหายไป แล้วซักแป๊ปก็โผล่มาใหม่ ระดับของแสงไม่คงที่ (ถ้าเป็นดาว มันจะคงที..ไม่วูบวาบมาก)

ลอยอยู่ประมาณไม่ถึง 5 นาที แล้วก็หายไป....

เป็นแบบนี้ 2 วันแล้วค่ะ

ท่านใดพอรู้บ้างมั้ยคะ ว่าคืออะไร

 

เร็วๆนี้เคยอ่านผ่านเจอว่าแสงที่วิ่งวนนั้น มนุษย์ต่างดาวเป็นคนปล่อยออกมาเพื่อปรับสมดุลย์อะไรสักอย่างนี้แหละครับ

 

อยู่ออสเตรเลีย วันใหนเบื่อๆ ก็เข้ามาอ่านกระทู้ของคุณ Chayutt นี้ละ และภาพที่นำมาลงไว้ก็สวยดีคะ

 

วันเสาร์ที่26มิถุนายน ประมาณ2ทุ่มก็เห็นค่ะแต่ลงมาสูงเยื้องๆวัดเจ็ดยอดเค้าจะลอยนิ่งๆได้นานๆบางทีก็ลอยคล้ายโคมลอยค่ะบางทีก็เคลื่อนที่ไวมากเรียกว่าแว๊บเดียวหายไปเลย จริงๆเห็นหลายครั้งแล้วค่ะบางทีก็มากันเยอะเลยแต่คนไม่ค่อยสนใจเพราะคิดว่าโคมลอยน่ะค่ะ คิดว่าเค้ามาทำงานอยู่เพื่อช่วยเหลือในการณ์อันใกล้กระมังคะ

 

คุณ Chayutt ช่วยแปลข้อความที่ปรากฏบน Crop Circle
ซึ่งได้จากรูปจานแผ่นดิสท์และรูปหน้า Alien ซึ่งเป็น Binary Code
แปลออกมาได้ดังนี้

Beware the bearers of false gifts
and their broken promises
Much pain but still time
believe
There is good out there
We oppose deception

เขาส่งข้อความตอบกลับมาหลังจากที่เราส่งสารผ่านทางวิทยุ
ออกไปในอวกาศ ข้อความนี้เขาต้องการบอกอะไรเราครับ

 

ให้ระวังผู้ถือของรางวัลอันเป็นเท็จ(พระเจ้าปลอม)

และการผิดสัญญาของพวกเขา(ข้อตกลงในการเปิดเผยตัว)

จะทุกข์ทรมานมาก(ภัยพิบัติ สงคราม โรครบาด) แต่เมื่อถึงเวลา

จงเชื่อว่า มีสิ่งดีๆรออยู่ภายหน้า

และเรา(ET)จะต่อต้านการลวงหลอกนั้น

 

ขอบคุณ คุณนักพูดมากครับ
แปลได้ดี

 

<input class="button" value="X" id="lightboxbutton3" style="padding: 4px; background-color: black; color: white; width: 30px; border: 1px solid white; position: relative; top: 12px; left: -12px; font-weight: bold; cursor: pointer;" type="button"> ​

ผมไม่มีไอเดียเรื่อง crop cycle ตัวนี้มากนักหรอกนะครับ
และผมก็ไม่รู้ว่าที่ถอดรหัสออกมาได้นั้น มันถูกต้องหรือเปล่าด้วย
แต่ถ้าให้ผมเดาเอาตามคิดของตัวเอง..ผมก็จะเดาว่า..

ข้อความ ก็จะเหมือนอย่างที่มีผู้แปลไว้ให้นั่นแหละครับ
ยกเว้นในวงเล็บทั้งหลาย เพราะว่า
ตามความคิดผม ข้อความนี้น่าจะกล่าวถึง
ผู้ที่อยู่ในรูปนั้นมากกว่า ไม่ว่าเรื่องของขวัญปลอม
หรือคำสัญญาที่ไม่จริงอะไรพวกนั้น

เพราะเท่าที่ผมได้อ่านมา..รูปธรรมชีวิตต่างมิติชั้นสูง ฝ่ายแสงสว่าง
หน้าตาพวกเขาจะเหมือนเรา หรือ คล้ายกับเราครับ
ไม่ใช่หน้าตาแบบพวก Grey อย่างที่เห็นในภาพนี้

ซึ่งแน่นอน มันมีข้อความในกระทู้ "ปี 2012 ปีทองแห่งการยกระดับขึ้นฯ"
ที่ผมเคยโพสต์ไว้ ที่เขาพูดถึง Area 51 รวมถึงการติดต่อกับ "มนุษย์ต่างดาว"
อันนี้ใช้คำว่า "มนุษย์ต่างดาว" นะครับ เพราะว่าร่างกายเป็นกายเนื้อ
แต่หน้าตาจะเหมือนกับพวกเกรย์นี่แหละ ตัวอย่างเช่น "เจ-ร็อด"
ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐอยู่หลายปี
ก่อนที่จะตายไป เพราะสภาพร่างกายของเขา มีความผิดปกติทางพันธุกรรมอย่างมาก

พวกนี้ติดต่อกับรัฐบาลสหรัฐมานานแล้ว และก็เคยช่วย และกำลังช่วยสหรัฐ
สร้างอุปกรณ์อะไรต่ออะไรอยู่ เช่น HAARP เป็นต้น

แต่ไม่รู้ว่าที่พวกเขา "สัญญา" ว่าจะช่วยสร้าง และถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้าง
"จานบิน" ให้นี่ สำเร็จไปหรือยังนะครับ

พวกเกรย์นี่แหละที่เป็นผู้ที่ลักพาตัวชาวโลก และสัตว์โลก ไปทดลอง
เพื่อทำการศึกษาหาวิธีพัฒนาพันธุกรรมของตัวเอง
เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์พวกเขาเอง

สรุปว่า พวกนี้ "เป็นพวกอธรรม" หรือ "ฝ่ายมืด" ครับ

อย่าเชื่ออะไรผมนะครับ เพราะผมเดาเอาเอง
จากข้อมูลเท่าที่ตัวเองเคยอ่านผ่านๆมาบ้างเท่านั้นเอง
ไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำไป

.....................................................

 

ทำให้ผมนึกถึงเว็ปเว็ปหนึ่งที่เคยเข้าไปอ่านครับ ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นำมาลงให้อ่านครับ

จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี้ก็เพื่อช่วยมนุษย์ให้กลับไปเป็นพระเจ้าดั่งเดิม วาเลี้ยนท์ ธอร์ ชาวดาวอังคาร บุคคลที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลสหรัฐที่อยู่ในทำเนียบขาวถึงสามปี

ปี1975 ตำรวจสองคนที่รัฐเวอร์จิเนียร์ได้รับชายแปลกหน้าขึ้นรถ เขามีลักษณะเหมือนมนุษย์ทุกประการ เขาถูกนำลงสู่กระสวยใต้ดินอย่างเร่งด่วน เพื่อพบกับประธานาธิบดี ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวร์

เขาบอกว่าพวกเขาอยู่ใต้พื้นดินดาวอังคาร ผู้เชี่ยวชาญจากนาซ่า พบว่า ชุดอวกาศของธอร์นี้นไม่สามารถทำลายได้ ไม่ว่าจะใช้ดอกสว่านหัวเพชร หรือ แสงเลเซอร์ก็ตาม ไม่ระคายผิวของมันได้เลย

จากการสนทนาส่วนตัวกับดร.แฟรงค์ เขาบอกว่าลูกเรือในยานที่มามี 77 คนตอนนี้ก็อยู่ปะปนกับมนุษย์ และสิ่งที่น่าแปลกใจของนักวิทยาศาสตร์ก็คือ เขาไม่มีลายนิ้วมือแม้แต่นิ้วเดียว สภาสูงของดาวอังคารแนะให้เขาตีจากออกจากทำเนียบขาว เพราะประธานาธิบดีปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา เพราะคิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐยุ่งเหยิง

 

เรื่องมนุษย์ต่างดาวถ้าไม่อ่านของ จขกท.
ผมก็เชื่อครับว่ามีจริงๆ ทำไมมันถึงมีจริง?
คิดง่ายๆเลย น่ะครับ
ตอเด็ก อ.วิทย์ก็ต้องเคยสอนเด็กทั่วไป ว่า จักรวาล ใหญ่มากนะ ลูก
โลกเนี้ยเป็นเพียง จุดเล็กๆใน จักรวาล
อ้าวมาตอนโตแล้วทีนี้ แล้วมองจากพื้นโลก มี ดาวมากมาย
แน่นอน มีดาวโลก ที่มีสิ่งมีชีวิต
และ นอกโลกเนี่ย มัน ต้องมีดาวที่เหมือนโลก แน่นอน
แต่เราหาไม่เจอ อาจจะห่าง จากเราไกลแสนไกล


เรื่องมนุษย์ต่างดาวซึ่งเป็นบุคคลที่จะผูกมิตรด้วย
เอ๊ะ?ทำไมต้องผูกมิตร
เพราะ เทคโนโลยีของเขาๆ เหล่านั่น มีมากกว่าเรา ไฮเทค กว่าเรา
เอ๊ะทำไม ไฮเทค กว่า?
เพราะ ถ้าเทคโนโลยีเราดีกว่า เราก็ขับยานไปหาเขาที่ดาวเอเลี่ยนแล้ว
55555+
คิดแล้วก็ขำ


เรื่องอย่างงี้ อาจจะยอมรับในสังคมได้ยากแต่เราเปิดใจให้กว้าง
เราก็จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น