ปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้ได้ดี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ลุงแก่แล้ว, 9 มิถุนายน 2010.

  1. ลุงแก่แล้ว

    ลุงแก่แล้ว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +29
    คือว่ามีคนๆนึงไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่คนเลวอะไรนะครับ วันนึงเค้าได้อ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง จึงเกิดศรัทธาในพระธรรม เค้าจึงอยากลองปรับเปลี่ยนตัวเอง

    คนๆนั้นจึงเริ่มตั้งใจถือศีล5 แม้ไม่ได้เคร่งครัดมากในข้อ4 เนื่องจากการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบัน แต่อีก4ข้อแทบไม่ขาดไม่ด่างพร้อย

    เท่านั้นยังไม่พอ คนๆนั้นยังตั้งใจสวดมนต์ใหว้พระ แทบไม่เคยขาด เดือนนึงขาดไม่เกิน5วัน เนื่องจากเวลาในบางวันไม่เอื้ออำนวย แต่วันที่สวดก็จะสวดแต่บทยาวๆ ที่ต้องใช้เวลานานๆ อย่างมีความตั้งใจมาก

    เท่านั้นยังไม่พออีก คนๆนี้ฝึกนั่งสมาธิอยู่เป็นประจำ มากบ้างน้อยบ้างในแต่ละวันเนื่องจากความอ่อนเพลียไม่เท่ากันในบางวัน แต่ก็นั่งสม่ำเสมอ ไม่ค่อยขาด
    และถามปัญหาที่ติดขัดกับผู้รู้อยู่เสมอๆ

    และเท่านั้นยังไม่พอ คนๆนี้ยังชอบเข้าวัดทำบุญ คุยธรรมมะกับพระเจ้าสม่ำเสมอ แม้ลำบากไม่ค่อยมีเงินก็อยากจะทำ ทำจนเหลือเงินใว้พอกินในมื้อต่อไปเท่านั้น
    พรุ่งนี้มีไม่มีค่อยว่ากัน

    เขาปฏิบัติมาประมาณปีถึงสองปี จนทนไม่ใหว
    เพราะว่าช่วงที่เขาปฏิบัติเช่นนี้ ชีวิตเขาเริ่มประสบแต่ปัญหา มีแต่เรื่องแย่ๆลง ทั้งการงานการเงิน

    แต่พอเขาเลิกปฏิบัติ กลับมาทำตัวเหมือนเดิม (ไม่สนใจในธรรมมะ) ชีวิตกลับดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆด้าน

    นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...

    เพราะคนๆนี้ได้ทดลองกลับไป กลับมาให้แน่ใจหลายครั้งแล้ว ว่ามันบังเอิญหรือ..
    แต่เมื่อเปลี่ยนพฤติกรรม มาดำเนินชีวิตในทางธรรม ไปได้ประมาณ1เดือน ผลมันจะเริ่มตรงกันข้ามทุกครั้ง จนไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะจิตตก กับปัญหาที่เริ่มเข้ามาจนหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเดือดร้อนแทบไม่มีที่อยู่ที่กินก็มี
    แต่พอกลับมาเลว (ว่างั้น) ประมาณพักนึง ชีวิตทุกอย่างค่อยๆกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆอีก เป็นอย่างงี้ทุกครั้ง

    ผมจึงคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนครับ

    อยากทราบว่าเพราะอะไร และจะแก้ไขได้ยังไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2010
  2. mccimai

    mccimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +119
    อย่าย่อท้อต่ออุปสรรค์

    วางเฉยไว้ อะไรจะเกิดก็ปล่อยมัน

    ทำใจของเราให้ดีดีกว่า

    อยู่ที่ใจของเราเอง

    ปฏิบัติให้ถูกด้วยนะครับ

    บุญก็เหมือนน้ำ หยดลงมาทีละน้อย เดี๊ยวก็เต็มตุ่ม
     
  3. สีฆะสีฆัง

    สีฆะสีฆัง บุญเป็นเรื่องด่วนต้องรีบทำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +428
    เมื่อเราปฏิบัติธรรมเป็นการเพิ่มบุญบารมีให้ตัวเอง พอมีบุญกรรมเก่าจึงตามมาทวงเปรียบเหมือนกับแม่ค้าขายของได้จึงมีเจ้าหนี้มาทวงเงิน แต่ถ้าขายของไม่ได้จะไม่มีใครมาเก็บตังค์เพราะรู้ว่าลูกหนี้ไม่มีจ่าย (ยกเว้นเจ้าหนี้ที่เป็นมาเฟียนะครับ) ซึ่งตรงนี้เราต้องอดทนอดกลั้น สอบผ่านให้ได้เพื่อไปเจอบททดสอบอื่นหรืออาจเป็นบททดสอบเดิมๆซ้ำๆ ตอนนั้นเราจะทุกข์น้อยลงหรือแทบไม่รู้สึกทุกข์เลยด้วยซ้ำ คนที่เริ่มปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าชีวิตเจอแต่เรื่องเลวร้ายกว่าเดิมเป็นเพราะกรรมเก่าเข้มข้นกว่ากรรมดีที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติ ดังนั้นกรรมเก่าจึงให้ผลก่อน แต่ถ้าเขาเร่งทำกรรมดี มีความเพียรในการสร้างบุญอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ท้อซะก่อน กรรมใหม่ที่เป็นกรรมดีจะมีความเข้มข้นมากขึ้นๆๆจนถึงจุดให้ผล ส่วนกรรมเก่าที่ไม่ดีนั้นจะให้ผลน้อยลงๆๆจนถึงจุดที่ไม่ให้ผลเลยตามมาเล่นงานไม่ทันเพราะกรรมดีใหม่มีมากกว่าหนาแน่นกว่า จึงอย่าเพิ่งท้อนะครับในห้องนี้เรามีเพื่อนๆพูดคุยกันอีกเยอะครับ
     
  4. krit59

    krit59 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +346
    ก็มารมันพาดึงลงนรกนั่นแหละ ทำชั่ว ทำดี ยังไม่เห็นผลทันตาเห็น คนก็เลยเลือกที่จะทำชั่ว
    เพราะอำนาจกิเลสพาไหลลงต่ำทั้งหมด บาปส่งผลให้ยอมรับและทำตัวดีขึ้นมาใหม่
    ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ย่อมให้ผลกันทั้งสิ้น
    มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร มาร ผู้จะประพฤติดีต้องอัดกันกับมารทุกรูปแบบ ธรรมอย่าวัดกันตัวเงิน ฐานะ ให้ใช้ใจวัด ว่าตอนนี้ทุกข์หรือสุขอยู่
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เพราะขาดสติ ที่จะพิจารณา ถึง ความไม่ดีในตน

    มองเห็นแต่สิ่งดีที่ตนทำ ในตน จึงสรุปไปเองว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว(ทำดี) เกิดเรื่องไม่ดี แต่แท้จริงแล้ว อกุศลส่งผล มากกว่า แต่มองไม่ถึงเหตุแท้เท่านั้น
    พอปฏิบัติธรรมแล้ว มันไปควบคุมกิเลส มากกว่า กิเลสมันไม่ชอบ มันก็เลยบอกไม่ดี

    ทำชั่วได้ดีมีที่ไหน ทำดีได้ดีมีถมไป
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็คงเป็นเพราะ ศีลข้อ4 ที่ว่างเว้น ไม่รักษานั่นเองครับ

    ศีล5 หากทำไม่ครบ รู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า ข้อนี้พร่อง ซึ่งจะหมายถึง พอระลึก
    ถึงศีลข้อมุสาวาทาแล้ว จิตจะเศร้าหมองทันที ไม่มีสักครั้งที่ระลึกมาดูศีลข้อมุสาวาทา
    แล้วใจเราเกิดปิติยินดีที่รักษาได้ แบบนี้ ภาวนาจะไม่ขึ้น ซ้ำร้าย ภาวนาแล้วจะ
    แย่ลงกว่าเดิม

    เพราะศีลข้อเดียว จริงๆไม่ว่าข้อไหน มันจะเนื่องกัน หากสมบูรณ์ ก็จะพาสมบูรณ์
    ไปทุกข้อ หากข้อใดพร่องขึ้นมา จะปรารภว่า ข้ออื่นบริสุทธิเห็นจะเป็นไปไม่ได้ โดย
    เฉพาะข้อมุสาวาทานี้ก็ชัดเจนอยู่ หากเราพร่องข้อนี้ จะทราบได้อย่างไรกันว่า ที่ปรารภ
    ว่า ศีลอีก4ข้อบริสุทธิดี ไม่ได้โกหกต่อตัวเอง

    แต่ไม่ต้องเครียด หรือ ซีเรียสกับการรักษานะครับ เพราะ เงื่อนไขบางประการที่เรา
    มีชีวิตเป็นฆารวาส อาจจะต้องเนื่องกับโลก ดองหมักอยู่กับโลก ดังนั้น ให้ใช้วิธี
    เข้าใจ ยอมรับการเห็นเข้ามาช่วย

    เช่น งานที่ทำจำเป็นต้องโกหกในบางครั้ง เพื่อบรรยายสรรพคุณ โน้มน้าวให้เขาเกิด
    กิเลสความอยาก เกิดอุปทาน คล้ายกับสวมบทบาทอาชีพ "นักแสดงละคร" แบบนี้
    เรามีจุดประสงค์ทั้ง โกหก 1 ข้อ และรวม ชักชวนให้เขาเกิดกิเลสอีก 1 ข้อ คือ
    นอกจาก ศีลข้อมุสาจะเสียแล้ว เรายังสร้างกรรมพาคนลงนรกอีกหนึ่งข้อ แต่ทำไงได้
    เมื่อ อาชีพที่ทำอยู่นั้นยังเปลี่ยนไม่ได้ หรือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเนื่องด้วยเหตุผลสำคัญๆ
    หลายประการ เช่น ธุรกิจครอบครัว ทิ้งครัวเราก็เท่ากับสร้างกรรมอีกเหมือนกัน

    ดังนั้น เวลาที่จิตใจกำลังจะออกปากชักชวน ปากกำลังขยับจะพูด หรือ มีวาจาพูด
    คำลวงออกไปแล้วให้ ระลึกรู้ว่า ตอนนั้นจิตเรามีโมหะ หรือ ตอนนั้นจิตเรามีโลภะ
    หรือ ตอนนั้นจิตเรามีโทษะ กลุ้มรุมอยู่ ดูห่างๆ เพราะถ้าดูไม่ห่างเราจะยังชีพไม่ได้
    จะเผลอหงุดหงิดรำคาญเพราะการเพ่ง โมหะ โลภะ โทษะ แรงไป หากเราดูห่างๆ
    ตอนปากขยับพูดโกหกก็ดี มือไม้วางท่าทางร่วมแสดงการโกหกก็ดี จิตใจจมไปในความ
    คิดเพื่อค้นหาวิธีโกหกก็ดี ก็ตามรู้ไปเรื่อยๆ เมื่อตามรู้เรื่อยๆ ห่างๆ อย่าง คนสังเกต
    การณ์จิตของเรา ที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งคือผ่ายจมโลก(กายสังขาร-การขยับ วจีสังขาร
    -การพูด มโนสังขาร-การไหลไปคิด) กับอีกฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นฝ่าย สังเกตการณ์อากัป
    กริยาของจิตเหล่านั้น จิตใจคุณจะค่อยๆ แลเห็น องค์ธรรมที่เรียกว่า แยกรูป แยกนาม
    คือ กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ที่ทำการโกหกนั้นๆ ถูกรู้ถูกดู โดยมีจิตผู้รู้
    แยกออกมารับรู้ต่างหากอีกส่วนหนึ่ง กายส่วนกาย จิตส่วนจิต ผู้รู้ผู้ดูส่วนผู้รู้ผู้ดู ดูไป
    เรื่อยๆ แบบนี้ จะค่อยๆ เข้าใจ วิธีรักษาศีลที่ไม่ใช่ วิธีลูบคลำ ได้ในวันหนึ่ง

    ลองเอาวิธีนี้ไปลองดูก่อน หากทำได้ ก็จะค่อยๆรักษาศีลข้อมุสาวาทาขึ้นมาได้บ้าง จะ
    ทำให้ วาจาที่ใช้เพื่อการโน้มน้าวนั้นแฝงประโยชน์ที่มีต่อผู้ฟังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความมุ่ง
    ประโยชน์ให้เขาพ้นจากกิเลสก็มีขึ้นเรื่อยๆ กรรมที่เรามุ่งให้เขาหลงโลกก็จะเปลี่ยนด้าน
    มามุ่งให้เขาตื่น กรรมที่เราทำต่อคนอื่นไว้ไม่ดีก็ผลิกมาด้านดี แบบนี้ ศีลข้อมุสาวาทาก็จะจาง
    ลง กรรมที่เราก่อกับคนอื่นก็ผลิกไปทางกุศล ได้อีกด้วย

    ลองดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2010
  7. unchalee

    unchalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +104
    ชอบคำตอบของทุกๆท่าน แต่ขอถามอีกนิด แล้วถ้าขาดศีลข้อ 5 แต่เป็นการดื่มเพียงเบียร์วันละกระป๋อง ไม่ได้สร้างปัญหากับใคร จะผิดมากไหม แต่ก็ได้ปฏิบัติเหมือนกับเจ้าของปัญหาคือสวดมนต์ ทำบุญประจำ นั่งสมาธิพอประมาณ
     
  8. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ผมเข้าใจว่า

    การศึกษาปฏิบัติธรรมนั้น เพื่อให้เห็นถึง สัจจะ ความจริง ที่มี ในกายในใจ ตามคำสอนพระศาสดา

    เมื่อมีศีล แล้ว ย่อมมี จิตตั่งมั่น จิตตั่งมั่น ย่อมไม่ไหวหวั่น กับ สิ่งที่มากระทบ แม้จะจะเป็น บุญที่กระทบ หรือ ชั่วที่กระทบ

    ไม่ได้ศึกษาเพื่อ ให้ มีความร่ำรวย ชื่อเสียงเกียติยส
    ถึงจะได้ไม่ได้ อาการหวั่นไหวย่อมไม่มี ในจิตที่ตั้งมั่น

    หากจิตผู้ใดถูกกระทบแล้วหวั่นไหว พึงกลับมาทบทวน วิธีการฝึกตามพระศาสดา ว่าเราทำถูกหรือยัง
     
  9. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    การปล่อยตัวไม่สนใจใยดีกับธรรมะ กลับได้ดีกว่าประพฤติธรรม......??????

    การทำบุญก็มีให้เลือกทำได้ตั้ง 10 วิธี (บุญกิริยาวัตถุ 10) การที่เราไม่ผูกมัดให้เคร่งตึงอยู่กับการ ถือศีล ไหว้พระ สวดมนต์ ทำให้จิตของเราว่างเปล่า สบายใจ การทำสิ่งใด ๆ ด้วยใจที่สบาย ๆ น่าจะเป็นการทำสิ่งที่ดี ที่ใจได้มีความสุข ก็น่าจะเป็นบุญกุศลมากกว่าการที่เรามาเคร่งครัดตัวเองให้เกิดความยุ่งยากในใจ...............(ทำบุญด้วยข้าวแกง 100 หม้อ ยังไม่ได้กุศลเท่า นั่งสมาธิให้จิตสงบ แม้ชั่วขณะช้างกระพริบหู , บางคนขึ้นศาลาไปทำบุญ กลับลงมารองเท้าหาย ด่าไอ้โขมยตั้งแต่วัดถึงบ้าน...ก็มี )

    การปฏิบัติธรรม ก็คือการฝึกฝนจิตใจให้มีความสุข เมื่อกระทำสิ่งใด ๆ แล้วจิตใจบังเกิดความสุข นั่นก็คือ การปฏิบัติธรรม และสิ่งนั้นต้องไม่เป็นไปสิ่งที่จะทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และยิ่งถ้าหากการนั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำไม่ถูกต้อง มีผลทำให้จิตประสาทถูกกดดัน เกิดเป็นคนเสียสติ วิกลจริตขึ้นมา คงไม่มีใครสรรเสริญ ....ถูก-ผิด ไม่รู้ แต่ทำแล้วเสียสติ ก็คงเห็นผลแล้วว่ามันเสียมากกว่าได้ แม่นบ่

    สัพเพ ธัมมานาลัง อภินิเวสายะ...................... สาธุ.
     
  10. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    การปฏิบัติธรรมก็ดี การถือศีลก็ดี การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ตลอดจนการทำบุญก็ดี จากที่อ่านมาเป็นเรื่องของความอยากทั้งนั้น การทุ่มเททุกอย่างของเรานั้นทำไปเพื่อหวังผลในสิ่งดีเท่านั้น เมื่อไม่ได้ดีดังหวังมันก็จะผิดหวังพรอยให้หงุดหงิดใจจับนั่นจับนี่มาเป็นเหตุเป็นผลสร้างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาในที่สุด
    เราปฏิบัติธรรมกันเพื่อความพ้นทุกข์ แต่ก็มีบ้างบางท่านเข้าใจว่าเมื่อพ้นทุกข์ในที่นี้หมายถึงมีแต่สุข และสุขที่ว่านั้นคือสุขแบบโลกๆ ที่เต็มไปด้วยความพอใจแล้วยังมีแต่ความหวงแหนไม่อยากให้สุขนั้นหายไปอีกพยายามแต่จะรั้งจะยื้อไว้ให้สุขนั้นอยู่กับฉันนานๆ นี่คือสุขแบบโลก

    ส่วนสุขแบบธรรมะนั้นเป็นสุขอีกแบบไม่ว่าจะทุกข์จะสุขก็ดี จะไม่สามารถเข้ามาทำให้จิตใจเศร้าหมองหรือดีใจจนสติแตกจนหลงเข้ายึดไว้ได้ อย่างนี้เป็นต้น ฯ

    ฉนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็ควรที่จะปฏิบัติไปอย่างมีสติ จงเลิกปฏิบัติแบบหวังผลแบบทุ่มเทเอาเป็นเอาตายภายใต้ความอยากของกิเลส ตัณหา อุปาทาน เพราะถ้าไปหวังในทางที่มิควรหวังหรือหวังผิดทางแล้ว หากไม่เป็นไปดังหวังเรียกว่าผิดหวัง มันก็จะวกกลับมาอีกเฉกเช่นปัจจุบันนี้ที่เป็นอยู่นั่นเอง


    ขอจงนำไปพิจารณา
    เจริญธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  11. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272
    อนุโมทนา..ทำความดีต้องมีมารค่ะ...บททดสอบเพื่อยกระดับความเป็นมนุษย์...
     
  12. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,455
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ช่วงนี้ ผมก็โดนมารเล่นงานอยู่เช่นกันครับ เข้าใจความรู้สึกดีครับ ถ้าเราปฏิบัติได้อย่างเ้ข้มข้นถึงขั้นหนึ่งเเล้ว บททดสอบหนักๆจะเริ่มมาเรื่อยๆครับ ส่วนตัวผม ผมเห็นด้วยกับความเห็นที่คุณ เจอราด กล่าวมาครับ เราต้องผ่านไปให้ได้ครับ ให้ดูจิตตัวเองครับ เวลาโกรธก็โทสะหนอ พอเริ่มหลงหรือเริ่มยึดติดอะไรก็โมหะหนอ การปฏิบัติธรรมนั้นหาใช่การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ทําบุญเป็นประจําอย่างเดียวไม่ครับ เราต้องวิปัสสนาดูอารมณ์ดูใจของตัวเองด้วยครับถึงจะเรียกว่า การปฏิบัติธรรมอย่างเเท้จริง หากเราละเลยการวิปัสสนาเเล้ว การปฏิบัติธรรมของเราจะเหมือนไม่ได้อะไรเลย อันนี้สําคัญมากครับกับการที่ต้องดูจิตตัวเอง ดูเเล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ ยังไงก็ขอเป็นกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนเเล้วกันครับ เราต้องมีคําว่าอดทนประจําจําไว้ครับ ถ้าเ้ราผ่านพ้นบทพิสูจน์นี้ไปได้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมดีจะส่งผล ต่อให้อะไรก็ฉุดเราไม่อยู่ครับ เป็นได้ก็อยากให้คนที่ จขกท กล่าวถึงรักษาศ๊ลห้าให้ครบจะดีที่สุดครับ ฝากการทําสังฆทานที่บ้านด้วยตัวเองทุกวันให้นําไปปฏิบัติกันด้วยครับสําหรับ คนที่ไม่ค่อยได้ไปวัด ใครที่ไม่ค่อยได้เข้าวัด นําไปใช้ได้เลยนะครับ เจริญในธรรมครับ

    วิธีทําสังฆทานทึ่บ้านเองทุกวัน ดีมากครับ นําไปใช้ได้เลยครับ อานิสงส์เเรงมากครับ

    http://www.buddhism-online.org/board/index.php?topic=570.0
    http://www.buddhism-online.org/board/index.php?topic=124.0
     
  13. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]
    ขออนุโมทนา สาธุ กับทุกๆท่าน ค่ะ
     
  14. พรเทวราช

    พรเทวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +426
    อย่าคิด อย่างงั้น จะเป็นการปรามาส คำสอน คน คนนี้ เป็นประเภท ปทปรมะ มีอบายภูมิ เป็นที่ไป ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ก็เอาดีไม่ได้ ครับ
     
  15. kamkling

    kamkling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +562
    ถูกอย่างที่คุณ พรเทวราช บอกครับ ผมเป็นแบบเดียวกับเจ้าของกระทู้เป๊ะเลยครับ ด้วยหน้าที่การงานของผม ( ศีล 5 ทำไม่ได้ทุกวัน ) แต่ละบาปและไม่เบียดเบียนใคร พยายามทำอยู่ทุกวัน ผมสวดมนต์นั่งสมาธิมาเกือบ 20 ปี ใหม่ ๆ เป็นเหมือนเจ้าของกระทู้เลยครับ และก็คิดว่าคงเป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่า แล้วคิดต่อไปอีกว่าถ้ากรรมเก่าเราหมด ชีวิตก็น่าจะดีขึ้น ( แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรมเพื่อลดกรรมให้หมด ชาติหน้าก็ต้องมารับกรรมอีก น่าเบื่อ ) เลยไม่สนใจอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เราคิดว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปัจจุบันค่อนข้างมีความสุขครับ ไม่ค่อยเครียด หน้าที่การงานก็ไปได้ดี ครอบครัวก็ดีครับ ตื่นเช้ามาสวดมนต์นั่งสมาธิใส่บาตร ก่อนนอนก็สวดมนต์นั่งสมาธิ ทำจนเคยชินครับ ผมขอเอาใจช่วยนะครับ ปฏิบัติธรรมไม่มีคำว่าท้อครับ คนที่เขาปฏิบัติธรรมแล้วไม่พัฒนาขึ้น เขาก็เลยเลิกกัน ปฏิบัติไปเถอะครับเมื่อถึงเวลาก็พัฒนาเองครับ อย่าไปรีบทำไปทุกวัน ๆ เอาใจช่วยครับ
     
  16. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ท่านถามตัวเองก่อนท่านปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร

    ต้องการความรำรวย ชื่อเสียง สั่งสมบุญที่เกิดจากการปฎิบัติ สะสมบาระมี

    จากคำถามเหล่านี้เราพอจะมองเห็นคำตอบรางๆแล้วว่าการปฎิบัติธรรมนั้นต้องได้อะไรและตรงกับสิ่งที่ท่านคาดหวังหรือเปล่า

    บางที่การสอนอะไรที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดมันก็ทำให้เราเกิดความสับสนได้

    หากท่านต้องการมีโภคทรัพย์มาก ท่านต้องให้ทานสม่ำเสมอ
    หากท่านต้องการเป็นคนมีปัญญา ท่านก็ให้ความรู้ให้ความเห็นในฝ่ายถูกแก่ผู้ยังขาดอยู่
    ตัวอย่างเป็นต้น

    แต่บุญที่ท่านทำนั้นอาจจะส่งผลช้าหรือเร็วแตกต่างกันไป ไม่ขอกล่าวถึง

    บางครอบครัวที่เป็นสัมมาฐิทิ เขาจะประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรมแล้วไม่รุงแล้วพาหมดตัวก็มี(ทำไปเพราะความไม่รู้ความอยากรวยเร็วอะไรประมาณนี้) เขาต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรง ความซื่อสัตย์ ความอดทนในการประกอบอาชีพ แต่กลับพอมีพอใช้โดยไม่น้อยหน้าใครมีให้เห็นมากมาย

    กลับมาปัญหาของท่าน ท่านก็ลองพิจารณาดู ที่เป็นเช่นที่ทานว่าเพราะอะไร ถามตัวเองว่า การปฎิบัติธรรมของท่านมีส่วนขัดกับหน้าที่การงานหรือเปล่า เช่น เรื่องเวลา

    ลองทบทวนดูครับ คุยไม่ค่อยเก่งครับ
    ต้องขอบคุณครับที่ตั้งกระทู้นี้ บางที่กิเลสก็พาเราให้หลงอยู่เป็นประจำ ได้กลับมาทบทวนตัวเองบ้าง

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2010
  17. Charmaar

    Charmaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +341
    เป็นเหมือนกันเลยค่ะ คิดเสมอว่าพยายามต่อไป ทำดีได้ดีแน่ ๆ ค่ะ
     
  18. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    เคยทำดีแบบดีๆ หมายถึงทำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่รู้ว่าดีเป็นกุศลบ้างไหม
    ถ้าทำได้อย่างนั้นจริง นั่นคือสิ่งดีที่ทำได้ดีจริงๆ

    ผิดกับการทำดีเพราะรู้ว่าดีแล้วจึงทำเพื่อหวังผล

    การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าสวดมนต์ ทำวัดเช้า นั่งสมาธิ หรือแม้แต่การทำทาน
    เป็นเพียงหนทางไปสู่ความดี แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้แต่สิ่งดีๆกลับมาเสมอไป
    ทำไมถึงไม่ได้สิ่งดีกลับมา ก็เพราะว่าดียังไม่ดีที่สุด ทำแบบหลบๆทำแบบแอบๆทำ
    เหมือนกับส่งการบ้านข้อสอบนั่นแหละ สอบไป 100 ข้อมันใจอยู่ไม่กี่ข้อแต่ก็รีบๆส่ง
    ส่งก็ส่งแบบหลวมไม่มั่น กะว่าเผื่อฟลุคครูอารมณ์ดีในขณะนั้นหรือแม้แต่หวังว่าครูอาจจะเผลอกาถูกให้ก็ได้ เป็นต้นฯ ทำดี ปฏิบัติธรรม นั่งกรรมฐาน แม้แต่ทำทาน
    สิ่งเหล่านี้ล้วนออกมาจากจิตใจตนเองทั้งนั้น หากทำได้ถูกต้องตรงทางแล้ว ล้วนเกิดแต่สิ่งดีๆ ขึ้นในจิตใจซักวัน เว้นเสียการทำแบบไม่เต็มร้อย ไม่เต็มใจ ยังมีอะไรแอบแฝงอยู่ด้านในลึกๆของจิตใจ


    เจริญธรรมครับ
     
  19. ลุงแก่แล้ว

    ลุงแก่แล้ว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากครับ สำหรับคำตอบของทุกๆท่าน
    แต่ผมอยากเรียนในที่นี้ว่า หลายๆท่านที่ตอบมา เข้าใจความหมายในความศรัทธาในธรรมมะ ของผมผิดไปครับ
    ผมมิได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อหวังให้ร่ำรวยรวยเลยแม้เพียงสักนิด อยากให้ท่านที่ตอบมาในแนวนี้ลองอ่านที่ผมเขียนใหม่นะครับ
    ผมปฏิบัติเพราะอ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง แล้วเกิดความศรัทธา อยากที่จะพ้นจากการเวียน ว่าย ตายเกิด เป็นที่ตั้งครับ หากว่าผมไม่ติดว่าต้องดูแลครอบครัว คงปลีกวิเวกไปนานแล้ว
    แต่ที่ผมตั้งกระทู้ถาม เพราะอยากทราบว่า พอจะมีวิธืใด ที่ทำให้การปฏิบัติธรรม ไม่มีมารมารุมเร้าทางด้านนี้ เพราะเมื่อคนเรามีปัญหามากๆเข้าการปฏิบัติก็ไม่สามารถทำต่อได้
    อยากให้เป็นมารในทางอื่นมาแทน พอจะมีใครแนะนำได้บ้างมั๊ย

    สรุปว่า สิ่งที่ผมเจอมันคือมารครับ ซึ่งแต่ละคนจะเจอคนละรูปแบบกัน
    ผมไม่ได้ปฏิบัติธรรมให้รวยอย่างที่หลายคนเข้าใจ

    อนุโมทนา สาธุครับ
     
  20. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ผมต้องขอโทษ

    ในส่วนที่ทำให้ท่านเข้าใจผิดหรือไม่พอใจ ผมก็ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ผมด้วย

    ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนไตร ขอให้ท่านได้ในสิ่งที่ท่านปราถนาในทางที่ถูกต้องดีงาม ทุกประการ
     

แชร์หน้านี้

Loading...