ภาวนาธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 28 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ใจ

    เอาใจนี้แหละเป็นผู้รู้ เอาใจนี้แหละเป็นผู้เห็น
    เอาใจนี้แหละเป็นผู้ละ เอาใจนี้แหละเป็น
    ผู้วาง
    ให้ปฏิบัติกาย วาจา ใจนี้ให้แข็งแรง กายนี้ก็ออกไปจากใจนี้
    แต่พิจารณากายนี้ให้รู้แจ้ง ใจนี้เป็นตัวเหตุ
    เอาใจนี้ละ เอาใจนี้วาง เอาใจนี้ถอน ถอนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแหละ
    ถอนกิเลสก็เอาใจนี้ถอน ถอนอยู่ที่ใจนี้แหละ….. ละอยู่ที่ใจนี้แหละ



    [​IMG]

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

    วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ไม่ต้องไปคาดหวัง

    การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็ว ๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย
    เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า
    ทำใจให้เป็นกลาง ๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้
    ภาวนาเรื่อยไป
    เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อย ๆ กินไปมันก็อิ่มเอง
    ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป
    ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร? ให้หมั่นทำเรื่อยไป


    [​IMG]
    หลวงปู่ดู่ พรหมฺปญฺโญ
    วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เราจะแพ้ได้อย่างไร?

    เรานั่งกรรมฐานอย่างนี้ มันเกิดเจ็บ เกิดปวด เกิดเมื่อยขึ้นมาอย่างนี้
    เราก็ต้องน้อมสิ่งเหล่านี้ว่า ยี่เกน่ะเขารำได้ทั้งรำทั้งเต้น
    ทั้งกระโดดโลดเต้นต่าง ๆ นานา ได้เป็นเวลาตั้งหลาย ๆ ชั่วโมง
    ทำไมเขาทำได้… เราจะสร้างความดีความงามให้กับหัวใจของเรา
    ให้ใจเราเกิดสงบอย่างนี้ เราจะแพ้ได้อย่างไร?

    นี่ต้องคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นแล้ว ใจมันมีอุตสาหะ มีวิริยะ ความพากเพียรเกิดขึ้น



    [​IMG]

    หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

    วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เครื่องป้องกันตัว

    เครื่องป้องกันตัว คือ….หลักธรรม มีสติปัญญา เป็นอาวุธสำคัญ
    จะเป็นเครื่องมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน มีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบถ
    จะคิด พูด ทำอะไร ๆ ไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญาสอดแทรกอยู่ด้วย
    ทั้งภายในและภายนอก มีความเข้มแข็ง อดทน มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดี
    ไม่มีอ่อนแอ โง่เง่าเต่าตุ่น วุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพัน..
    ด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย


    [​IMG]

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

    วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เพียรละความชั่ว

    เนื่องจากไม่รู้จักของดี ไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักความชั่ว ก็เลยไม่รู้จักละทิ้ง ไม่มีการพยายามที่จะละ
    ถ้าเห็นว่ามันมาติดในจิตของตน เป็นอกุศล เป็นเครื่องมัวหมอง
    ทำให้ใจไม่ผ่องใสสะอาด ให้เกิดเดือดร้อนเป็นทุกข์แล้ว ก็พยายามที่จะรักษา
    ที่จะขัดเกลาชำระสะสางจิตใจทุก ๆ วิถีทาง นั่นเรียกว่า
    “เพียรละความชั่ว”


    ความชั่ว บาปทั้งหมด เกิดจากจิต เป็นคนสั่งการให้พูด ให้ทำ ให้คิด ให้นึก
    ถ้าหากเราเห็นจิต เราจะเห็นความชั่วที่เกิดที่จิต จึงจะพยายามละความชั่วที่จิตของตนนั้นได้


    [​IMG]

    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรงฺสี

    วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    การกำหนดรู้ธรรม

    ข้อสำคัญที่สุด ที่ต้องให้โยคีเข้าใจในการปฏิบัติ ก็คือ การกำหนดให้เป็นปัจจุบัน
    เพราะการกำหนดรู้อยู่ที่ปัจจุบันนั้น เป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง
    สามารถส่งผลให้การปฏิบัติธรรมได้สำเร็จลุล่วงไปโดยรวดเร็ว
    จนสามารถได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ล่วงรู้ความเป็นไปของสังขารร่างกาย หรือ รูปนาม
    ที่คนเรายังหลงยึดครองว่าเป็นของเราอยู่ ว่ามีสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร?


    [​IMG]

    หลวงพ่อจรัญ ฐิตฺธมฺโม

    วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ตัวรู้ของความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง

    [​IMG]

    เรื่องของการปฏิบัติภาวนา เจริญสตินั้น ค่อนข้างเป็นที่แพร่หลายในสมัยนี้
    โดยเฉพาะแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ ก็มีมากมายหลายทาง<O:p

    พระพุทธองค์นั้น ได้ทรงแนะนำกรรมฐานไว้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ
    จำแนกตามจริต ๖ มีมากถึง ๔๐ กอง<O:p
    แต่ในปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติมักจะมาโต้เถียงกันในแนวทางการภาวนาของตนว่า
    ต้องทำอย่างนี้ถึงจะถูก อย่างนั้นผิด เข้าทำนองที่ว่า "ฉันทำถูก เธอทำผิด อะไรทำนองนี้"<O:p

    เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีคนโทรมาถามเรื่องของการดูจิต กับการกำหนดว่า อันไหนถูก?อันไหนผิด? อันไหนดีกว่ากัน? ก็เลยถามกลับไปว่า “การกำหนดก็ดี การดูจิตก็ดี
    เรากำหนดหรือดูจิตเพื่ออะไร?“ (ท่านผู้อ่านก็ลองตอบในใจดูก็ได้) คำตอบสุดท้ายที่ได้ก็คือ “เพื่อรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น

    ก็เลยบอกไปว่า “จริตของคนบางคนเค้าบอกว่ากำหนดแล้วทำให้รู้ ก็กำหนดไป จริตคนบางคนบอกว่า ดูเฉย ๆ ก็รู้ ก็ดูไป ต่างคนต่างปฏิบัติในแนวทางตามจริตนิสัยของตนเพื่อผลอันเดียวกัน คือ รู้ในสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นเหมือนกัน แล้วจะไปนั่งขัดแย้งกันทำไม ”<O:p

    ถ้าจะลองพิจารณากันให้ดี การกำหนดก็ดี การดูจิตก็ดี ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลยโดยผล

    สมมติว่า ตัวเราอ่านข้อความแล้วเกิดความรู้สึกที่ไม่ชอบใจ ผู้ที่ปฏิบัติโดยการกำหนดก็จะกำหนดรู้ว่า “ไม่ชอบหนอ ๆ ๆ ๆ” ผู้ที่ปฏิบัติโดยการดูจิตก็จะดูจิตตัวเองเพื่อให้รู้ขณะนี้ว่า “ความไม่ชอบใจได้เกิดขึ้นแล้วถามว่า

    ที่เรากำหนด หรือ ที่เราดูนั้น เรากำหนด หรือ เราดูที่ไหน? คำตอบ...?

    ใครเป็นผู้รู้ ใครเป็นผู้ดู ใครเป็นผู้เห็น ใครเป็นผู้กำหนด? คำตอบ..?

    ถ้าเราไม่กำหนด เราจะรู้ไม๊? คำตอบ “ไม่รู้” เช่นเดียวกัน

    การดูจิต ถ้าเราไม่ระลึกในสิ่งที่ต้องการดู เราจะรู้ไม๊? คำตอบ "ไม่รู้"

    เพราะฉะนั้น การกำหนดก็ดี การระลึกในสิ่งที่ต้องการรู้ก็ดี นั่นคือ ตัวสติ การเข้าไปรู้ในสิ่งที่กำหนด ในสิ่งที่ระลึก ด้วยปัญญาอันชอบ นั่นคือ สัมปชัญญะ วิถีจิต ที่จะเข้าไปรู้ได้นั้น ก็เป็นวิถีอันเดียวกัน จะกำหนดก็ดี จะดูจิตก็ดี ต้องเป็นไปตามวิถีของจิต ขอให้ท่านศึกษาเรื่องของวิถีจิต และทำความเข้าใจตรงนี้ให้ดี อย่าไปติดยี่ห้อให้กับตัวรู้ ตัวรู้อย่างนี้เป็นสมถะ ตัวรู้อย่างนี้เป็นวิปัสสนา ตัวรู้แบบนี้สายดูจิต ตัวรู้แบบนี้ยุบหนอ-พองหนอ ตัวรู้แบบนี้สายพุทโธ อย่าไปยึดติดกับคำว่าสมถะวิปัสสนา ถ้าเราไปติดยี่ห้อให้กับตัวรู้ ยึดติดกับรูปแบบว่าแบบนี้เป็นสมถะ แบบนี้เป็นวิปัสสนา ก็ จะทำให้เรามองคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เมื่อตัวรู้เกิดขึ้นจากปัญญาอันชอบ อันมีสติเป็นตัวชักนำ ไม่ว่าจะเกิดจากการกำหนด หรือ เกิดจากการดูจิต จะพุทโธก็ดี ฯลฯ ก็จะเหลือแต่ตัวรู้ของความเป็นพุทธะ เป็นตัวรู้ของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นตัวรู้ที่ไม่มีการแบ่งสายการปฏิบัติ

    นั่นแหละ ถึงจะเป็นตัวรู้ของความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง
    เป็นตัวรู้ที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติใด ๆ
    คำสอนของครูบาอาจารย์นั้น เราต้องเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจในเรื่องของการปฏิบัติ เราก็จะมานั่งเถียงกันเหมือนทุกวันนี้ เถียงกันเพื่ออะไร? เพื่อเอาชนะกันอย่างนั้นหรือ? เพื่อให้เห็นว่าฉันถูก-เธอผิดอย่างนั้นหรือ?

    ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น เป็นหนึ่งไม่มีสอง อยู่เหนือสมมติบัญญัติใด ๆ ที่จะมาอธิบายได้ สิ่งที่เราเรียนรู้กันนั้น มันเป็นการเรียนรู้เพียงเปลือก อธิบายได้เพียงเปลือกเท่านั้น แต่ถ้าต้องการเรียนรู้ให้ถึงแก่นแล้ว ต้องปฏิบัติด้วยความเข้าใจ ด้วยปัญญาอันชอบ ครูบาอาจารย์นั้นถึงแม้วิธีการสอนอาจจะต่างกันโดยจริต โดยฐานะ โดยหน้าที่ แต่โดยเนื้อแท้นั้นหรือผลที่ได้นั้น ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย

    ยกตัวอย่าง เหมือนมีน้ำร้อนอยู่แก้วหนึ่ง เราเอานิ้วจุ่มลงไปในน้ำ อีกคนหนึ่งอาจจะบอกว่า จิ้มลงไปในน้ำ หรือบางคนฯ บอกว่า แหย่ลงไปในน้ำ,ฯลฯ แต่ตามกิริยาอาการแล้วนั้นเหมือนกัน เมื่อนิ้วของเราลงไปในน้ำแล้วนั้น คนไทยอาจจะบอกว่าร้อนฝรั่ง บอกว่า “ฮ็อต” คนจีน บอกว่า “ยั้วะ” แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการที่นิ้วถูกน้ำร้อนนั้น ไม่ว่าคนไทย ฝรั่ง จีน โดยเนื้อแท้ของความรู้สึกแล้ว ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่แตกต่างกันเลย <O:p

    จึงขอฝากให้ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ทุกวันนี้เราแตกแยกกันมากพอแล้ว แม้แต่สีเสื้อเราก็ยังมาทำให้มันแตกแยกกันขึ้นมาได้ ก็ขอให้อย่าได้แตกแยกในเรื่องของการปฏิบัติกันอีกเลย ใครจะปฏิบัติในแนวทาง ใด ก็ขอให้ทำความเข้าใจให้มาก ปฏิบัติให้มาก แล้วท่านก็จะรู้แจ้ง ไม่ใช่รู้จำ อย่างที่เป็นกันอยู่

    ขอ ให้ระวังในศรัทธาการประพฤติปฏิบัติ ที่มีต่อครูบาอาจารย์ แต่ลืมเคารพในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะปรามาศพระรัตน ตรัยโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับ ครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวอยู่ด้วยกัน วิธีการปกครองการสอนอาจจะแตกต่างกัน แต่ผู้ใหญ่เวลาเจอกันก็จะนั่งจิบน้ำชาพูดคุยกันสนุกสนาน พูดคุยกันด้วยความเข้าใจ แต่เด็กในการปกครองบางคน หาเรื่องเถียงกัน ทะเลาะกัน เพื่ออะไร? ไม่ได้มีประโยชน์แก่การประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้เป็นแก่นสารในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว... ขอให้เราทุกคนนั้นได้พิสูจน์ในหลักธรรมคำสอน ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ทำให้มาก ทำให้บ่อย ๆ ทำให้จริง แล้วเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เราจะได้ไม่ต้องมาพูด มาโต้แย้ง กันอีกเพราะสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนนั้น เป็น ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูฮี
    เป็นสิ่งที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติย่อมรู้ได้เฉพาะตนอย่างแท้จริง...


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    การเจริญกรรมฐาน

    ปัญหา การเจริญกรรมฐาน มี ๒ อย่างคือ สมถะ และวิปัสสนา ใน ๒ อย่างนี้ จะเจริญสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน ? จะเจริญควบคู่กันไปจะได้หรือไม่ ?

    พระอานนท์ตอบว่า...

    “....ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
    (หรือ).... เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
    (หรือ).... เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป....

    มรรค ย่อมเกิด เธอย่อมเสพเจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญกระทำให้มาก ซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด....”

    ปฏิปทาวรรค ที่ ๒ จ. อํ. (๑๗๐)
    ตบ. ๒๑ : ๒๑๒ ตท. ๒๑ : ๑๘๓-๑๘๔
    ตอ. G.S. II : ๑๖๒

    ที่มา : <!-- m -->www.84000.org/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ทางพ้นทุกข์สำเร็จที่ใจของเรา

    [​IMG]


    หลวงปู่ฝัน อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
    รรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านวางไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
    ท่านก็ไม่ได้วางไว้ที่อื่น วางที่กาย ที่ใจของเรานี้เอง
    นี่เรียกว่าเป็นที่ตั้งแห่งธรรมวินัย ความที่พ้นทุกข์ ก็จะพ้นจากที่ไหนเล่า
    คือใจเราไม่ทุกข์ แปลว่าพ้นทุกข์
    เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้วให้พากันน้อมเข้าภายใน
    ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมไว้ในจิตดวงเดียว
    เอกํ จิตฺตํ ให้จิตเป็นของเดิม จิตฺตํ ความเป็นอยู่ ถ้าเราน้อมเข้าถึงจิตแล้ว ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

    ถ้าเราไม่รวมแล้ว มันก็ไม่สำเร็จ ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องรวมถึงจะเสร็จ

    ถ้าไม่รวมเมื่อไรก็ไม่สำเร็จ
    เอกํ ธมฺมํ มีธรรมดวงเดียว เวลานี้เราทั้งหลายขยายออกไปแล้วก็กว้างขวางพิสดารมากมาย ถ้าวิตถารนัยก็พรรณนาไปถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ รวมเข้ามาแล้ว สังเขปนัยแล้ว มีธรรมอันเดียว เอกํ ธมฺมํ เป็นธรรมอันเดียว เอกํ จิตฺตํ มีจิตดวงเดียว นี่เป็นของเดิมให้พากันให้พึงรู้พึงเข้าใจต่อไป นี่แหละต่อไปพากันให้รวมเข้ามาได้ ถ้าเราไม่รวมนี่ไม่ได้ เมื่อใดจิตเราไม่รวมได้เมื่อใด มันก็ไม่สำเร็จ

    นี่แหละให้พากันพิจารณาอันนี้ จึงได้เห็นเป็นธรรม เมื่อ เอาหนังออกแล้วก็เอาเนื้อออกดู เอาเนื้อออกดูแล้ว ก็เอากระดูกออกดู เอาทั้งหมดออกดู ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ตับไตออกมาดู มันเป็นยังไง มันเป็นคนหรือเป็นยังไง ทำไมเราต้องไปหลง เออนี่แหละพิจารณาให้มันเห็นอย่างนี้แหละ มันจะละสักกายทิฐิแน่ มันจะละวิจิกิจฉา ความสงสัย จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันเลยไม่มี สีลพัตฯ ความลูบคลำ มันก็ไม่ลูบคลำ อ้อจริงอย่างนี้ เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว จิตมันก็ว่าง เมื่อรู้จักแล้วก็ตัด นี่มันจะได้เป็นวิปัสสนาเกิดขึ้น


    อันนี้เรามีสมาธิแน่นหนาแล้ว ทุกขเวทนาเหล่านั้น มันก็เข้าไม่ถึงจิตของเรา เพราะเราปล่อยแล้ว เราวางแล้ว เราละแล้วในภพทั้งสามนี้ เป็นทุกข์อยู่เรื่องสมมติทั้งหลาย จิตนั้นก็ละ ละภพทั้งสาม มันก็เป็นวิมุตติ หลุดพ้นไปหมด นี่ละเป็นวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ จิตนั้นจะได้เข้าสู่ปรินิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสารไม่ต้องสงสัยแน่ เวียนว่ายตายเกิดในโลกอันนี้ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ วัฏสงสารทำไมจึงว่า วัฏคือเครื่องหมุนเวียน สงสาร คือความสงสัยในรูป เฮอ ในสิ่งที่ทั้งหลายทั้งหมด มันเลยไม่ละวิจิกิจฉาได้ซี


    เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วไม่ต้องวนเวียนอีก เกิดแล้วก็รู้แล้วว่ามันทุกข์ ชราก็รู้แล้วมันทุกข์ พยาธิก็รู้แล้วว่ามันทุกข์ มรณะก็รู้แล้วมันทุกข์ เมื่อเราทุกข์ เหล่านี้ ก็ทุกข์ เพราะความเกิด เราก็หยุด ผู้นี้ไม่เกิดแล้วใครจะเกิดอีกเรา ผู้นี้ไม่เกิดแล้วผู้นี้ก็ไม่แก่ไม่ตาย ผู้นี้ไม่ตายแล้วอะไรจะมาเกิด มันไม่เกิดจะเอาอะไรมาตาย ดูซิใจความคิดของเรา เดี๋ยวนี้เราเกิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตายอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นทุกข์ไม่แล้วสักที





    คัดมาจาก : หนังสือรวมคำสอนจากพระป่า
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เครื่องมือของคนอื่น

    ที่ มองเห็นรูปสวยๆ น่ารัก ตามันรักสวยยินดีพอใจด้วยหรือ ถ้าหากตารู้จักรักรูปสวยงามและพอใจแล้ว คนตาบอดก็คงจะหมดความชอบรูปสวยงามได้แล้ว หูฟังเสียงก็เช่นเดียวกัน อายตนะทั้ง ๖ เมื่อพิจารณาโดยนัยนี้ทั้งหมดแล้ว เขาจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร จากการสัมผัสอายตนะภายนอกเลย ที่เห็นรูปและฟังเสียงได้เป็นต้นนั้น เป็นเพียงเสียงสะท้อน คลื่นของเสียงกระทบ เป็นต้นเท่านั้น ส่วนตาและหู เป็นแต่เพียงลำโพง หรือแว่นขยายเท่านั้น หาได้มีส่วนอะไรกับเขาไม่ ตา หู เป็นต้น ก็มิใช่ของเรา และก็มิใช่ของมันเองอีกด้วย

    "เพราะมันเองก็ไม่มีสิทธิ์เสรีแก่ตัวเอง เพียงแต่เป็นเครื่องมือของคนอื่นเท่านั้น"


    [​IMG]
    หลวงปู่เทส เทสฺรงฺสี
    วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เรื่องของเขา-เรื่องของเรา

    เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
    เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
    ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
    หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
    มีแต่ยินดียินร้าย พอใจ ไม่พอใจทั้งวัน
    อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง

    ระวังนะ....
    พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก

    ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
    แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
    อย่าเอามาเป็นอารมณ์
    อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา



    [​IMG]

    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
    วัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี
    ที่มา : คัดลอกบางตอนมาจากหนังสือ "ทุกข์เพราะคิดผิด"


    .......................................................

    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก

    http://www.igetweb.com
     
  12. หนูจำไม

    หนูจำไม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +11
    แล้วตั้งใจบอกกับตัวเองว่าไม่เอาอะไรเลย
    แล้วทำไมจึงหวังอยากได้อยู่ ละคะ ขอความรู้หน่อยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...