ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Pleased, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. จัมโบ้

    จัมโบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +334
    ทรงพระเจริญ


    เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

    ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายพระพร ให้พระองค์มีสิริมายุยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของปวงประชา ตราบนานเท่านาน


    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
     
  2. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี "ในหลวงในดวงใจ"
    www.thailoveking.com


    ขออนุโมทนากับทุกๆท่าน
     
  3. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ช่วงนี้ ค่อนข้างเงียบเหงาจัง
    วันหยุดยาวอย่างนี้ อย่าลืมไปสร้างบุญกุศล
    และรักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะครับ

    ด้วยความปรารถนาดี จาก
    ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์...
     
  4. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอขยายความเรื่องสติสักเล็กน้อย คือสตินั้นเป็นสภาวธรรมในฝ่ายกุศลก็จริง แต่สติก็มี 2 ประเภท คือ มิจฉาสติหรือสติธรรมดากับสัมมาสติ

    มิจฉาสติเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์อันเป็นบัญญัติ เช่น มีสติไม่หลงลืมคำบริกรรมภาวนา มีสติไม่หลงลืมการยกเท้าย่างเท้า มีสติไม่หลงลืมงานที่กำลังทำอยู่ มีสติในการอ่านหนังสือ และมีสติในการขับรถ เป็นต้น

    ส่วนสัมมาสติเป็นความระลึกได้ถึงอารมณ์ปรมัตถ์ที่กำลังปรากฎอยู่ ไม่ประมาทหลงลืมปล่อยให้อารมณ์ปรมัตถ์เกิดขึ้นโดยไม่รู้เท่าทัน

    พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช
     
  5. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    สติธรรมดาใช้ประโยชน์ในการทำงานที่เป็นกุศลและใช้ในการทำสมถกรรมฐาน ส่วนสัมมาสติใช้ประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

    สติธรรมดาเกิดขึ้นโดดๆได้ แต่สัมมาสติต้องเกิดร่วมกับองค์มรรคทั้ง 7 ที่เหลือเสมอ

    สติเป็นอนัตตา ไม่มีใครทำสติให้เกิดขึ้นได้ และไม่มีใครรักษาสติเอาไว้ได้ตามใจปรารถนา

    สติที่อยากให้เกิดแล้วพยายามทำให้เกิดขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การจงใจกำหนดรู้อารมณ์ ไม่ใช่สติจริงๆ เพราะในระหว่างที่จงใจทำสติอยู่นั้น ตัณหายังแทรกอยู่ในจิต จิตจึงเป็นอกุศลจิตซึ่งมีสติไม่ได้เลย

    ดังนั้นไม่ต้องพยายามกำหนดรู้อารมณ์เพื่อให้เกิดสติ แต่ควรหมั่นทำเหตุใกล้ของสติ คือหมั่นตามรู้กายหมั่นตามรู้จิตอยู่เนืองๆ จนจิตจดจำสภาวะของรูปนามได้แม่นยำ แล้วสติจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีความอยากเป็นตัวนำหน้า

    สติเป็นธรรมชาติที่เกิดๆดับๆพร้อมกับจิตเป็นขณะๆ จึงไม่มีใครสามารถรักษาสติให้ตั้งอยู่นานๆได้ ดังนั้นไม่ต้องพยายามทำสติให้เกิดขึ้นนานๆ เพียงให้สติเกิดบ่อยๆก็พอแล้ว ยิ่งบ่อยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น ทั้งนี้สติจะเกิดได้บ่อย ถ้าจิตรู้จักและจดจำสภาวะของรูปนามได้มากและแม่นยำ

    พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช
     
  6. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ไปงานวันเสาร์ที่ 28 เพราะช่วงนี้ดวงตกมากเหลือเกินพลังเหลือแค่ 1 แต่ยังดีที่ไม่เหลือ 0 เลยยังไม่ตาย
    ไปๆๆ มาๆๆ อาทิตย์เว้นอาทิตย์ระหว่างวัดกับบ้าน 3 รอบ
    ช่วงแรก ตั้งแต่ปริวาสกรรม หลังวันที่ 7 พ.ย.
    ช่วงสอง 25-28 พ.ย.
    รอบสุดท้ายก็ช่วงวันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา...ได้ charge Batterry พลังก็เพิ่มขึ้นทำให้ดีขึ้นมาหน่อย
    ต้องทำใจและใช้ความอดทนมากเพื่อให้เลย 31 มี.ค. 53 ก่อนทุกอย่างถึงจะได้ดังใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2009
  7. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    คิดถึงสิจ๊ะน้องจ๋า ก็อย่างที่บอกกับท่านภราดรภาพข้างตันละดวงตก
    พอได้ทีก็โดนเจ้ากรรมนายเวรรุมสกรัมสะ..สะ.. เพิ่งจะเข้าใจว่าถึงแม้จะทำร้ายโดยตรงไม่ได้ก็ใช้วิธีขัดขวางไม่ให้เราเกิดความเจริญหรือหาเรื่องให้คนอื่นมาทำความรำคาญใจให้

    เจอเช่นนั้นทุกวันก็เลยใกล้สติแตกต้องเข้าไปนั่งกรรมฐานต้ดกรรมแทน
    ช่วงแรก ..ได้รับผลกระทบจากการที่ไปปีนเขาแถวเขาช้างเผือก กาญจนบุรี ที่นั่นเปนที่ที่มีประวัติรบกันระหว่างพม่ากับไทย วิญญาณที่ถูกตัดคอเยอะมากเลยกลับมาเดี้ยงไป 2-3 วันแต่ได้หลวงพ่อช่วยตอนไปบวชปริวาสกรรม

    ช่วงสอง 25-28 พ.ย. พอดีมีถอนพิธีโบสถ์ที่สร้างไม่เสร็จเลยไปเปนกำลังใจเพราะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ได้เจอ...ท่านแม่สงสารช่วยแก้กรรมให้และรับกรรมบางส่วนแทน ส่วนท่านพ่อช่วยตอนนั่งกรรมฐานหน้าพระพุทธรูปได้ช่วยปรับธาตุให้เพราะธาตุดินอ่อน ทำให้ธาตุไฟไม่สมดุล

    รอบสุดท้ายก็ช่วงวันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา...มีเศษกรรมบ้างส่วนเหลืออยู่ซึ่งใครๆๆ ก็ทำให้ไม่ได้เพราะผู้ทำต้องแก้ด้วยตนเอง ....ท้ายที่สุดแล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาก็ต้องมาทวงคืนกับตัวต้นเหตุอยู่ดี ฝ่ายหนับหนุนได้แค่ขวางใว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ทุกอย่างก็ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปเปนลูกโซ่ไม่มีที่สิ้นสุดถ้าผู้ก่อกรรมไม่ยอมตัดสายใยนี้เอง(ตัดกรรม) ...ใครอื่นไหน ฤา..จะกระทำการแทนได้...:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2009
  8. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    บุโรพุทโธ: แดนสรวงแห่งหุบเขาพระพุทธเจ้าหมื่นองค์




    [​IMG]


    ยินดีต้อนรับสู่เรื่องราวที่น่าประทับใจ
    ผู้ประพันธ์ได้ร้อยเรียงจากประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปยังแดนสรวงแห่งบุโรพุทโธ ณ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อศึกษาและนำมาเล่าสู่กันฟัง


    ตอนที่ 1 : ขุนเขากษัตริย์อันเร้นลับ

    ณ ดินแดนลี้ลับแห่งนี้ แม้จะมีเรื่องราวที่ได้ลบเลือนจางหายไปจากความทรงจำของชาวชวาไปเนินนานแล้วก็ตาม บุโรพุทโธ : ขุนเขาแห่งพระพุทธเจ้าหมื่นองค์ ก็ยังเป็นที่กล่าวขานถึงบรรพบุรุษที่ได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์อันเป็นมรดกโลกที่มีคุณค่ายิ่งนัก ขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์อันเป็นตั้งของศาสนสถานที่ใช้บรรจุอัฐิธาตุ ชาวชวามักนิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า จันทิ (Chandi) บ้างก็กล่าวว่าเป็นพระนามของเจ้าแม่กาลีหรือทุรคาเทวี เทพธิดาแห่งความตาย ส่วนคำว่า บุโรพุทโธ มาจากคำว่าบารา (Bara) หมายถึง กษัตริย์ ส่วนคำว่าบุโร Budur หมายถึง ส่วนที่ปรากฏยื่นออกมา นั่นก็คือ ขุนเขา เมื่อนำมาสมาสคำเข้ากัน ก็จะแปลว่า ขุนเขาแห่งกษัตริย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2009
  9. พระยา

    พระยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +294

    น่าสนใจครับ จะคอยติดตามครับ
     
  10. Dookbuabarn

    Dookbuabarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +225

    สวัดดีทุกๆท่านค่ะ โดยเฉพาะ ท่าน อ. ภราดรภาพห่างหายกันไปนานนึกว่าลืมกันซะแล้ว กลับมาคราวนี้นำเรื่องเล่าดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง น่าสนใจมากนะคะ

    ปูเสื่อรอนั่งฟังกันอยู่ ค่อยๆเล่าที่ละตอน ทีละฉาก แต่อย่านานนะคะ เพราะยุงชุม ลืมเอา ก.ย.มาด้วยซิ อิ อิ........

    เดือนนี้คงไม่ได้พบปะสังสรรค์กันตามเคย งานมากๆเลย คงได้เลื่อนเป็นปีหน้าดีไหมคะ

    วานคุณภราดรภาพแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ พี่ๆน้องๆ รอพบกันอยู่ค่ะ
     
  11. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 1 : ขุนเขากษัตริย์อันเร้นลับ (ต่อ)

    จากบันทึกเรื่องราวในอดีตของขุนเขาต้องห้าม อันเป็นที่ตั้งศาสนสถานบุโรพุทโธ ราวระหว่างปี ค.ศ. 1709 – 1710 ได้ปรากฏนักรบหนุ่มผู้หนึ่ง นามว่า กี มาส ดานา ได้คิดก่อการกฎบต่อกษัตริย์ผู้ครองแคว้นชวาภาคกลางมีพระนามว่า กาตาราม ตามพงศวดารได้อ้างว่า เหล่ากฏบที่คิดคดเหล่านี้ได้ถูกฆ่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่วนกี มาส ดานาและพรรคพวกบางส่วนได้หลบหนีไปยังขุนเขาบาราบุโร แต่ก็ถูกล้อมและจับได้ในเวลาต่อมา ก่อนที่จะส่งตัวไปให้กษัตริย์แห่งชวาภาคกลางพิพากษาประหารชีวิต

    ในเวลาต่อมา มงกุฎราชกุมารแห่งสุลต่านย็อกยาการ์ตาได้เสด็จไปเยือนดินแดนต้องห้าม แห่งนี้ ก็ต้องพบจุดจบไม่ต่างไปจากกี มาส ดานา เลย เพราะได้ต้องคำสาบแห่งย๊อกยา

    “หากหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์องค์ใดก็ตาม ที่กล้าล่วงล้ำหรือบุกรุกดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ณ บุโรพุทโธ อันเป็นศาสนสถานของพระพุทธเจ้าหมื่นองค์ ผู้นั้นจะต้องพบกับจุดจบ”

    มงกุฎราชกุมารกลับหาได้สนพระทัยกับคำสาบนั้นไม่ คิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเหลวไหล เพียงแค่สนพระทัยเกี่ยวกับกิตติศัพท์ที่เขาร่ำลือถึงกฎบ กี มาน ดานา ที่ต้องมาติดกับและตายในที่นี้ สุลต่านย็อกยาการ์ตา (พระบิดา) เมื่อทรงทราบข่าวในการเสด็จเยือนของมงกุฎราชกุมาร ณ ดินแดนแห่งนี้ จึงมีพระบัญชาให้ส่งทหารติดตามและนำตัวกลับมาโดยด่วน ในระหว่างเสด็จราชดำเนินกลับพระราชวัง มงกุฎราชกุมารได้เกิดการสำลักและอาเจียนออกมาเป็นเลือด ทรงประชวรอยู่หนึ่งวัน ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ในที่สุด นับแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเยื้องกรายและเอ่ยชื่อถึงขุนเขาอันเร้นลับนี้อีก<O:p</O:p
     
  12. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 1 : ขุนเขากษัตริย์อันเร้นลับ (ต่อ)

    ในระหว่างปี ค.ศ. 1811 - 1816 ชวาได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ข้าหลวงใหญ่ โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟล ขณะนั้นได้พำนักอยู่ที่เมืองเสมารัง ได้รับข่าวจากนายทหารหน่วยสำรวจ นามว่า คอลิน แม็คเคนซี่ เกี่ยวกับวัดโบราณเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ได้พังทลายไปตามกาลเวลา


    นายแม็คเคนซีผู้นี้เคยใช้ชีวิตในประเทศอินเดียมานานนับสิบปี ถึงกับประหลาดใจและตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก ที่ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะได้พบ ณ แดนสรวงแห่งนี้ ที่ซึ่งตั้งอยู่ในท่ามกลางดินแดนของชาวมุสลิม อีกทั้งยังอยู่ห่างจากดินแดนมาตุภูมิหรือประเทศอินเดียได้ไกลมากมายถึงเพียงนี้ ความน่าตะลึงที่มีต่อความศรัทธาของมนุษย์ ที่ได้สร้างถวายเพื่อเป็นพุทธบูชา โดยการสกัดก้อนหินอันมหึมาจากขุนเขาไฟและจัดเรียงซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ จนสูงเทียมฟ้าราวกับมหาพีรามิด ทั้งๆ ที่สมัยก่อนไม่น่าจะมีเทคโนโลยีไฮเทคอะไร นอกเหนือจากเลื่อย ค้อน ขวาน สิ่ว คาน และแรงงานมนุษย์เท่านั้น

    <O:p</O:pข้าหลวงใหญ่ราฟเฟล เมื่อได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็ไม่รอช้าที่จะฉวยโอกาสนี้ จึงได้รวบรวมและจัดตั้งทีมงานขึ้นมา โดยการกำกับดูแลของแม็คเคนซี่ ซึ่งได้มีการค้นพบสิ่งของโบราณล้ำค่า เช่น รูปเคารพสัมฤทธิ์โบราณ เหรียญเงิน และเหรียญทองคำ ฯลฯ ท่ามกลางสิ่งสลักหักพังเรียงรายยาวสุดลูกหูลูกตา ตลอดตามแนวที่ราบสูงเคทู (Ketu) แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตมากและยากที่เคลื่อนย้ายซากเหล่านี้ได้ แม็คเคนซี่จึงตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศอินเดียเพื่อชักชวนวิศวกรชาวดัทช์นามว่า คอเนลัส มาร่วมงานในครั้งนี้ ...<O:p</O:p
     
  13. จัมโบ้

    จัมโบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +334
    ขอเข้าแถวรออ่านด้วนคนค่ะ
     
  14. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 1 : ขุนเขากษัตริย์อันเร้นลับ (ต่อ)

    คอเนลัส พร้อมด้วยลูกหาบและแรงงานชาวพื้นเมืองมากกว่าสองร้อยชีวิตได้ใช้ความพยายามอยู่สองเดือน ในการเข้ามาถางถากต้นไม้ และรื้อถอนซากสลักหักพังเหล่านี้ ก่อนที่จะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของบุโรพุทโธ การบูรณะได้เสร็จสิ้นภายในสองเดือน คงมีเพียงบางส่วนที่ยากแก่การซ่อมแซมเนื่องจากแตกหักและพังทลายทำให้เกิดความเสียหายมาก จึงได้ทำการวาดและบันทึกภาพเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐาน
    <O:p</O:p

    ข้าหลวงใหญ่ราฟเฟล ยังคงพยายามที่จะเผยแพร่และนำเสนอบทความให้แก่ชาวโลกได้รับรู้ถึงเรื่องราวและความมุมานะของทีมงานตนในครั้งนี้ เพียงเพื่อต้องการที่จะจุดประกายศาสนสถานบุโรพุทโธให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนั่นเอง ทั้งข้าหลวงใหญ่ราฟเฟลและคอเนลัส ต่างก็ทราบถึงกระทบทั้งสองแง่

    ประการแรก ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงหวาดกลัวกับดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ และ
    ประการที่สอง เจ้าหน้าที่รัฐบาลมีความสนใจอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ยังคงซ้อนเร้นไว้ในศาสนสถานแห่งนี้

    ในปี ค.ศ. 1835 ผู้บริหารระดับสูงชาวดัทช์ ประจำภาคพื้นเกตู นามว่า ฮาร์ทมัน มีความสนใจเป็นพิเศษในประเด็นดังกล่าว จึงได้เข้ามาดำเนินการบูรณะต่อจากการคราวที่ผ่านมา แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะห้องภาพสลักนูนต่ำที่ได้ทำการปรับปรุงและแก้ไข นอกจากจะไม่สมบูรณ์แล้ว ยังมีบางส่วนได้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ประการสำคัญได้มีรูปเคารพลอยตัวพระพุทธเจ้าได้หายสาบสูญไปด้วย ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำลายและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสูญหายในครั้งนี้ จนกลับกลายเป็นข้อพิพาทกันขึ้น ในที่สุดฮาร์ทมัน ได้ออกมาแสดงเจตจำนงรับผิดชอบและกล่าวคำขอโทษในโอกาสต่อมา อย่างไรก็ตาม ฮาร์ทมัน ยังได้เป็นผู้บันทึกและวาดภาพลงในรายละเอียดของภาพสลักนูนต่ำไว้เกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการปฏิสังขรณ์บุโรพุทโธและได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องของบุคคลสำคัญๆ เช่น บรูมันด์ วิลเซน และลีแมนส์<O:p</O:p

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2009
  15. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 1 : ขุนเขากษัตริย์อันเร้นลับ (จบ)

    จนกระทั่งปี ค.ศ. 1885 เจ ดับบิล ไอจเซอร์แมน ได้ค้นพบภาพสลักนูนต่ำอีกเป็นจำนวนมากที่ได้ถูกซ้อนและทับถมไว้ใต้ดินตรงฐานองค์สถูปเจดีย์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1919 เอ็น เจ ครอม และ แวน แรพ์ ได้ทำการบันทึกภาพสลักนูนต่ำและรูปเคารพลงบนแผ่นฟิล์มดิจิตอล เพื่อประกอบการเผยแพร่และนำเสนอต่อ UNESCO ในปี ค.ศ. 1967 จวบจนกระทั่งปี ค.ศ. 1991 องค์การ UNESCO ได้ให้การรับรองเป็นมรดกโลกนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา<O:p</O:p
     
  16. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 2 : ที่ตั้งศาสนสถานบุโรพุทโธ

    บุโรพุทโธตั้งอยู่บนเนินเขาบนหินแดง เหนือทะเลสาบโบราณในยุดหินที่เหือดแห้งไปหมดแล้ว และสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 265 เมตร (869 ฟุต) กล่าวกันว่า บุโรพุทโธเปรียบเหมือนดอกบัวบานที่ลอยเด่นตระหง่างาม อยู่บนท่ามกลางทะเลสาบโบราณอันยิ่งใหญ่ บนที่ราบลุ่มเกทู (Kedu) ในคติพุทธถือกันว่า ดอกบัวบาน เป็นสัญลักษณ์แทนบันลังก์ของพระพุทธเจ้าและเป็นสัญลักษณ์แทนฐานที่ตั้งขององค์เจดีย์

    สำหรับชาวชวาถือกันว่าที่ราบลุ่มเกทูแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก บุโรพุทโธตั้งอยู่ห่างจากเมืองย็อกยาการ์ตาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร ใกล้กับหมู่บ้านบูมิเสโกโร ในจังหวัดมาเกลัง โดยมีภูเขาไฟสองลูกที่ยังคงคลุกกรุ่นอยู่แนบข้าง ได้แก่ ภูเขาไฟเมอร์บาบูเมราพี (Merbabu-Merapi) และภูเขาซันโดโรซัมบิง (Sundoro-Sumbing) ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลผ่านทางด้านข้างทั้งสองสาย ได้แก่ แม่น้ำโพรโก (Progo) และแม่น้ำอีโล (Elo)

    [​IMG]

    นอกจากศาสนสถานบุโรพุทโธแห่งนี้แล้ว ก็ยังมีศาสนสถานอีกสองแห่งที่มีการเรียงรายกันเป็นแนวเส้นตรงตลอดระยะทางสามกิโลกเมตรนั่นก็คือ วัดประวน (Pawon) และวัดเมนดุท (Mendut) ศาสนสถานทั้งสองแห่งนี้ได้ถูกค้นพบในต้นปี ค.ศ. 1900 กล่าวกันว่าเป็นเส้นทางปูลาดด้วยอิฐโบราณที่ได้นำพานักแสวงบุญ โดยมีจุดเริ่มต้นที่วัดเมนดุท ที่วัดแห่งนี้มีรูปเคารพสำคัญสามพระองค์ด้วยกัน เรียกกันว่า พระรัตนตรัยมหายาน ประกอบด้วย

    [​IMG]

    1) พระพุทธเจ้าปางธรรมจักร (องค์กลาง)
    2) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (ด้านขวา) บุรุษเพศนะครับ ไม่ใช่สตรีเพศ
    3) พระโพธิสัตว์วัชรปานี (ด้านซ้าย)

    ซึ่งเป็นสิ่งที่นักแสวงบุญจะต้องไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดนี้ ก่อนที่จะเดินทางข้ามแม่น้ำโพรโก ต่อไปยังวัดประวน วัดประวนแห่งนี้เป็นวัดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างบุโรพุทโธและวัดเมนดุท เป็นศาสนสถานสำหรับหยุดพักชั่วคราวและจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังบุโรพุทโธ สำหรับรายละเอียดจะกล่าวเพิ่มเติมในตอนท้าย
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2009
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 3 : ลัทธิบูชาพระพุทธเจ้าห้าพระองค์

    [​IMG]

    คริตศตวรรษที่ 7 และ 8 ศาสนาพุทธกำเนิดเกิดขึ้นในอารยธรรมอินเดีย ได้หลั่งไหลและเผยแพร่เข้ามายังเกาะสุมาตราและเกาะชวา สำหรับช่องทางการเผยแพร่ส่วนใหญ่ได้มีผู้นำพาเข้ามาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักบวช กูรู และนักแสวงบุญ รวมไปถึงพ่อค้าที่นำสินค้าของตนมาขายตามแหล่งต่างๆ

    จากข้อบันทึกของพระยีจิ้ง (Yijing) ที่ได้จาริกแสวงบุญ ณ ดินแดนแห่งนี้ กล่าวว่า ในปี ค.ศ. 671 ได้ล่องเรือจากประเทศจีนมายังท่าเรือศรีวิชัย ที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา และได้พำนักอยู่ในที่นี้ประมาณ 6 เดือน เพื่อศึกษาคัมภีร์และภาษาสันสกฤต จากนั้น จึงได้เดินทางเพื่อศึกษาต่อที่ประเทศอินเดียอีก 15 ปี จวบจนกระทั่งได้กลับมายังเมืองศรีวิชัยอีกครั้งในปี ค.ศ. 686 และพำนักอยู่ ณ ที่นี้ไปอีก 5 ปี ก่อนที่จะเดินทางไปยังประเทศจีน <O:p</O:p

    พระยีจิ้งได้พรรณาถึงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในเกาะสุมาตรา ณ อาณาจักรศรีวิชัย ในครั้งนั้นว่า มีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากที่มีความเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย แต่ที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก ก็คือ คำสอนกลับมุ่งเน้นไปที่ ชาดก ซึ่งเป็นเรื่องราวของการประสูติของพระพุทธเจ้า และการบูชาสรรเสริญต่อนาคา (พญานาค) รวมไปถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับจิตวิญญาณ <O:p</O:p

    พระยีจิ้งยังได้บอกเล่าแก่นักแสวงบุญชาวจีนที่ต้องการไปศึกษาที่ชวา นอกจากจะต้องเรียนรู้ภาษาสันสกฤตแล้ว ยังต้องเรียนภาษาท้องถิ่นด้วย และหากถูกอัธยาศัยก็ย่อมจะอยู่ได้อย่างถาวร บางคนถึงกับตั้งรกรากและแต่งงานกับชาวพื้นเมืองที่นั้นก็มี <O:p</O:p

    ส่วนใหญ่นักแสวงบุญชาวจีนมักจะเรียนรู้กับกูรูชาวอินเดียที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น นามว่า ท่านวัชรโพธิ์ ท่านมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมือง คันคิ ทางอินเดียใต้ กูรูท่านนี้นับถือเคารพองค์พระไวโรจนะ และพระวัชรธรเป็นอย่างยิ่ง โดยได้ทำการปรับปรุงและจัดทำคัมภีร์สำคัญๆ ไว้ 2 เล่ม ได้แก่ คัมภีร์มหาไวโรจนะ และคัมภีร์มหายอดมงกุฎเพชร ทั้งสองคัมภีร์นี้ยังได้เผยแพร่ต่อไปยังประเทศจีนอีกด้วย <O:p</O:p

    ท่านวัชรโพธิ์ได้นำคัมภีร์ทั้งสองเล่มนี้เผยแพร่จากเกาะสุมาตราไปยังเกาะชวาราวปี ค.ศ. 717 – 718 ในระหว่างนั้นท่านได้พบสานุศิษย์ท่านหนึ่ง นามว่า ท่านอโมฆะวัชระ และได้ติดตามท่านวัชรโพธิ์ไปยังประเทศจีน ท่านทั้งสองได้พำนักและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศจีน จนกระทั้งได้มรณะภาพในปี ค.ศ. 741 <O:p</O:p

    ท่านอโมฆะวัชระจึงได้ตัดสินใจกลับมายังชวา เพื่อต้องการศึกษา รวบรวม และแปลพระคัมภีร์ ก่อนที่จะนำกลับมายังประเทศจีนอีกครั้ง พร้อมได้พบกับสานุศิษย์ใหม่ นามว่า Huiguo ท่าน Huiguo นี้เองที่ได้สั่งสอนธรรม จนกระทั้งได้สานุศิษย์สำคัญ 2 ท่าน ท่านแรกมีนามว่า Kobo Daishi เป็นชาวญี่ปุ่น ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นชาวชวา มีนามว่า Bianhung<O:p</O:p

    ท่านโกโบ ไดชิ (Kobo Daishi) นี้เอง ที่ได้จัดตั้งลัทธิชินงอน (Shingon) หรือลัทธิสัจจะวาจา (True Word) ปัจจุบันลัทธิชินกอนเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน (พุทธตันตระ) ที่เคารพบูชาพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ โดยยึดถือคัมภีร์มหาไวโรจนสูตรเป็นสำคัญ<O:p</O:p

    ส่วนท่าน Bianhung ก็ได้เผยแพร่ลัทธินี้ในชวาด้วยเช่นกัน ทำให้สองลัทธิทั้งในชวาและญี่ปุ่นมีความใกล้เคียงกันมากทั้งในเรื่องคัมภีร์และพิธีกรรม เนื่องจากมีแหล่งที่มาเดียวกันนั้นเอง เช่นเดียวกันกับศาสนสถานในชวาภาคกลาง ซึ่งส่วนใหญ่นิยมบูชาลัทธิพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ รวมถึงบุโรพุทโธที่คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นไปปี ค.ศ. 750 – 850 อย่างไรก็ตามพุทธศาสนาก็ยังคงดำรงอยู่ในเกาะสุมาตราอย่างเหนียวแน่น <O:p</O:p

    กล่าวกันว่าในปี ค.ศ. 1013 ได้มีนักแสวงบุญท่านหนึ่งนามว่า ท่านอทิสา (Atisa) ได้เดินทางจากอินเดียมาร่ำเรียนที่เมืองศรีวิชัยนามถึง 20 ปี ก่อนที่จะไปเยือนดินแดนทิเบตในปี ค.ศ. 1038 และได้เข้าไปนำหลักธรรมไปเผยแพร่และบูรณาการณ์กับความเชื่อของลัทธิเดิม จนมีชื่อเสียงโด่งดังนามว่า ทีปันกร ศรีชะนัน และได้มรณภาพในปี ค.ศ. 1054 ซึ่งสิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนาพุทธในอาณาจักรศรีวิชัยได้ไปไกลถึงทิเบต

    หมายเหตุ: พระไวโรจนะ หรือองค์ปฐมพระพุทธเจ้า ทางญี่ปุ่นเรียกว่า พระยูไล

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2009
  18. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 3 : กษัตริย์ชวา


    ตอนนี้มีนัยสำคัญ ขอแค่เกริ่นนำ...


    ในอดีตชาวชวามีความเชื่อกันว่า ในทุกๆ สี่รัชสมัยจะต้องมีการสร้างพระราชวังและศาสนสถานแห่งใหม่ หากมิฉะนั้นแล้วจะเกิด...

     
  19. พระยา

    พระยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +294
    ติดตามครับ
     
  20. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ตอนที่ 3 : กษัตริย์ชวา

    ในอดีตศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามามีอิทธิพลในชวาเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว ได้มีการค้นพบรูปเคารพพระศิวะและพระวิษณุ (พระนารายณ์) ตามศาสนสถานต่างๆ โดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีมหากาพย์อีก 2 เรื่องที่ได้รับความนิยมแพร่หลายเป็นอย่างมาก นั้นก็คือ รามเกียรติ์ และมหาภารตะ ชาวชวาต่างยกย่องและเชิดชูกษัตริย์ของตนดั่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งนำความอุดมสมบูรณ์และปกป้องภัยจากศัตรู ทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธต่างก็ได้รับการอุปถัมภ์เคียงคู่กันตลอดมา<O:p</O:p

    ในช่วงคริสต์ศวรรษที่ 8 -9 มีกษัตริย์ชวาสองพระองค์ ที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการอุปถัมภ์ทั้งสองศาสนา องค์แรกมีพระนามว่า พระเจ้าสัญชัย (Sanjaya) องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศรีวิชัย ผู้ครองอาณาจักรศรีวิชัยที่เกาะสุมาตรา ผู้อุปถัมภ์ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวะ ทรงขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 732 และมีฐานะเปรียบเสมือนพระศิวะผู้ดูแลบนโลก <O:p</O:p

    ส่วนองค์ที่สอง มีพระนามว่า พระเจ้าไศเลนทร์ (Sailendra) องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ ผู้ครองอาณาจักรชวาภาคกลาง ทรงขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 780 และถูกขนานพระนามว่า “เทพเจ้าแห่งขุนเขา” พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาลัทธิวัชรยาน (พุทธตันตระ) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 พระองค์มีปราชัยต่อพระเจ้าสัญชัย ทำให้ต้องย้ายราชธานีไปสร้างพระราชวังแห่งใหม่ และศาสนสถานบุโรพุทโธขึ้นบนที่ราบสูงเกทู เพื่อถวายต่อเทพบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จวบจนเสร็จสมบูรณ์ในรัชสมัยของพระเจ้าสมราตุงคะ ในปี ค.ศ. 825<O:p</O:p

    จากจารึกนครศรีธรรมราช ได้บ่งชี้ว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 อาณาจักรศรีวิชัยมีอำนาจทางการเมืองคลอบคลุมไปทั่วตลอดหมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอิทธิพลเหนืออาณาจักรชวาภาคกลาง จนได้ขนานนามว่า “ยุคสุมาตรา” แต่เดิมทีทั้งสองราชวงศ์มีนโยบายในเชิงแข่งขันทั้งสถานะภาพและการปกครอง ต่อมาได้เกี่ยวดองเป็นพระญาติกัน ซึ่งตามประเพณีดั่งเดิมของชวาโบราณ ห้ามมีการแต่งงานข้ามราชวงศ์กัน แต่กล่าวกันว่าพระเจ้าสัญชัยได้ยกบุตรีของตนให้เป็นมเหสีแก่พระเจ้าไศเลนทร์ ซึ่งก็เท่ากับว่าพระเจ้าสัญชัยเป็นพ่อตาของพระเจ้าไศเลนทร์นั่นเอง พระเจ้าไศเลนทร์มีพระโอรสนามว่า เจ้าชายพลบุตร และมีพระราชธิดานามว่า เจ้าหญิงศรี กะฮูลูนัน<O:p</O:p

    ต่อมาปี ค.ศ. 832 ได้เกิดราชวงศ์ราคยาน (Rakrayan) ใหม่ขึ้น มีพระนามว่า พระเจ้าพะตะพัน เดิมทีมีฐานะเป็นเจ้าเมืองท้องถิ่น แต่พระองค์ได้อ้างสิทธิธรรมในการปกครองรัฐ จากราชินีของพระองค์ที่เป็นพระธิดาของพระเจ้าสมระตุงคะแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ พระเจ้าพะตะพันทรงสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งชวากลางองค์ใหม่ ทรงรวมศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเข้ามาเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมแบบใหม่ในชวากลาง พระเจ้าพะตะพันทรงมีพระโอรสนามว่า เจ้าชายรักไก ปิกะตัน ต่อมาพระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงศรี กะฮุลูนันแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ เจ้าชายรักไก ปิกะตัน ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี ค.ศ. 842 และทรงอุปถัมภ์ศาสนาพราหมณ์และเป็นผู้สร้างศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ “ปรัมบานัน (Prambanan)” ในปี ค.ศ. 863<O:p</O:p

    ในปี ค.ศ. 860 เจ้าชายพลบุตรโอรสแห่งพระเจ้าไศเลนทร์ ได้ขึ้นเสด็จขึ้นครองราชย์ปกครองอาณาจักรศรีวิชัยที่เกาะสุมาตรา กล่าวกันว่า เจ้าชายพลบุตรทำสงครามแย่งชิงอำนาจและพ่ายแพ้ต่อพระเจ้ารักไก ปิกะตัน ซึ่งเป็นพีเขยของพระองค์เอง ทรงหลบหนีไปอยู่ที่ศรีวิชัยซึ่งเป็นเมืองเดิมของพระมารดา พระองค์ทรงสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์พระองค์แรกที่ทรงปกครองอาณาจักรศรีวิชัย <O:p</O:p

    ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 อาณาจักรศรีวิชัยจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พุทธแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์โดยปริยาย ขณะเดียวกันอาณาจักรชวาภาคกลางที่ปกครองโดยพระเจ้ารักไก ปิกะตัน กษัตริย์ผู้ซึ่งนับถือศาสนาพรามหณ์นิกายไศวะ <O:p</O:p

    "ในอดีตชาวชวามีความเชื่อกันว่า ในทุกๆ สี่รัชสมัยจะต้องมีการสร้างพระราชวังและศาสนสถานแห่งใหม่ หากมิฉะนั้นแล้วจะเกิดความหายนะแก่ราชวงศ์ของตน จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการเคลื่อนย้ายพระราชวังและสร้างศาสนสถานใหม่อยู่บ่อยครั้ง การเคลื่อนย้ายแต่ละครั้ง มักจะอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน การเคลื่อนย้ายถือกันว่า เป็นพิธีกรรมในการสร้างจักรวาลแห่งใหม่ โดยการสร้างศาสนสถานไว้บนที่สูงคล้ายเป็นการจำลองภูเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล รวมถึงการเป็นศูนย์กลางแห่งราชวงศ์ใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน ศาสนสถานบุโรพุทโธจึงเป็นสิ่งที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงร่องรอยประวัติศาสตร์ในอดีตไว้ให้กับปัจจุบัน"
    <O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...