ตามรอย....พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย อุ่นทิพย์, 23 กุมภาพันธ์ 2010.

?
  1. รู้

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่รู้ เพิ่งเข้ามาเนี่ยละถึงได้รู้

    0 vote(s)
    0.0%
  1. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254
    <o:smarttagtype namespaceuri="urn:schemas-microsoft-com<img src=" http:="" palungjit.org="" images="" smilies="" omg-smile.gif="" border="0" alt="" title="Surprised" smilieid="34" class="inlineimg"></o:smarttagtype><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    [FONT=&quot]พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]​
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย ชาติกำเนิดของพระนางจามเทวี มีที่มาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทั้งจากตำนาน พงศาวดารและหลักฐานอื่น ในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวว่าพระนางเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ ได้เดินทางพร้อมพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฏกและช่างผู้มีฝีมือหลากหลายประเภท [/FONT][FONT=&quot]500 คน จากเมืองละโว้ สู่นครหริภุญไชย (อ้างอิงจาก จามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และมูลศาสนา สำนวนล้านนา) อีกสำนวนหนึ่งซึ่งเป็นมุขปาฐะ สำนวนพื้นบ้าน กล่าวว่า พระนางจามเทวีนั้นทรงมีชาติกำเนิดเป็นชาวหริภุญไชยมาแต่เดิม โดยเป็นบุตรีของคหบดีผู้หนึ่ง นามว่า อินตา ส่วนมารดาไม่ทราบชื่อ ทั้งสองเป็นชาวเมงคบุตร อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนองดู่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้มีการบันทึกตามพระชาตาพระนางจามเทวีเมื่อแรกประสูติไว้ว่าตรงกับวัน พฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๑๗๖ เวลาจวนจะค่ำ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]
    พระนางจามเทวีไปสู่ราชสำนักละโว้[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>เมื่อ พระนางจามเทวีเจริญพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ใกล้จะรุ่นสาว ได้สำเร็จซึ่งวิชาการทั้งหลายเป็นการบริบูรณ์แล้ว ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่ากุมารีผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านจะมีวาสนาเป็นถึงจอมกษัตริย์ ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า จึงตกลงใจว่าจะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเพื่อรับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อ พระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ ราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในสุวรรณภูมิเวลานั้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>ท่าน สุเทวฤๅษีจึงได้เนรมิตแพขึ้น ส่งกุมารีน้อยล่องไปตามน้ำจากเมืองเหนือ โดยพญากากะวานรและบริวารจำนวนหนึ่งโดยสารแพไปด้วย อีกทั้งยังฝากหนังสือไปฉบับหนึ่งเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงลวปุระว่ากุมารี น้อยนี้จะไปช่วยละโว้ประหารศัตรู เด็กหญิงและวานรทั้งหลายล่องตามลำน้ำไปเป็นเวลานานหลายเดือนจึงเข้าสู่เขตก รุงลวปุระ ประชาชนชาวละโว้สองฝั่งลำน้ำได้โจษขานถึงแพเล็กๆ นี้ด้วยความประหลาดใจครั้นถึงท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคล แพเนรมิตก็มิได้ล่องตามน้ำต่อไปกลับลอยวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ชาวบ้านเห็นเหตุเป็นอัศจรรย์และต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงซึ่งมีผิวพรรณ ผุดผ่องน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ความทราบถึงบรรดาขุนนาง จึงได้ไปตรวจดูที่ฝั่งน้ำ เห็นความจริงประจักษ์แก่ตาจึงรีบกลับเข้าพระราชวังกราบบังคมทูล พระเจ้าจักวัติ ผู้ครองกรุงลวปุระให้ทรงทราบทันที[/FONT][FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    </o>เจ้า แผ่นดินกรุงลวปุระได้เสด็จไปยังท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคลพร้อมด้วยมเหสีในทันที นั้น เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปทั้งหมด พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทหารที่ตามเสด็จชะลอแพเนรมิตเข้าสู่ฝั่ง แต่เหตุการณ์อันไม่มีใครคาดคิดก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กำลังของเหล่าทหารแห่งกรุงลวปุระไม่อาจชักลากแพเข้าสู่ท่าน้ำได้ ไม่ว่ากษัตริย์จะมีพระบัญชาให้เพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นสักเท่าใดก็ตาม การณ์อันเป็นไปโดยอัศจรรย์ดังนี้ ทำให้เจ้าแผ่นดินทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า กุมารีแรกรุ่นในท่ามกลางฝูงวานรบนแพนี้คงจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากมาย และแพนั้นก็คงจะเป็นแพวิเศษที่สามัญชนจะไปแตะต้องมิได้ พระองค์จึงเสด็จจากที่ประทับพร้อมด้วยพระมเหสีและทรงยึดเชือกที่ผูกแพนั้น ไว้ด้วยพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o>
    </o>และแล้วเหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกเป็นคำรบสาม พระเจ้ากรุงลวปุระและพระมเหสีเพียงแต่ทรงชักเชือกนั้นด้วยแรงเฉพาะสอง พระองค์ แพวิเศษก็ลอยเข้าสู่ท่าน้ำได้โดยง่าย และดูราวกับเทพยดาฟ้าดินจะทรงอำนวยพรให้แก่ประพฤติเหตุอันอัศจรรย์นี้ เพราะเมื่อแพวิเศษลอยเข้าเทียบท่าน้ำ ได้มีฝนโปรยปรายเป็นละอองบางเบา ยังความสดชื่นแก่ทุกคนในที่นั้น ประชาชนทั้งสองฝั่งลำน้ำได้เห็นต่างก็พากันชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และสรรเสริญบุญญานุภาพของกุมารีน้อยไปทั่วทั้งพระนคร[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o>
    </o>พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีได้รับกุมารีน้อยไว้ด้วยความเสน่หาอย่างยิ่ง พระมเหสีนั้นถึงกับเสด็จเข้าไปสวมกอดและจุมพิตกุมารีตั้งแต่แรกขึ้นสู่ฝั่ง พระเจ้ากรุงละโว้ผู้เต็มไปด้วยความปิติในพระหฤทัยได้ทรงน้ำกุมารีผู้น่ารัก ขึ้นประทับบนราชรถ และต่างพากันเสด็จเข้าสู่ราชสำนักกรุงลวปุระท่ามกลางประชาชนที่มาเฝ้าชมพระ บารมีสองข้างทางด้วยความชื่นชมยินดีโดยทั่วหน้า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>พระ ธิดาแห่งกรุงลวปุระ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    </o>ในราชสำนักกรุงละโว้ กุมารีได้รับการผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้งดงามสมพระเกียรติ ครั้นแล้วได้เสด็จสู่ท้องพระโรงอันเป็นที่ประชุมเหล่ามุขมนตรีเสนาอำมาตย์ ทั้งหลาย กษัตริย์และพระมเหสีก็เสด็จออกประทับบนพระบัลลังก์ มีพระราชดำรัสให้พระราชครูพยากรณ์ดวงชะตาของเด็กหญิง พระราชครูได้คำนวณกาลชะตาโดยละเอียดแล้วถวายคำพยากรณ์ว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ขอเดชะ กุมารีน้อยผู้นี้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบุญญานุภาพและพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ต่อไปภายหน้าจักได้เป็นถึงจักรพรรดินีครองแว่นแค้น ปรากฏพระเกียรติยศเกริกไกรไปทั่ว แม้ว่าพระราชาและเจ้าชายพระองค์ใดได้เสกสมรสด้วยก็จักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย รัตนะทั้ง ๗ ประการอย่างแน่นอน”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ เจ้ากรุงละโว้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงเปี่ยมด้วยความโสมนัสอย่างยิ่ง เพราะได้ประจักษ์แก่พระปรีชาญาณว่าเทพยดาฟ้าดินได้ประทานกุมารีผู้นี้แด่ พระองค์และกรุงลวปุระ ทั้งพระองค์เองและพระมเหสียังมิได้ทรงมีพระโอรสธิดา จึงทรงมีพระราชโองการให้จัดพระราชพิธีอภิเษกกุมารีวีขึ้นดำรงพระยศเป็นพระ ธิดาแห่งกรุงละโว้และได้ทรงเฉลิมพระนามใหม่ประกาศไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า เจ้า หญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์ บรมราชขัตติยนารี รัตนกัญญา ลวะปุรีราเมศวร[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ตำนาน ว่า วันประกอบพิธีอภิเษกนั้นเป็นวันที่ ๓ ภายหลังพระนางจามเทวีเสด็จเข้าสู่ราชสำนักลวปุระ ตรงกับวารดิถีอาทิตยวารขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๑๙๐ เวลานั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา เจ้าหญิงพระองค์แรกแห่งนครลวปุระทรงถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นปฐมว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>ข้าฯ ขอกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันพิทักษ์รักษากรุงละโว้ว่าข้าฯ จะเป็นมิตรที่ดีต่อท่านทั้งหลาย จะขอปกปักษ์พิทักษ์รักษาอาณาจักรละโว้ด้วยชีวิต จะปฏิบัติทุกทางที่จะยังความสุขให้ทั่วพระราชอาณาจักรแห่งนี้”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>สิ้น พระราชดำรัส ปวงเสนาอำมาตย์และพสกนิกรทั้งหลายต่างพากันแซ่ซ้องถวายพระพรพระธิดาพระองค์ ใหม่ ทั้งราชสำนักและบ้านเมืองกระหึ่มด้วยเสียงมโหรีปี่พาทย์ที่บรรเลงเพลง สรรเสริญ มีการบังเกิดพระพิรุณโปรยปรายเป็นละอองชุ่มเย็นไปทั่วเมืองละโว้เป็นกาล อัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>ภายหลังพระราชพิธีอภิเษก พระเจ้ากรุงละโว้ได้พระราชทานพระธิดาในพระเจ้าทศราชแห่งกรุงรัตนปุระ ๒ พระองค์ คือ เจ้าหญิงปทุมวดี และ เจ้าหญิงเกษวดี ให้เป็นพระพี่เลี้ยงคอยถวายการดูแลพระธิดาพระองค์ใหม่ รวมทั้งเป็นผู้ถวายการสอนวิชาศิลปะศาสตร์แขนงต่างๆ เพิ่มเติมแก่พระธิดาน้อยด้วย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]
    สงครามชิงเจ้าหญิงจามเทวี[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>เจ้าหญิงจามเทวีได้เสด็จประทับในราชสำนักกรุงลวปุระ และเจริญพระชันษาขึ้นโดยเป็นที่รักใคร่เสน่หาของพระราชา พระมเหสี พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนเสนาอำมาตย์และประชาชนชาวละโว้ทั้งหมด เวลาได้ล่วงเลยจนพระองค์ทรงเจริญพระชนมายุได้ ๒๐ พรรษา ปรากฏว่าทรงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปยังทุกอาณาจักรอันใกล้เคียง พระปรีชาญาณและบุญญานุภาพแห่งพระองค์นั้นก็แผ่ไพศาล เป็นที่หมายปองของเจ้าครองนครต่างๆ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>ความ งดงามในพระรูปแห่งพระองค์หญิงจามเทวีนั้น เป็นที่เล่าลือกันว่าไม่มีหญิงใดจะทัดเทียมทั้งสิ้น ดังมีบรรยายไว้ในตำนานต่างๆ ว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>“ดวงพระพักตร์เป็นรูป ไข่ พระเนตรดำซึ้งเป็นแวววาวและต้องผู้ใดแล้วยังผู้นั้นให้งงงวยไปด้วยพิษเสน่หา พระขนงโก่งเรียวยาวประดุจคันธนูขณะน้าวสาย พระนาสิกโด่งคมสันรับกับพระพักตร์ ริมพระโอษฐ์แดงระเรื่อดุจชาดป้าย พระทนต์เรียบขาวสะอาดเป็นเงางามดุจไข่มุก ขณะยุรยาตรพระวรกายอันอ่อนไหวให้ชวนพิศ เวลาก้าวพระบาทนั้นประดุจพระนางหงส์เมื่อเยื้องย่างกราย พระวรกายหอมดังกลิ่นดอกบัวหลวง หาสตรีใดเทียบมิได้”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    </o>พระเจ้ากรุงละโว้ทรงพระดำริว่าพระธิดาของพระองค์ทรงมีพระชันษาสมควรที่จะเสก สมรสแล้ว จึงได้ทรงกำหนดให้เจ้าหญิงจามเทวีทรงหมั้นหมายกับ เจ้าชายรามราช แห่งนครรามบุรี ซึ่งอยู่ใกล้กรุงลวปุระ ตามตำนานเจ้าชายรามราชนั้นทรงเป็นพระญาติของพระเจ้ากรุงละโว้ และทรงมีพระจริยาวัตรดีงามเหมาะสมกับเจ้าหญิงจามเทวีอยู่ วันที่ประกอบพระราชพิธีหมั้นตรงกับวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือน ๖ พุทธศักราช ๑๑๙๖ เจ้าผู้ครองนครทั้งหลายต่าง พากันส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายเป็นเกียรติแก่พระราชพิธีดังกล่าวอย่าง มโหฬาร ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีแล้ว ก็มีมหรสพสมโภชกันอย่างเอิกเกริกในกรุงละโว้ เป็นที่รื่นเริงสนุกสนานแก่ไพร่บ้านพลเมืองทั่วไปโดยถ้วนหน้า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ แล้ว เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้นในปีนั้นเอง เมื่อเจ้าชายแห่งนครโกสัมพีได้ส่งพระราชสาส์นพร้อมเครื่องราชบรรณาการมากมาย มาถวายพระเจ้ากรุงลวปุระ พร้อมทั้งแจ้งความประสงค์จะขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเป็นพระชายาเพื่อเป็นเกียรติ แก่นครโกสัมพี ซึ่งเป็นนครใหญ่เหมาะสมด้วยศักดิ์ศรีแห่งพระนาง พระเจ้ากรุงละโว้ได้ทรงตอบสสาส์นนั้นไปตามความเป็นจริงว่าทรงหมั้นเจ้าหญิง จามเทวีไว้กับเจ้าชายรามราชแล้ว การณ์กลับกลายเป็นว่าเจ้าชายแห่งโกสัมพีทรงลุแก่โทสะ ทรงมีพระดำริว่ากรุงละโว้คงไม่ประสงค์จะมีสัมพันธไมตรีกับกรุงโกสัมพีเสีย แล้ว จึงทรงรวบรวมกองทัพโดยความช่วยเหลือของพระญาติ พระวงศ์ และพระราชาแห่งกลิงครัฐที่เป็นพันธมิตร ทำให้กองทัพของพระองค์เป็นกองทัพใหญ่มีกษัตริย์เป็นผู้นำทัพทั้งสิ้น ในราวเดือนอ้าย ปลายปี พ.ศ. ๑๑๙๖ กองทัพนี้ได้ยกเข้าโจมตีนครรามบุรีเป็นอันดับแรก อาจเป็นเพราะความแค้นหรือนครนั้นอยู่ในเส้นทางการเดินทัพก่อนจะถึงละโว้ก็ เป็นได้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] แน่นอน กองทัพที่รักษานครรามบุรีนั้นไม่มีความหวังที่จะต้านทานข้าศึกที่ยกพลมามาก มายขนาดนั้นได้ เจ้าชายรามราชต้องทรงนำกองทหารเท่าที่มีตั้งรับข้าศึกไว้เพื่อประวิงเวลา และส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากกรุงลวปุระอย่างเร่งด่วนที่สุด[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ทาง ละโว้เมื่อทราบข่าวก็จัดประชุมกันโดยทันที บรรดาแม่ทัพนายกองได้ถวายความเห็นแก่พระเจ้ากรุงละโว้ว่า ไม่น่าจะทำศึกกับกองทัพโกสัมพีเพราะว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่มาก เสนาบดีต่างๆ ก็กราบบังคมทูลว่า เห็นทีคราวนี้จะต้องรับไมตรีจากเจ้าชายแห่งโกสัมพีเสียแล้ว แต่ในท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทุกคนในที่ประชุม เจ้าหญิงจามเทวีซึ่งประทับอยู่ในที่นั้นด้วยได้ทรงมีพระดำรัสว่า [/FONT][FONT=&quot]“น่าจะต้องเข้าร่วมสงคราม”<o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่พระบิดาและพระมารดา เจ้าหญิงผู้ทรงพระสิริโฉมแห่งลวปุระตรัสต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยวว่า พระองค์จะทรงนำทัพเอง เวลานั้นพระมเหสีจึงรีบทัดทานว่า เป็นหญิงจะนำทัพไปออกศึกได้อย่างไร พระธิดาก็ตรัสตอบว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] “หากว่าหม่อมฉันไม่ออกศึกเสียเอง กรุงลวปุระซึ่งเป็นเมืองใหญ่ก็จะเป็นที่ครหาต่อไปได้ อีกทั้งเหล่าประเทศราชจักต้องแข็งข้อเพราะเห็นว่าละโว้อ่อนแอ ปัญหาต่างๆ จะบังเกิดตามมาอีกมากมายนัก และที่สำคัญยิ่ง คือ กองทัพของโกสัมพีที่ยกมาครั้งนี้เป็นทัพกษัตริย์ เจ้าชายแห่งละโว้จะทำศึกก็ไม่มี จึงสมควรที่พระบิดาเจ้าจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลูกหญิงของพระองค์ออก กระทำศึกจะเป็นการเหมาะสมแก่พระเกียรติยศของบรรดากษัตริย์ที่ทรงนำทัพมานั้น ด้วย”<o>

    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วย จำนนต่อเหตุผลนั้น และพระเจ้ากรุงละโว้ทรงระลึกได้ว่าเมื่อแรกรับพระธิดาองค์นี้เข้าวัง ทราบความที่ท่านสุเทวฤๅษีฝากมาว่าพระธิดาพระองค์นี้จะมาช่วยบำราบอริราช ศัตรู และจากเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วก็แสดงว่า พระธิดานี้ทรงมีบุญญาธิการแก่กล้านัก เห็นทีศัตรูจะทำอันตรายมิได้เป็นแน่ พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีทรงอนุญาตให้พระธิดาทรงจัดทัพจากกรุงลวปุระไป ช่วยเจ้าชายรามราชและโปรดฯ ให้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าและพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เข้ามายังพระอารา หลวงโดยพร้อมกันเพื่อประกอบพิธีถวายพระพรชัยเจ้าหญิงจามเทวีเสียก่อน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot] จาก นั้นเจ้าหญิงจามเทวีทรงมีรับสั่งให้ขุนศึกทั้งหลายเตรียมทัพทันที ทรงให้พระพี่เลี้ยงทั้งสองช่วยกันจัดทัพหน้าเป็นชาย ๒๐๐๐ คน หญิง ๕๐๐ คน รวมกับพญากากะวานรและบริวารทั้ง ๓๕ ตัวที่ติดตามมาจากระมิงค์นคร เมื่อการจัดทัพสำเร็จเสร็จสิ้น พระนางจามเทวีเสด็จประทับเบื้องหน้าทวยทหารทั้งปวง ตรัสว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“เพื่อปิตุภูมิ เราจะขอทำหน้าที่และยอมสละชีวิตก่อนท่านทั้งหลาย แต่ถ้าผู้ใดไม่เต็มใจไปราชการด้วยครั้งนี้เราจะไม่เอาโทษ จะปลดปล่อยทันที”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] บรรดาทหารได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็พากันโห่ร้องถวายพระพรกันเซ็งแซ่ ทุกคนถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะขอตายเพื่อพระนางและผืนแผ่นดินละโว้โดยไม่มีใครคิดจะหนีจากการสู้รบเลย กองทัพของเจ้าหญิงจามเทวีนี้แม้จะมีไพร่พลไม่สู้มาก แต่ไม่นานต่อมาก็ได้กำลังสมทบจากกองทัพนครต่างๆ ที่มีสัมพันธไมตรีกับกรุงละโว้มาแต่เดิม ตามตำนานว่ากองทัพจากพันธมิตรที่มาช่วยกรุงละโว้ครั้งนี้มาจากกรุงรัตนปุระ ทัพหนึ่ง เมืองชากังราวทัพหนึ่ง และเมืองอัตตะปืออีกทัพหนึ่ง ล้วนแต่กษัตริย์และพระราชวงศ์องค์สำคัญทรงนำทัพมาเองทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ครั้ง ท้องฟ้าแจ่มใส เห็นเป็นศุภมิตรอันดีแล้ว พระเจ้ากรุงละโว้จึงพระราชทานพระแสงอาญาสิทธิ์แก่พระธิดาของพระองค์เจ้าหญิง จามเทวีทรงนำไพร่พลเดินทางออกจากละโว้ทันที เมื่อเดินทัพไปถึงเขตนครเขื่อนขัณฑ์ จึงส่งม้าเร็วเชิญพระอักษรไปกราบทูลพระคู่หมั้นว่าพระนางกำลังนำทัพไปช่วย แล้ว ขอให้ทรงทิ้งเมืองเสีย อพยพชาวเมืองออกไปแล้วแกล้งทำเป็นล่าถอยทัพไปเรื่อยๆ ไปทางเทือกเขาสุวรรณบรรพต ซึ่งเจ้าชายรามราชก็ทรงทำตามแผนการนั้นทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อทหารรามบุรีชุดสุดท้ายทิ้งพระนครไปแล้วฝ่ายโกสัมพีเข้ายึดเมือง ได้ จึงพบกับเมืองร้างที่ไม่มีคนอยู่อาศัย เมื่อเห็นว่ากองทัพและประชาชนชาวรามบุรีกำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาสุวรรณ บรรพต จึงรีบเร่งติดตามไปทันที[/FONT][FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ส่วนพระธิดาแห่งกรุงลวปุระก็ทรงนำ กองทัพทั้งหมดไปตั้งค่ายรอที่เขาสุวรรณบรรพตเรียบร้อยแล้ว และทรงแบ่งกองทัพทั้งหมอออกเป็น ๓ ส่วนโอบล้อมเทือกเขา เมื่อกองทัพฝ่ายรามบุรีล่าถอยมาถึง กองทัพฝ่ายโกสัมพีได้ตามติดเพื่อไล่ขยี้อย่างเมามันจนกระทั่งเข้ามาตกในวง ล้อมฝ่ายละโว้ ด้วยเหตุนั้นทัพหน้าของโกสัมพีทั้งหมดจึงถูกโจมตีย่อยยับภายในเวลาอันรวด เร็ว รี้พลมากมายต้องสูญเสียไปในสมรภูมินี้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน ที่สุดทัพหลวงของทั้งสองฝ่ายก็เข้าห้ำหั่นกัน กองทัพละโว้และพันธมิตรสามารถยันทัพฝ่ายโกสัมพีได้อย่างเหนียวแน่น และได้รับความเสียหายมากมายด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระนางจามเทวีจึงได้ส่งพระราชสาส์นถวายเจ้าชายโกสัมพีว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่เจ้าพี่ สงครามครั้งนี้เหตุเกิดจากเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้าพี่กับหม่อมฉัน มิควรที่จะให้ชีวิตทวยราษฏร์ทั้งหลายต้องมาล้มตาย จะเป็นที่ครหาแก่หมู่เทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลายเปล่าๆ ขอเชิญเจ้าพี่แต่ทหารมาทำการสู้รบกันตัวต่อตัว ให้เป็นขวัญตาแก่ไพร่ฟ้าเข้าแผ่นดินเถิด”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] จอม ทัพแห่งโกสัมพีเมื่อประจักษ์ความจริงจากราชสาส์นนั้นว่าหญิงที่ตนหลงรักกลาย เป็นผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องมาประหัตประหารกัน ก็ทรงวิตกไปหลายประการ พระองค์ไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องมาสัประยุทธ์กับเจ้าหญิงโฉมงามที่พระองค์หมาย ปอง และยังเป็นเจ้าหญิงพระองค์เดียวกับที่วางแผนการอันชาญฉลาดที่ทำให้กองทัพของ พระองค์ต้องประสบความพินาศย่อยยับถึงเพียงนี้ อีกทั้งพระองค์ยังเคยทรงทราบมาว่า เจ้าหญิงทรงเป็นศิษย์พระฤๅษีคาถาอาคมก็คงจะเชี่ยวชาญ มิฉะนั้นไหนเลยจะมาเป็นแม่ทัพ สถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้พระองค์ไม่อาจตัดสินพระทัยอย่างไรได้ ต่อจากนั้นอีก ๒ วัน กองทัพทั้งสองจึงหยุดการสู้รบในรูปแบบของการระดมกำลังทหารทั้งหมด แล้วเปลี่ยนเป็นจัดขุนศึกของแต่ละฝ่ายออกสู้รบกันตัวต่อตัวแทน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ล่วง ไปได้ ๖ วันในการทำสงครามนี้ บรรดากษัตริย์และทวยทหารทั้งสองฝ่ายต้องเอาชีวิตไปทิ้งเป็นอันมาก โดยเฉพาะที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดคือ กองทัพฝ่ายโกสัมพี เพราะเสียขุนศึกที่เป็นเจ้านายประเทศพันธมิตรไป ๒ พระองค์ ในขณะที่ขุนศึกพันธมิตรของละโว้สิ้นพระชนม์ไปเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ลุ วันที่ ๗ ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน เพื่อผลแพ้ชนะที่เด็ดขาด ท่ามกลางสายตาของทหารหาญทั้งหลาย เจ้าชายแห่งโกสัมพีถึงแก่ทรงตกตะลึง เมื่อเจ้าหญิงจามเทวีผู้ทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรีใดที่พระองค์ทรงเคย ทอดพระเนตรมาก่อนปรากฏพระองค์ในชุดขุนศึกฝ่ายละโว้อันงดงามวิจิตรแพรวพราย พร้อมด้วยพระแสงอาญาสิทธิ์เลอค่าที่ได้รับพระราชทานมาจากพระบิดา เจ้าหญิงผู้เลอโฉมทอดพระเนตรเห็นอีกฝ่ายตกตะลึงอยู่เช่นนั้น จึงตรัส[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] “เจ้าพี่จะมัวยืนเหม่ออยู่ด้วยเหตุอันใดเล่า หม่อมฉันขอเชิญเจ้าพี่มาประลองฝีมือกัน อย่าให้ทหารทั้งหลายต้องพลอยยากลำบากด้วยเราต่อไปอีกเลย”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เจ้า ชายแห่งโกสัมพีได้สดับเช่นนั้นพระสติจึงกลับคืนมา ทรงมีรับสั่งย้อมถามทันทีว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“การศึกครั้งนี้ใยพระนาง ต้องทำพระวรกายมาให้เปรอะเปื้อนโลหิตอันมิบังควรสำหรับสตรีเพศ หรือละโว้นั้นจะสิ้นแล้วซึ่งชายชาตรี”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“อันละโว้จะสิ้นชายชาตรีนั้นหามิได้” เจ้า หญิงทรงมีพระดำรัสตอบ “ แต่หม่อมฉันเป็นราชธิดาแห่งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ เป็นเอกธิดาภายใต้เศวตฉัตร อันบุรุษมีใจสตรีก็มีใจ ผิว่าหม่อมฉันพลาดพลั้งเจ้าพี่ก็เอาชีวิตหม่อมฉันไปเถิด หากเจ้าพี่พลาดพลั้งก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่หม่อมฉัน”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] เจ้า ชายโกสัมพีทรงเห็นความหาญกล้าของพระนางเช่นนั้น ก็ยังไม่ทรงตัดสินพระทัยจะประลองฝีมือกันโดยทันที และเนื่องจากเห็นว่าเวลาใกล้เที่ยงวันด้วย จึงทรงมีรับสั่งว่าขอเชิญน้องหญิงและไพล่พลพักเหนื่อยกันก่อนเถิด พอบ่ายอ่อนเราจึงค่อยมาสู้กั้น พระนางก็ทรงเห็นชอบด้วย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] และ แล้ว เมื่อเวลาที่จะต้องสู้รบกันจริงๆ มาถึง เจ้าชายแห่งโกสัมพีจึงได้ทรงประจักษ์แก่พระองค์เองอีกคำรบหนึ่งว่า เจ้าหญิงแห่งลวปุระที่พระองค์หมายปองนี้ไม่เพียงแต่จะทรงมีพระสิริโฉมงดงาม และทรงพระปรีชาเยี่ยมยอดในการวางแผนการรบเท่านั้น พระนางเธอยังทรงมีวิชาเพลงดาบที่เหนือกว่าพระองค์อีกด้วย ในที่สุดหลังจากการดวลดาบกันตัวต่อคัว เจ้าชายทรงเพลี่ยงพล้ำถูกนางจามเทวีฟันพระกรได้รับบาดเจ็บ ผลแพ้ชนะก็ปรากฏแก่ตาเหล่าทหารทั้งหลาย และด้วยเหตุนั้นเองทหารฝ่ายโกสัมพีทั้งปวงเกิดแตกตื่นพากั้นถอยทัพ ทหารละโว้ก็ติดตามตีซ้ำ ยังความเสียหายย่อยยับแก่กองทัพผู้รุกรานเป็นอันมาก เจ้าชายแห่งโกสัมพีทรงอับอายและเสียพระทัยเกินกว่าจะทรงยอมรับความพ่ายแพ้ ครั้งนี้ ได้ปลงพระชนม์พระองค์เองเสียในที่รบ กองทัพโกสัมพีที่เหลือก็เสียขวัญแตกพ่ายถูกจับเป็นเชลยจำนวนมาก[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ชัย ชนะในการสงครามนี้นำมาซึ่งความชื่นชมยินดีแก่พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสี ตลอดจนบรรดาเสนาอำมาตย์ ทหารและประชาชนชาวละโว้เป็นอันมาก เมื่อพระธิดาแห่งกรุงลวปุระทรงนำกองทัพกลับถึงพระนครจึงได้มีการเฉลิมฉลอง อย่างยิ่งใหญ่ ตามตำนานว่าอยู่ในช่วงสามเดือน ปีพุทธศักราช ๑๑๙๖[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่ เจ้าหญิงจามเทวีนั้น มิได้ทรงปิติยินดีในชัยชนะที่ทรงได้รับเลย แม้จะทรงได้รับการสรรเสริญจากราชสำนักรวมทั้งประชาชน ตลอดจนกษัตริย์ผู้ครองนครที่เป็นพันธมิตรตลอดไปจนถึงประเทศราชและอาณาจักร อื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป จนชื่อเสียงของพระนางขจรขจายไปทั่ว พระนางยังทรงระลึกถึงภาพอันสยดสยองของเหล่ากษัตริย์และทหารทั้งสองฝ่ายที่ ต้องล้มตายเพราะพระนางเป็นต้นเหตุ จึงทรงมีรับสั่งให้สร้างศาลาเป็นจำนวนเท่ากับกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ในครั้ง นี้ ทรงสร้างวัดขึ้นในพื้นที่อันเป็นสมรภูมิรบนั้นด้วยวัดหนึ่งและเปลี่ยนชื่อ สุวรรณบรรพตเสียใหม่ว่า [/FONT][FONT=&quot]“วังเจ้า” เพราะเหตุที่กษัตริย์และเจ้านายทั้งหลายมาสิ้นพระชนม์ที่นี่จำนวนมากนั่นเอง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ส่วน พระศพของเจ้าชายแห่งโกสัมพีนั้น พระนางได้ทรงนำปรอทจากสุวรรณบรรพตมากรอกพระศพ ทำการตกแต่งให้สมพระเกียรติก่อนที่จะตั้งพระศพบำเพ็ญกุศลไว้ระยะหนึ่งแล้ว จึงถวายพระเพลิงร่วมกับกษัตริย์และเจ้านายพระองค์อื่น หลังจากนั้นทรงจัดให้มีพิธีสงฆ์เพื่อบำเพ็ญกุศลแก่ดวงพระวิญญาณและทหารที่ เสียชีวิตอีกครั้ง พระอัฐิก็โปรดฯให้อัญเชิญกลับไปยังโกสัมพีและนครที่มาช่วยโกสัมพีรบ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ภาย หลังพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้น พระเจ้ากรุงละโว้จึงทรงจัดพระราชพิธีสยุมพรพระธิดาของพระองค์กับเจ้าชาย<st1>โ</st1>ดยจัดอย่างยิ่งใหญ่ครบครันตามราชประเพณีโบราณทุกประการ ตำนานว่าวันประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสนั้นตรงกับวันข้างขึ้น เดือน ๖ ปีขาล หรือพุทธศักราช ๑๑๙๘ จากนั้นองค์ขัตติยนารีแห่งละโว้เสด็จไปเมืองรามบุรีกับพระสวามีเพื่อปรับ ปรุงสภาพภายในเมืองเสียใหม่พร้อมทั้งวางแผนราชการงานเมืองให้เป็นปึกแผ่น จะเห็นว่าเจ้าหญิงจามเทวีได้ทรงแสดงให้เห็นพระปรีชาญาณอันเหมาะสมแก่การที่ จะต้องทรงเป็นจอมกษัตริย์ต่อไปในกาลข้างหน้าตั้งแต่ยังดำรงพระยศเป็นพระธิดา แห่งเจ้ากรุงละโว้เท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]<o>></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ตำนานพื้นเมืองบางฉบับว่า ภายหลังราชพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระเจ้ากรุงลวปุระทรงมอบเวนราชสมบัติให้เจ้าชายรามราชขึ้นครองนครลวปุระต่อ ไป แต่ข้อนี้ตำนานอื่นไม่มี[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    สุเทวฤๅษีสร้างนครหริภุญไชย[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ณ ดินแดนทางภาคเหนือซึ่งเป็นถิ่นประสูติของเจ้าหญิงจามเทวีนั้น เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองมิคสังคร ซึ่งท่านสุเทวฤๅษีได้สร้างไว้ให้โอรสธิดาของท่าน ซึ่งบังเกิดจากนางเนื้อที่ได้มาดูดกินน้ำมูตรของท่านฤๅษีที่มีอสุจิปนอยู่ เข้าไป รวมกับผู้บังเกิดอย่างอัศจรรย์ในรอยเท้าสัตว์ ๓ ชนิด คือ ช้าง แรด และวัว หรือ โคลานซึ่งท่านฤๅษีไปพบเข้าภายหลังลงจากดอยสุเทพ เจ้าผู้ครองมิคสังครองค์แรกนี้มีพระนามว่า กุนรฤษี โดยมีพระชายาเป็นพี่น้องกันคือ มิคุปปัตติ ทั้งสองพระองค์ได้ครองนครโดยตั้งอยู่ในโอวาทของพระสุเทวฤๅษีได้ ๗๗ ปี มีโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้ากุนริกนาสหรือกุนริสิคนาส เจ้ากุนริกทังษะ และเจ้ากุนริกโรส พระธิดาอีก ๑ องค์ ชื่อเจ้าปทุมาเทวี ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้สร้างเมืองให้พระโอรสทั้ง ๓ ปกครององค์ละเมือง เมื่อพระเจ้ากุนรฤษีสวรรคต เจ้ากุนริกนาสจึงเสด็จกลับไปครองเมืองมิคสังคร แล้วกลับไปครองเมืองรันนปุระที่ท่านฤๅษีสร่างไง้ให้แต่เดิมอีก บางตำนานก็ว่าท่านฤๅษีเนรมิตเมืองใหม่ให้อีกเมืองหนึ่งให้เจ้ากุนริกนาสละ จากเมืองมิคสังครไปปกครอง ชื่อรมยนคร เพราะท่านฤๅษีเกิดเห็นว่าเมืองมิคสังครเป็นที่ไม่สมควร[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]รม ยนครแห่งนี้ต่อมาได้ประสบภัยพิบัติ เนื่องจากเจ้าครองนครเป็นผู้ปราศจากทศพิธราชธรรม ไม่เอาใจใส่ในความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ คือ เกิดมีคดีลูกตบตีมารดาของตน เมื่อมารดาเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าครองนคร กลับได้รับกาตัดสินว่าการใดๆ ที่ลูกกระทำไปเป็นการถูกต้องแล้ว ซ้ำลงโทษให้ไล่ผู้เป็นแม่นั้นไปจากเมืองอีกด้วย หญิงนั้นจึงได้ร้องไห้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังผลให้เทวะทั้งหลายพิโรธ บันดาลให้เกิดอาเพศและภยันตรายต่างๆ ผู้คนในเมืองนั้นได้รับความเดือดร้อน จนในที่สุดบรรดาผู้มีศีลธรรมได้พากันอพยพไปเสียจากเมือง เทวดาทั้งหลายจึงบันดาลให้มหาอุทกท่วมนครนั้นล่มจมไปหมดสิ้น กล่าวกันว่าที่ที่เคยเป็นเมืองรมยนครนั้นมีชื่อปรากฏภายหลังว่า หนองมอญ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่าน สุเทวฤๅษีเฝ้ามองความเป็นไปต่างๆ ด้วยความสลดใจ และเห็นว่าบรรดาผู้มีศีลธรรมจากนครเหล่านั้นยังคงพากันเร่ร่อนอยู่ จึงได้เชิญฤๅษีพี่น้องของท่านคือ ท่านสุกทันตฤๅษีที่ละโว้ ท่านสุพรหมฤๅษีที่สุภบรรพต รวมทั้งเหล่าฤๅษีผู้มีตบะแก่กล้าอื่นๆ มาประชุมกันและช่วยกันสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ โดยให้นกหัสดีลิงก์นำหอยสังข์ขนาดใหญ่จากมหาสมุทรมาเป็นแบบ แล้วใช้ไม้ขีดแผ่นดินเป็นวงไปตามสัณฐานของเปลือกหอยสังข์นั้น วงขอบปากหอยก็เกิดเป็นคูน้ำคันดินขึ้น พระดาบสทั้งสองจึงประกาศไล่รุกขเทวดาทั้งหลายภายในเขตเมืองใหม่ให้ออกไปอยู่ ที่อื่น ยังแต่รุกขเทวดาอนาถาองค์หนึ่งทุพพลภาพไม่สามารถจะย้ายไปจากที่นั่นได้ จึงขออาศัยอยู่ที่เดิมต่อไปจนกว่าจะจุติ ท่านฤๅษีทั้งสองก็อนุญาตและสถานที่ซึ่งรุกขเทวดาเฒ่านั้นอาศัยเป็นเนินดิน พูนสูงกว่าที่อื่น นครนี้จึงมีชื่อเรียกต่อมาว่า ลำพูน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ตำนานระบุว่าเวลาสร้างเมืองนั้นตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล พ.ศ. ๑๑๙๘ ใช้เวลาสร้าง ๒ ปี สัณฐานนครเมื่อแรกสร้างมีปริมณฑลโดยรอบได้ ๒๒๕๐ วา หรือ ๑๒๗ เส้นกับ ๑๐ วา พระฤๅษีทั้งสองได้ประกอบสัมภาระสำหรับนครแห่งใหม่พร้อมด้วยป้อมปราการ ประตูเมือง หอรบทั้งปวง อีกทั้งพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน อุทยานหลวงและสถานที่ต่างๆ ทั้งท้องพระคลังครบถ้วน เมื่อสำเร็จแล้วท่านฤๅษีทั้งสองได้ปรึกษากันว่าเมืองใหม่แห่งนี้งดงามนัก ใครหนอที่จะสมควรมาครองราชย์สมบัติในเมืองนี้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่าน สุกทันตฤๅษีจึงแนะว่า [/FONT][FONT=&quot]“สมเด็จพระเจ้ากรุงละโว้ทรงมีราช ธิดาคือ พระนางจามเทวี เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถฉลาดรอบรู้สรรพกิจขัตติยราชประเพณี มีมารยาทและพระอัธยาศัยเสงี่ยมงามพร้อมมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอ่อนน้อมตั้งอยู่ ในศีลสัตย์ยุติธรรม สมควรจะเป็นเจ้าเป็นใหญ่ปกครองพสกนิกรในนครนี้ได้ ควรเราไปทูลขอราชบุตรีนี้จากพระเจ้ากรุงละโว้มาปกครองนครนี้เถิด”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านสุเทวฤๅษีเห็นชอบด้วย จึงได้แต่งทูตผู้หนึ่ง ซื่อนายควิยะเชิญศุภอักษรและเครื่องราชบรรณาการและบริวารอีก ๕๐๐ คน รวมทั้งท่านสุกทันตฤๅษีลงเรืองล่องไปตามแม่น้ำปิงไปยังกรุงละโว้ กราบบังคมทูลขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเสวยราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งเมืองที่สร้าง ขึ้นใหม่โดยไม่ช้า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจามเทวีเสด็จไปหริภุญไชย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>เมื่อคณะท่านสุกทันตฤๅษีและนายควิ ยะถึงเมืองละโว้ พระบิดาของเจ้าหญิงจามเทวีได้จัดให้ทั้งหมดพำนักอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง วันต่อมาทั้งหมดจึงได้เข้าเฝ้า ณ พระราชวังแห่งลวปุระ ท่านสุกทันตฤๅษีได้ถวายพระพรว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ในวันนี้ตูทั้งหลาย ชื่อดังนี้น้อมนำมายังบรรณาการของฝากอันท่านสุเทวฤๅษีมาถวายมหาราชเจ้า และท่านสุเทวฤๅษีตนนี้เป็นสหายด้วยเราแท้จริง เธอชวนเราไปช่วยสร้างพระนครอันหนึ่งหนน้ำขุนโพ้น พระนครอันนั้นก็สำเร็จบริบูรณ์เรียบร้อยทุกประการแล้ว บัดนี้สุเทวฤๅษีมีความปรารถนาอยากจะใคร่ได้เชื้อชาติท้าวพระยาที่อื่นที่ ประกอบไปด้วยศีลและปัญญา ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมไปเสวยราชสมบัติในพระนครที่นั้น อำมาตย์จึงได้แนะนำว่า เชื้อชาติท้าวพระยาผู้ดีหาไม่มีในที่แห่งอื่น แต่รู้ข่าวว่าพระราชธิดาของมหาราชเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่านางจามเทวี ถ้าเราได้พระนางมาเสวยราชสมบัติเป็นนางพระยาในพระนครนี้จะสมควรยิ่งนัก<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] เหตุ ดังนี้ ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ให้นายควิยะพร้อมด้วยบริวารมีประมาณ ๕๐๐ คน น้อมนำมายังเครื่องบรรณาการของฝากกับด้วยตัวเรา ให้นำทูลถวายมหาราชเจ้า เพื่อให้เราทูลขอพระนางจามเทวีราชธิดาของพระองค์ไปเสวยราชสมบัติเป็นนาง พระยาในนครนั้นด้วย ขอมหาราชเจ้าได้ทรงพระเมตตา โปรดประทานพระอนุญาตให้พระนางได้ไปเสวยราชสมบัติในพระนครนั้นด้วย[/FONT][FONT=&quot]”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ เจ้ากรุงละโว้เมื่อทรงสดับข่าวอันเป็นมหามงคลเช่นนั้น จึงทรงมีพระดำรัสตอบว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่เจ้าฤๅษี เราจะตอบในบัดเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ จะต้องไต่ถามลูกเขาดูเสียก่อน เหตุว่าข่าวสาส์นอันพระสุเทวะให้มาถึงเรานั้นยากนักหนา ถ้าหากเราให้เขาไป เขาพอใจไปก็ดีอยู่ ถ้าเขาไม่พอใจจะไป เราจะบังคับให้เขาไปนั้นเป็นไปไม่ได้”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] จาก นั้นจึงทรงมีรับสั่งให้อำมาตย์นำข้อความที่ท่านสุกทันตฤๅษีกราบทูลนั้นไปทูล เจ้าหญิงจามเทวี เมื่อพระนางสดับแล้ว ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีทุกอย่าง จึงได้กราบทูลพระบิดาว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] “ข้าแต่พระบิดาเจ้า หม่อมฉันขอกราบทูลใต้เบื้องบาทพระบิดาเป็นเจ้า เมื่อพระบิดาทรงมีพระประสงค์จะให้หม่อมฉันไปเสวยราชสมบัติในพระนครหนขุนน้ำ โพ้น หม่อมฉันขอรับพระราชทานไปตามพระประสงค์พระบิดาทุกประการ ถ้าหากว่าพระบิดาไม่พอพระทัยในการไปเช่นนั้น หม่อมฉันก็ไม่สามารถจะล่วงพระอาญาพระบิดาไปได้”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] พระ เจ้ากรุงละโว้ทรงสดับเช่นนั้นแล้ว จึงทรงมีพระดำรัสแก่พระธิดาว่า [/FONT][FONT=&quot]“ข่าวสารอันเจ้าฤๅษีผู้ประกอบไปด้วยฤทธานุภาพให้มาถึงเรา ๒ พ่อลูกนี้เป็นอันประเสริฐยิ่งนัก บัดนี้พ่อจักให้เจ้าไปเสวยราชสมบัติเป็นนางพระยาหนขุนน้ำตามคำพ่อเจ้าฤๅษีขอ มานั้นแท้จริง”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] พระ นางจึงทรงได้รับพระราชทานพระราชนุญาตที่จะเสด็จออกจากละโว้ แม้ว่าขณะนั้นพระนางจะทรงพระครรภ์ได้ ๓ เดือนแล้ว ตำนานมูลศาสนากล่าวว่าส่วนพระสวามีนั้น พระเจ้ากรุงละโว้ก็ทรงตั้งให้เป็นที่อุปราชครองเมืองรามบุรี และเพราะว่าเวลานั้นเจ้าหญิงจามเทวีทรงพระครรภ์อยู่ พระเจ้ากรุงละโว้จึงทรงมีพระราชโองการให้เจ้าชายรามราชเข้าเฝ้า ว่าการที่ท่านสุเทวฤๅษีส่งทูตมาขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเป็นนางพระยา พ่อก็มีความปรารถนาอยากจะให้ไปนี้แหละ เจ้าจงอยู่เป็นอุปราชากับพ่อ หากมีความพอใจในหญิงใดพ่อจะจัดให้ตามความประสงค์ทุกประการ เจ้าชายรามราชจึงกราบทูลว่าขุนน้ำโพ้นไกลนักหนาทีเดียว ผิว่าตามใจของพระองค์แล้วพระองค์ก็ไม่อยากจะให้พระนางจากไป จึงแม้เช่นนั้นพระองค์ก็เห็นดีในพระประสงค์พระเจ้ากรุงละโว้ทุกอย่าง ทูลแล้วเสด็จกลับวัง และแก่เจ้าหญิงจามเทวีว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“น้องรัก บัดนี้พระราชบิดาเราพระองค์มีพระประสงค์จะให้น้องไปเป็นนางพระยาในพระนครขุน น้ำโพ้น พระองค์ตรัสดังนี้ พระน้องเจ้าจงไปเป็นนางพระยา เสวยราชสมบัติให้ชอบในทศพิธราชธรรมเถิด ความสวัสดีจงมีแก่พระน้องนางเทอญ”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เจ้า หญิงจามเทวีก็กราบไหว้พระสวามี แล้วทูลตอบว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“สาธุ ข้าแต่พระองค์ผู้มีบุญ หม่อมฉันจักได้อำลาพระบาทพลัดพรากไปไกลครั้งนี้ ขอพระราชสามีเป็นเจ้าแห่งหม่อมฉันนี้จงได้อยู่เป็นอุปราชากับด้วยพระราชบิดา ของหม่อมฉัน ตามจารีตประเพณีอันเป็นคลองแห่งอุปราชาอันดีมาแต่ก่อน ให้เหมือนดังเมื่อเราทั้งสองยังอยู่พร้อมเพรียงกันนั้นทุกประการเทอญ”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่ ในจามเทวีวงศ์กล่าวว่าเจ้าชายรามราชออกบวชเสียในขณะนั้น เจ้าหญิงจามเทวีจึงทรงอยู่ในฐานะไร้พระสวามี ทางลำพูนจึงได้ส่งสาส์นมาทูลขอดังกล่าว ตำนานพื้นบ้านว่าเจ้าหญิงจามเทวีทรงรับที่จะครองเมืองลำพูนเพราะว่าเมือง ลำพูนเวลานั้นราษฎรเดือดร้อนด้วยขาดผู้นำ และพระนางก็ระลึกถึงพระคุณท่านสุเทวฤๅษีที่เคยชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]และ ด้วยเหตุนั้น จึงมีพระราชโองการอภิเษกเจ้าหญิงจามเทวีขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยเฉลิมพระนามใหม่ดังปรากฏไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า พระนางเจ้าจามเทวี บรมราชนารีศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญไชย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จาก นั้นได้พระราชทานพระราชทรัพย์ ข้าราชบริพารตามเสด็จจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์ พราหมณ์ ผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาต่างๆ ตามคำกราบบังคมทูลของพระนางจามเทวีสำหรับที่จะไปสร้างบ้านเมืองแห่งใหม่นั้น ให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น หมู่คนทั้งหลายที่พระนางจามเทวีทูลขอนั้น และได้รับพระราชทานอย่างครบถ้วนนั้นได้แก่[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]1. พระ มหาเถระที่ทรงปิฎก ๕๐๐ รูป<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]2. หมู่ ปะขาวทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในเบญจศีล ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]3. บัณฑิต ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]4. หมู่ช่างแกะสลัก ๕๐๐ คน[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]5. ช่างแก้วแหวน ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]6. พ่อ เลี้ยง ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]7. แม่ เลี้ยง ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]8. หมู่ หมอโหรา ๕๐๐ คน[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]9. หมอ ยา ๕๐๐ คน[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]10. ช่างเงิน ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]11. ช่าง ทอง ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]12. ช่างเหล็ก ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]13. ช่าง เขียน ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]14. หมู่ช่างทั้งหลาย ต่างๆ ๕๐๐ คน (คือช่างโยธา) ๕๐๐ คน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] บรรดา พสกนิกรไพร่ฟ้าชาวละโว้ที่ทราบข่าวและพากันมารอฟังข้อตกลงอยู่ภายนอก พระราชวังอย่างล้นหลามต่างก็อนุโมทนาในการตัดสินพระทัยของพระนาง แม้จะมีความอาลัยรักในเจ้าหญิงผู้ทรงบุญญานุภาพของพวกเขาเหลือที่จะพรรณนา ได้ เวลาต่อมาพระนางจามเทวีก็กราบบังคมทูลลาพระเจ้ากรุงละโว้ พระมเหสี พระสวามี และพระญาติพระวงศ์ ต่างก็โศกากันแสงสั่งซึ่งกันและกัน ครั้นคลายความเศร้าแล้ว จึงเสด็จพร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงทั้งสองพระองค์นำผู้คนและทรัพย์สมบัติทั้งหมด ออกจากนครลวปุระท่ามกลางความอาลัยรักของประชาชนที่มาเฝ้าส่งเสด็จจากพระนคร ไปครั้งนี้จะเป็นการจากไปชั่วนิรันดร์ จะไม่มีชาวละโว้คนใดได้เห็นเจ้าหญิงผู้งดงามของเขาอีก[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ตาม ตำนานว่า พระนางจามเทวีและข้าราชบริพารทั้งหมดได้เดินทางโดยกระบวนเรือขึ้นไปตามลำน้ำ มุ่งสู่ดินแดนล้านนา และสิ่งสำคัญ ๒ สิ่ง ซึ่งพระนางได้นำไปด้วย คือ พระแก้วขาว ซึ่งว่ากันว่าเป็นองค์เดียวกับที่ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่เวลานี้องค์หนึ่ง กับ พระรอดหลวง ซึ่งประดิษฐานที่วัดมหาวัน จ.ลำพูนอีกองค์หนึ่ง บางตำนานว่าระหว่างที่ยังมิได้เสด็จถึงนครลำพูนนั้น พระนางได้ทรงศีลและฉลองพระองค์ขาวโดยตลอด[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จาก เรื่องในตำนาน เส้นทางที่เสด็จโดยชลมารคนั้นเกินระยะเวลายาวนานกว่า ๗ เดือน โดยได้หยุดพัก ณ ตำบลต่างๆ ตายรายทาง ได้แก่[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง บางประบาง ว่ากันว่าจะเป็นปากบางหมื่นหาญ ใกล้ปากน้ำพุทราเวลานี้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง คันธิกะ ว่ากันว่าจะเป็นนครสวรรค์<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง บุราณะ ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเมืองอะไรในปัจจุบัน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง เทพบุรี ปัจจุบันคือ บ้านโดน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง บางพล ปัจจุบันอยู่ใน จ.กำแพงเพชร<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง รากเสียด คือ เกาะรากเสียดเวลานี้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· หาด แห่งหนึ่ง เกิดน้ำรั่วเข้าเรือพระที่นั่ง จึงเรียกกันต่อมาว่า หาดเชียงเรือ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· ตำบลหนึ่ง พระนางจามเทวีทรงมีรับสั่งให้พระพี่เลี้ยงและข้าราชบริพารนำสิ่งของทั้งหลาย อันเปียกชุ่มน้ำขึ้นตาก จึงเรียกสถานที่นี้ต่อมาว่า บ้านตาก<o></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· ตำบล หนึ่ง เป็นที่รวมน้ำแม่วังต่อกับแม่ระมิงค์ รี้พลทั้งหลายพากันง่วงเหงาอยู่ พระนางเองก็ดูเหงาๆ ไป จึงได้เรียกต่อมาว่า จามเหงา หรือ ยามเหงา ครั้นต่อมาจึงเพี้ยนเป็นสามเงาในทุกวันนี้ ตำนานว่าพระนางโปรดให้สร้างวัดขึ้นแห่งหนึ่ง ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระสาวกให้คนทั้งหลายสักการบูชาสรณาคมน์ ที่นั้นจึงได้ชื่อเวลาต่อมาว่า พุทธสมาคม<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· ตำบล หนึ่ง มีแก่งน้ำมีหน้าผาชะโงกเงื้อมลงปรกแม่น้ำ ที่นั่นนางกำนัลคนหนึ่งเสียชีวิต พระนางจามเทวีจึงพระราชทานเพลิงศพและฝั่งอัฐิไว้ ต่อมาพระนางเสด็จลงสรง ทรงเสี่ยงสัตยาธิฐานว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าน้อยจักนำพระศาสนาและราช ประเพณีไปประดิษฐานยังแว่นแคว้นลำพูนในครั้งนี้ หากเจริญรุ่งเรืองดังมโนรถอันมุ่งหมาย ขอเทพยดาจงดลบันดาลให้มีน้ำไหลหลั่งลงมาจากเงื้อมผานี้ให้ข้าน้อยได้สรง สรีระในกาลบัดนี้เถิด พอสิ้นคำอธิษฐาน ก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์มีอุทกธาราโปรยปรายหลั่งไหลตกลงมาจากเงื้อมผานั้นให้ พระนางได้สรงสนานเป็นที่สำราญพระหฤทัย สถานที่นั้นจึงได้ปรากฏชื่อต่อมาว่า ผาอาบนาง ยังมีน้ำตกโปรยจากผาลงมาในลำน้ำจนถึงทุกวันนี้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· ตำบล หนึ่ง ปรากฏว่ามีผาตั้งขวางทางน้ำอยู่ ไม่เห็นช่องที่เรือจะผ่านไปได้ พระนางจามเทวีจึงทรงมีรับสั่งให้คนไปสำรวจพบช่องทางน้ำเลี้ยวพันหน้าผานั้น อยู่อีกด้านหนึ่ง จึงเคลื่อนกระบวนเรือไปถึงบริเวณหน้าผา ณ ที่นั่น พระนางโปรดฯ ให้ช่างเขียนทำรูปช้างแปรหน้าคืนไว้ สถานที่นั้นจึงมีนามปรากฏต่อมาว่า ผาแต้มบ้าง ผาม่านบ้าง เพราะเหตุว่ารูปทรงของหน้าผาเหมือนผ้าม่านขึงขวางลำน้ำไว้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· เมือง ร้างแห่งหนึ่ง ที่นี่พระนางจามเทวีทรงให้หยุดกระบวนเรือพักแรม ปรากฏว่ามีเต่าจำนวนมากมายมารบกวนคน สถานที่นั้นจึงเรียกว่า ดอยเต่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· ตำบล หนึ่ง มีชื่อว่า บ้านโทรคาม เป็นรมณียสถานอันพอพระทัยนัก พระนางโปรดฯ ให้พักแรมอยู่ ณ ที่นี้ และทรงสร้างพระสถูปขึ้นพระองค์หนึ่ง ประทานพระนามว่า วิปะสิทธิเจดีย์ เมื่อสร้างเสร็จได้มีพิธีฉลองและกระทำการสักการบูชาเป็นอันมาก<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]· ท่า เชียงทอง มีชาวบ้านหญิงชายพากันออกมาคอยรับเสด็จจำนวนมาก พระนางจึงทรงมีรับสั่งให้พระนางกำนัลผู้หนึ่งถามคนทั้งหลายนั้นว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ดูกร ชาวพ่อชาวแม่ทั้งหลาย แต่นี้ถึงเมืองลำพูน ยังประมาณมากน้อยเท่าไร” คนเหล่านั้นตอบว่า “ข้าแต่มหาราชเทวีเป็นเจ้า แต่นี้ถึงเมืองลำพูนนั้น ข้าทั้งหลายได้ยินมาว่าหนึ่งโยชน์แล”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วย เหตุดังกล่าว สถานที่นี้จึงได้ชื่อต่อมาว่า เมืองฮอด และได้มีการหยุดประทับแรมกันเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่าเชียงทองนั้นเอง พระนางจามเทวีทรงมีพระดำริว่าแม้จะใกล้ชานเมืองลำพูนแล้ว แต่ก็ควรจะหยุดพักกระบวนเรือและตั้งเวียงเล็กขึ้นบริเวณนอกเมืองเสียก่อน ไม่ควรรีบร้อนเข้าไปในเมือง จากนั้นทรงปรึกษากับข้าราชบริพารทั้งหลายเพื่อกำหนดสถานที่ตั้งค่ายประทับ แรม โหราจารย์ได้ถวายความเห็นให้ทรงเสี่ยงธนูดูตามประเพณีที่มีมาแต่ก่อน จึงโปรดฯ ให้กระทำดังนั้น ปรากฏว่านายขมังธนูน้าวคันศรส่งลูกธนูไปทางทิศเหนือด้วยกำลังแรง ลูกธนูไปตกอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งเป็นชัยภูมิอันเหมาะสม พระสงฆ์ทั้งหลายจึงเจริญพระพรว่าพระนางควรจะหยั่งรากพระศาสนาลง ณ ที่นั้นเป็นเบื้องแรก พระนางจึงโปรดฯ ให้ก่อพระอารามขึ้น พร้อมด้วยพระมหาเจดีย์ยังจุดที่ลูกธนูตก และยังโปรดฯ ให้หล่อพระพุทธรูปเท่าพระองค์บรรจุพระบรมธาตุประดิษฐานไว้ในพระอารามตามที่ บรรดาพระเถระทั้ง ๕๐๐ ได้ถวายพระพร พระมหาเจดีย์นั้นปัจจุบันอยู่ในวัดละโว้ ส่วนพระพุทธรูปนั้นต่อมาก็มีปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ คนทั้งหลายจึงเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“พระยา” มา จนทุกวันนี้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]นอกจากพระพุทธรูปซึ่งพระนางโปรดฯ ให้สร้างเท่าพระองค์สำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุนั้นแล้ว บรรดาเสนามหาอำมาตย์ที่ตามเสด็จ เป็นต้นว่าพระยาแขนเหล็ก และพระยาบ่เพกก็โดยเสด็จพระราชกุศลสร้างพระพุทธรูปด้วยคนละองค์สององค์ พระพุทธรูปทั้งหลายจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองเหนือตั้งแต่นั้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จาก นั้น พระนางจามเทวีจึงทรงสถาปนาเวียงเล็กขึ้น ประกอบด้วยพระราชนิเวศน์เรือนหลวงสำหรับเสด็จประทับรวมทั้งที่พักคณะผู้ ติดตามทั้งหมด พระนางและปวงเสนาประชาราษฏร์ที่ตามเสด็จต่างอาศัยอยู่ในเวียงเล็กนั้นด้วย ความสุขสบาย สถานที่ดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า รมย์คาม และคนทั้งหลายเรียกกั้นสืบมาว่า บ้านระมัก จากนั้นท่านสุกทันตฤๅษีและนายควิยะได้เดินทางล่วงหน้าต่อไปยังเมืองลำพูน เพื่อแจ้งข่าวการเสด็จมาถึง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านสุเทวฤๅษีรวมทั้งไพร่บ้าน พลเมืองทั้งหลายพอทราบข่าวก็พากันตกแต่งพลับพลารับเสด็จไว้ทางทิศตะวันออก ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยเสด็จประทับตรัสพุทธพยากรณ์มาแต่ก่อน และสองข้างถนนที่จะเสด็จพระดำเนินด้วยราชวัตรฉัตรธงบุปผชาติต่างๆ จากนั้นท่านสุเทวฤๅษีจึงนำชาวเมืองเชิญเครื่องบูชาสักการะอย่างเต็มอัตราไป เฝ้าเตรียมรับเสด็จตั้งแต่ชานเมืองด้วยความปิติอย่างยิ่ง ไม่ช้ากระบวนเสด็จของพระนางจามเทวีก็มาถึงโดยสถลมารค พระนางเมื่อทอดพระเนตรเห็นท่านสุเทวฤๅษีซึ่งเปรียบเสมือนบิดาก็ตื้นตัน พระทัยเสด็จออกจากราชยานมากราบ พระฤๅษีทั้งสองได้กราบบังคมทูลขอให้พระนางสละเพศนักพรตกลับเป็นกษัตริย์และ ขอให้ทรงเสวยราชย์ยังพระนครแห่งนี้ จากนั้นจึงแห่แหนพระนางไปยังพลับพลา ที่นั่นได้มีพระราชพิธีราชาภิเษก ท่านสุเทวฤๅษีกราบบังคมทูลเชิญพระนางเสด็จขึ้นประทับบนกองสุวรรณอาสน์เพื่อ ทรงสรงน้ำพระมูรธาภิเษกทและวันที่เสด็จขึ้นเสวยสิริราชสมบัตินั้นตรงกับวัน ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๒๐๒ พระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา ปรากฏพระนามเมื่อทรงรับการราชาภิเษกในพระสุพรรณบัฏว่า พระนาง<st1>"เจ้าจามเทวี บรมราชนารี" เจ้าจามเทวี บรมราชนารี</st1> ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญไชย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ ขึ้นครองราชย์แล้ว ๗ วัน พระครรภ์ได้ครบทศมาส พระนางจามเทวีจึงทรงมีประสูติกาลพระโอรส ๒ พระองค์ในวันเพ็ญเดือน ๓ ราชกุมารทั้งคู่ทรงศิริลักษณ์งามละม้ายกัน เป็นที่ปิติยินดีไปทั้งพระนคร พระนางได้พระราชทานนามพระเชษฐาว่า พระมหันตยศ และพระอนุชาว่า พระอนันตยศ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]นคร หริภุญไชยในปฐมรัชกาล[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] พระนางจามเทวี ทรงสถาปนาความรุ่งเรืองแก่นครหริภุญไชยของพระนางมากขึ้นไปอีก จนเป็นนครในอุดมคติที่มนุษย์ทั้งหลายใฝ่ฝันอย่างแท้จริง โดยตำนานนั้นกล่าวว่าอาณาประชาราษฎร์เป็นสุขสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติโดยถ้วน หน้า เฉพาะบ้านใหญ่นั้นมีจำนวนถึง ๔๐๐๐ บ้าน บ้านน้อยอีกเป็นอันมาก มีไร่นาเรือกสวนบริบูรณ์ และพสกนิกรต่างมีใจศรัทธาสร้างวัดขึ้นเป็นจำนวนถึง ๒๐๐๐ แห่ง สำหรับถวายพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฎกมาจากละโว้ ๕๐๐ รูป แยกย้ายผลัดเปลี่ยนกันสั่งสอนเผยแผ่พระศาสนา วัดทั้ง ๒๐๐๐ แห่งนั้นต่อมาก็มีภิกษุจำพรรษาเต็มพระอารามทุกแห่ง ยิ่งไปกว่านั้น พระนางยังโปรดฯ ให้เฟ้นหาบัณฑิตที่ชำนาญการสวดพระธรรมอีก ๕๐๐ คนสำหรับช่วยสวดพระธรรมในวัดทั้ง ๒๐๐๐ แห่งนั้นด้วย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] บรรดา ผู้คนซึ่งตามเสด็จพระนางจามเทวีมาแต่กรุงละโว้นั้น พระนางก็โปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่กันทางทิศตะวันออกของพระนคร ชาวมิคสังครเดิมอยู่ทิศตะวันตก พวกที่รอดตายมาจากรมยนครอยู่ทิศใต้ และตระกูลที่เกิดจากรอยเท้าสัตว์นั้นก็อยู่ภายในเมือง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ต่อ มาพระนางมีพระดำริว่า เวลานี้พระโอรสทั้ง ๒ ก็ยังเยาว์พระชันษาอยู่ ถ้ามีข้าศึกมาเบียดเบียนจะเป็นการลำบาก จึงโปรดฯ ให้มีพระราชพิธีพลีกรรมสังเวยเทพยดาผู้รักษาพระนคร ขอประทานช้างมงคลตัวประเสริฐสำหรับใช้ในการสงคราม เทวะทั้งหลายจึงดลใจช้างเชือกหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยคชลักษณ์อันบริบูรณ์ทุกประการ คือมีกายขาวประดุจเงินเลียง และงาสีเขียว พลัดออกจากโขลงที่ใกล้ตีนดอยอ่างสรงแล้วมุ่งลงใต้มายังนครหริภุญไชย เวลานั้นก็เกิดเหตุอัศจรรย์ มีฝนตกตลอด ๗ วัน ๗ คืน เมื่อมาถึงพระนคร พระนางจามเทวีทรงพอพระทัยยิ่งนัก ทรงมีพระราชโองการให้เสนาอำมาตย์ทั้งหลายจัดเครื่องบูชาข้าวตอกดอกไม้และ ดุริยดนตรีแห่ไปรับมายังโรงช้างทางทิศตะวันออก ประดับด้วยแก้วแหวนเงินทองอันงดงามเลอค่า จากนั้นทรงสถาปนาเป็นพระคชาธารคู่พระบารมี และโปรดฯ ให้มีมหรสพสมโภชในเมืองถึง ๓ วัน ๓ คืน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ช้าง นี้ คนรุ่นหลังต่างพากันเรียกว่า ช้างภู่ก่ำงาเขียว กล่าวกันว่ามีอานุภาพยิ่ง คือเวลาใกล้เที่ยงหากใครไปยืนเบื้องหน้าช้างก็จะเกิดมีอันเป็นไปต่างๆ ถ้าไม่บวงสรวงด้วยข้าวตอกดอกไม้เสียแล้วก็อาจถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ตำนานพื้นเมืองกล่าวว่า พระนางจามเทวีไม่เพียงแต่ทรงเอาพระทัยใส่ในการศาสนา จนเมืองหริภุญไชยเป็นประดุจพุทธนครเท่านั้น ในด้านยุทธศาสตร์การป้องกันพระนครพระนางก็โปรดฯ ให้สร้างด่านไว้ที่ชายแดนที่เวียงนอกและเวียงสามเสี้ยว ปัจจุบันก็คือบริเวณหมู่บ้านกอกและทุ่งสามเสี้ยว เขต อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ก็โปรดฯ ให้จัดการซ้อมรบเพื่อทดสอบความพลั่งพร้อมของกำลังพล โดยทรงออกอุบายให้ด่านที่เวียงนอกและเวียงสามเสี้ยวแกล้งตั้งตัวเป็นกบฏและ ทรงมีรับสั่งให้จัดทัพไปปราบปรากฏว่าฝ่ายพระนครชนะศึก แต่แม้ว่าจะเป็นการซ้อมรบแต่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้กันเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสีย ชีวิตมากมาย พระนางจึงทรงอุปถัมภ์เลี้ยงดูครอบครัวของทหารที่ตายในการสู้รบครั้งนี้ให้ เป็นสุขต่อไป ผู้ที่รอดชีวิตก็พระราชทานบำเหน็จความดีความชอบตามควรแก่ฐานะ[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]เทวี ได้ทรงปกครองเมืองหริภุญไชยต่อมาด้วยทศพิธราชธรรมแท้จริง พระนางทรงสั่งสอนบรรดาเสนาข้าราชสำนัก ตลอดจนพสกนิกรทั้งหลายตั้งอยู่ในธรรมเสมอ นครหริภุญไชยจึงเป็นที่สงบสุขน่าปิติยินดีราวกับเมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]สงคราม ขุนวิลังคะ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยพระนางจามเทวีทรงเป็นจอม กษัตริย์ผู้ทรงปกครองนครหริภุญไชยที่รุ่งเรือง ทั้งพระนางเองก็ทรงมีพระรูปเลอโฉม พระปรีชาญาณหลักแหลม เป็นที่สรรเสริญแก่บรรดาประเทศใหญ่น้อยทั่วไป บรรดาเจ้าครองนครหลายองค์จึงใคร่จะได้พระนางไปเป็นพระมเหสี แต่ผู้ที่แสดงความปรารถนานั้นก่อนคนอื่นก็คือ ขุนวิลังคะ ผู้นำชาวลัวะ ซึ่งส่งทูตพร้อมเครื่องบรรณาการถึง ๕๐๐ สาแหรก มาถวายสาส์นทูลเชิญพระนางเสด็จไปเป็นพระมเหสีแห่งระมิงค์นคร ซึ่งบางตำนานว่าตกในราวๆ ต้นปี พ.ศ. ๑๒๒๖ เมื่อพระนางทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ทูตลัวะก็กราบบังคมทูลอย่างวางอำนาจว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่มหาราชเทวีเป็นเจ้า ขุนแห่งข้าพเจ้ามีนามว่าวิลังคราชอยู่ทิศดอยละวะโพ้น เป็นใหญ่กว่าลัวะทั้งหลาย ใช้ให้ข้าพเจ้าทั้งหลายนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระนางบัดนี้ โดยเหตุที่ขุนวิลังคราชมีความรักใคร่ในพระเทวีเป็นเจ้า จักเชิญพระแม่เจ้าไปเป็นอัครมเหสี”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจามเทวีทรงพิโรธมาก เพราะการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการหมิ่นพระเดชานุภาพ และเป็นการแสดงอำนาจคุกคามพระนางอย่างแท้จริง แต่ยังทรงตรัสถามอย่างพระทัยเย็นว่า [/FONT][FONT=&quot]“ดูกรท่าน อำมาตย์ เรายังไม่เคยได้เห็นขุนผู้นั้นแม้สักหนเดียวเลย ขุนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างใดเล่า”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทูต ลัวะทูลตอบว่า [/FONT][FONT=&quot]“ขุนแห่งข้าพเจ้านั้นรูปร่างหน้าตา ก็เหมือนดังตัวข้าพเจ้านี้แหละ”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจึงทรงมีรับสั่งว่า [/FONT][FONT=&quot]“ผิว่าขุนแห่งท่านมีหน้าตา เหมือนดังท่านแล้ว อย่าว่าแต่มาเป็นผัวเราเลย แม้แต่มือเราก็ไม่จักให้ถูกต้อง ท่านจงรีบไปเสียให้พ้นจากเรือนเราเดี๋ยวนี้”[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้ว ทรงขับไล่ทูตลัวะออกไปเสียจากพระนคร ทูตลัวะผู้นำรีบนำผู้คนกลับไปเมืองระมิงค์ ด้วยความวิตกว่าตนรับเชิญสาส์นเจ้าเหนือหัวมาครั้งนี้หวังว่าจะได้รับความดี ความชอบ แต่ต้องกลับกลายเป็นผู้นำข่าวร้ายไปสู่เจ้านครลัวะแทนเสียแล้ว ขุนวิลังคะได้ทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความโกรธอย่างรุนแรงสั่งเตรียมยกทัพบุก เข้าทำลายนครหริภุญไชยให้พินาศทันที เพราะถึงเมืองของพระนางจามเทวีจะเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงด้วยปราการหอรบ ต่างๆ พร้อมสรรพเพียงใดก็ยังเป็นเมืองเล็กอยู่ แต่เมื่อความโกรธผ่อนคลายลงบ้างและเพราะเห็นว่าเป็นเมืองพระพุทธศาสนา จะเข้าตีเสียเลยก็ไม่เหมาะสม จึงส่งสาส์นเกลี้ยกล่อมอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่า พระนางยังไม่ตัดสินพระทัยเสด็จไปยังระมิงค์นครเพราะพระนาง<st1>"เพิ่งมีพระประสูติ กาลพระโอรส" เพิ่งมีพระประสูติ กาลพระโอรส</st1> พระวรกายยังไม่บริสุทธิ์พอจะทรงรับการอภิเษกเป็นพระมเหสีแห่งชาวลัวะได้ ขอให้รอไปก่อน ขณะเดียวกันภายในเมืองหริภุญไชยพระนางจามเทวีก็โปรดฯ ให้สั่งสมเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้อย่างเต็มที่ รวมทั้งเตรียมกำลังทหารให้พร้อมรบที่สุด ทางฝ่ายขุนวิลังคะได้รับคำตอบเช่นนั้นก็เบาใจและรั้งรออยู่อย่างนั้น บางตำนานว่าหลงกลรอต่อไปเป็นเวลานานถึง ๗ ปีทีเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ที่สุดขุนวิลังคะก็ตาสว่างว่าตนเสียรู้ จึงนำทัพเข้าล้อมเมืองด้วยทหารจำนวนถึง ๘๐๐๐๐ คน พระนางจามเทวีก็ทรงมีพระราชโองการให้พระโอรสทั้งสองซึ่งเจริญพระชมมายุได้ ๗ พรรษาแล้วขึ้นประทับเหนือช้างภู่ก่ำงาเขียวนำทัพออกศึก โดยพระมหันตยศประทับคอช้าง พระอนันตยศประทับกลางช้าง กองทัพของหริภุญไชยมีจำนวนเพียง ๓๐๐๐ คน แต่เมื่อกองทัพของทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน พลรบชาวลัวะก็ให้บังเกิดอาการหน้ามืดตามัวหมดกำลัง เพราะเผชิญหน้ากับช้างภู่ก่ำงาเขียวในเวลาเที่ยงวันพอดี จนในที่สุดไม่มีผู้ใดทนได้ก็พากันแตกทัพอลหม่านโดยไม่ทันได้สู้รบทิ้งอาวุธ และสิ่งของไว้เป็นอันมาก พระนางจามเทวีจึงทรงมีรับสั่งให้ชาวพระนครพรากับออกไปรวบรวมสิ่งของเหล่า นั้นไปเป็นของตนเองเสีย ทำเลที่ทหารลัวะทิ้งของไว้นั้นจึงมีชื่อว่า ลัวะวาง ในกาลต่อมา[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลังจากนั้น พระนางจามเทวีจึงเสด็จไปยังระมิงค์นครในฐานะผู้ชนะศึก เพื่อทรงช่วยเหลือบำรุงขวัญประชาชนให้กลับเป็นปกติสุขอีกครั้ง จากนั้นจึงพระราชทานเอกราชให้แก่ชาวระมิงค์นครมิให้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของ หริภุญไชยเป็นการแสดงพระกรุณา โดยจารึกไว้ในพระสุพรรณบัฎเมื่อวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ พ.ศ. ๑๒๓๐[/FONT]
    [FONT=&quot]ในตำนานจามเทวีวงศ์มีขยายความ เรื่องเกี่ยวกับลัวะต่อไปอีกคือ ภายหลังการสงครามขุนวิลังคะ พระมหันตยศและพระอนันตยศ ก็ทรงได้พระธิดาขุนวิลังคะเป็นชายาด้วย ดังนั้นพระนางจามเทวีจังทรงมีพระสุณิสาลำดับแรกเป็นเจ้าหญิงชาวลัวะ[/FONT]
    [FONT=&quot]เรื่อง เผชิญพวกลัวะนี้ ตำนานพื้นเมืองอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวไว้พิสดารออกไป คือ หลวงมิลังคะ (ไม่ใช่ขุนวิลังคะ) ผู้นำเผ่าลัวะเกิดหลงใหลพระสิริโฉมแห่งพระนางจามเทวีจนไม่เป็นอันกินอันนอน จึงได้แต่งทูตมาสู่ขอ แต่พระนางจามเทวีไม่ทรงสนพระทัยและไม่ให้คำตอบใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเหตุให้หลวงมิลังคะยกไพร่พลมาประชิดเมือง พระนางจึงทรงพระดำริว่า ถ้าจะรบกับหลวงมิลังคะบ้านเมืองคงย่อยยับแน่ จึงออกอุบายแก่หลวงมิลังคะว่า หากหลวงมิลังคะพุ่งเสน้า (ธนู) จากดอยสุเทพมาตกกลางเมืองลำพูนพระนางก็จะทรงตกลงเป็นพระมเหสี หลวงมิลังคะจึงดีใจถือธนูขึ้นดอยสุเทพ บริกรรมคาถาอาคมแล้วพุ่งเสน้าจากดอยสุเทพเพียงครั้งแรกก็มาตกที่นอกเมืองทาง ทิศตะวันตก ห่างกำแพงเมืองไปเพียงไม่กี่วาเท่านั้น สถานที่เสน้าตกนี้เรียกกันว่า หนองเสน้า เวลาต่อมา[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจามเทวีทรงเห็นเช่นนั้นก็หวั่นพระทัยนัก ทรงเกรงว่าหากให้มีการพุ่งเสน้าเป็นครั้งที่ ๒ และ ๓ คงจะมาตกกลางเมืองแน่ จึงทรงออกอุบายอีกครั้งหนึ่ง ให้ข้าราชบริพารนำซิ่นในมาตัดเย็บเป็นหมวกส่งไปให้หลวงมิลังคะสวม ข้างหลวงมิลังคะนั้นพอได้รับของฝากจากพระนางก็ดีใจเป็นที่สุด รีบสวมหมวกนั้นแล้วลองพุ่งเสน้าเป็นครั้งที่ ๒ และ ๓ ปรากฏว่าเสน้ากลับลอยไปตกห่างจากตัวเมืองยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า จึงได้พบว่าเสียรู้และถูกทำลายคาถาอาคมเสียแล้ว เลยหมดกำลังใจที่จะพุ่งเสน้าต่อไป พระนางจามเทวีจึงมิได้เป็นราชินีของชาวลัวะด้วยเหตุดังกล่าว แต่ต่อมาชาวลัวะกับชาวลำพูนก็ยังได้มีสัมพันธ์ต่อกันบ้างในรุ่นหลังจากนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]สร้าง พุทธปราการและกำเนิดเขลางค์นคร[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ตำนานมูลศาสนาและจามเทวีวงศ์กล่าวว่า ในลำดับต่อมาพระนางจามเทวีทรงอภิเษกพระมหันตยศซึ่งมีพระชนม์มายุ ๗ พรรษาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองหริภุญไชยแทนพระนาง และมีการมหรสพสมโภชเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ต่อมาก็อภิเษกพระอนันตยศขึ้นเป็นพระอุปราช รวมเวลาที่พระนางทรงเสวยราชย์ในกรุงหริภุญไชยได้ ๗ ปี เมื่อพระมหันตยศได้เสวยราชย์แล้ว ทรงดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทแห่งพระมารดาทุกประการ นครหริภุญไชยจึงยิ่งเจริญรุ่งเรือง พสกนิกรดำรงอยู่ด้วยความสุข ในเมืองไม่มีโจรผู้ร้าย มีแต่ความสงบร่มเย็นในพระศาสนา[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ ถึงเวลานี้ พระนางจามเทวีก็เสด็จประทับอยู่ในพระราชสำนักแห่งพระนางด้วยความ สุขอย่างบริบูรณ์แล้ว เช้าวันหนึ่งพระนางตื่นบรรทมขึ้นมา เป็นเวลาที่อากาศแจ่มใสน่าสบายอย่างยิ่ง พระนางยังทรงประทับอยู่ ณ ที่ไสยาสน์ ระลึกถึงห้วงเวลาทั้งหลายที่ผ่านมาแล้วบังเกิดความปิติในพระหฤทัยว่าสิ่งใด ที่พระนางปรารถนาไว้เวลานี้พระนางก็ถึงพร้อมด้วยสิ่งนั้นแล้วทั้งหมด ทรงมีพระดำริว่ากัลยาณกรรมอันพระนางได้ทำมาแล้วในกาลก่อน พระนางจึงได้มาสำเร็จในชาตินี้ กรรมอันเป็นกุศล ควรที่พระนางคิดทำไว้ในอนาคตก่อนที่จะชราภาธ ด้วยพระดำริเช่นนั้นเอง พระนางก็ทรงสรงน้ำ ฉลองพระองค์แล้วนำข้าราชบริพารออกสำรวจรอบพระนคร เห็นสถานที่ต่างๆ ที่เหมาะสมพระนางก็โปรดฯ ให้สร้างพระอารามแห่งใหม่ขึ้น ๔ มุมเมืองนั้น ได้แก่[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]1. วัด อรัญญิกกรัมมการาม ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระนคร ทรงสร้างวิหารและพระพุทธรูป แล้วถวายให้เป็นที่อยู่แห่งสงฆ์ มีพระสังฆเถระเป็นประธาน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]2. วัด อาพัทธาราม ทางทิศเหนือของพระนคร มีวิหารหลังหนึ่ง สำหรับพระสงฆ์ผู้มาแต่ลังการาม<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]3. วัด มหาวนาราม ทางทิศตะวันตกของพระนคร สร้างพระวิหาร พระพุทธรูป และกุฏิสำหรับให้พระสงฆ์จำพรรษา<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]4. วัด มหารัดาราม ทางทิศใต้ของพระนคร สร้างพระวิหาร พระพุทธรูปอย่างงดงาม ให้พระสงฆ์จำพรรษาและเลี้ยงดูด้วยข้าวด้วยน้ำ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาณา ประชาราษฏร์ต่างพากันอนุโมทนาและโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยการสร้างวัดเพิ่ม เติม อีกเช่นกัน เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ ก็พากันหอบลูกจูงหลานเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่เว้นแม้แต่เสนามหาอำมาตย์ หริภุญไชยจึงเท่ากับเป็นพระพุทธนครอันรุ่งเรืองยิ่งนัก นอกจากนี้ยังปรากฏภายหลังว่า พระเดชานุภาพแห่งพระนางแผ่ขึ้นไปถึงที่ใด ณ ที่นั้นจะมีวัดที่ได้ทรงสร้างหรือเกี่ยวข้องเป็นประจักษ์พยานอยู่ ตัวอย่างเช่น วัดพระธาตุดอยคำ และวัดพระธาตุดอยน้อย ใน จ. เชียงใหม่เวลานี้ เป็นต้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนพระอนันตยศนั้นเมื่อทรงเป็นอุปราชแล้ว ก็หามีความพอพระทัยไม่ ด้วยทรงมีพระดำริว่าพระเชษฐาธิราชประสูติมาพร้อมกัน พระเชษฐาธิราชได้เสวยราชสมบัติแล้วพระองค์ก็น่าจะได้ครองเมืองบ้าง จึงกราบทูลพระนางจามเทวีตามพระดำรินั้น พระนางเมื่อสดับแล้ว จึงพระราชทานพระราโชวาทว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ลูกรักของแม่ ถ้อยคำที่เจ้ากล่าวกับแม่นี้ แม่ก็เห็นสมควรอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ดี พวกเราได้มาอยู่เมืองหริภุญไชยนี้ก็ด้วยเหตุท่านสุเทวฤๅษี หากเจ้ามีความปรารถนาดังนั้น แม่จะให้เจ้าไปกราบเรียนท่านสุเทวฤๅษีดูก่อน”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้ว พระนางจึงโปรดฯ ให้หาบัณฑิตผู้ฉลาดด้วยโวหารมาคนหนึ่ง ให้โดยเสด็จพระโอรสไปช่วยกราบเรียนท่านสุเทวฤๅษีที่พำนัก ท่านสุเทวฤๅษี เมื่อทราบเรื่องแล้วจึงถวายคำแนะนำแก่พระอนันตยศให้ไปไหว้ฤๅษีพุทธชฏิลที่ ดอยโชติบรรพต ไปหาพรานเขลางค์ที่ดอยลุทธบรรพต และไปกราบท่านสุพรหมฤๅษี ที่ดอยเขางามริมแม่น้ำวังกะนที เพื่อขอให้ช่วยสร้างพระนครแห่งใหม่ พระอนันตยศทรงดำเนินการตามนั้นทุกอย่าง จึงได้ท่านสุพรหมฤๅษีและพรานเขลางค์ไปช่วยกันสร้างเมือง ท่านสุพรหมฤๅษีได้ตรวจดูทำเลอันเหมาะสมแล้วจึงใช้อำนาจเนรมิตเมืองใหญ่ขึ้น แห่งหนึ่ง แล้วเอาชื่อพรานเขลางค์มาตั้ง พระนครแห่งใหม่จึงปรากฏชื่อมาจนทุกวันนี้ว่า เขลางค์นคร ครั้นแล้วท่านสุพรหมฤๅษีก็ถวายการราชาภิเษกพระเจ้าอนันตยศขึ้นเสวยราชสมบัติ ในพระนครแห่งใหม่[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระเจ้าอนันตยศทรงระลึกถึงพระมารดา จึงส่งอำมาตย์ผู้หนึ่งอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระนาง จามเทวีเพื่อกราบบังคมทูลเชิญเสด็จมาประทับยังเขลางค์นครแห่งนี้ พระนางเมื่อทรงทราบความเช่นนั้นก็ทรงมีความปิติในพระหฤทัยมาก จึงได้เสด็จพระราชดำเนินจากหริภุญไชยนครมาถึงเขลางค์นคร เมื่อเสด็จเข้าสู่ตัวตัวเมือง ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านเมืองบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติก็พอพระทัยมาก และโปรดฯ ให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษก พระเจ้าอนันตยศอย่างเป็นทางการขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นให้มีมหรสพสมโภช ๗ วัน ๗ คืน และได้เสด็จไปนมัสการท่านสุพรหมฤๅษีซึ่งได้เดินทางกลับไปดอยเขางามก่อนหน้า นั้นแล้วด้วย เมื่อเสด็จกลับเขลางค์นคร พระเจ้าอนันตยศโปรดฯ ให้สร้างปราสาทก่อด้วยไม้อ้อสำหรับถวายอภิเษกพระมารดาเป็นพิธีใหญ่ แล้วถวายราชสมบัติพระตำหนักที่ประทับ พระนางจามเทวีได้เสด็จอยู่ในเขลางค์นครนี้ ๖ เดือน แต่ในจามเทวีวงศ์ว่าต้องทรงอยู่ถึง ๖ ปี[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เหตุ ที่จะต้องทรงอยู่ถึง ๖ ปี ก็เนื่องจากภายหลังพระราชพิธีอภิเษกที่พระเจ้าอนันตยศจัดถวาย และมีมหรสพสมโภชต่อมาอีก ๗ วัน พอถึงวันที่ ๘ พระเจ้าอนันตยศก็ปรารถนาจะได้พระนางไว้เสด็จประทับสิริมงคลในเมืองใหม่ของ พระองค์ตลอดไป จึงกราบทูลพระมารดาว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่พระมารดาเจ้า ขอพระมารดาเจ้าจงอยู่ในพระนครนี้กับข้าพระบาทจนถึงกำหนดพระชนมายุเถิด ข้าพระบาทไม่อาจจะว่างเว้นพระมารดาเจ้าให้นานนักได้ ก็อีกประการหนึ่งครั้นเมื่อพระมารดาเจ้าอยู่ในพระนครนี้ บุญภาคส่วนการจำแนกแจกบุญกุศลก็จะบังเกิดมีแก่ข้าพระบาทเหลือล้น ขอพระมารดาเจ้าได้ทรงพระกรุณาโปรดทรงรับการเชื้อเชิญเสด็จของข้าพระบาทเพื่อ อนุเคราะห์แก่ข้าพระบาทเถิด”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจามเทวีได้สดับดังนั้นก็ทรงมีพระดำริว่า พระโอรสทั้งสองพระองค์นี้พระองค์ทรงเสน่หาเหมือนกัน จะทรงรักองค์ใดองค์หนึ่งมากกว่าแม้เท่าปลายผมก็หามิได้ แต่พระเจ้าอนันตยศนี้เพิ่งจะครองราชย์ได้ไม่นาน จะสามารถหรือไม่สามารถปฏิบัติภารกิจอันสำคัญให้สำเร็จเรียบร้อยหรือก็ยังไม่ ทราบ ดังนั้น จึงสมควรที่พระนางจะประทับที่เขลางค์นครเพื่อทรงช่วยเหลือพระโอรสบริหาร ราชการไปสักระยะหนึ่งก่อน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จึงทรงรับสั่งว่า [/FONT][FONT=&quot]“ลูกรัก ถ้าลูกปรารถนาอย่างนี้ แม่จะอยู่ในพระนครนี้กับลูก ๓ ปี แล้วแม่จึงจะกลับไปอยู่กับพี่ชายของลูกที่หริภุญไชยภายหลัง”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ เจ้าอนันตยศก็พอพระทัย ถวายราชสมบัติแด่พระมารดาแล้วกราบทูลว่าพระองค์จักไปเที่ยวเล่นภายนอกพระนคร แล้วจึงทรงนำข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งไปประพาสในป่าอันรื่นรมย์นอกเมือง จากนั้นเสด็จไปหาท่านสุพรหมฤๅษีแจ้งให้ทราบถึงสิ่งที่กระทำทุกอย่าง ท่านสุพรหมฤๅษีจึงเนรมิตเมืองใหม่อีกแห่งหนึ่งถวายพระเจ้าอนันตยศ เมืองใหม่ที่สร้างขึ้นในเนินอันย้อยมาตามแนวเขลางค์นคร มีปราสาทราชมณเฑียรและบ้านเรือนพร้อมสรรพ ชื่อว่า [/FONT][FONT=&quot]“อาลัมพางค์นคร”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อ มาพระเจ้าอนันตยศก็เสด็จประทับในอาลัมพางค์นครนั้นให้พระมารดาเสด็จประทับใน เขลางค์นครแทน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จไปเยี่ยมพระนางในเขลางค์นครนั้นไต่ถามสารทุกข์ต่างๆ และถวายการรับใช้ทุกวันบ้าง สองสามวันหรือห้าวันบ้าง พระนางจามเทวีจึงเท่ากับทรงบริหารราชกิจในการสร้างเขลางค์นครให้เจริญ รุ่งเรืองด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกับที่พระนางทรงสร้างหริภุญไชยมาก่อน ครั้นพอได้ ๓ ปี พระนางก็มีรับสั่งจะลาพระเจ้าอนันตยศกลับหริภุญไชย พระเจ้าอนันตยศก็กราบทูลอ้อนวอนว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่พระมารดาเจ้า เมื่อพระมารดาเจ้าอยู่ในพระนครนี้ จิตของข้าพระบาทก็เป็นสุข ครั้นเมื่อพระมารดาเจ้าเสด็จไปแล้วความสุขอะไรจะบังเกิดมีแก่ข้าพระบาท เพราะเหตุนั้น ขอพระมารดาเจ้าอย่าได้ละทิ้งข้าพระบาทเลย ถ้าพระมารดาละทิ้งข้าพระบาทไปเสียแล้วชีวิตของข้าพระบาทก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ นานเป็นแน่”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางฟังแล้วก็พระทัยอ่อน จึงทรงมีรับสั่งตอบว่า [/FONT][FONT=&quot]“เอาเถิดลูกรัก ถ้าลูกปรารถนาอย่างนี้แม่จะอยู่กับลูกอีกสามปี แต่จากนี้ไปลูกจงอยู่ในเขลางค์นคร แม่จะไปอยู่ในอาลัมพางค์นคร ถ้าความประสงค์ของแม่ไม่เป็นที่ชอบใจของลูก แม่จะกลับหริภุญไชย”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระโอรสจำต้องยอมรับเงื่อนไขนั้น พระนางจามเทวีจึงเสด็จไปประทับที่อาลัมพางค์นครแทน เหตุที่ทรงเปลี่ยนที่ประทับดังกล่าวก็เพราะทรงมีพระดำริว่าหากทรงอยู่ในเข ลางค์นครต่อไป ความเป็นกษัตริย์ของพระโอรสก็จะไม่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย และยังจะมีผู้ครหานินทาพระนางเสียด้วย พระเจ้าอนันตยศจึงต้องว่าราชการต่อไปในเขลางค์นคร และเสด็จไปเฝ้าพระมารดาที่อาลัมพางค์นครเป็นระยะๆ แทน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ เวลาผ่านไปอีกสามปี พระนางจามเทวีจะเสด็จกลับหริภุญไชย พระโอรสก็อ้อนวอนพระนางอีก แต่คราวนี้พระนางไม่ทรงตามพระทัยพระโอรสของพระนางแล้ว ประจวบด้วยเวลานั้นพระนางเกิดประชวร จึงต้องเสด็จกลับไปรักษาพระองค์ที่หริภุญไชย ซึ่งพระโอรสก็ต้องจำยอม[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ ในตำนานพื้นเมืองกลับกล่าวถึงเรื่องนี้ไปอีกอย่างหนึ่ง ต่างกับจามเทวีวงศ์ และตำนานมูลศาสนาดังที่กล่าวมาแล้วอย่างสิ้นเชิง นั่นคือพระนางจามเทวีได้ครองสิริราชสมบัติบริหารราชการแผ่นดินนครหริภุญไชย ไปถึงต้นเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๑๒๓๑ จึงทรงสละราชสมบัติพระราชทานพระเจ้ามหันตยศขึ้นครองหริภุญไชยแทน และในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีเดียวกัน ก็มีการราชาภิเษกพระเจ้าอนันตยศขึ้นครองเขลางค์นคร เวลานั้นพระนางทรงมีพระชมมายุได้ ๕๕ พรรษาแล้ว และก็มิได้กล่าวถึงรายละเอียดการสร้างเขลางค์นคร อีกทั้งมิได้กล่าวถึงการที่พระนางเสด็จประทับทั้งในเขลางค์นครและอาลัมพางค์ นครด้วย ตามตำนานพื้นเมืองซึ่งจะเล่าต่อไปข้างหน้านี้ พระนางจามเทวีภายหลังสละราชบัลลังก์แล้วก็ยังมิได้ตัดขาดจากราชการงานเมือง ในหริภุญไชยเสียทีเดียว ยังเสด็จอยู่ในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือพระเจ้ามหันตยศในการสร้างและปกครอง พระนครต่อไปอีกระยะหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ตำนาน พระธาตุลำปางหลวง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน จ.ลำปาง ปัจจุบัน ยังคงปรากฏวัดสำคัญคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งมีตำนานเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวี กล่าวคือได้กล่าวกันว่าพระนางได้เสด็จมาปฏิสังขรณ์วัดนี้ครั้งหนึ่ง การเสด็จมาครั้งนั้นได้ทิ้งร่องรอยไว้ในตำนานท้องถิ่นจำนวนมาก ดังจะเล่าโดยสังเขปดังนี้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ตามตำนานพระธาตุลำปางหลวง เล่าว่าเมืองลำปางเป็นเมืองโบราณมาแต่ก่อน ชื่อว่า ลัมภะกัปปะนคร มีพระเจดีย์บรรจุเส้นพระเกศาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันพระเจ้าปเสนทิโกศล โปรดให้สร้างได้แต่เดิม ครั้นถึงรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย พระกุมารกัสสปะเถระและพระเมฆิยะเถระได้อันเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน เพิ่มอีก ซึ่งก็คือพระธาตุลำปางหลวงองค์ปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อ มา ในรัชสมัยพระนางจามเทวี คราวหนึ่งพระนางเสด็จไปราชการศึกที่แม่สลิต ขากลับเสด็จผ่านมาตั้งค่ายที่สบยาว คืนนั้นเวลาก่อนรุ่งสาง ขณะที่พระนางประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในค่ายพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวก็ แสดงปาฏิหาริย์ลอยจากลัมภะกัปปะนครไปตกกลางค่ายพักของพระนาง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ พระเทวีเป็นเจ้าเข้าพระทัยว่า ชาวบ้านแถวนั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการจุดไฟโตนดให้มาตก พอรุ่งเช้าจึงโปรดฯ ให้เสนาบดีผู้ใหญ่เข้าเฝ้า และตรัสเล่าสิ่งที่ทอดพระเนตรในคืนนั้น แต่ปรากฏว่า พระธาตุเสด็จครั้งนั้นพระนางทอดพระเนตรเพียงพระองค์เดียว บรรดาแม่ทัพนายกองแม้จนพวกอยู่เวรยามไม่มีใครเห็นเลย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ เกิดความสับสนกันขึ้น ล่ามพันทอง ซึ่งเข้าเฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วยจึงกราบทูลว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่พระแม่เจ้า ที่พระแม่เจ้าได้เห็นไฟโตนดตกนั้น หาใช่ไฟโตนดไม่ ความจริงแล้วเป็นพระบรมสารีริกธาตุ อันตั้งอยู่ที่วัดลัมภะกัปปะนครที่เสด็จแสดงปาฏิหาริย์ให้พระแม่เจ้าอยู่หัว ได้ทราบ ทั้งนี้ด้วยบุญญาธิการของพระแม่เจ้าอยู่หัวต่างหาก”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจามเทวีทราบเช่นนั้นก็ดีพระทัยนัก โปรดฯ ให้ยกทัพเดินทางต่อไปจนถึงลัมภะกัปปะนคร เมื่อไปถึงพระธาตุก็ได้เสด็จเข้ากราบนมัสการ เวลานั้นชาวบ้านชาวเมืองที่ทราบข่าวพากันมาเฝ้าชมพระบารมีเนืองแน่นไปหมด พระนางจึงทรงมีพระราชปฏิสันถานถึงความทุกข์สุขของพวกเขาเหล่านั้น ชาวบ้านก็กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ข้าแต่พระเทวีเป็นเจ้า ด้วยพระบารมีปกเกล้าแผ่ความร่มเย็นแก่พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาช้านาน คงมีแต่น้ำบริโภคที่ยังความเดือดร้อนให้เท่านั้น กล่าวคือ ทุกวันเวลานี้จะใช้น้ำต้องเอาเกวียนไปบรรทุกมาจากห้วยแม่วังและห้วยแม่ยาว อันเป็นระยะทางไกลมาก เมื่อจะขุดบ่อในบริเวณนี้ก็หาสายน้ำมิได้ จึงเป็นอันจนใจพวกข้าพระพุทธเจ้ายิ่งนัก”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระ นางจามเทวีได้สดับคำกราบบังคมทูลเหล่านั้นแล้ว จึงทรงเสี่ยงสัจจาธิษฐานเบื้องหน้าองค์พระธาตุว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ถ้าสถานที่นี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระอรหันต์เถระเจ้าได้อัญเชิญมาแต่ชมพูทวีปจริงแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอให้มีสายน้ำแตกออกจากใจกลางเมืองนี้ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยแก่หมู่คนทั้งหลายอันได้รับความเดือนร้อนด้วยเถิด”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จากนั้นพระนางกราบนมัสการลาองค์พระ ธาตุ และเสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งยาตราทัพไปสู่เมืองตาล เมืองรมณีย์ อันเป็นที่สำราญของพระองค์ต่อไป[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เย็นวันนั้นเอง ผู้คนในเมืองลัมถะกัปปะนครก็พบสายน้ำพุ่งออกมาจากดินใจกลางเมืองจริงๆ จึงพากันขุดแต่งให้เป็นบ่อด้วยความปลื้มปิติในพระบุญญานุภาพแห่งพระนาง<st1>"จามเทวี น้ำในบ่อนั้นใส" จามเทวี น้ำในบ่อนั้นใส</st1>เย็น มีรสหอมอร่อย ต่างกับน้ำบ่อธรรมชาติอื่นๆ อย่างเทียบกันไม่ได้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ พ่อเมืองให้คนนำไหอย่างนี้มาบรรจุน้ำนั้นหามไปถวายพระนางจามเทวีที่เมืองตาล พระนางทรงพอพระราชหฤทัย จึงเสด็จกลับมาตั้งค่ายพักที่เมืองลัมภะกัปปะนครอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นได้ทรงเตรียมพระราชพิธีสมโภชพระบรมธาตุเป็นพิเศษ มีการเฉลิมฉลองกันถึง ๗ วัน ๗ คืน โดยพระนางได้ถวายนมัสการที่นาราคานับล้านเบี้ยให้เป็นที่นาของพระบรม สารีริกธาตุ ถวายล่ามพันทองกับนางดอกไม้ที่เป็นบาทบริจาริกาให้เป็นผู้ปฏิบัติรักษาองค์ พระธาตุรวมทั้งข้าพระชายหญิงอีก ๘ ครัว นอกจากนั้นยังพระราชทานทาสชายหญิงอีก ๒ ครัว ให้คอยดูแลบ่อน้ำอันเกิดจากสัจจาธิษฐานแห่งพระองค์ ก่อนจะยกทัพกลับบ้านเมืองของพระนาง[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]สถาน ที่ที่เกี่ยวข้องกับตำนานนี้ปัจจุบันมีอยู่จริงทั้งหมด เช่น บริเวณที่พระนางจามเทวีทรงตั้งค่ายพัก และเกิดปาฏิหาริย์พระธาตุเสด็จ คือ บริเวณที่ปากห้วยแม่ยาวไหลมาบรรจบแม่วัง ห่างจากวัดพระธาตุลำปางหลวงไปประมาณ ๒ กิโลเมตร เมืองตาล เมืองรมณีย์ที่เป็นที่สำราญของพระนางนั้น ก็เล่ากันว่าคือเมืองร้างอยู่บริเวณดอยขุนตาล ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ว่าการอำเภอห้างฉัตร ส่วนบ่อน้ำที่เกิดจากพระสัจจาธิฐาน ปัจจุบันเรียกว่าน้ำบ่อเลี้ยง และทั้งแถบนั้นก็ไม่มีบ่อน้ำไหนอีกเลย ชาวบ้านต้องอาศัยน้ำจากบ่อนี้เท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน วัดพระธาตุลำปางหลวงทุกวันนี้ ยังมีอาคารสำคัญแห่งหนึ่ง คือ วิหารพระเจ้าศิลา บ้างก็เรียกวิหารละโว้หรือวิหารจามเทวี เล่ากันว่าพระเจ้าละโว้ พระบิดาพระนางจามเทวีได้มาสร้างไว้เพื่อประดิษฐานพระเจ้าศิลา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหินสีเขียวปางนาคปรก บางตำราว่าพระนางจามเทวีทรงสร้างไว้ด้วยพระองค์เองก็มี นับว่าเป็นของสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลำปากอีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับพระนาง ยังปรากฏหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จากตำนานนี้ จะเห็นว่าพระนางจามเทวีทรงมีบุญญานุภาพยิ่งใหญ่แท้จริง จนพระธาตุคู่เมืองลำปางยังเสด็จให้ทอดพระเนตรเพื่อจะได้ทรงช่วยเหลือชาว เมืองที่เดือนร้อน ซึ่งพระสัจจาธิษฐานครั้งนั้นมีอานุภาพมาก ถึงกับทำให้เกิดสายน้ำขึ้นเลี้ยงดูประชาชนต่อมาเป็นเวลานับพันปีได้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]บั้น ปลายรัชสมัย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ครั้นบ้านเมืองสงบสุข ประชากรทั้งมวลร่มเย็นภายใต้พระบารมีและเดชานุภาพแห่งพระเจ้ามหันตยศเป็นที่ บริบูรณ์แล้ว เมื่อถึงวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๒๓๖ พระนางจามเทวีซึ่งทรงมีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษาแล้วจึงทรงละจากการกำกับดูแลราชการแผ่นดินทั้งปวง และทรงสละเพศฆราวาสฉลองพระองค์ขาวเสด็จไปประทับทรงศีลที่วัดจามเทวี และทรงเอาพระทัยใส่ต่อการทำนุบำรุงพระศาสนายิ่งขึ้นอีกมากมาย พระพี่เลี้ยงทั้งสอง คือ เจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเกษวดีซึ่งก็ทรงชราภาพแล้วเช่นกันก็เสด็จออกจาก ราชสำนักฉลองพระองค์ขาวไปประทับทรงศีล ณ สำนักศิวะการาม ที่เมืองหน้าด่าน นับได้ว่าเป็นการแยกจากพระนางจามเทวีครั้งแรกหลังจากที่เจ้าหญิงทั้งสองได้ ถวายการปรนนิบัติดูแลพระนางมาเป็นเวลาถึง ๖๖ ปีเต็ม และก็เป็นการแยกจากกันชั่วนิรันดร์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะ อีก ๓๖ ปี คือ พ.ศ. ๑๒๗๒ เจ้าหญิงทั้งสองก็สิ้นพระชนม์ ณ สำนักศิวะการามนั้นเอง พระเจ้ามหันตยศโปรดฯ ให้รักษาพระศพไว้ ๑ ปี จึงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๑๒๙๓ ปีนั้นพระนางจ[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ ในอีกไม่กี่เดือนถัดมานั้นเอง พระนางก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ พ.ศ. ๑๒๙๔ รวมพระชันษาได้ ๙๘ ปี ท่ามกลางความตกตะลึงของไพร่ฟ้าทั่วแผ่นดินหริภุญไชยนครและเขลางค์นคร เพราะก่อนหน้าที่จะเสด็จสวรรคตนั้นไม่ทรงประชวรด้วยโรคใดๆ ทั้งสิ้น และได้สิ้นพระชมม์ไปขณะทรงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่นั้นเอง เมื่อถึงตอนนี้พระเจ้าอนันตยศก็เสด็จจากเขลางค์นครมาช่วยพระเชษฐาธิราช เปลี่ยนฉลองพระองค์พระศพเป็นพัสตราภรณ์แห่งกษัตริย์หริภุญไชยเป็นครั้งสุด ท้าย ท่ามกลางความเศร้าโศกของทวยราษฏร์ทั้งสองนคร เวลานั้นทั้งเมืองมีแต่เสียงร่ำไห้ เจ้าผู้ครองนครบ้านใกล้เรือนเคียงต่างก็เสด็จมารวมทั้งมาจากระมิงค์นครด้วย และร่วมเป็นเจ้าภาพในการประดิษฐานพระศพและจัดให้มีการบำเพ็ญพระราชกุศลสวด อภิธรรมตลอดระยะเวลา ๑ เดือนเต็ม จากนั้นจึงรักษาพระศพไว้ที่วัดจามเทวีอีก ๒ ปี ก่อนที่จะประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงเมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก พ.ศ. ๑๒๗๖[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] วันถวายพระเพลิงนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ชาว นครหริภุญไชยได้มีโอกาสเฝ้าถวายความจงรักภักดีจอมกษัตริย์ของพวกเขา กระบวนแห่ที่ใหญ่โตสมพระเกียรติยศได้อันเชิญพระศพออกจากวัดจามเทวีไปยังพระ เมรุมาศ ณ เชตุวันพนาเวศ เมื่อเสด็จพระราชพิธีถวายพระเพลิงแล้ว ได้อัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ที่วัดจามเทวี ในกาลนั้นกษัตริย์แห่งหริภุญไชย เขลางค์ และระมิงค์ได้เสด็จไว้ทุกข์เป็นเวลา ๑ ปี[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วน ในตำนานมูลศาสนา และจามเทวีวงศ์ที่ต่างออกไปนั้น พระนางจามเทวีไม่ทรงมีพระชันษายืนเลย เพราะได้ทรงเสวยราชย์ในนครหริภุญไชยเพียง ๗ ปี แล้วสละราชบัลลังก์พระราชทานพระเจ้ามหันตยศ จากนั้นเสด็จไปประทับที่เขลางค์นครกับอาลัมพางค์นครกับพระเจ้าอนันตยศอีก ๖ ปี ครั้นเริ่มประชวรเสด็จกลับมายังหริภุญไชย ทรงเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยทักษิณาวรรตแล้วทรงศีลต่อไปอีกเพียง ๘ วัน พระโรคาพาธก็กำเริบแรงกล้าจนถึงเสด็จสวรรคต และเมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพนั้น ด้วยกุศลกรรมอันพระนางได้สั่งสมมา และทั้งได้เจริญพระไตรลักษณ์ด้วยการเปล่งวาจาว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เมื่อจุติจากมนุษยโลกนี้ก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน จามเทวีวงศ์ กล่าวว่าพระเจ้ามหันตยศโปรดฯ ให้จัดพิธีบูชาสักการะพระศพเป็นการใหญ่ ๗ วัน แล้วก่อพระเมรุมาศสำหรับถวายพระเพลิงได้จัดการถวายพระเพลิงพร้อมทั้งดุริย ดนตรีฟ้อนรำประโคมเป็นระยะเวลาถึง ๗ วัน แล้วก่อพระเมรุมาศสำหรับถวายพระเพลิงได้จัดการถวายพระเพลิงพร้อมด้วยมีดุริย ดนตรี ฟ้อนรำประโคมเป็นระยะเวลาถึง ๗ วัน จากนั้นดับพระเพลิงนั้นด้วยน้ำหอม แล้วตั้งกระบวนเชิญพระอัฐิธาตุ พระเจดีย์นั้นเบื้องบนมีพระพุทธรูปหุ้มด้วยแผ่นทองคำ จึงมีนามว่าสุวรรณจังโกฏิเจดีย์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ตำนานมูลศาสนากล่าวว่าภายในเจดีย์ นั้นนอกจากเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิธาตุแล้ว ยังได้บรรจุเครื่องประดับของพระนางไว้ด้วย เป็นต้นว่า ซ้องและหวีรอง รวมทั้งได้บรรจุงาทั้งสองของช้างภู่ก่ำงาเขียวคู่พระบารมีของพระนางไว้ด้วย กัน สุวรรณจังโกฏิเจดีย์จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของนครหริภุญไชย ต่อมาจนทุกวันนี้[/FONT]

    อนุโมทนาบุญข้อมูลจากทุกๆเวปไซต์

    [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif]คำกราบไหว้พระนางจามเทวี<o></o>[/FONT]​
    <table border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td>
    [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif][​IMG][/FONT]​
    </td> </tr> </tbody></table> [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif]
    [/FONT] <table border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td>

    <table style="margin-left: 26.7pt; border-collapse: collapse; border: medium none;" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0" height="193" width="466"> <tbody><tr> <td style="width: 439.4pt; border: 0.5pt solid windowtext; padding: 0cm 5.4pt;" align="center" valign="top" width="586"> [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif] ยา เทวี จามะเทวีนามิกา อภิรูปา อโหสิ ทัสสะนียา ปาสาทิกา พุทธสาสเน จะ อะภิปะสันนา, สา อตีเต เมตตายะ เจวะ ธัมเมนะ จะ หะริภุญชะยะธานิยา รัชชัง กาเรสิ, หะริภุญชะยานะคะระ วาสีนังปิ มะหันตัง หิตะสุขัง อุปาเทสิ, อะหัง ปะสันเนนะ เจตะสา ตัง วันทามิ สิระสา สัพพะทาฯ <o></o>[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 439.4pt; border-width: medium 0.5pt 0.5pt; border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color windowtext windowtext; padding: 0cm 5.4pt;" align="center" valign="top" width="586"> [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif]พระ เทวีพระนามว่า จามะเทวี มีพระรูปเลอโฉม ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก, ในอดีตกาล พระนางได้ครองเมืองหริภุญชัยด้วยพระเมตตา และเป็นธรรม, สร้างสรรค์ประโยชน์ สุข แก่ชาวเมืองหริภุญชัยอย่างมากมาย, ข้าพเจ้ามีใจเลื่อม ใจศรัทธา ขอกราบไหว้พระนางด้วยเศียรเกล้าตลอดกาลฯ <o></o>[/FONT]
    </td> </tr> </tbody></table> ​
    </td> </tr> </tbody></table> [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif]
    <o>
    </o>
    [/FONT]
    [FONT=CordiaUPC, BrowalliaUPC, MS Sans Serif][​IMG]



    [/FONT][FONT=&quot]<o>อนุโมทนา บุญทุกท่านที่อ่านจนจบ ข้อมูลผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ท่านใดมีข้อเสนอแนะ ข้อมูลหรือประสบการณ์ ความรู้ ขอเรียนเชิญ.....</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]อุ่นทิพย์จะมาเพิ่มเติมข้อมูลเรื่อยๆ(k)[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Pic_59_1.jpg
      Pic_59_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32 KB
      เปิดดู:
      1,333
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2010
  2. กุลวัชร

    กุลวัชร ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความผูกพันกับท่านแม่จามเทวี ตั้งแต่เด็ก คือเราและคุณพ่อคุณแม่ได้มีโอกาสทำบุญอุปถัมภ์วัดที่พระนางได้ทรงสร้างไว้ ที่จ.เชียงใหม่ และเป็นวัดที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี ได้เล่าไว้ให้ฟัง ว่าเป็นวัดของท่านแม่จามเทวี
    โดยหลวงพ่อมาทอดกฐินที่วัดนี้ทุกปี คือ วัดโขงขาว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เราได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อมาทอดกฐินที่วัดนี้ และที่สำคัญ เราได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพสร้าง พระรูปพระแม่จามเทวี สูง 180 ซม เนื้อโลหะ ขนาดและลักษณะเหมือนกับที่ อนุสาวรีย์จ.ลำพูน และได้ประดิษฐานที่วัดโขงขาวมาสิบกว่าปีแล้ว และอีกโอกาสหนึ่ง ได้ร่วมกับคุณดาวใจ ไพจิตร คุณไชยา มิตรชัย ได้บันทึกเสียงบทเพลง พระนางจามเทวี แต่งใหม่ขับร้องใหม่ โดย นักแต่งเพลง ชื่อ คุณสาโรจน์ เสมทรัพย์ ผู้แต่งเพลง รักไม่รู้จบ นางฟ้าที่ถูกลืม ได้ขับร้องไว้ยังไม่เผยแพร่
     
  3. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    อ่านเสร็จอยากฟังเพลงจัง(k)
     
  4. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    [​IMG]
    ได้ยินมานานแล้ว ว่าสวยมากๆ แต่ประวัติ มาทราบทีหลัง
    ว่า รบชนะ ผู้ชายด้วย

    เราคิดว่าหน้าตา ไม่น่าจะเหมือนในรูปนี้นะ

    เพราะใน จารึก บอกว่า หน้ารูปไข่ เพราะฉะนั้น น่าจะ กลมแป้น มากกว่านี้หน่อย

    น่าจะ รูปหน้าแบบ นุ่น วรนุช (เพราะนุ่นหน้ารูปไข่ ถึงผอมแต่ก็ยังดูรูปไข่)

    คิ้วโก่งแบบคันศร ตาหวานสวย

    ผิวขาวเนียนอมเ้หลือง แบบคนจีน ผมดำตรงแบบ สาวเอเชีย

    ส่วนใหญ่พวกสาวทางเหนือ จะสวยแบบ หมวยๆ
     
  5. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    โอ้วแบบนุ่นวรนุชเลยหรือ?:cool:
     
  6. Ugood

    Ugood ธรรมชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +490
    ขอบคุณครับกับเรื่องดีๆๆ
     
  7. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    ที่ลำพูนมีศาลเดิมของพระนางจามเทวี ใกล้ ๆ กันเป็นสระน้ำที่เชื่อกันว่าพระนางเคยมาสรงน้ำที่นี่ค่ะ อยู่ใกล้ ๆ บ้านพักของผู้พิพากษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00121.JPG
      DSC00121.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4 MB
      เปิดดู:
      1,155
    • DSC00122.JPG
      DSC00122.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.3 MB
      เปิดดู:
      608
  8. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    อนุุโมทนาบุญสำหรับข้อมูลจร้า:cool::cool:
     
  9. กุลวัชร

    กุลวัชร ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +2,229
    ท่านแม่ จามเทวี ไม่มีหน้าตาหมวยๆหรอก ท่านเป็นมอญหริภุญไชย ฉะนั้นหน้ารูปไข่ แต่หน้าจะคม เข้ม แต่ขาว สไตล์แขกขาวหน่อยๆ หรือทางมอญหน่อยๆ ตาจะโต จมูกจะโด่งแหลม
     
  10. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254


    อนุโมทนาบุญจ้า:cool::cool:
     
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    ขออนุญาตลงข้อมูลที่เคยเรียบเรียงมานะจ๊ะ
    อาจจะซ้ำบ้างในบางเรื่อง
    หรือบางเรื่องอาจจะไม่มีในที่นี้บ้าง
    ถือเป็นการแบ่งปันกันนะ.....




    พระนางจามเทวี


    [​IMG]
    <O:p
    <O:p</O:p
    เชื่อกันว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ทรงเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าจักรพรรดิราช แห่งกรุงละโว้(ลพบุรี) ปีประสูติ ระยะเวลาครองราชย์ และปีสวรรคตของพระนางจามเทวี มีผู้บันทึกหรือวิเคราะห์ไว้ต่างกัน เช่น <O:p</O:p
    ชินกาลมาลีปกรณ์ ว่าครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๐๕ ครองราชย์อยู่ ๗ ปี <O:p</O:p
    นาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>มานิต วัลลิโภดม สอบค้นว่าประสูติ เมื่อพ.ศ. ๑๑๖๖ ครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๐๕ ครองราชย์อยู่ ๑๗ ปี สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๑๒๕๘ พระชันษาได้ ๙๒ ปี

    <O:p</O:p
    ตำนานฉบับที่นาย<st1:personName w:st="on" ProductID="สุทธวารี สุวรรณภาชน์">สุทธวารี สุวรรณภาชน์</st1:personName> แปลและเรียบเรียง คือ ประสูติ พ.ศ. ๑๑๗๖ ครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๐๒ สละราชสมบัติพ.ศ. ๑๒๓๑ และสวรรคต พ.ศ. ๑๒๗๔ เป็นต้น

    <O:p</O:p
    พระนางจามเทวีเป็นผู้มีพระรูปโฉมงดงาม เป็นเบญจกัลยานี มีศีล และมีความสามารถ ทรงอยู่ในฐานะหม้าย เนื่องจากพระสวามี ซึ่งอยู่ในพงศาวดารเมืองหริภุญชัย ว่าเป็นเจ้าประเทศราชในเมืองรามัญ ตรงกับตำนานมูลศาสนาว่า คือเมืองรา หรือ เมืองรามได้มีศรัทธาบรรพชาเป็นเพศบรรพชิต พระเจ้าจักรพรรดิราชพระราชบิดา ทรงมีราชานุญาตให้พระนางจามเทวีซึ่งมีครรภ์ได้ ๓ เดือน เดินทางไปครองเมืองหริภุญชัย ตามคำเชิญของสุกกทันตฤาษี และวาสุเทพฤาษี ผู้ส่งนายคะวะยะเป็นทูตมาเชิญ

    <O:p</O:p
    พระนางจามเทวีได้นำพระสงฆ์ สมณะชีพราหมณ์ พ่อค้าวาณิช ช่างต่างๆ อย่างละ ๕๐๐ ประมาณกว่า ๗,๐๐๐ คน เดินทางโดยทางน้ำปิง (พิงค์) อย่างช้าๆ ตั้งเมืองเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอดเส้นทาง ใช้เวลาเดินทาง ๗ เดือน จึงเดินทางมาถึงเมืองหริภุญชัย เมื่อเสด็จมาถึงได้ ๗ วัน ก็ประสูติพระโอรสฝาแฝดชื่อ มหันตยศ และ อนันตยศ ต่อมาทรงได้เศวตไอยราเป็น คู่บารมีสีกายเผือกดั่งเงินยวงเรียกว่า ผู้ก่ำงาเขียว (ช้างเผือกงาเนียมหรือช้างเผือกงาดำ) จากเชิงดอยอ่างสลง (อ่างสรง) ในเขาลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อพระโอรสมีพระชนม์ ๗ พรรษา พระนางจามเทวีได้สละราชสมบัติอภิเษกให้มหันตยศ ครองเมืองหริภุญชัย ส่วนอนันตยศ พระนางจามเทวีได้ให้นำผู้คนพลเมืองไปตั้งเมืองเขลางค์นครหรือลำปางในปัจจุบัน นับเป็นการขยายอาณาจักร และพุทธจักร ให้กว้างไกลออกไป ส่วนพระนางได้นุ่งขาวห่มขาว สมาทานเบญจศีล จนถึงวันสิ้นพระชนม์ ดังตำนานมูลศาสนาได้กล่าวว่าพระนางทรงสมาทานเบญจศีลอยู่เสมอทุกวันมิได้ขาดในอุดมการณ์ทางด้านศาสนา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี ในการปฏิบัติธรรมให้เสนาอำมาตย์ราชมนตรี และประชาชนถือปฏิบัติเป็นอย่างดี ที่สำคัญยิ่งทรงเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองวัฒนาสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ และได้ทรงสร้างจตุรพุทธปราการเป็นพระอารามประจำจตุรทิศแห่งพระนคร เพื่อเป็นพุทธปราการปกป้องคุ้มครองพระนครให้พัฒนาสถาพรปราศจากภัยภิบัติต่างๆ ประชาชนทั่วไปเรียกว่า วัดสี่มุมเมือง ดังนี้

    <O:p</O:p
    อาพัทธาราม ปัจจุบันคือ วัดพระคง เป็นพุทธปราการอารักขาประจำทางฝ่ายทิศเหนือ<O:p</O:p
    อรัญญิกรัมมการาม ปัจจุบันเป็น วัดร้างดอนแก้ว ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนชุมชนบ้านเวียงยองเป็นพุทธปราการอารักขาประจำทางฝ่ายทิศตะวันออก<O:p</O:p
    มหาสัตตาราม ปัจจุบันคือ วัดสังฆาราม (ประตูลี้) เป็นพุทธปราการอารักขาประจำทางฝ่ายทิศใต้<O:p</O:p
    มหาวนาราม ปัจจุบันคือ วัดมหาวัน เป็นพุทธปราการอารักขาประจำทางฝ่ายทิศตะวันตก

    <O:p</O:p
    พระนางจามเทวีได้ทรงใช้กุศโลบายที่หลากหลายรูปแบบในการต่อสู้และชักจูงพวกละว้าให้หันมานับถือศาสนาพุทธโดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับหัวหน้าเผ่าละว้า ขุนหลวงวิลังคะ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของช้างผู้ก่ำงาเขียว ได้ขับไล่ข้าศึกละว้าหนีกระจัดกระจายไปอยู่ตามป่าเขา นอกจากนี้ทรงใช้กุศโลบายในการผสมกลมกลืนชาติพันธุ์กับท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม โดยการให้พระราชโอรสทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสกับธิดาสองคนของพญามิลักขะและได้สู่ขอธิดาสองคนของนายคะวะยะ ให้กับพระราชโอรสด้วย ถือได้ว่าทำให้ชนชาวละโว้และชนพื้นเมืองอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสามารถเผยแพร่อุดมการณ์ทางศาสนาเข้าสู่ชนพื่นเมืองได้อย่างรวดเร็ว และได้ใช้กุศโลบายทางสันติธรรมและเมตตาธรรมเข้าต่อสู้จนชนะที่สุดโดยมีบางส่วนได้เข้ามา สวามิภักดิ์หันมาเลื่อมใสศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาทำให้มีการผสมกลมกลืนทางชาติพันธุ์ สังคมเกิดความสงบสุขและพุทธศาสนาเจริญอย่างมั่นคงในอาณาจักรหริภุญชัยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


    [​IMG]
    <O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    ในตำนานเมืองเหนือเล่าว่า ก่อนสมัย ๑๒๐๐ ปี มีกษัตริย์องค์หนึ่งครองเมืองลำพูน มีนิสัยโลเล มิอยู่ใน ทศพิธราชธรรม เสวยแต่น้ำจันทร์มัวเมาด้วยอิสสตรี ไม่มีศีลธรรม ประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง เสนาข้าราชการบริพาสล้วนแต่ประจบสอพลอ เทพยดารักษาเมืองก็พิโรธ ก็เกิดโรคภัยพลเมืองล้มตายและแล้วพระพิรุณก็กระหน่ำ จึงมีอุทกภัยเกิดขึ้น น้ำนองท่วมท้น มนุษย์และสัตว์หนีมิทันล้มตายไปกับแม่น้ำคงคา ครั้งเมื่อน้ำลดลงแล้วเมืองหริภุญชัยก็เป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้เมืองลำพูนร้าง น้ำท่วมตาย เพราะเจ้าเมืององค์นี้ได้มีแม่หม้ายไปร้องทุกข์กล่าวหาว่าลูกได้ตีแม่จึงนำความไปฟ้องเจ้าเมืองเพื่อให้ตัดสินคดีที่ลูกตีแม่ครั้งนี้ เจ้าเมืองฟังแล้วกลับตรัสตอบว่า เด็งดัง เพราะลูก “เพราะฉะนั้นการที่ลูกตีแม่จึงไม่มีความผิดใดๆ” ทำให้แม่หม้ายคนนั้นเสียอกเสียใจอย่างมาก จึงนั่งลงกราบแม่ธรณี อธิษฐานสาปแช่งเจ้าเมืองให้มีอันเป็นไป ในทันใดนั้นดินฟ้าอากาศก็เกิดวิปริตเกิดน้ำท่วมบ้านเมืองอย่างฉับพลัน ราษฎรจมน้ำตายเจ้าเมืองก็ตายตามไปด้วย คงเหลือแต่คนมีบุญมีศีลธรรม คนใจบาปหยาบช้าถูกน้ำพลัดจมน้ำตายหมด บ้านเมืองก็ว่างเปล่าไม่มีผู้นำมาเป็นเวลานานปี ต่อมาพระฤๅษีรำพึงแล้วก็คิดว่าเราจะปล่อยประละเลยไม่แก้ไขเห็นทีชาวเมืองลำพูนทั้งมวลจะระส่ำระส่าย จึงได้เชิญฤๅษีผู้น้องทั้งสาม อาทิเช่น พระฤๅษีสุกกทันต ผู้อยู่นครละโว้ และเชิญฤๅษีจากทิศต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๐๐ ตน โดยท่านสุเทพฤๅษีเป็นประธาน ช่วยกันสร้างนครขึ้นใหม่เริ่มแต่เวลา ๙.๐๐ นาฬิกาของวันอาทิตย์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล พุทธศักราช ๑๑๙๘ มวลประชาราษฎร์ที่หนีอุทกภัยก็ให้มาร่วมกันสร้างเมืองใหม่ จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปีพุทธศักราช ๑๒๐๓ พระฤๅษีก็ให้นามเมืองใหม่นี้ว่า “นครหริภุญชัย” ในบรรดาพระฤๅษีก็ปรึกษากันว่าจะหาใครผู้ใดมาเป็นเจ้าเมืองเพื่อปกครองประชาราษฏร์ให้อยู่ดีมีสุขต่อไป ในที่สุดท่านฤๅษีสุเทพก็นึกถึงบุตรีบุญธรรม“อาหญิงวี” ของพ่อ ซึ่งท่านได้ทราบแล้วว่าได้ทรงเป็นราชินีแห่งละโว้ จึงได้ปรึกษากับท่านฤๅษีผู้น้องทั้งสามที่จะเอาพระนางจามเทวีมาครองเมืองลำพูน ทุกคนต่างเห็นดีเห็นชอบกันทั้งนั้น ครั้นในวันต่อมาท่านฤๅษีสุเทพจึงมอบสาส์นให้นาย<st1:personName w:st="on" ProductID="คะวะยะ คือ">คะวะยะ คือ</st1:personName> นายควายนำไปให้พระเจ้าอยู่หัวนครละโว้ ๑ ฉบับ และทูลพระราชินีเป็นส่วนพระองค์ ๑ ฉบับ เมื่อละโว้ได้รับข่าวสารจากพระฤๅษี ได้พิจารณากันอยู่เป็นเวลานานพอควรครั้นจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่ได้ มีแต่คิดๆๆ เนื่องจากเมืองลำพูนเดือดร้อนแสนสาหัส ราษฎรขาดผู้นำพระนางก็มานึกถึงพระคุณของพระฤๅษีผู้เป็นบิดาเลี้ยงมาก่อน ทางหมู่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั้งปวงแห่งนครละโว้ได้รับทราบเรื่องราวก็พากันมาฟังข้อตกลงกันล้นหลามอยู่ภายนอกพระราชวัง ต่างก็มีความอาลัยรักพระนางอย่างยิ่งที่จะต้องอำลาจากกรุงละโว้ไปครองเมืองหริภุญชัยตามคำขอของพระฤๅษี ในที่สุดทางกรุงละโว้ก็ตกลงให้พระนางจามเทวีขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัย ก่อนจะออกเดินทางพระนางจามเทีได้เอานักปราชญ์บัณฑิตและพระสงฆ์เป็นจำนวนอย่างละ ๕๐๐ มีวัตถุที่สำคัญที่นำมาครั้งนั้นก็คือ พระแก้วขาว ๑ องค์ เวลานี้ประจำอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับพระรอดหลวงก็มีประจำอยู่ที่วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน ฝีมือทำได้สวยงามมาก พระนางจามเทวีเดินทางจากกรุงละโว้ถึงเมืองหริภุญชัยเป็นเวลานาน ๗ เดือน เวลานั้นพระนางมีครรภ์ได้ ๓ เดือน เมื่อมาถึงวันเดือนปีพุทธศักราช ๑๒๐๖ พระนางจามเทวีก็ขึ้นครองราชย์ปกครองชาวเมืองหริภุญชัย ขณะที่ขึ้นครองราชย์ได้ ๗ วัน พระนางจามเทวีก็ประสูติพระโอรส ๒ องค์ ในวันเพ็ญเดือน ๓ เป็นฝาแฝด จึงให้นามว่า “มหันตยศ และ อนันตยศ” ต่อมาพระนางจามเทวีได้ส่งพระราชโอรสองค์เล็กคือ อนันตยศ ไปสร้างเมืองนครลำปาง ส่วนพระมหันตยศ ผู้เป็นพี่ให้สืบราชสมบัติที่เมืองลำพูน พระนางจามเทวีมีช้างผู้ก่ำงาเขียวคู่บารมี เวลานี้อัฐิของช้างคู่บารมีของพระนามจามเทวีบรรจุไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โรงเรียนจักรคำคณาทรฯ พระนางจามเทวีครองราชสมบัติอยู่ ๕๒ ปี จึงสวรรคต รวมพระชนมายุได้ ๙๒ ปี อัฐิของพระนามจามเทวีบรรจุไว้ที่วัดกู่กุด ซึ่งเป็นวัดคู่บารมีของพระนางจามเทวีได้สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ ๑๓ เมืองหริภุญชัยมีพระนางจามเทวีเป็นกษัตริย์องค์แรกปกครอง สืบๆ กันมามาจนถึง ๔๙ พระองค์ มีพระยายีบาเป็นองค์สุดท้าย รวมอายุเมือง ๖๑๘ ปี พระยายีบาก็ได้เสียงเมืองให้แก่พระยาเม็งรายเมื่อจุลศักราช ๖๔๓ (พุทธศักราช ๑๘๒๔) ปีมะโรง เดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่ำ สาเหตุที่ต้องเสียเมืองหริภุญชัยครั้งนี้เนื่องจากพระยายีบาไปหลงเชื่อขุนฟ้าเพราะความประจบสอพลอ จึงทำให้ชาวเมืองลำพูนต้องเดือนร้อนพากันจงเกลียดพระองค์อย่างมาก จึงเป็นเหตุให้พระยาเม็งรายเข้ายึดเมืองหริภุญชัยได้อย่างง่ายดาย เมื่อพระยายีบาหนีออกเมืองไปถึงดอยกลางป่าก็คิดนึกได้ที่เสียรู้ขุนฟ้าเป็นไส้ศึกให้พระยาเม็งรายก็เสียใจหลั่งน้ำตาร้องไห้ สถานที่น้ำตาตกนี้จึงมีชื่อว่า “ดอยพระยายีบาร้องไห้” มาจนทุกวันนี้<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    หลวงมิลังคะหลงเสน่ห์งามจามเทวี<O:p</O:p
    ขอย้อนกล่าวถึงแม่หม้ายงามพระนางจามเทวีกับหลวงมิลังคะ ที่ทำให้หลวงมิลังคะหลงเสน่ห์ความงามพระนางจามเทวีจนไม่รู้จะกินจะนอน แม้จะหลับจะนอนจะตื่นขึ้นก็ยังฝันถึงเสมอ จึงได้แต่งทูตมาสู่ขอพระนางจามเทวีแต่พระนางจามเทวีไม่สนพระทัยจึงไม่ให้คำตอบใดๆ ทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุให้หลวงมิลังคะเกิดโทสะยกไพร่พลมาประชิดเมือง เวลานั้นพระนางคิดว่าขืนสู้รบกับหลวงมิลังคะบ้านเมืองคงพังแน่ จึงต้องออกอุบายกับหลวงมิลังคะว่า ถ้าหลวงมิลังคะพุ่งเสน้า (ธนู) จากดอยสุเทพ เชียงใหม่ มาตกกลางเมืองลำพูนก็จะยอมแต่งงานตามสัญญาคำมั่น ทันใดนั้นหลวงมิลังคะก็ดีอกดีใจมีความหวังจะได้แต่งงานกับพระนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="จามเทวี ๑๐๐">จามเทวี ๑๐๐</st1:personName>% จะได้พระนางจามเทวีมาเป็นคู่ครอง จึงถือธนูขึ้นไปสู่บนดอยสุเทพ แล้วก็นึกถึงคาถาอาคมเสร็จเรียบร้อยก็ได้พุ่งเสน้าจากบนดอยสุเทพมาตกที่นอกเมืองทิศตะวันตกห่างจากกำแพงเมืองไม่กี่วา สถานที่เสน้าตกปัจจุบันนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “หนองเสน้า” เมื่อพระนางเห็นฤทธิ์เดชจึงหวั่นกลัวยิ่งนัก ถ้าหากให้มีการพุ่งเสน้าเป็นครั้งที่ ๒-๓ คงจะต้องมาตกกลางเมืองแน่ พระนางจามเทวีจึงออกกลอุบายแก้มนต์คาถาของหลวงมิลังคะ โดยเอาผ้าถุงชั้นใน (ซิ่นใน) เย็บเป็นหมวกจัดส่งไปให้หลวงมิลังคะสวมใส่ เมื่อหลวงมิลังคะได้รับของฝากก็ดีใจเป็นที่สุดแล้วก็สวมใส่พร้อมกับพุ่งเสน้าเป็นครั้งที่ ๒-๓ เสน้าที่พุ่งกลับตกห่างจากตัวเมืองหลายเท่า หลวงมิลังคะเสียรู้หมดกำลังใจที่จะพุ่งเสน้าอีกต่อไป ความหวังที่จะได้พระนางมาครองก็หมดสิ้นไป ส่วนหลวงมิลังคะก็หาความงามมิได้เลย ต่อมาทั้งสองตระกูลได้ก็ได้ผูกพันกันทางสายลูกฯ <O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    พระลบหรือพระนักรบ<O:p</O:p
    ขอกล่าวถึง “พระลบ” สักเล็กน้อยเพื่อเป็นข้อคิด “พระลบ” เป็นพระที่สร้างแปลกประหลาดกว่าพระพิมพ์อื่นๆ ในบรรดาพระพิมพ์ทั้งหลายของเมืองลำพูน พระนางจามเทวีเป็นกษัตริย์องค์แรกของเมืองลำพูนเป็นผู้จัดสร้าง ได้บรรจุไว้ที่กรุหนองเสน้านอกเมืองลำพูน ใกล้กับบริเวณที่หลวงมิลังคะพุ่งเสน้ามาตก สาเหตุก็มาจากต้องการพระนางจามเทวีเป็นพระมเหสี แต่มาพ่ายแพ้กลอุบายพระนางจามเทวี แม้แต่พระโอรสกษัตริย์พม่าก็มาหลงเสน่ห์งามจามเทวีได้ยกทัพมาตีกรุงละโว้ (ลพบุรี) ในที่สุดพระโอรสพม่าก็แพ้สงครามตายเพราะความรัก “พระลบ” บางคนก็เรียกว่า “พระมหาเสน่ห์นิยม” บางคนก็เรียกว่า “พระนักรบ” พระลบเวลานี้หาได้ยากมาก การสร้าง “พระลบ” ของพระนางจามเทวีก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ฝากไว้กับชาวลำพูน “พระลบ” จึงแปลกกว่าพระพิมพ์อื่นๆ “พระลบ” ไม่มีจุดเด่นทางด้านความสวยงามขององค์พระ หมายถึงพระไม่งาม รายละเอียดแทบจะไม่มี ความลึกและคมชัดไม่มีเลย แต่มีหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์ใหญ่ฐานสามชั้น พระลบพิมพ์เล็กฐานเดียว พระลบพิมพ์สามง่าม (เขาเรียกพระลบตัวขอม) พระลบพิมพ์ตุ๊กตา พระลบพิมพ์พระรอด ส่วนเนื้อพระลบแปลกสะดุดตามาก เนื้อดูหยาบ แต่แกร่งมากที่สุด สีของเนื้อพระลบแดงเข้มจัด สีคล้ายว่านแบบหนึ่งที่แดงจัด หรือคล้ายเนื้อหินศิลาแลง เนื้อมีส่วนผสมที่ไม่มีพระใดเหมือนพระลบ จึงมีชื่อเรียกกันว่า “พระนักรบ” หรือ “พระนักรัก” เพราะพระนาง จามเทวีเป็นทั้งนักรบและเป็นที่รักของคนทั่วไป ใครผู้ใดมีพระลบไว้ก็เท่ากับมีพระพิมพ์นางพญา พิษณุโลก<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    สรุปตำนานพระนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="จามเทวี หริภุญชัยผสมละโว้">จามเทวี หริภุญชัยผสมละโว้</st1:personName><O:p</O:p
    พระนางจามเทวี ประสูติที่บ้านหนองดู่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้ไปเป็นราชธิดาราชวงศ์ปฐมกษัตริย์ลพบุรี ตำนานเมืองลพบุรีกล่าวว่า พระยากาฬวรรณดิส เป็นต้นกษัตริย์เมืองลพบุรี เดิมเป็นกษัตริย์อยู่ที่จังหวัดตาก ได้ให้พราหมณ์ในสำนักไปสร้างเมืองลพบุรี เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้ย้ายไปครองราชย์ เมื่อปีพุทธศักราช ๑๐๑๒ หลังจากพระยากาฬวรรณดิสสวรรคตแล้ว รัชทายาทของพระองค์คือ พระยาพาลีราช ได้ครองเมืองลพบุรีแทน ทำให้อาณาจักรเมืองลพบุรีแผ่ไปไกลมาก เมื่อปีพุทธศักราช ๑๒๐๕ พระเจ้ากรุงละโว้จึงได้ให้พระนางจามเทวี ราชธิดาไปครองเมืองหริภุญชัยตามคำเชิญของชาวเมืองหริภุญชัยฯ<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    และมีตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๑๒๐๓ พระฤๅษีวาสุเทพได้ร่วมกับพระสหายสร้างเมืองหริภุญชัย คล้ายรูปเปลือกหอย เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระฤๅษีวาสุเทพจึงได้ให้นายคะวะยะนำสาส์นมาเชิญพระนางจามเทวีและพระเจ้ากรุงละโว้ เพื่อขอพระนางจามเทวีไปปกครองเมืองหริภุญชัย พระนางจามเทวีได้เสด็จจากเมืองละโว้ ปีพุทธศักราช ๑๒๐๕ เป็นเวลานาน ๗ เดือนมาถึงเมืองหริภุญชัย ปีพุทธศักราช ๑๒๐๖ พระฤๅษีและชาวเมืองหริภุญชัยก็ได้ทำพิธีอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรก ปรากฎว่ามีพระมหากษัตริย์สืบราชวงศ์มาถึงพระยายีบา จำนวน ๔๙ พระองค์ พระยายีบาเป็นองค์สุดท้าย รวมราชวงศ์พระนางจามเทวีครองเมืองลำพูนได้นาน ๖๑๘ ปี สิ้นสุดราชวงศ์ ปีพุทธศักราช ๑๘๒๔


    [​IMG]
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รายนามกษัตริย์ ครองเมืองลำพูนหริภุญชัย <O:p</O:p
    ตามที่ได้ค้นคว้าจากตำนานต่างๆ เรียงตามลำดับดังนี้<O:p</O:p
    ๑. พระนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="จามเทวี เป็นปฐมกษัตริย์">จามเทวี เป็นปฐมกษัตริย์</st1:personName><O:p</O:p
    ๒. พระมหันตยศ พระโอรสองค์ที่ ๑ ครองเมืองลำพูน<O:p</O:p
    พระอนันตยศ พระโอรสองค์ที่ ๒ ครองเมืองลำปาง<O:p</O:p
    ๓. พระยากูมัญญาราช<O:p</O:p
    ๔. พระยาสุทันตะ<O:p</O:p
    ๕. พระยาสุวรรณมัญชุ<O:p</O:p
    ๖. พระยาสังสาระ<O:p</O:p
    ๗. พระยาปทุมราช<O:p</O:p
    ๘. พระยากุลเทวะ<O:p</O:p
    ๙. พระยาธรรมมิกราช<O:p</O:p
    ๑๐. พระยามิลักขะมหาราช<O:p</O:p
    ๑๑. พระยาโนการาช<O:p</O:p
    ๑๒. พระยาพาลราช<O:p</O:p
    ๑๓. พระยากุตตะราช<O:p</O:p
    ๑๔. พระยาเสละราช<O:p</O:p
    ๑๕. พระยาอุตตราช<O:p</O:p
    ๑๖. พระยาโยจะราช<O:p</O:p
    ๑๗. พระพรหมมทัตราช<O:p</O:p
    ๑๘. พระยามุกขะราช<O:p</O:p
    ๑๙. พระยาตระ<O:p</O:p
    ๒๐. พระยาโยวราช<O:p</O:p
    ๒๑. พระยากมะละราช<O:p</O:p
    ๒๒. พระยาจุเลระ<O:p</O:p
    ๒๓. พระยาพินไตย<O:p</O:p
    ๒๔. พระยาสุเทวราช<O:p</O:p
    ๒๕. พระยาเตโว<O:p</O:p
    ๒๖. พระยาไชยะละราช<O:p</O:p
    ๒๗. พระยาเสละ<O:p</O:p
    ๒๘. พระยาตาญะราช<O:p</O:p
    ๒๙. พระยาสักกีราช<O:p</O:p
    ๓๐. พระยานันทะสะ<O:p</O:p
    ๓๑. พระยาอินทวระ<O:p</O:p
    ๓๒. พระยารักนะคะราช<O:p</O:p
    ๓๓. พระยาอิทตยราช<O:p</O:p
    ๓๔. พระยาสัพพสิทธิ์<O:p</O:p
    ๓๕. พระยาเชษฐะราช<O:p</O:p
    ๓๖. พระยาจักกะยะราช<O:p</O:p
    ๓๗. พระยาถวิลยะราช<O:p</O:p
    ๓๘. พระยาการาช<O:p</O:p
    ๓๙. พระยาสิริปุญญาราช<O:p</O:p
    ๔๐. พระยาเลทะนะราช<O:p</O:p
    ๔๑. พระยาตัญญะราช<O:p</O:p
    ๔๒. พระยาไทยอำมาตะ<O:p</O:p
    ๔๓. พระยาอำมาตปะนะ<O:p</O:p
    ๔๔. พระยาทาวะมะ<O:p</O:p
    ๔๕. พระยากราช<O:p</O:p
    ๔๖. พระยาเยทะ<O:p</O:p
    ๔๗. พระยาอ้าย<O:p</O:p
    ๔๘. พระยาเสตะ<O:p</O:p
    ๔๙. พระยายีบา (เป็นองค์สุดท้ายราชวงศ์จามเทวี)<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    บ้านเมืองสมัยพระนางจามเทวี ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข พระยาเม็งรายมหาราช ยึดครองเมืองลำพูน ปีพุทธศักราช ๑๘๒๔ ต่อมาได้ไปสร้างเมืองเชียงใหม่ เป็นเมืองหลวงของล้านนาไทย ปีพุทธศักราช ๑๘๓๙ มีเจ้าผู้ครองนครเมืองสืบต่อกันมาจำนวน ๒๐ พระองค์ พระเจ้าเมกุฏิ องค์ที่ ๒๐ เป็นองค์สุดท้าย ราชวงศ์เม็งรายครองลานนาไทยได้นาน ๒๖๒ ปี พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่ายึดลานนาไทยจากพระเจ้าเมกุฏิ ปีพุทธศักราช ๒๑๐๑ มาถึงปีพุทธศักราช ๒๑๒๙ พระนเรศวรมหาราชทรงรบกับพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่ามีชัยชนะจึงขับไล่พวกพม่าออกล้านนนาไทยฯ<O:p</O:p




    ...................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  12. กุลวัชร

    กุลวัชร ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +2,229
    ขอเปิดเผยตามเท่าที่รู้ ถ้าในสายของหลวงพ่อ วัดท่าซุง จะทราบว่า พระนางจามเทวี นี้คือองค์เดียวกับ ท่านแม่ศรีพรรณวดีศรีโสภาค ซึ่งเข้าพระนิพพานแล้ว ซึ่งท่านแม่ศรี ท่านได้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์หลายครั้ง อาทิ เป็นเจ้าแม่กวนอิม เป็นพระนางจามเทวี
    เป็นพระศรีสุริโยทัย และพระชาติสุดท้าย คือสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ
     
  13. boriphat

    boriphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +2,124
    ผมเกิดที่เมืองเจ้าแม่ครับ
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราว ความรู้ที่นำมาเผยแพร่ให้แก่กัน
    อุ่นทิพย์ก็เกิดที่เมืองนี้หรือเปล่า?
     
  14. aorsuay

    aorsuay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +491
    อ่านดูแล้วเหมือนคุณนาสจะบอกว่า แม่หม่อน(พระนางจามเทวี)คือ องค์เดียวกับ ท่านแม่ศรีพรรณวดีศรีโสภาค ซึ่งคุณนาสบอกว่า เข้าพระนิพพานแล้ว งั้น ดูเหมือน แม่หม่อนก็เข้านิพพานแล้วเหรอคะ
    คือบังเอิญเคยอ่านจากแหล่งอื่นมา ว่า แม่หม่อนยังไม่หมดเชื้อเกิด จะยังลงมาเกิดที่เมืองลำพูนและได้ปกครองเมืองลำพูนอีกครั้ง ในอีก 300-600 ปีข้างหน้า
    แต่ที่อ้อทราบก็เกิดจากการอ่านเท่านั้นนะคะ เลยสงสัย ถ้าคุณนาสมีรายละเอียดอื่นๆ และนำมาเล่าสู่กันอีก จะเป็นพระคุณมาก
     
  15. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ท่านอาจจะเข้านิพพานแล้ว แต่ความดี บารมี หรือกระแส ยังคงสถิตย์อยู่
     
  16. ชินมิน

    ชินมิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +558
    [​IMG]
     
  17. ชินมิน

    ชินมิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +558
    [​IMG]

    ภาพการแสดงการจำรองพระนางสมัยนั้น
     
  18. ไชยยารัตน์

    ไชยยารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +739
    ผมก็เกิดที่หละปุน เป็นลูกหลานเจ้าแม่ครับ ภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...