เออ!...ตามมาทำไม..ถ้าไม่รักยายผีป่า?!!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 23 มีนาคม 2005.

  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    "..ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ "คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต" สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ<o:p></o:p>
    ๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช<o:p></o:p>
    ๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน<o:p></o:p>
    ๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน<o:p></o:p>
    ๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ<o:p></o:p>
    ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ "จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด <o:p></o:p>
    วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์<o:p></o:p>
    พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"<o:p></o:p>
    ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"<o:p></o:p>
    ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที <o:p></o:p>
    ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่า พุทโธ ได้ไหม"<o:p></o:p>
    เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"<o:p></o:p>
    อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"<o:p></o:p>
    เธอก็ตอบว่า "มี"<o:p></o:p>
    ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"<o:p></o:p>
    เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า<o:p></o:p>
    "จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"<o:p></o:p>
    ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"<o:p></o:p>
    พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"<o:p></o:p>
    ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"<o:p></o:p>
    ถามว่า "เห็นภาพอะไร"<o:p></o:p>
    ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ <o:p></o:p>
    ถามว่า "เห็นชัดไหม"<o:p></o:p>
    ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"<o:p></o:p>
    เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"<o:p></o:p>
    แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย<o:p></o:p>
    ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"<o:p></o:p>
    ท่านตอบว่า "เห็นพระ"<o:p></o:p>
    ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"<o:p></o:p>
    ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"<o:p></o:p>
    เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"<o:p></o:p>
    ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"<o:p></o:p>
    จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"<o:p></o:p>
    ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"<o:p></o:p>
    ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ"<o:p></o:p>
    ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"<o:p></o:p>
    ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก <o:p></o:p>
    รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ<o:p></o:p>
    เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ <o:p></o:p>
    เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    คาถาท่านพระยายมราช

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    "..เมื่อปี ๒๕๐๘ หลวงพ่อสำเภา อยู่วัดสะพาน ตรงข้ามกับจังหวัดชัยนาท ท่านเป็นหมอรักษาโรค เป็นพระที่มีรายได้ดี หมายความว่าท่านไม่ได้คิดเงินคิดทอง แต่คนโน้นให้บ้าง คนนี้ให้บ้าง เวลานั้นค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๒๐ สตางค์ วันหนึ่งท่านได้ประมาณ ๘๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ๒,๐๐๐ บ้างก็มี หลวงพ่อสำเภาท่านมีความต้องการจะหาพระมาสอนพระกรรมฐาน ก็ให้คุณเสริมศรี ส่งศิริมาติดต่อ ทีแรกก็ไปเช้าแล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับ ต่อมาท่านนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดท่าน จึงไปจำพรรษาที่นั่นช่วยสอนพระกรรมฐาน ก็พอดีได้ตำรา "มโนมยิทธิ" ของท่านอาจารย์สุข ซึ่งเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดมาสอน เป็นการสอนเต็มกำลัง ไม่เกิน ๑๐ นาทีทุกคนสามารถท่องเที่ยวไปตามภพต่างๆ แบบสบายๆ ไปเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็ได้<o:p></o:p>
    หลวงพ่อสำเภาท่านเป็นโรคชนิดหนึ่งคือ เวลาเป็นขึ้นมามันแน่นเสียดหน้าอก มันแน่นถึงกับทะลึ่ง วันหนึ่งหลวงพ่อกำลังนอนอยู่ ท่านพระยายมราชท่านมาบอกว่า <o:p></o:p>
    "โรคอย่างท่านสำเภานี่ ผมมีคาถาจะรักษา แต่คาถานี้รักษาโรคไม่หายนะ กันไม่ให้ตายก็ไม่ได้ แต่สามารถระงับทุกขเวทนาได้ ถ้ามีทุกขเวทนาหนักๆ อย่างท่านสำเภานี่ คุณไปเป่าที่หัว ประเดี๋ยวเดียวก็ระงับ คาถานี้ให้ว่า "นะโมพุทธายะ" เวลาก่อนจะว่าให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์เสียก่อนและนึกถึงท่านพระยายมราชด้วย"<o:p></o:p>
    ต่อมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อสำเภาท่านก็ป่วย ท่านแช่ม ที่เป็นลูกศิษย์ก็วิ่งมา บอกว่า "หลวงพ่อสำเภาป่วย กำลังทะลึ่งพรวดๆ" พอเข้าไปถึงเห็นเข้าก็ตกใจ ท่านแน่นหน้าอกเสียดจนทะลึ่งพรวดๆ ขึ้นมา ก็เลยช่วยกันจับเอาศีรษะท่านมาวางบนตักแล้วก็เป่าโดยนึกในใจ อาตมาบอกท่านแช่มจุดธูป ๕ ดอก บอกท่านพระยายมราช อาตมาก็นึกในใจเฉยๆ แต่ไม่ได้เป่าพรวดๆ พอเริ่มนึกในใจเพียงแค่วินาทีเดียว อาการทุกขเวทนาของท่านก็หยุด ท่านนอนสงบ อาตมาก็ให้นอนอย่างนั้นและนึกเป่าในใจอยู่อย่างนั้นประมาณสักครึ่งชั่วโมง เห็นท่านสงบสงัดดีแล้ว ก็ค่อยๆ เอาศีรษะวางบนหมอนแล้วลุกมาข้างนอกประเดี๋ยวเดียว มีเสียงว๊ากอีกแล้วทะลึ่งพรวดอีกแล้ว จึงกลับเข้าไปใหม่ ทีนี้เป่าไม่เลิก <o:p></o:p>
    คือไม่ได้เป่าพรวดๆ นึกในใจเฉยๆ ว่า "นะโมพุทธายะ" ว่าช้าๆ สบายๆ นึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์และนึกถึงท่านพระยายมราชด้วย ขอให้ระงับทุกขเวทนา<o:p></o:p>
    ต่อมาถึงเวลาใกล้จะเพล ท่านสำเภาลืมตาขึ้นมาถามว่า "เหลือเวลาอีกกี่นาทีจะเพลครับ" ท่านพูดเสียงเป็นปกติ แหงนดูนาฬิกาก็เลยบอกท่านว่า "เวลานี้เหลือ ๓ นาทีจะเพลแล้วครับ" ท่านก็บอกว่า "ถ้าเพลแล้วผมขอลาครับ" พอเสียงตีกลองเพลตึงๆ ๆ ปรากฏว่าหลวงพ่อสำเภาลืมตาปั๊บแล้วก็หลับตาปั๊บ ตายไปเลย<o:p></o:p>
    เป็นอันว่าคาถาบทนี้อาตมาไม่หวงนะ ถ้าท่านผู้ใดต้องการจะระงับทุกขเวทนาของใครที่ป่วยไข้ไม่สบายมีทุกขเวทนามาก ให้จุดธูป ๕ ดอก จุดเทียน ๑ เล่ม ถ้ามีดอกไม้ก็ใช้ด้วย ถ้าบังเอิญในสถานที่นั้นไม่มีธูป ไม่มีเทียน ไม่มีดอกไม้ ก็ไม่เป็นไร ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ถึงแม้สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่ทว่าต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้า และให้นึกถึงท่านพระยายมราชด้วย แล้วเป่าที่ศีรษะ นั่งทางด้านเหนือศีรษะของผู้ป่วย นึกขอให้ทุกขเวทนาระงับไป และจงอย่าลืมว่าคาถาบทนี้รักษาโรคไม่หาย กันตายก็ไม่ได้ แต่ว่าระงับทุกขเวทนาได้.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  3. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    "..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจแต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ฉะนั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้น สุกขวิปัสสโก ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังประกอบเรื่องนี้<o:p></o:p>
    เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขณะที่อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคนมาโมทนาบุญ พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชายคนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่ <o:p></o:p>
    พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน" <o:p></o:p>
    อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร" <o:p></o:p>
    เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้างจองผลาญกัน"<o:p></o:p>
    ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"<o:p></o:p>
    เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"<o:p></o:p>
    ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"<o:p></o:p>
    เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีตนับเป็นสิบๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย" เป็นคู่สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมาเก่งดาบสองมือทุกชาติ ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลากินข้าวก็บอกว่า "พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่" วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน <o:p></o:p>
    อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"<o:p></o:p>
    เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"<o:p></o:p>
    ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"<o:p></o:p>
    เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ" <o:p></o:p>
    ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"<o:p></o:p>
    เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง เรื่องของกรรมหนักๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"<o:p></o:p>
    เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่างๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญหนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป ด้วยการปฏิบัติดังนี้<o:p></o:p>
    ๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ<o:p></o:p>
    ๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์<o:p></o:p>
    ๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน<o:p></o:p>
    ๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว<o:p></o:p>
    ๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว<o:p></o:p>
    ๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน<o:p></o:p>
    ๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด<o:p></o:p>
    ๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน<o:p></o:p>
    เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  4. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    "..การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้นํ้า การที่ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นองค์แรกที่อุทิศส่วนกุศลโดยใช้นํ้า ก็เพราะท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอานํ้าราดลงไป ท่านยังชินอยู่กับประเพณีของพราหมณ์ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม เพราะใจท่านตั้งตรงเวลาอุทิศส่วนกุศล<o:p></o:p>
    เรื่องการกรวดนํ้านี้ สมัยเมื่ออาตมาบวชได้วันที่สอง ขณะเจริญพระกรรมฐานได้มีผีตัวผอมก๋องเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า อาตมาก็สวด "อิมินา ปุญญกัมเมนะ อุปัชฌายา" หมายถึงอุปัชฌาย์ แต่อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย "คุณุตตรา อาจาริยู" ให้คู่สวดอีก คู่สวดก็ยังไม่ตาย ว่าเรื่อยไปยังไม่ทันจะจบเหลืออีกตั้งครึ่งบท เห็นเดินมา ๒ คนเอาโซ่คล้องคอลากผีที่นั่งอยู่ข้างหน้าไปเลย ผลปรากฏว่ายังไม่ได้ให้ผีเลย <o:p></o:p>
    พอตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมาฉันข้าว พอฉันเสร็จล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย ปกติฉันเสร็จหลวงพ่อปานท่านจะยถาฯ แต่วันนี้ท่านไม่ยถาฯ ท่านนั่งเฉยมองหน้าถามว่า<o:p></o:p>
    "ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ"<o:p></o:p>
    ท่านให้แปลอิมินาแปลว่าอย่างไรบ้าง อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย คู่สวดญัตติคือท่านก็ยังไม่ตายมาให้ท่าน ผีที่อยู่ข้างหน้าทำไมไม่ให้<o:p></o:p>
    ท่านก็บอกว่า"ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด" <o:p></o:p>
    ให้บอกว่า "บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" วันหลังผีตัวใหม่มา ตัวก่อนที่ถูกลากคอไปมาไม่ได้แล้ว ผีตัวใหม่ผอมก๋องเอาทนายมาด้วย ยืนอยู่ข้างหลังนางฟ้าที่มีทรวดทรงสวย เป็นเทวดาใหญ่มากบอกว่า <o:p></o:p>
    "ท่านนั่งอยู่นี่ไงล่ะ จะให้ท่านช่วยอะไรก็บอกท่านสิ"<o:p></o:p>
    ผีผอมก๋องพูดไม่ออกเพราะกรรมมันปิดปาก อาตมานึกขึ้นมาได้ ถ้าขืนให้อยู่นานเดี๋ยวโซ่คล้องคอลากไปอีก จึงอุทิศส่วนกุศลให้ตามที่หลวงพ่อปานสอน จึงบอกว่า<o:p></o:p>
    "ตั้งใจโมทนาตาม ทีหลังมา ข้าไม่ให้พูดแล้วข้าให้เลย" <o:p></o:p>
    พอว่าจบผีผอมก๋องก็ก้มลงกราบ กราบไปครั้งแรกลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม พอกราบครั้งที่สามลุกขึ้นมา คราวนี้ชฎาแพรวพราวเช้งวับไปเลย <o:p></o:p>
    การได้รับส่วนกุศลนี้ ขึ้นอยู่กับท่านนั้นมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ แต่ถ้าท่านนั้นไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้รับ เปรียบเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาก็จะไม่ได้ของ ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้กินขนม ปรทัตตูปชีวีเปรตเป็นเปรตระดับที่ ๑๒ แบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่มีกรรมบางอยู่ข้างหน้า เราอุทิศให้แผ่กระจายเขาโมทนาได้ แต่พวกที่มีกรรมหนาอยู่ข้างหลัง ให้แผ่กระจายนี่เขาโมทนาไม่ได้ ถึงแม้จะมีสิทธิ์โมทนาก็ตาม เขาก็ไม่มีโอกาส พวกปรทัตตูปชีวีเปรตมายืนอยู่นานไม่ได้ ส่วนสัมภเวสีก็มีความหิวแต่อยู่นานได้ จึงต้องให้เจาะจงเฉพาะตรง ถ้าไม่ให้ตรงเฉพาะก็รับไม่ได้เพราะกรรมหนัก ฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศล เวลาจะให้ ให้ว่าเป็นภาษาไทยให้เรารู้เรื่องและให้สั้นที่สุด<o:p></o:p>
    การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว ถ้านึกได้ออกชื่อเขาก็ดี เพราะถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาก็ได้รับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ "ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี" ถ้าขืนไปนั่งไล่ชื่อน่ากลัวจะไม่หมด มีอยู่คราวหนึ่งนานมาแล้วไปเทศน์ด้วยกัน ๓ องค์ บังเอิญมีอารมณ์คล้ายคลึงกัน วันนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลออกชื่อคนตายกับบรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ปรากฏว่าบรรดาผีทั้งหลายก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลา คนที่เป็นญาติก็โมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับไป ตอนท้ายมีคนถามถึงการอุทิศส่วนกุศลว่าทำอย่างไร <o:p></o:p>
    พระองค์หนึ่งท่านเลยบอกว่า "ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนัก อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แก่ญาติ ญาติก็จะได้ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติก็จะไม่ได้ ฉะนั้นควรจะให้ทั้งหมดทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ"<o:p></o:p>
    และตอนที่พระให้พร เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว มีการถวายสังฆทานก็ดี การเจริญพระกรรมฐานก็ดี ควรตั้งจิตอธิษฐานตามความประสงค์ การตั้งจิตอธิษฐานเรียกว่า "อธิษฐานบารมี" ถ้าท่านตั้งใจเพื่อพระนิพพานก็ต้องอธิษฐานเผื่อไว้ โดยอธิษฐานว่า<o:p></o:p>
    "ขอผลบุญทั้งหมดนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะไปเกิดใหม่ในชาติใดก็ตาม ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า"<o:p></o:p>
    ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว<o:p></o:p>
    การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็กินคนเดียว ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร <o:p></o:p>
    ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า<o:p></o:p>
    "สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม"<o:p></o:p>
    ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า "ไม่ยุบ" <o:p></o:p>
    แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า<o:p></o:p>
    "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป"<o:p></o:p>
    ท่านพระยายมราชได้มาบอกอาตมาเรื่องการอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า<o:p></o:p>
    "ที่สำนักท่านพระยายมราชจะหยุดทำงานเรียกว่า "หยุดนรกการ ๓ วัน" คือ วันออกพรรษา วันปวารณา และวันรุ่งขึ้น รวมเป็น ๓ วัน วันมหาปวารณาเป็นวันสำคัญท่านไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวน ตามปกติเขามีอิสระอยู่แล้วจะไปไหนก็ได้ แต่ถึงเวลาสอบสวนก็จะมาเองเพราะกฏของกรรมบังคับ คนที่มาคอยอยู่ที่นี่จะมีโอกาสพ้นนรกหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ถ้าบรรดาญาติฉลาด หมายถึงทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้ตรงเฉพาะคนเดียว โดยเอ่ยชื่อ นามสกุล อย่าให้คนอื่น เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้ายสัมภเวสี"<o:p></o:p>
    อาตมาจึงถามว่า "ทำบุญอะไร พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูงและมีความสุขมาก"<o:p></o:p>
    ท่านตอบว่า "แดนใดที่ไม่มีบุญทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายความว่าพระสงฆ์ที่เราไปทำบุญนั้น เป็นพระแค่ศีรษะกับห่มผ้าเหลือง ไม่ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบถ้วนเรียกว่า "สมมติสงฆ์" อย่างนี้ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายเขาก็ไม่ได้รับ ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญน้อย ผู้รับก็มีอานิสงส์น้อยมีความสุขน้อย ทำบุญในเขตที่มีอานิสงส์ใหญ่ ผู้รับก็มีอานิสงส์มากได้รับผลบุญมากก็มีความสุขมาก และการสร้างบุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นอยู่กับสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป หมายถึงก่อนจะทำบุญก็กินเหล้าก่อน พอพระกลับก็กินเหล้ากันอีก แต่ถ้าหากตั้งใจทำบุญโดยมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาปมีแต่บุญ อย่างนี้ผู้สร้างบุญก็ได้บุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คือบุญนี่จะต้องได้แก่ผู้สร้างบุญก่อน แล้วผู้สร้างจึงจะอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นได้" <o:p></o:p>
    ท่านจึงบอกว่า "สังฆทานดีที่สุด" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ไปคอยการสอบสวนที่สำนักท่านเท่านั้น อย่างสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ตายแล้วลงนรกทันที ท่านก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน <o:p></o:p>
    อาตมาจึงถามท่านว่า "ทำอย่างไรความแน่นอนจึงจะปรากฏ ท่านจึงจะช่วยได้"<o:p></o:p>
    ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานอาตมาคือลูกหลานของผม"<o:p></o:p>
    ให้บอกลูกหลานว่า "เวลาทำบุญเสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย" <o:p></o:p>
    ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอกท่านว่า<o:p></o:p>
    "ถ้าบุคคลนั้นยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย หากว่าพบเธอผู้นั้นเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น"<o:p></o:p>
    เพราะไม่แน่นัก เนื่องจากขณะที่มีชีวิตอยู่คนเราทำทั้งบุญทั้งบาป เวลาตายไปแล้ว ถ้าไปอยู่ที่สำนักท่านพระยายามราช บางทีกรรมบางอย่างมันปิดปาก เวลาถามถึงเรื่องบุญทำให้นึกไม่ออกตอบไม่ได้ หากว่าท่านถามถึง ๓ ครั้งยังนึกไม่ออกอีก ก็ต้องปล่อยให้ลงนรกไป แต่ถ้าเวลาอุทิศส่วนกุศลขอให้ท่านเป็นพยาน เพียงแค่นี้ <o:p></o:p>
    พอโผล่หน้าเข้าไปท่านก็จะประกาศว่า <o:p></o:p>
    ที่เคยขอให้ท่านเป็นสักขีพยาน และท่านก็จะประกาศกุศลนั้นบอกให้โมทนา ก็จะไปสวรรค์เลยโดยไม่ต้องมีการสอบสวน.."<o:p></o:p>
    คำอุทิศส่วนกุศล

    "อิทัง ปุญญะผะลัง" ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน<o:p></o:p>
    บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรกนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร หลวงปู่โตท่านมาบอก และบทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน ท่านพระยายมราชท่านมาบอก มีดังนี้<o:p></o:p>
    ท่อนที่สอง<o:p></o:p>
    และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด<o:p></o:p>
    ท่อนที่สาม<o:p></o:p>
    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด<o:p></o:p>
    ท่อนที่สี่<o:p></o:p>
    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  5. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,984
    สวัสดีครับทุกโคนนนน

    ใกล้จะรู้ผลแชมป์บอกโลกแล้ววววววววววววววววววววว

    คืนนี้นัดชิงที่ 3

    ระหว่าง โปรตุเกส กับ เยอรมัน
     
  6. koisung

    koisung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +3,469
    แล้วเยอรมันก็ชนะโปรตุเกส หุหุ
     
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ขอโทษน้องๆ นะจ๊ะ ที่ถ่อสังขารรับสายหรือเข้ามาตอบกระทู้ไม่ไหว บางทีก็ให้ผู้ช่วยเก๋เปิดหน้าจอ อ่านให้ ตาก็สลึมสลือ วันนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย ทานอะไดๆ เป็นอาเจียร เลยทานข้าวต้มกับเกลือ
     
  8. ท่าข้าม

    ท่าข้าม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +2,513
    คุณพี่ยายผีป่า ไม่สบายหายเร็วๆนะจ๊ะ หายวันหายคืน พระคุ้มครองบุญรักษาเน้อ ท่าข้ามเอาใจช่วย ส่งบุญไปด้วยจ้ะ
     
  9. Seel

    Seel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    260
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,604
    น่าสงสารยายจังเลย ขอให้หายไวๆ นะคับ
     
  10. koisung

    koisung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +3,469
    /me มาจับมือกับคุณยาย ให้หายป่วยพร้อมกัน...เลิกอาเจียนเสียที ฮือๆๆๆ ทรมานเนอะ...

    นี่นู๋น้ำหนักลดไปสามโลแล้วอ่ะ กินแล้วอาเจียนๆ - -"
     
  11. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    มารายงานว่า พ่อของลูกบอกว่าถ้าวันนี้ไม่หาย จะกระทืบให้ตาย เพราะเขาต้องเลี้ยงลูกคนเดียววันนี้ต้องทำความสะอาดบ้านตามลูก เออทีแต่ก่อนยายยังทำทุกอย่างเลย

    ขอบคุนในทุกๆกำลังใจค่ะ
     
  12. sindea

    sindea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +754
    ขอให้หายเร็วๆนะคะ รักษาสุขภาพด้วยจ้า......
     
  13. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,984
    เมื่อวานเดินผ่านเข้าไปตึกคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

    คำขวัญ
    อายุ วัณโณ สุขัง พลัง

    ซะงั้นหนะ !!!
     
  14. passri

    passri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +449
    สวัสดีครับคุณยาย คุณดร และทุกท่าน ไม่ได้เข้ามาดูหลายวัน มาวันนี้คุณยายไม่สบายมาก และคุณดรก็ไม่สบายด้วย ขอให้หายป่วยเร็วๆครับ มีสุขภาพแข็งแรงด้วย เป็นห่วงเป็นกำลังใจให้เสมอครับ
     
  15. anko

    anko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    972
    ค่าพลัง:
    +8,252
    คุณยายสู้ๆ หายเร็วๆนะคะ รวมทั้งทุกๆคนที่ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ขอให้หายเร็วๆน้าาาาาาาา
     
  16. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สวัสดีค่ะ วันนี้จะพยายามทำร่างกายให้ไม่ป่วยค่ะ เพราะศาสตร์การที่ช่วยให้เราหายจากการป่วยไวๆ นั่นก็คืออย่าทำตัวเป็นคนป่วย อย่าคิดว่าเราป่วยหนัก อย่ากลัวอาการป่วย ทำจิตใจของเราให้เป็นเหมือนปกติ ถ้ามันทรมานก็คิดเสียว่า เราต้องพักผ่อนพอสมควร ไม่ใช่พักยาว พอพักยาว ร่างกายมันล้า ไม่มีการเคลื่อนไหว มันทรุดหนัก

    คุณหงสนาถบอกว่า อย่าลืมทำอย่างที่แม่ชีณัฐทิพย์ บอกนะ คือใช้พลังไฟโลกันต์จี้ตามจุดที่เราป่วยค่ะ ขอบพระคุณและอนุโมทนาในทุกๆ ความรักความเมตตาจ๊ะ

    มีคำถามหลังไมค์มาว่า ได้รับพระกรุมาจากการร่วมทำบุญ จะเป็นการลักของสงฆ์หรือไม่

    อันนี้หลวงพ่อฤษีลิงดำเคยตอบไว้น่ะค่ะ

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะคะว่าพระเครื่อง มงคลวัตถุที่พระเกจิหรือครูบาอาจารย์สร้างไว้ ส่วนมากจะเอาเข้าเก็บกรุก่อนหรือไว้ที่ชายคาอุโบสถค่ะ เก็บนานแค่ไหนก็แล้วแต่เจตตนาของผู้สร้างค่ะ อย่างพระกรุท่ากระดานนี่ สั่งไว้เลยว่า ให้ทหารนำไปใช้แล้วเอากลับมาเก็บกรุที่เดิม ติดตัวไว้จะเกิดอาเพช แต่จริงๆ แล้วคนสมัยโบร่ำโบราณนิยมเอาพระติดตัวเวลาออกรบค่ะ พอเสร็จศึกจะนำมาเก็บที่วัด เครื่องรางของขลังทุกชนิดนั่นล่ะค่ะ จะไม่สะสมอย่างทุกวันนี้ค่ะ

    กรุที่โดนลักลอบขุด ถือว่าได้มาอย่างไม่บริสุทธิ์ เรารับช่วงต่อ ถือว่าเป็นพวกโจรเช่นกัน เราจะตอบว่าไม่รู้ที่มาที่ไปก็ไม่ได้ เพราะกรุที่มีการเปิด จากทางวัดหรือฝ่ายดูแลของแผ่นดิน ไม่ถือว่าเป็นการลักทรัพย์ หากว่าเอาพระเหล่านั้นที่ขุดหรือเปิดกรุได้มามอบให้ มาแจก มาบอกบุญให้บูชาเพื่อนำปัจัยไปสร้างบุญกุศลสืบต่อๆๆๆไป อย่างต้องการเปิดกรุเพื่อนำปัจจัยไปสร้างโบสถ์ ก็เป็นอันกุศล

    แต่จะอย่างไรก็ตาม ทำบุญทุกครั้งควรตั้งจิตขอถวายปัจจัยเป็นการชำระหนี้สงฆ์ทุกภพทุกชาติด้วย กันเหนียวไว้ดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าเราเผลอตอนไหน ชาติไหน

    ขึ้นชื่อว่ามงคลวัตถุ มีพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวาคุณปรก ย่อมมีแต่มงคลค่ะ แล้วแต่เราจะอธิษฐานเอานะคะ แม้กระทั่งพระสร้างใหม่ ขอเยงนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงครูบาอาจารย์ก็ขลังค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระดังนะคะ
     
  17. Jdin_buddhism

    Jdin_buddhism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +10,153
    ^_^ ขอบคุณ คุณ Passri มากๆๆๆๆ ครับ

    ตอนนี้ก็หายเกือบเป็นปกติแล้วครับ ขอบคุณในความห่วงใยครับผม
     
  18. poysian

    poysian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +2,422
    ....

    ..ยายหายป่วยไวๆ..ขอให้อาการทุเลาลงเรื่อยๆนะจ๊ะยายจ๋า..
    ..เมื่อวันก่อนจุดธูปบอกองค์พระแก้วมรกตว่า ถ้าไม่เกินวิสัยที่ท่านจะช่วยได้ ก็ขอให้ท่านช่วยให้ยายหายป่วยหรืออาการที่มีอยู่ให้ค่อยๆทุเลาลงๆ..

    ..ผมพยายามเข้ามาลงชื่อกับเขา(แต่server to busy บ่อยๆ)..วันนี้เข้ามาได้..ดีเลย..อย่างน้อยก็มีเพิ่มอีกคนที่ให้กำลังใจ+กำลังกายยายแล้วนะ.....เอ้ากำลังใจๆๆๆกำลังกายๆๆๆดีขึ้นๆนะยายนะ
     
  19. สุขสิ

    สุขสิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +52
    เงียบหายไปเลยไม่รู้ว่าหายป่วยหรือยังจ๊ะ สุขสิมาเยี่ยมยายน่ะ
     
  20. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    <TABLE cellSpacing=9 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontHeaderBlack>ประวัติเทศกาลสาร์ทจีน</TD></TR><TR><TD> สมัยหนึ่ง ฟู่เซียงและนางหลิวภรรยามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อหลอปู่ ซึ่งได้บวชเป็นพระในพุทธศาสนา
    ต่อมา ฟู่เซียงบรรลุมรรคผลสู่สวรรค์ ส่วนนางหลิวละเมิดศีล 5 ด่าพระ นินทาศาสนา ตายแล้วตกศู่นรกภูมิ ตอนนั้นหลอปู่บำเพ็ญจนได้อภิญญา 6 เห็นมารดาของตนตกอยู่ในเปรตภูมิ ด้วยความกตัญญูจึงใช้อิทธิฤทธิ์ส่งอาหารไปให้มารดากิน ทว่าพออาหารเข้าปากพลันกลายเป็นถ่านไฟหมด เพื่อฉุดช่วยมารดา หลอปู่จึงไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ถึงวิธีช่วยมารดา พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    แม่ของเธอมีบาปกรรมหนักมาก ลำพังเธอคนเดียว กำลังไม่พอ จำต้องอาศัยแรงกุศลของเหล่าสงฆ์สิบทิศ จึงจะช่วยได้ ในวันที่ 15 เดือนเจ็ด เธอจงจัดเตรียมผลไม้ 5 อย่างถวายแด่พระผู้ทรงศีลสิบทิศ แผ่กุศลให้แม่เธอ
    เมื่อหลอปู่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยนิมนต์เหล่าสงฆ์มาสวดมนต์นั่งสมาธิอุทิศกุศลให้มารดา ในที่สุดแม่ของเขาก็หลุดพ้นจากเปรตภูมิสู่แดนสวรรค์
    ตั้งแต่นั้นมา ทุกปีวันที่ 15 เดือนเจ็ด (จีน) ถือเป็นเทศกาลวันสาร์ท ชาวจีนทุกครัวเรือนจะจัดอาหาร (ไม่ควรใช้เนื้อสัตว์) เซ่นไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติทั้งหลาย</TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา...http://www.mindcyber.com/nitan/good/good_1125.php
     

แชร์หน้านี้

Loading...