ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....................

    เราทหารราชวัลลภ
    รักษาองค์ฯ จะถวายสัตย์ซื่อตรง
    องค์ราชาราชินี
    ถ้าแม้นมีภัยพาลอวดหาญ
    มิเกรงดูหมิ่นข่มเหงย่ำยี
    เราจะถวายชีวีมิหวาดหวั่น
    จะลุยเลือดสู้ตายจะเอากายป้องกัน
    เป็นเกราะทองรบประจัญศัตรู

    .........................

    -เราภูมิใจในเหล่าท่านทั้งหลาย ทหารราชวัลลภรักษาพระองค์
     
  2. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488


    สาธุ ขออนุโมทนา ขอรับ
     
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466


    ความเป็นมาของทหารรักษาพระองค์ในปัจจุบัน

    <CENTER>[SIZE=+2]ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์[/SIZE]</CENTER><HR><CENTER> </CENTER><CENTER><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    <DD>พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้กำเนิดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในยุคปัจจุบันขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2404 โดยเริ่มต้นจากโปรดเกล้า ฯ ให้รวบรวมบรรดาบุตรในราชตระกูลและบุตรข้าราชการที่ยังเยาวัย ที่เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ในชั้นแรกมีจำนวน 12 คน มาทดลองฝึกเป็นทหารตามยุทธวิธีแบบใหม่อย่างชาวตะวันตก ให้ทำการฝึกแบบทหารหน้า และทำหน้าที่ไล่กาที่บินมารบกวนเวลาทรงบาตร ตลอดจนตั้งแถวรับเสด็จ ณ ที่นั้นทุกเวลา คนทั่วไปจึงเรียกว่า มหาดเล็กไล่กา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกรมทหารมหาดเล็กในสมัยต่อมา
    [​IMG] <DD>ในปลายปี พ.ศ. 2411 หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ผ่านพ้นไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้รวบรวมทหารมหาดเล็กข้าหลวงเดิม จำนวน 24 คน ตั้งขึ้นเป็นหน่วยทหารอีกหน่วยหนึ่ง เรียกกันว่า ทหารสองโหล มีหน้าที่เฝ้าพระฉากตามเดิมแต่ในตอนเช้าและตอนเย็น ต้องมารับการฝึกทหาร <DD>ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้คัดเลือกบรรดาบุตรในพระราชตระกูล และบุตรข้าราชการที่เป็นทหารมหาดเล็ก เพื่อจัดตั้งเป็นกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้น ในปี พ.ศ. 2413 ทำหน้าที่รักษาพระองค์อย่างใกล้ชิด ในชั้นแรกได้คัดเลือกไว้ 48 คน หรือ 4 โหล เมื่อรวมกับทหารมหาดเล็กเดิมที่มีอยู่ 2 โหล จึงรวมเป็น 6 โหล หรือ 72 คน ทำหน้าที่ตามที่กำหนดไว้เดิม และเมื่อมีการเสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองหรือต่างประเทศก็ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดแบ่งทหารมหาดเล็กเหล่านี้ตามเสด็จ <DD>เมื่อการปฏิบัติหน้าที่กว้างขวางขึ้น จำนวนทหารที่มีอยู่เดิมจึงมีจำนวนไม่เพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้คัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็นทหารเพิ่มขึ้น ทำให้มีจำนวนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เพิ่มขึ้นทั้งที่เป็นผู้ใหญ่และที่เป็นเด็ก เพราะทุกคนต่างก็เห็นและรู้สึกเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลในการที่บุตรหลานของตนได้เข้ารับราชการใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ <DD>พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งหน่วยทหารดังกล่าวขึ้นเป็น กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และพระองค์เองทรงดำรงพระยศเป็นนายพันเอก ตำแหน่งผู้บังคับการกรม สมัยนั้นเรียกชื่อยศเป็นภาษาอังกฤษว่า "คอลอเนล" (Colonel) ต่อมาให้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดระเบียบในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จนมั่นคงดีขึ้น และได้ทรงขนานนามหน่วยนี้เสียใหม่ว่า [SIZE=+1]กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์[/SIZE] <DD>หน่วยทหารรักษาพระองค์ได้มีวิวัฒนาการต่อมาตามลำดับ จากต้นกำเนิดดังกล่าวมาแล้ว ต่อมาได้มีหน่วยทหารรักษาพระองค์ที่เป็นหน่วยรบจากทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ และทหารช่าง ส่วนใหญ่จะเป็นระดับกองพัน และหน่วยบังคับบัญชาของหน่วยนั้นในระดับกรมที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร อยู่ใกล้ชิดองค์พระมหากษัตริย์สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง หน่วยทหารดังกล่าวได้แก่ <DD> กองพันทหารราบ ของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ <DD> กองพันทหารราบ ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ <DD> กองพันทหารม้า ของกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ <DD> กองพันทหารปืนใหญ่ ของกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ <DD> กองพันทหารช่าง ของกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ <DD> ต่อมาได้มีการขยายหน่วยทหารรักษาพระองค์เพิ่มขึ้นทั้งในหน่วยกำลังรบ และหน่วยสนับสนุนการรบหน่วยอื่น ๆ ทั้งในระดับกองพัน กรม และกองพล มากขึ้นตามลำดับ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ
    </DD>
     
  4. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210

    ขออนุโมทนา กับ คุณไก่เหลืองหางขาว ด้วยค่ะ
     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,914
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล


    <!-- google_ad_section_start -->

    [​IMG]

    รวมพุทธวัจน์ ว่าด้วยความเป็นพระโสดาบัน - Buddhism Audio

    เมื่อพี่จงรักภักดีแนะนำให้ฟังข้อธรรมของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ จึงเจอข้อธรรมของท่าน รับฟังได้จากลิ้งค์นะคะ

    ขอบคุณพี่จงรักภักดีที่ทำให้รู้จักพระอาจารย์องค์นี้ค่ะ
     
  6. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    <TABLE class=tborder id=post2703984 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2703984", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 23,679
    พลังการให้คะแนน: 7350 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2703984 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การประคองดวงจิตก่อนจะดับ..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]



    ถาม การที่จะประคองดวงจิตก่อนที่จะดับสิ้นอัสสาสะปัสสาสะ
    หรือพ้นจากโลกนี้ไป จะมีวิธีทำอย่างไรจึงจะเป็นทางให้ไปสู่สุคติ
    และไม่มีทุกขเวทนาบีบคั้น


    ตอบ การที่จะมีทุกขเวทนาบีบคั้นหรือไม่ อยู่ที่ความตั้งใจแน่วแน่
    เมื่อก่อนที่ดวงจิตจะดับ ก่อนที่อัสสาสะปัสสาสะจะสิ้น ต้องตั้งดวงจิต
    ให้มั่นในทางกุศลที่ได้อบรมไว้ อุทิศกรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย
    เจ้าก็จักเข้าสู่ความสงบ เมื่อเจ้าพ้นจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าจะต้องยึดมั่น
    ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นเครื่องช่วยชุบชูวิญญาณของเจ้าไปสู่สุคติใน
    สัมปรายิกภพโน้นโดยเร็ว หลังจากที่เจ้าได้ใช้กรรมในภพโน้นสิ้นแล้ว

    สิ่งใดไม่วิเศษยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย ก่อนดวงจิตจะดับ เจ้าจะต้องตั้งสติ
    ให้มั่นอย่าประมาท อย่าลืมตัว เมื่อจิตเจ้าแน่แน่วและยึดไว้ดีแล้ว ไม่มีอะไรจะมาบีบคั้นเจ้า

    ถ้าจิตเจ้าไม่มั่น อาจนึกถึงแต่สิ่งชั่วร้ายอันเป็นกิเลส พอกพูนดวงจิต
    ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีอุปาทานยึดมั่นในร่างกาย ในดวงจิต
    มีอวิชชาคลุมจิตใจไม่ให้ผ่องใสเสียแล้ว เมื่อนั้นแหละ กรรมจะบีบคั้นดวงจิตเจ้าให้หลุดพ้นจากร่างนี้ไป

    ฟังอย่างนี้แล้วพึงตั้งใจให้มั่นอยู่เสมอว่า เจ้าต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา
    จะประมาทขาดสติมิได้ มีความยึดมั่นในองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นในกุศลผลบุญที่เจ้าได้สร้างเป็นอหิงสา คือไม่เป็นผู้ดิ้นรน ดับกิเลสคือความอาฆาตมาดร้ายสิ้นแล้ว จิตเจ้าจะสงบ

    บางคนจุดธูปไหว้พระงึมงำ แต่ใจไปอยู่ในครัว ไปอยู่ที่อื่น
    เช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย รังแต่จะเป็นราคีมัวหมองแก่การ
    ประพฤติปฏิบัติในการกุศล หาเป็นประโยชน์อันใดไม่
    ไม่ได้จุดธูปเทียนแต่พนมด้วยมือสิบนิ้ว กับดวงใจถือเป็นประดุจ
    ดอกบัวบูชาแก่คุณพระรัตนตรัย สวดมนต์ในใจไม่ดังด้วยความ
    ตั้งใจมั่นด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ที่จะสร้างบุญกุศลอันแท้จริงแล้ว
    หูไม่ฟังเรื่องร้าย ไม่เอาตาไปดูสิ่งที่ไม่ควรดู ย่อมยิ่งกว่าจุดธูปเทียน
    บูชาต่อหน้าคนนับพัน ถ้าเจ้าตั้งใจมั่นแล้วดีเสมอ
    คาถาที่ข้าจะให้วันนี้ก็คือ "อย่าประมาทขาดสติ"



    www.watpanonvivek.com

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    Whatever will be, will be...

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466



    -สาธุ ขออนุโมทนา

    "สองคนยลตามช่อง ................."
     
  8. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    .........................

    .....ลองฟังข้อธรรมของท่านสักบทหนึ่ง แล้วผู้ปฏิบัติจะทราบได้เองว่า
    ท่านกี หรือท่าน ก.เขาสวนหลวง นั้น ควรแก่การเคารพกราบไหว้เพียงใด


    ๏ แนวการปฏิบัติธรรม

    ผู้ปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจเป็นลำดับไป ดังนี้

    การศึกษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกาละ ทุกขณะ
    ได้ผลทันที ไม่ต้องรอรับผลข้างหน้า
    ก็คือศึกษาในโรงเรียน กล่าวคือ ในร่างกายยาววาหนาคืบ มีสัญญาใจครอง
    ในร่างกายนี้ มีสิ่งน่าเรียนรู้ ตั้งแต่ขั้นหยาบจนถึงขั้นละเอียด

    ๏ ขั้นของการศึกษา

    ก. เบื้องต้น ให้รู้ว่า กายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุต่างๆ
    ส่วนใหญ่ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
    ส่วนย่อยได้แก่ ส่วนที่จับติดอยู่กับส่วนใหญ่
    เป็นต้นว่า สี กลิ่น ลักษณะ ฯลฯ

    สิ่งเหล่านี้มีลักษณะไม่คงทน (ไม่เที่ยง) เป็นทุกข์ เต็มไปด้วยของปฏิกูล
    พิจารณาให้ลึกก็จะไม่เห็นมีอะไรเป็นแก่นสาร
    มีแต่สภาพธรรมล้วนๆ ไม่มีภาวะที่ควรเรียกว่า “ตัวเราของเรา”
    เมื่อตามเห็นกายอยู่อย่างนี้ชัดเจน ก็จะคลายความกอดรัดยึดถือในกาย
    ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่นเป็นนี่เสียได้

    ข. ขั้นที่สอง ในส่วนของนามธรรม (คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    กำหนดให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ล้วนเป็นเอง ในลักษณะ
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือเกิดๆ ดับๆ เป็นธรรมดา
    พิจารณาเห็นจริงแล้วจะคลายความยึดถือในนามธรรม
    ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่น เป็นนี่ เสียได้

    ค. การศึกษาขั้นปฏิบัติ มิได้หมายเพียงการเรียน การฟัง การอ่านเท่านั้น
    ต้องมีการปฏิบัติให้เห็นประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจตนเอง ด้วยการ

    1. ปัดเรื่องภายนอกทั้งหมดทิ้งเสียก่อน
    มองย้อนเข้าดูจิตใจตนเอง
    (จนรู้ว่ามีความแจ่มใส หรือมัวหมองวุ่นวายอย่างไร)
    ด้วยความมีสติสัมปชัญญะกำกับ
    รู้กาย รู้จิตใจ อบรมจนจิตทรงตัวเป็นปกติ

    2. เมื่อจิตทรงตัวเป็นปกติได้
    จะเห็นสังขารหรืออารมณ์ทั้งหลาย เกิดดับเป็นธรรมดา
    จิตจะว่างวางเฉย ไม่ยินดียินร้าย
    และเห็นรูปนามเกิดดับเองตามธรรมชาติ

    3. ความรู้ว่าไม่มีตัวตนแจ่มชัดเมื่อใด
    จึงจะพบเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ภายใน
    เป็นสิ่งที่พ้นทุกข์ ไม่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ
    ไม่มีความเกิด ความตาย
    สิ่งที่มีความเกิด ย่อมมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดา

    4. เมื่อเห็นความจริงชัดใจแล้ว จิตจะว่าง ไม่เกาะเกี่ยวอะไร
    แม้ตัวจิตเองก็ไม่สำคัญว่าเป็นจิต หรือเป็นอะไร
    คือไม่ยึดถือตัวเองว่าเป็นอะไรทั้งหมด
    จึงมีแต่สภาพธรรมล้วนๆ เท่านั้น

    5. เมื่อบุคคลมองเห็น สภาพธรรมล้วนๆ อย่างแจ่มแจ้ง
    ย่อมเบื่อหน่ายในการทนทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ
    เมื่อรู้ความจริงฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมตลอดแล้ว
    จะเป็นผลประจักษ์เฉพาะหน้าว่า
    สิ่งที่หลุดพ้นจากทุกข์นั้นมีอยู่ อย่างชัดเจน
    โดยไม่ต้องเชื่อตามใคร ไม่ต้องถามใครอีก
    เพราะพระธรรมเป็นปัจจัตตัง คือรู้เฉพาะตนจริงๆ
    ผู้ที่มองเห็นความจริงด้านในแล้ว
    จะยืนยันความจริงอันนี้ได้เสมอ

    (ก. เขาสวนหลวง 17 มีนาคม 2497)


    -ขอขอบคุณ คุณ J.Sayamol ขอรับ
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,914
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ตั้งหลักจะเขียนบันทึกถวายหลวงพ่อสิงห์ทน นราสโภทั้งอาทิตย์แต่จิตมันเกิดอาการเบื่อหน่ายการวนเวียนของกรรมขึ้นมามากจนเขียนไม่ได้เลย

    เมื่อได้ตั้งสติเมื่อวานนี้พบว่าร่างกายยังไม่สะอาดพอจิตก็ยังไม่สงบพอที่จะเขียนพระราชประวัติบางส่วนของหลายพระองค์และหลักฐานบางส่วนของวัดวรเชษฐ์

    เมื่อคืนสวดมนต์และตั้งสติขอพระพุทธรูปว่าข้าพเจ้าอยากจะละความเบื่อหน่าย เช้านี้จึงเกิดปัญญาแล้วว่า สังขารยังไม่มีบารมีพอที่จะเล่าพระราชประวัติเหล่านี้ได้

    ต้องรักษาศีลสร้างบารมีให้เพียงพอเสียก่อน เริ่มจากอย่างง่ายก็คือขอรับประทานเจตลอดระยะเวลาที่เขียนบันทึกนี้ เช้านี้เริ่มปวารณารับประทานเจรู้สึกว่าความเบื่อหน่ายหายไปแล้ว

    ทางสายธาตุจะลองยึดแนวการเขียนของท่านพลตรี พิจิตร ขจรกล่ำ โดยจะเรียบเรียงหลักฐานทั้งหมดขึ้นมาก่อน ทั้งพงศาวดาร จดหมายเหตุ รูปแบบศิลปกรรม แล้วจึงเรียงร้อยหลักฐานเข้าด้วยกัน

    ทางสายธาตุเชื่อว่าเพราะพระราชประวัติบางส่วนเหล่านี้เป็นของสูง จึงต้องเสริมบุญบารมีให้พอที่จะบันทึกพระราชประวัติเหล่านี้ได้

    บางทีอาการทางใจบางอย่างก็หาสาเหตุไม่เจอต้องอาศัยทำบุญทำบารมีเข้าช่วยซึ่งได้ผลดีค่ะ

    คิดว่าพร้อมจะเดินหน้าต่อแล้วค่ะ การหาหลักฐานได้บ้างก็ถือว่าเป็นวิทยาทาน หากจะมีบางเหตุการณ์บางบุคคลที่อ้างโดยไม่มีหลักฐานก็จะเขียนว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่างไรก็ตามจะพยายามเขียนโดยอ้างตามหลักฐานที่หาได้ค่ะ

    ประวัติศาสตร์ก็อ้างสมมุตฐานตามหลักฐานที่ปรากฏนั่นเอง การตีความประวัติศาสตร์จึงเกิดขึ้นตามหลักฐานที่สืบค้นได้มากขึ้นตามลำดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2009
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,914
    ค่าพลัง:
    +6,434
    แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    [SIZE=-1]วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร[/SIZE]​



    [SIZE=-1]<TABLE borderColor=#808080 cellSpacing=3 borderColorDark=#808000 cellPadding=2 width="90%" bgColor=#d9ffd9 borderColorLight=#00ff00 border=2><TBODY><TR><TD width="100%"><CENTER>แก้ให้ตกเด้อ แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิด ในภพทั้งสามภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[/SIZE]​


    [SIZE=-1]ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชื่อจันทร์ เพียแก่นท้าวเป็นปู่ นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดีเดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวขาวแดง แข็งแรงว่องไวสติปัญญาดีมาตั้งแต่กำเนิด ฉลาด เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักขรสมัยในสำนักของอา คือเรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอมอ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะมีความทรงจำดี และมีความขยันหมั่นเพียรชอบการเล่าเรียนศึกษา [/SIZE]
    [SIZE=-1]ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักวัดบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏครั้นบวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้ทางพระศาสนามีสวดมนต์และสูตรต่างๆ ในสำนัก บรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปรานีมากเพราะเอาใจใส่ในการเล่าเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อยเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ [/SIZE]​

    [SIZE=-1]เมื่ออายุท่านได้ ๑๗ ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อ ช่วยการงานทางบ้าน ท่านก็ได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานของบิดามารดาเต็มความสามารถ ท่านเล่าว่าเมื่อลาสิกขาไปแล้วยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่ลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า "เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก" คำสั่งของยายนี้คอยสะกิดใจอยู่เสมอ

    ครั้นอายุท่านได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่ามีความอยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวชท่านทั้งสองก็อนุญาตตามประสงค์ ท่านได้เข้าศึกษาในสำนักท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ เมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรมเป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปฌายะ พระครูสีทา ชยเสโนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะขนานนามมคธ ให้ว่า ภูริทัตโต เสร็จอุปสมบทกรรมแล้วได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์เสาร์ กันตศีลเถระ ณ วัดเลียบต่อไป

    เมื่อแรกอุปสมบท ท่านพำนักอยู่วัดเลียบ เมื่ออุบลเป็นปกติออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลเป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้นได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัยคืออาจาระ ความประพฤติ มารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตรปฏิบัติได้เรียบร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือเดินจงกรมนั่งสมาธิกับสมาทานธุดงควัตรต่างๆ

    ในสมัยต่อไปได้แสวหาวิเวกบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ทางกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนากับเจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม และถ้ำสิงห์โตลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรมวินัยสิ้นความสงสัยในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอีสานทำการอบรมสั่งสอนสมถวิปัสสนาแก่สหธรรมิก และอุบาสกอุบาสิกาต่อไป มีผู้เลื่อมใสปฏิบัติตามมากขึ้นโดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลายกระจายทั่วภาคอีสาน

    ในกาลต่อมาได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับเจ้าพระคุณอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) จำพรรษาวัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่างๆ ในเขตภาคเนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง ๑๑ปีจึงได้กลับมาจังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่วัดโนนนิเวศน์เพื่ออนุเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบันคือ อำเภอโคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษา จำพรรษาที่วัดป่าหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย ศิษยานุศิษย์ของท่านได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยังเกียรติคุณของท่านให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป

    ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ

    ๑. บังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชรา จึงได้พักผ่อนให้คหบดีจีวรบ้างเพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย

    ๒. บิณฑบาติกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารวัตรเที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธไปในละแวก บ้านไม่ได้ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉันจนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต

    ๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาตรใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธหนักจึงงด

    ๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ตลอดมา แม้ถึงอาพาธหนักในปัจฉิมสมัยก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราวที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่ เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัยเมื่อถึงวัยชราจึงอยู่ในเสนาสนะ ป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลังที่จะภิกขาจารบิณฑบาตเป็นที่ที่ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนยำเกรงไม่รบกวน นัยว่าในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในดงพงลึกจนสุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์ จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นในคราวไปอยู่ทางภาคเหนือเป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ซึ่งพูดไม่รู้เรื่องกันให้บังเกิดศรัทธาในพระศาสนาได้

    ธรรมโอวาท คำที่เป็นคติอันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อยๆ เพื่อเป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำด้วยกาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ดังนี้

    ๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ

    ๒. ได้สมบัติทั้งปวงไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง

    เมื่อท่านอธิบายตจปัญจกกรรมฐานจบลงมักจะกล่าวเตือนขึ้นเป็นคำกลอนว่า แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิด ในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่ ดังนี้

    เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุผู้เป็นสานุศิษย์ถือลัทธิฉันเจ ให้เข้าใจถูกและละเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้วได้กล่าวคำเป็นคติขึ้นว่า "เหลือแต่เว้าบ่เห็นบ่อนเบาหนักเดินบ่ไป ตามทางสิถึกดงเสือฮ้าย" ดังนี้แลการบำเพ็ญสมาธิเอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้วส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ถ้าใครกลัวตายเพราะเด็ดเดี่ยวทางความเพียร ผู้นั้นจะกลับมาตายอีกหลายภพ หลายชาติไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตายผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลงถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้น แลจะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาบทุกข์อีก

    [/SIZE]ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดความแปรปรวนของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ท่านพระอาจารย์มั่นแสดง โดยยึดหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านปฏิบัติเพื่อตักเตือนนักปฏิบัติทั้งหลาย

    ท่านแสดงเอาแต่ใจความว่า... การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลคือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง.. นี้แลคือคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทำบาป..ถ้าทางกายไม่ทำแต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำสั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับก็เริ่มสั่งสมบาป ต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้โดยมิได้สนใจว่าตัวทำบาปหรือสั่งสมบาปเลยแม้กระนั้นยังหวังใจอยู่ว่าตนมีศีลธรรม และคอยแต่เอาความบริสุทธิ์จากความมีศีลรรมที่ยังเหลืออยู่แต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายภายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะตนแสวงหาสิ่งนั้นก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้นจะให้เจออะไรเล่าเพราะเป็นของที่มีอยู่ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์

    ขออัญเชิญคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปุ่มั่น ภูริทัตโตมาไว้เป็นมงคลในกระทู้​

     
  11. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    <TABLE class=tborder id=post2713872 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->hura<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2713872", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เปา)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2009
    สถานที่: Bkk.,
    ข้อความ: 550
    Groans: 1
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,661
    ได้รับอนุโมทนา 4,777 ครั้ง ใน 409 โพส
    พลังการให้คะแนน: 107 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2713872 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->วิธีสลายความทุกข์ด้วยตัวเอง<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"></INS></INS>
    [​IMG]


    ความทุกข์ก็คือความไม่สบายใจ เมื่อไม่สบายกายบางครั้งแค่ซื้อยากินเองก็หายแต่บางครั้งก็ต้องไปหาหมอให้เยียวยา รักษา จึงจะหายจากการไม่สบายหรือความทุกข์กาย ความไม่สบายกายก็เช่นกัน ถ้าเป็นมาก ๆ ก็อาจต้องไปพบจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิตเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ถ้ายังเป็นไม่มากนักเป็นความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจที่ผ่านมาในชีวิตประจำวันไม่รุนแรงถึงกับทำให้เจ็บป่วยทำงานไม่ ได้ แต่ก็ทำความรำคาญและริดรอดความสุขในชีวิตไปความไม่สบายใจหรือความทุกข์ใจ กรณีแบบนี้ น่าจะเยียวยาได้ด้วยตัวเอง วันนี้จึงอยากเสนอแนะวิธีการสลายความทุกข์ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ดังนี้

    ความทุกข์เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกที่น้อยใจพ่อ-แม่ว่ารักพี่หรือน้องมากกว่า ลูกน้อยที่น้อยใจหัวหน้าที่ไม่เคยให้ความสำคัญ ไม่เคยให้สองขั้น ไปยกย่องเพื่อนร่วมงานที่ความสามารถน้อยกว่า หรือภรรยาน้อยใจที่สามีว่าชอบเห็นความสำคัญกับงานมากกว่าเธอ เป็นต้นควรสลายความทุกข์เหล่านี้ด้วยคำว่า “ช่างเขา” ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา ปล่อยเขาไป เขาจะได้ดีกว่ามีคนรักมากกว่าชื่อเสียงเงินทองมากกว่า ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรา เขาได้ดีกว่าเพราะเขาทำบุญมากกว่า ถ้าเราอยากได้ดีอย่างเขาก็ควรเร่งทำตัวเสียใหม่ให้เป็นที่พอใจของพอ่แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และสามี แต่ถ้าทำไม่ได้เพราะความสงสัยของเราก็จงท่องคำว่า “ช่างเขา”

    ความทุกข์จากการถูกนินทา ถูกวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง ซึ่งความจริงก็แค่ลมปากแต่เมื่อสัมผัสด้วยการได้ยิน กลับทำร้ายจิตใจได้ชงัดนัก เกิดความเจ็บร้อนมากที่เดียววิธีสลายความทุกข์จากการนินทาก็คือบอกตัวเองว่า “ฉันไม่แคร์” จะไม่เก็บมาคิด ไม่เอาใจใส่ให้เจ็บใจจนนอนไม่หลับซึ่งถ้าเราไม่แคร์แล้วลมปากเหล่านั้นก็จะ พัดผ่านหายไปเอง

    ความทุกข์จากการทำผิด ควรคิดอยู่เสมอว่า “คนเราผิดกันได้” ในโลกนี้คงไม่มีใครหลอกที่ไม่เคยทำผิดอยู่ที่ว่าเมื่อรู้ตัวว่าผิดแล้วคิด แก้ตัว พยายามทำสิ่งที่ถูกต้องใหม่หรือเปล่า ความทุกข์ทกอย่างแก้ไขได้เสมอถ้ามีความพยายามและตั้งใจจริง

    ความทุกข์จากการขลาดกลัว ควรรู้จักสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง ค้นหาข้อดีของตัวเองแล้วยึดไว้เป็นความภาคภูมิใจ และกล้าเผชิญกับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ จะช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้น

    ความทุกข์ที่ไม่สามารถบอกใครได้ เป็นความลับคับอกจริง ๆ ต้องทนทุกข์อยู่เสมอ ควรระบายออกด้วยวิธีต่าง ๆ จะทำให้นอนหลับสบายกายและใจมากขึ้น

    ดังนั้น ความอดทน ความฉลาด รู้จักยั้งคิด และให้อภัย จึงเป็นหัวใจของการอยู่รอดสู่ความสำเร็จได้ ชิวิตจะวุ่นวาย โลกมืดมิด ครอบครัวสับสนไร้สุข ก็เพราะคนเราขาดความตระหนักในปัจจัยดังกล่าวนี้ ตรงกันข้ามหากคนเราตระหนักและน้อมนำใจให้ฝึกฝน เพิ่มพูนคุณธรรม 4 ประการนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดบนรากฐานของความถูกต้อง ย่อมประสบความสำเร็จและอยู่รอดได้ทุกเมื่อ

    ขอบคุณบทความจาก jvkk.go.th



    <!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ๐ขอขอบคุณ คุณhura ขอรับ
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2009
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,914
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ทรงพระราชทานสัมภาษณ์

    ซีอาร์ไอภาคภาษาไทยกราบทูลสัมภาษณ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีเกี่ยวกับงานแสดงดนตรีและวัฒนธรรม"สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน"ครั้งที่ 4


    [​IMG]


    ท่านผู้ฟังคะ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีกำหนดจะเสด็จเยือนกรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองตงกว่าน สาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 12-25 ธันวาคม 2552 เพื่อทรงแสดงพระอัฉริยภาพด้านการบรรเลงดนตรี"กู่เจิง"เครื่องดนตรีโบราณของจีน ในงานแสดงดนตรีและวัฒนธรรม"สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน"ครั้งที่ 4 ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ ไทย-จีน ด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมครั้งสำคัญ ตามคำกราบทูลเชิญของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนที่จะจัดงานฯ ดังกล่าว พระองศ์ทรงเสด็จมากรุงปักกิ่งเพื่อทรงซ้อมกับวงดนตรีจีน และพระราชทานพระวโรกาสให้ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอเฝ้ากราบทูลสัมภาษณ์


    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. ข้าพระพุทธเจ้า นางหลี่ หมิ่น และคณะช่างภาพ ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ รู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณของใต้ฝ่าพระบาทเป็นล้นพ้น ต่อการพระราชทานพระวโรกาสให้ข้าพระพุทธเจ้าและคณะ เฝ้ากราบทูลสัมภาษณ์ เพื่อนำออกอากาศและเผยแพร่ทางสถานีวิทยุซีอาร์ไอ และเว็บไซต์ของสถานีวิทยุซีอาร์ไอภาคภาษาไทย ตามหัวข้อที่ได้ทูลถวาย

    ควรมิควร สุดแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม


    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. ในฐานะที่ทรงเป็นทูตวัฒนธรรมจีน ทรงร่วมในงานแสดงดนตรีและวัฒนธรรมสายสัมพันธ์สองแผ่นดินมาแล้ว 4 ครั้ง ประชาชนชาวจีนประทับใจเป็นล้นพ้นในพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของใต้ฝ่าพระบาท และทำให้ประชาชนจีนรู้จักพระราชวงศ์ของไทยมากขึ้น และทราบว่าเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกของโลกที่สามารถทรงกู่เจิงได้ เพราะเหตุใดจึงสนพระทัยเครื่องดนตรีจีนโบราณชนิดนี้ ทรงเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ


    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี. ที่สนใจเพราะว่าเมื่อราวๆ ปีค.ศ. 2000 ได้มาประเทศจีนและได้ล่องเรือแม่น้ำหลีเจียง กุ้ยหลิน เขาจัดนักดนตรีกู่้เจิงกับผีผามาเล่นบนเรือ ตอนนั้นจำได้ว่า เล่นเพลงเมฆตามพระจันทร์ ไฉ่หยุนจุยเยวี่ย รู้สึกว่าเป็นเพลงที่เพราะและประทับใจ จึงขอให้เขาเล่นซ้ำหลายครั้ง และเป็นจุดเิริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกว่าอยากเล่นกู่เจิง ก็บอกทางสถานทูตจีนว่าขอให้หาครูมาสอนด้วย เขาบอกว่ามีครูอยู่คนหนึ่งที่อยู่เมืองไทยอยู่แล้ว คือคุณครูหลี่หยาง ก็ได้สอนเริ่มตั้งแต่ปี 2000

    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. ในการทรงร่วมงานแสดงดนตรีและวัฒนธรรม"สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน"ครั้งนี้ ซึ่งกำหนดจัดในเมืองสำคัญ 3 เมืองของจีน คือ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองตงกว่าน เหตุใดจึงทรงเลือก 3 เมืองนี้เพคะ

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี. ทุกครั้งที่มาเล่น ก็ต้องเล่นที่ปักกิ่ง เพราะว่าเป็นเมืองหลวง ส่วนอีกสองที่ก็ปรึกษากับคุณจางเจิง เพราะอยากได้เมืองที่มีออเคสตราที่ดี เพราะว่าจะทำให้เล่นง่ายขึ้น ถ้าได้ออเคสตราไม่แข็ง ก็จะทำให้เล่นกู่เจิงค่อนข้างยาก ก็เลยเลือกสถานที่ที่มีวงที่เรียกว่ามีศักยภาพที่เม็คอัปได้ดี

    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. เพลงที่จะทรงกู่เจิงในงานฯ มีทั้งหมด 5 เพลงด้วยกัน มีทั้งเพลงจีนและเพลงไทย ทรงเลือกเพลงอย่างไรเพคะ

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี. เพลงระบำเผ่าอี้ นั้นคล้ายๆ ว่าเป็นเพลงประจำตัว เพราะว่าเล่นที่ไหนก็จะขึ้นด้วย ระบำเผ่าอี้ ก่อนทุกครั้ง และก็สำหรับเพลงเผ่าไทย เป็นเพลงไทย และก็ยังไม่เคยแสดงที่ไหนมาเลย เพลงนี้เป็นทำนองไทยเดิมที่ชื่อว่า ขับไม้บัณเฑาะว์ แล้วสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าให้ท่านผู้หญิงหม่อมหลวงมณีรัตน์ บุนนาค มาแต่งเนื้อและทรงพระราชทานชื่อว่า เพลงเผ่าไทย เพลงนี้นอกจากจะมีกู่เจิงและออเคสตราแล้วยังจะมีคนร้องเพลงด้วย นอกนั้นอีกเพลงที่นำมาเล่นที่เป็นเพลงที่ประทับใจตั้งแต่ต้นคือ เมฆตามพระจันทร์ คราวนี้เิอามาเล่นด้วย แล้วก็มีเพลงใหม่ที่ไม่่เคยแสดงที่ไหนอีกเพลงหนึ่งคือ ชุนเต้าลงซา ที่เอามาแสดงเพราะรู้สึกว่าแต่ละเพลงอยากให้ลีลาของเพลงไม่ซ้ำกัน มีหลายรสหลายชาติ จะได้รู้สึกว่ามันตื่นเต้นหน่อย ชุนเต้าลงซา นั้นเป็นเพลงทิเบต ส่วนเพลงสุดท้ายเป็นเพลงประจำของงานคือ เพลงสายสัมพันธ์ สองแผ่นดิน จะเล่นทุกครั้งเป็นการปิดงาน "สายสัมพันธ์ สองแผ่นดิน"

    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชวงศ์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลก ทรงแบ่งเวลาระหว่างงานทางวิชาการและงานทางด้านดนตรีอย่างไรเพคะ แต่ละวันทรงซ้อมเป็นเวลามากน้อยเพียงใด และเท่าที่ทรงซ้อมกับวงดนตรีจีนเป็นอย่างไรบ้างเพคะ

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี. แบ่งเวลานี้ค่อนข้างจะแบ่งยาก คือวันหนึ่งก็ต้องทำงานเกิน 15 ชั่วโมง เพราะว่างานทางวิชาการก็เยอะ และก็ยังมี"สายสัมพันธ์ สองแผ่นดิน"อีก เพิ่งรู้ตัวเมื่อเดือนมีนาคมว่าต้องแสดงในเดือนธันวาคม ช่วงต้นๆ นั้น ใช้เวลาซ้อมถึงวันละ 5 ชั่วโมง ตอนนี้ก็ลดลงมาเหลือประมาณ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อทำให้ความคล่องตัวของนิ้วคงอยู่ ก็ใช้เวลามากพอสมควร สำหรับซ้อมกับวงจีน ก่อนมาได้ซ้อมกับวงดุริยางค์ของราชนาวีไทยมาแล้ว 10 กว่าครั้ง เพราะว่าจะได้ไม่งงว่าออเคสตราจะขึ้นมาตรงไหน กู่เจิงจะต้องแซงขึ้นตอนไหน โดยเฉพาะเพลงเ่ผ่าไทย จะมีการแซงกันไปแซงกันมาระหว่างกู่เจิงกับออเคสตราค่อนข้างเยอะ ซึ่งจะทำให้เล่นค่อนข้างยาก แต่เมื่อวานนี้เท่าที่ซ้อมกับวงที่นี่ ก็ไม่มีปัญหาอะำไร ก็ไปได้ดี เมื่อวานเพิ่งซ้อมไป 3 เพลง วันนี้จะซ้อมอีก 2 เพลง

    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. งานแสดงดนตรีและวัฒนธรรม "สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน" ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ทรงเห็นว่า มีบทบาทอย่างไรต่อความสัมพันธ์ไทย-จีนเพคะ


    [​IMG]

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี. คิดว่ามีบทบาทมาก เพราะว่า ดนตรีเป็นเหมือนตัวนำที่นุ่มนวล เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ระหว่างไทย-จีน ข้าพเจ้าเล็กๆ มาก็เริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนเด็กเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และเพิ่งมาเล่นกู่เจิงเมื่อสัก 9 ปีที่แล้ว รู้สึกว่าดนตรีทำให้จิตใจของเราอ่อนโยน และสบายใจ เพราะฉะนั้นก็รู้สึกว่า เป็นการนำทางที่ดีที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันระหว่างคนไทยและคนจีน และคนไทยก็สนใจงาน "สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน"ครั้งนี้มากเหมือนกัน และตั้งตาคอยฟังทางโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดไป

    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. ในฐานะที่ทรงเป็นทูตวัฒนธรรมของประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2002 ทำให้ทุกครั้งที่เสด็จไปต่างประเทศ ได้ทรงนำ กู่เจิง ไปด้วยทุกครั้ง ทรงมีพระดำริในเรื่องนี้อย่างไรเพคะ

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี. ก็อยากให้ต่างชาติเขารู้จักเครื่องดนตรีของจีนชนิดนี้ เพราะว่าจริงๆ กู่เจิงเป็นเครื่องดนตรีที่พิเษศมาก และในสายตาของข้าพเจ้าว่ามีเสน่ห์มาก แค่มองก็รู้สึกว่าเป็นเครื่องดนตรีที่สวยงาม ดูเอกซ์ซอติค ทำให้เห็นแล้วก็อยากได้ยินเสียงว่าเสียงมันเป็นยังไง พอได้ยินเสียงแล้วก็ทำให้ต่างชาติโดยเฉพาะปีนี้ไปเล่นหลายประเทศของยุโรป เช่น ประเทศสวิเซอร์แลนดฺ์ สเปน โปรตุเกส อิตาลี โปแลนด์ ไปเล่นหลายประเทศมาก รู้สึกคนก็ประทับใจมาก มันมีลีลาการเล่น และเสียงที่เอื้อนได้นี่ไม่เหมือนกับดนตรีตะวันตก ซึ่งไม่สามารถทำเสียงเอื้อนให้นุ่มนวล เสนาะหู เขาทำไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าชาวต่าวชาติ สนใจอย่างมาก

    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ. ในฐานะที่เป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงระดับชาติที่ออกอากาศสู่นานาประเทศด้วยภาษาของประเทศนั้นๆ อย่างภาษาไทยสู่ผู้ฟังชาวไทย และเป็นเ็ว็บไซต์ภาษาไทยที่ดำเนินการโดยสื่อมวลชนระดับชาติของจีน ภาคภาษาไทยสถานีวิทยุซีอาร์ไอ(China Radio International)ทุ่มเทกำัลังในการเผยแพร่ข่าวสารและความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับประเทศจีนสู่ผู้ฟังชาวไทย เพื่อเสริมสร้างมิตรภาพจีน-ไทยมาโดยตลอด ในโอกาสที่ปีหน้าจะครบรอบ 60 ภาคภาษาไทยซีอาร์ไอ ขอพระราชทานพรด้วยเพคะ

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครรากุมารี. ขอให้ทำงานได้เป็นผลดีอย่างยิ่ง และขอใก้ทุกคนมีความสุขในการทำงานด้วย


    ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ.ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเป็นพระกรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้คณะผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอเฝ้ากราบทูลสัมภาษณ์

    เมื่อทรงทราบว่าสถานีวิทยุซีอาร์ไอ (China Radio International) มีประวัติเกือบ 70 ปีและพอดีชื่อซีอาร์ไอพ้องเสียงกับชื่อสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (Chulabhorn Research Institute) ซึ่งก็มีชื่อย่อว่า CRI เหมือนกัน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงรับสั่งด้วยพระอารมณ์ขันว่า " เราสาวกว่า"


    ที่ท่านได้ฟังคือ การกราบทูลสัมภาษณ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เกี่ยวกับงานแสดงดนตรีและวััฒนธรรม"สายสัมพันธ์ สองแผ่นดิน"ซึ่งกำหนดจะจัดในกรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้และเมืองตงกว่านระหว่างวันที่ 12 – 25 ธันวาคมศกนี้ ถึงเวลานั้น ประชาชนจีนก็จะมีโอกาสชื่นชมพระอัฉริยภาพทางดนตรีของพระองค์ท่านค่ะ

    http://thai.cri.cn/281/2009/11/16/2...อภาคภาษาไทยกราบทูลสัมภาษณ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2009
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คำต่อคำของ "อำมาตย์ ๑๐๐ % " ชื่อ ดร.สุเมธ

    ....................

    ... มาคุย "ส่งท้าย" งานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ที่เสร็จสิ้นลงไปอย่างสวยงามเมื่อคืนกันบ้าง (๑๓ ธ.ค.๕๒) ทั้งแสงสี ทั้งเรื่องราว และทั้งพลุ ที่ถนนราชดำเนิน ที่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า และที่เมืองทองธานี ดื่มด่ำ-น้ำตาซึมกันแล้วใช่ไหม?

    วันนี้-ผมจะมาส่งท้ายด้วยเรื่องที่ "ท่านต้องอ่าน" เข้าใจว่ามีเผยแพร่ไปแล้ว แต่ผู้ใช้นามว่า vars ฟอร์เวิร์ดมาให้ ถึงท่านใดอ่านแล้ว อ่านอีกกี่ร้อยเที่ยวก็ไม่เบื่อ ผมจึงขออนุญาตนำมาลงให้อ่านกันอีกครั้ง แต่วันเดียวไม่จบแน่ ฉะนั้น อ่านวันนี้แล้ว ก็ต้องตามอ่านตอนจบวันพรุ่งนี้ด้วย ดังนี้

    คำต่อคำ อำมาตย์ ชื่อ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บันทึกไว้ในแผ่นดิน...ตามเส้นทางเสด็จฯ ทุกคำ ทุกบรรทัด จากนี้ไป พสกนิกรไทยชาวไทยไม่อาจไม่อ่าน !!

    "ดร.สุเมธ" เล่าเรื่องอาการพระประชวร

    "พระองค์ท่าน พระชนมพรรษาตั้ง 80 พรรษากว่าแล้ว การที่ทรงพระประชวรก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งพระวรกายของพระองค์ท่านก็ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ทรงเสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกรอย่างมากมาย ผมได้มีโอกาสตามเสด็จมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 กว่าๆ เป็นต้นมา เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานเกินกว่าภาวะร่างกายมนุษย์จะพึงแบกรับได้ พระวรกายของพระองค์ท่านก็ต้องสึกหรอเป็นธรรมดา"

    "อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พระองค์ท่านทรงมีพระวรกายแข็งแรง ทรงมองปัญหา วางแผนการแก้ปัญหาไว้เรียบร้อยแล้ว ทรงตั้งองค์กรที่จะรับงานไปดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการพระราชดำริ และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์"

    ทำให้มีองค์กรที่สามารถทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าระยะหลังพระองค์ท่านจะไม่ได้เสด็จออก แต่งานทั้งหลายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่มีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงเข้าเฝ้าฯ บ่อยมากๆ และทรงรับพระราชกระแสรับสั่งมา ทำให้ในแง่งานไม่ได้หยุดลงเลย

    "ทรงงานตลอดเวลา...แม้ประทับอยู่โรงพยาบาล"

    แม้ว่าในขณะนี้ พระองค์จะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระเทพฯ ก็ยังทรงเข้าเฝ้าฯ และกราบทูลฯ ถวายรายงาน บางงานพระองค์ท่านก็มีรับสั่งเพิ่มเติม ในฐานะพระองค์ท่านทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ สถาบันน้ำ ท่านก็รับสั่งให้ข้อมูลตลอดเวลา ในโลกที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้า การสั่งราชการสมัยใหม่ สั่งงานที่ไหนก็ได้ และรูปแบบการถวายรายงานก็มีหลายช่องทาง ไม่จำเป็นต้องเสด็จฯ ให้เหนื่อยยากเหมือนสมัยก่อน และงานทุกอย่างพระองค์ท่านทรงหลับตาก็เห็นหมด

    มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงโทรศัพท์สายตรงมาถึง ตอนนั้นก็ประมาณตีสอง ตีสาม ก็เคย แสดงให้เห็นว่าท่านทรงงานตลอดเวลา แต่ส่วนมากท่านจะทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ

    ตัวอย่างคำแนะนำของในหลวง ตอนนั้นมีเรื่องการตั้งโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของหน่วยงานอื่น พระองค์ท่านทรงเห็นว่าไม่ควรดำเนินการ แต่ได้ทรงอธิบายว่าทำไมพระองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็แจ้งให้หน่วยงานนั้นยุติเสีย

    "ทรงงานอย่างละเอียด...รอบคอบทุกพิกัด"

    ท่านมีพระกระแสรับสั่งงานได้เฉพาะเจาะจง บางครั้งงานที่เราถวายรายงานก็ทรงทราบรายละเอียดมากกว่าเราที่อยู่ในพื้นที่ มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์จะเสด็จฯ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เราไปนอนรออยู่ก่อนที่เวียงจันทน์ แล้วถวายรายงานเรื่องพิกัด ท่านก็มีพระกระแสรับสั่งผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัย กลับมาตอนสี่ทุ่ม ทรงมีรับสั่งว่า "พิกัดที่ส่งไป ผิดพลาดไปประมาณ 500 เมตร" เราซึ่งอยู่ในพื้นที่ยังถวายรายงานได้ไม่ครบ แต่พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังยังทราบได้ ทั้งๆ ที่คณะทำงานขนระบบ GPS ไปกันเพียบ

    พอรุ่งขึ้น...เข้าไปวัดใหม่ก็ปรากฏว่าผิดพลาดจริงๆ เมื่อพระองค์ท่านประทับลงจากรถ ก็ทรงรับสั่งว่า "เห็นมั้ย...บอกผิด" นี่เป็นตัวอย่างว่าท่านทรงงานละเอียดมาก งานทุกแห่งท่านต้องทรงไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง

    "ทรงพะวงกับงานโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย"

    การทรงงานทุกอย่าง ท่านคิดแต่เรื่องคนอื่นตลอดเวลา ทรงเกรงใจคน ไม่ต้องการให้คนอื่นลำบาก บางคราวเสด็จออกโดยไม่แจ้งหมายกำหนดการล่วงหน้า ทรงทราบว่าจะมีคนมาคอยเฝ้าฯ จะลำบาก พวกเราก็ต้องคอยเก็งเอาว่าท่านจะเสด็จฯ ไหน เมื่อเสด็จออกถึงได้รู้กันตอนนั้น บางครั้งก็เก็งถูก บางครั้งก็ผิด แต่เราก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอ มีรถนำขบวนเตรียมไว้ทั้งซ้าย-ขวา ท่านเสด็จออกทางไหนก็พร้อม มีโอเปอเรชั่นวางไว้เลย

    ครั้งที่แล้วที่เสด็จฯ ประทับโรงพยาบาลเพราะต้องผ่าตัด อีก 5 ชั่วโมงจะเสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลศิริราช ทรงมีรับสั่งให้ทีมงานติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามสถานการณ์พายุที่จะเข้าฝั่ง พระองค์ท่านทรงพะวงกับงาน โดยไม่คิดถึงพระวรกาย ไม่ใช่ว่าเมื่อทรงพระประชวรแล้วจะหยุดทรงงาน ขณะนี้ก็มีหนังสือราชการ มีการลงพระปรมาภิไธย มีพระบรมราชโองการตลอดเวลา

    "ผมคิดว่าเป็นเพราะความเกรงใจคนอื่น การประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ขณะนี้ทราบว่าพระอาการทั่วไปหายดีหมดแล้ว เหลือเฉพาะต้องประทับต่อเพื่อทำกายภาพบำบัด หากท่านเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาล ก็เกรงใจทีมแพทย์ การประทับโรงพยาบาลต่อเพื่อจะทำให้ทีมแพทย์มีความสะดวก...นี่ผมเดาเอาเองนะ เพราะท่านทรงคิดถึงคนอื่นตลอดเวลา แม้จะเสด็จฯ ไปหัวหิน ก็ทรงรอให้ถึงวันเปิดเทอม เพราะจะได้มีคนน้อยๆ รถราไม่ติด ทุกเรื่องทรงคิดหมด"

    ฝนตก แดดออก ทรงเสด็จออก ไม่เคยยกเลิกหมายกำหนดการ มีอยู่ปีหนึ่งน้ำท่วม ท่านเสด็จออกโดนแมลงกัดจนมีแผลที่พระบาท ท่านก็ยังมีรับสั่งงานต่างๆ ต่อ งานทุกอย่างท่านต้องทอดพระเนตร ทุกงานพระองค์จะทรงห่วงตลอด

    พรุ่งนี้ต่อนะครับ มาอ่านต่อ "คำต่อคำ" ของอำมาตย์ ๑๐๐% ที่ชื่อ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" ผมจะไม่ฉายหนังตัวอย่างของวันพรุ่งนี้ให้ท่านกระหายใคร่รู้หรอก แต่บอกได้ว่า อ่านจบ ๒ วันนี้แล้ว "ตัดเก็บ" ไว้เลย.


    *ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน - ไทยโพสต์
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    จับอาวุธสงครามข้ามชาติ ต้องระวัง'อาฟเตอร์ช็อก'

    <!-- main-content-block --><!-- 16 ธันวาคม 2552 - 00:00 -->
    16 ธันวาคม 2552 - 00:00


    การเข้าตรวจยึดเครื่องบินลำเลียงแบบทหาร รุ่น IL 76 (อิลยูชิน 76) สีขาว เลขข้างตัวเครื่อง 4L-AWA เที่ยวบินที่ AWA732 เดินทางมาจากกรุงเปียงยาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ปลายทางประเทศศรีลังกา ซึ่งภายในบรรทุกอาวุธสงคราม ทั้งท่อกราวน์มิซซาย หัวจรวดมิซซาย จรวดอาร์พีจี และอื่นๆ จำนวนมาก น้ำหนักรวมกว่า 40 ตัน ขณะแวะจอดเติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ท่าอากาศยานดอนเมืองของเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ กรมศุลกากร และตำรวจกองปราบปราม

    พร้อมจับกุมนายอิลยาส อิสซาคอฟ อายุ 56 ปี นักบินที่ 1 นายวิทาลี ชุมคอร์ป อายุ 54 ปี นักบินที่ 2 นายวิกเตอร์ อับดุลลาเยฟ อายุ 58 ปี เนวิเกเตอร์ นายอเล็กซานดะ ไซร์บาเนฟ อายุ 53 ปี ช่างเทคนิค ทั้งหมดสัญชาติคาซัคสถาน และนายมิคคาอิล พีทูคู อายุ 54 ปี ช่างเครื่องยนต์ สัญชาติเบลารุส แจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7 และ 72 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83

    แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะออกมายืนยันว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทุกอย่างดำเนินการตามมติของสหประชาติ หรือกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ไทยเป็นประเทศภาคีร่วมอยู่ โดยสิ่งที่ทำไปคือการทำหน้าที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ก็ระบุว่า ในบันทึกของยูเอ็นกำหนดไว้ชัดเจนว่า กรณีเช่นนี้ประเทศอย่างเรา ซึ่งเป็นประเทศเส้นทางที่เขาขนส่งผ่านเข้ามาจะต้องทำอย่างไร เขากำหนดไว้ชัด เมื่อทำเสร็จก็ต้องรายงานสหประชาชาติเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    เช่นเดียวกับนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บอกว่า การจับกุมและดำเนินการของฝ่ายไทย ถือว่าเป็นไปตามหลักสากลของสหประชาติ ที่จะต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ทำการขนอาวุธเข้ามาในราชอาณาจักร หากปล่อยให้เติมน้ำมันแล้วบินออกไป โดยขนอาวุธไปด้วย และมีการตรวจสอบภายหลังว่าบินจากประเทศไทย อาจถูกตำหนิได้ว่ามาตรการของไทยแย่

    แต่เรื่องที่เกิดขึ้นถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง เป็นการดำเนินการตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ ทว่าในทางอ้อมประเทศไทยก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี เพราะเป็นผู้ทำหน้าที่จับกุมและตรวจยึดเครื่องบินลำดังกล่าว การสกัดกั้นไม่ให้อาวุธสงครามน้ำหนักกว่า 40 ตัน มูลค่าสินค้าน่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 ร้อยล้านบาทไปสู่จุดหมายปลายทาง ต้องสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับเจ้าของอาวุธอย่างแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่เป็นเจ้าของอาวุธมูลค่าเหล่านี้ก็ต้องไม่ใช่ธรรมดาด้วย

    เมื่อผลประโยชน์เสียหายมหาศาลเช่นนี้ และผู้เป็นเจ้าของก็น่าจะไม่ใช่พวกธรรมดา คงไม่มีใครคาดการณ์ผลสะท้อนที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ เพราะถ้าผู้เป็นเจ้าของรู้ว่าถูกตรวจยึดไปแล้วก็แล้วกันไป ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้ารู้ว่าถูกทางการไทยยึดแล้วเกิดความโกรธแค้น ก็ยากจะคาดเดาว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นตามมา

    จริงอยู่ ที่ผ่านมามาตรการระมัดระวังการก่อการร้ายในระดับชาติของหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย จะไม่เคยมีข้อผิดพลาดหรือปล่อยให้ใครเข้ามาก่อเหตุ มิหนำซ้ำยังมีประสิทธิภาพอย่างดี จนสามารถสกัดกั้นเครือข่ายก่อการร้าย ทั้งการจับกุมตัวนายฮัมบาลีเมื่อหลายปีก่อน หรือการตรวจยึดอาวุธสงครามล็อตใหญ่อย่างกรณีล่าสุด แต่สี่เท้าก็ยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ประเทศอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริการยังถูกเครือข่ายก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดมาแล้ว

    ฉะนั้น หนทางที่ดีที่สุดที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อจากนี้ไป คือ การยกระดับความเข้มงวดในทุกๆ ด้าน ในการระวังป้องกันเหตุร้ายระดับชาติ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการข่าวต้องประสานงานกับเครือข่ายระหว่างประเทศให้ใกล้ชิดมากขึ้น อย่าได้ลำพองใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่ใช่นั้นคำว่าเสียใจคงไม่เพียงพอ.


    -ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องของประเทศชาติ ที่คนไทยทุกคนควรได้รับทราบและเข้า

    ใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา

    ๐แหล่งที่มา ไทยโพสต์ 16 ธ.ค. 52
     
  15. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    -สาธุ ขออนุโมทนา ขอรับ

    -ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มกับคำว่า ทัวริสต์กันมากนัก

    ช่วยกันมองต่างมุมหลายๆมุมกันเข้าไว้ นะขอรับ
     
  16. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210


    ขออนุโมทนาในความศรัทธาและความตั้งใจ
    ของคุณพี่ทางสายธาตุด้วยนะคะ

    ขอให้ทำได้สำเร็จค่ะ
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,914
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดท่าสุทธาวาส

    [​IMG]

    วัดท่าสุทธาวาส อยู่ในอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และมีความเกี่ยวพันกับ "สมเด็จ" ถึง ๓ พระองค์เป็นวัดที่มีความสำคัญ มีความงดงามมาก โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถที่แปลก และมีภาพฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีแทรกอยู่ด้วย

    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับพระราชประวัติของ สมเด็จพระนเรศวร ฯ ไว้ว่า ในการทำสงครามกับพม่าแต่ละครั้งนั้น พระองค์ได้ทรงทำพิธีชิงชัยภูมิ ตัดไม้ข่มนาม แล้วไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ ที่วัดป่าโมก ก่อนทุกครั้งจากนั้นจะเสด็จพระราชดำเนินยกกองทัพไปปราบปรามข้าศึกต่อไป วัดท่าสุทธาวาส อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันออก เขตตำบลบางเสด็จ เดิมชื่อบ้านวัดตาล หรือบ้างก็ว่าชื่อเดิมคือ วัดสุวรรณภูมิ ชัยภูมิที่ตั้งวัดอยู่ตรงกันข้ามกับปากแม่น้ำน้อย ซึ่งจะไหลผ่านแขวงวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยไหลมาจากจังหวัดลพบุรี จะมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณนี้ จึงทำให้ลำน้ำตรงหน้าวัดมีความตื้นเขินมาก กับทั้งมีหาดทรายยาวยื่นไปจรดฝั่งตรงข้าม สามารถเดินข้ามได้โดยสะดวกแทบทุกฤดูกาล การทัพของสมเด็จพระนเรศวร ฯ เกือบทุกครั้งจึงจะรวมพล รวมกองทัพช้าง กองทัพม้า ไพร่พล แล้วเดินทัพข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ณ บริเวณนี้ แล้วต่อจากนั้นก็จะเสด็จไปทำพิธีชิงชัยภูมิตัดไม้ข่มนาม แล้วนมัสการพระพุทธไสยาสน์ ที่วัดป่าโมก ซึ่งที่ตั้งของวัดป่าโมกก็อยู่ตรงกันข้ามกับวัดท่าสุทธาวาส

    ในการพระราชสงครามครั้งสำคัญ ๆ ของสมเด็จพระนเรศวร ฯ เช่น คราวตามตีทัพพม่าที่ตั้งอยู่ ณ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ได้ทรงนำปืนใหญ่ลงบรรทุกในเรือไป ระดมยิงค่ายของพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่ตั้งค่ายอยู่ที่วัดป่าโมก จนต้องถอยค่ายร่นหนีออกไป เพราะทนอำนาจการยิงของปืนใหญ่ไม่ไหว และการสงครามครั้งที่สำคัญที่สุดของสมเด็จพระนเรศวร ฯ คือ ครั้งสงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ.๒๑๓๕ กับพระมหาอุปราชาแม่ทัพฝ่ายพม่า ก็ได้ทรงยกทัพมาข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณวัดท่าสุทธาวาส จากนั้นแยกทัพไปทางลำแม่น้ำน้อย และเดินทัพต่อไปยังเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นทางที่สะดวกและใกล้

    สันนิษฐานจากบริเวณที่ตั้งวัดแห่งนี้ จะเป็นที่ตั้งของกองทัพเพื่อเตรียมยกพลข้ามลำน้ำ ตำบลที่ตั้งของวัดจึงมีชื่อว่า บางเสด็จ (ยังมีข้อสันนิษฐานอื่นอีก) บริเวณหมู่บ้านเรียกว่า หมู่บ้านโรงช้าง ซึ่งชาวบ้านดั้งเดิมบอกว่า เคยใช้เป็นที่เลี้ยงช้างมาก่อน

    ส่วนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับวัดนี้ ก็เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโรงม้า ซึ่งใช้เป็นที่เลี้ยงม้ามาก่อนเช่นกัน ทั้งนี้เพราะบริเวณแถบนี้เป็นที่ลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ มีอาหารที่จะหาเลี้ยงช้าง เลี้ยงม้าได้โดยสะดวก รวมทั้งการนำช้าง นำม้าลงอาบน้ำที่หาดทรายชายน้ำก็เป็นไปได้ง่าย จึงสันนิษฐานได้ว่าบริเวณวัดท่าสุทธาวาสนี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทัพ


    วัดท่าสุทธาวาส ไม่มีประวัติการสร้าง มีแต่จากหลักฐานของกรมศาสนาว่า สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาประมาณ พ.ศ.๒๑๗๕ แสดงว่าในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร ฯ ที่มาตังทัพเพื่อข้ามลำน้ำบริเวณวัดนี้นั้น ยังมิได้มีการสร้างวัดท่าสุทธาวาส


    ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ ตำบลบ้านบางเสด็จ อำเภอป่าโมก อยู่ติดกับศาลาการเปรียญของวัดท่าสุทธาวาส ซึ่งประวัติตอนนี้บอกว่า เดิมชื่อบ้านวัดตาล ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านบางเสด็จ และในการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้ง โครงการปั้นตุ๊กตาชาววังด้วยดินเหนียว เป็นประดิษฐกรรมดินเหนียว ที่ดังไปทั่วโลกเลยทีเดียว


    ดังนั้นหากไปวัดท่าสุทธาวาส เมื่อเลี้ยวเข้าไปในวัดแล้ว จะเอารถเข้าไปจอดได้ข้าง ๆ ศาลาการเปรียญ ทางด้านซ้ายของศาลาการเปรียญเป็นเรือนไทยใต้ถุนสูง ซึ่งเป็นที่จำหน่ายสินค้าของศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ เรียกว่า ถ้าเราขึ้นไปชมประดิษฐกรรมที่ศูนย์แห่งนี้ ขอรับรองว่าให้ใจแข็งแค่ไหนก็อดซื้อไม่ได้ ยิ่งคุณผู้หญิงละก็จ่ายเงินแน่นอน เพราะประการแรกสวยงาม น่ารักไปทั้งนั้น ประการที่สองมีมากแบบ ทั้งแบบตัวน้อย ๆ แบบเป็นชุดไทยแบบเอาไปวางเป็นเครื่องประดับบ้าน อย่างอื่นที่ไม่ใช่ตุ๊กตาก็มีประการสำคัญคือ ราคาถูกมาก ตุ๊กตาที่ศูนย์แห่งนี้หากยกไปตั้งขายที่ท่าอากาศยาน จะแห่งไหนก็ตามแต่ราคาจะแพงกว่าที่นี่ไม่น้อยกว่า ๓ - ๔ เท่าตัว หรือแค่ไปซื้อตามศูนย์การค้า ก็จะแพงกว่าอย่างน้อยก็เท่าตัว


    จิตรกรรมฝาผนังตามวัดในจังหวัดอ่างทองนั้นมีหลายวัด วันนี้จะขอเล่าเฉพาะวัดท่าสุทธาวาส วัดอื่นก็มี เช่น ที่วัดหลวงสุนทรราม มีภาพเขียนไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา



    [SIZE=-1]<CENTER>[​IMG]

    </CENTER>
    จิตรกรรมฝาผนังวัดท่าสุทธาวาส เริ่มเขียนเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๖ เป็นภาพจิตรกรรมที่เกิดขึ้นหลังสุดของวัดในอ่างทอง เขียนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ก่อนจะทราบรายละเอียดของภาพจิตรกรรมฝาผนังของอุโบสถวัดท่าสุทธาวาส ต้องมาทราบความเป็นมาเสียก่อน

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระสุบินว่า สมเด็จพระนเรศวร ฯ ให้บูรณะอุโบสถแห่งนี้ เมื่อได้เสด็จมาที่วัดนี้ ตรงกับพระสุบิน จึงได้มาบูรณะอุโบสถ บูรณะวัด และวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นในอุโบสถ ภาพจิตรกรรมเป็นฝีมือช่างจากกรมศิลปากร ช่างจากในวัง และมีพระประสงค์จะให้นักเรียน ได้ฝึกงานภาคสนาม จึงให้อาจารย์ และนักเรียนแผนกเขียนลายของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ฯ มาเขียนผนังเหนือประตูด้านหลังพระประธาน เขียนภาพไตรภูมิ ผนังด้านข้างซ้าย ขวา ของพระประธาน เหนือหน้าต่างเขียนภาพ


    เรื่องมหาชนก ผนังระหว่างหน้าต่างซ้ายขวาของพระประธาน เขียนภาพลายรวงข้าวซึ่งคือ สัญลักษณ์ของจังหวัดอ่างทอง ผนังระหว่างประตูหน้าหลังพระประธาน เขียนเรื่องสงครามยุทธหัตถี เมื่อ พ.ศ.๒๑๓๕ และภาพเรื่องเมืองอ่างทอง ส่วนผนังระหว่างประตูด้านหน้าพระประธาน เขียนเรื่องของตำบลบางเสด็จ และภาพครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา เสด็จประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน เมื่อครั้งเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ใน พ.ศ.๒๕๑๖ - ๒๕๑๗ ส่วนบานหน้าต่าง และประตู เขียนภาพทวารบาล ตามคติของช่างไทยโบราณ

    เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ เสด็จมาตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานเขียนภาพ ณ วัดท่าสุทธาวาส พระองค์ได้แสดงพระอัจฉริยภาพให้ปรากฎ โดยทรงวาดภาพ ผลมะม่วงลงบนฝาผนังอุโบสถ งานจิตรกรรมฝาผนังที่วัดแห่งนี้จึงนับว่าได้ยังประโยชน์ให้เกิดความรู้ และเป็นการสืบสานเพื่ออนุรักษ์จิตรกรรมไทย ให้ยืนยงคงอยู่ตลอดไป

    นอกจากภาพจิตรกรรมแล้ว ด้านนอกของบานหน้าต่างประตูของอุโบสถยังเขียนลายรดน้ำ โดยหน้าต่างทั้ง ๑๐ ช่องเขียนเรื่อง ทศชาติ ส่วนบนบานประตูด้านหน้า และหลังเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยส่วนบนเป็นภาพพระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำวันของคนเกิดวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันประสูติ ตรงกลางเป็นพระนามาภิไภย ส.ธ. อยู่ในวงกลมซึ่งเขียนเป็นลายจักรสานไม้ไผ่ ต่อลงมาเป็นรูปแพะ ๒ ตัว แต่มิได้เขียนให้หันหน้าเข้าหากัน ต่ำลงมาเป็นรูปนาค ๒ ตัว หันหน้าออกเปรียบเหมือนนาคกำลังให้น้ำ แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณที่แผ่ไปทั่ว ส่วนล่างของภาพเป็นเครื่องหมายของราชวงศ์จักรี ที่รองรับด้วยช้างเผือก ซึ่งถือเป็นสัตว์คู่บุญบารมีพระมหากษัตริย์ และเป็นสัตว์ที่สมเด็จพระเทพรัตนสุดา ฯ โปรดมาก ด้านล่างสุดเป็นภาพปริศนาธรรม เขียนรูปบัวสี่เหล่าตรงกลางเป็นรูปเกียรติมุข หมายถึง ผู้ที่คอยทำลายความไม่ดีทั้งหลาย และมุมล่างซ้าย ขวาเป็นรูปดวงดาว ซึ่งเป็นเครื่องหมายของราชบัลลังก์

    พระประธานในอุโบสถ เป็นโบราณวัตถุ เป็นพระพุทธรูปหินทรายปั้นปูนปิด ทองทับ ในอุโบสถยังมีพระพุทธรูปหินทราย ๒๐ องค์ศิลปะอยุธยาตอนต้น ที่มีทั้งอิทธิพลของอยุธยา ลพบุรี และอู่ทอง มีใบเสมาหินทรายแดง ๑๖ ใบ ลวดลายที่พระศอ และเอว ต่างกันไป อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ และยังมีพระบรมสารีริกธาตุพระเครื่องอีกเป็นจำนวนมาก

    ยังมีอีก เครื่องลายคราม ชิ้นส่วนพระหินทราย ชิ้นส่วนลายปูนปั้น
    เจ้าอาวาสวัดท่าสุทธาวาส มีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่คือ สร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เนื่องในวโรกาสครบรอบ ๔๘ พรรษา ของสมเด็จพระเทพรัตนสุดา ฯ และได้ตั้งรูปจำลองของพระมหาธาตุเจดีย์ และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในอุโบสถ ทางด้านซ้ายติดกับผนังโบสถ์ และตั้งตู้รอรับการบริจาค สถานที่ก่อสร้างอยู่ทางด้านขวาของอุโบสถ


    ในการบูรณะวัดท่าสุทธาวาส ครั้งนี้นอกจากอุโบสถที่สร้างอย่างงดงามแล้ว ยังได้สร้างศาลสมเด็จพระนเรศวร ฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถ ประดิษฐานไว้ ณ วัดท่าสุทธาวาสโดยสร้างไว้ทางด้านหลังขวาของอุโบสถ พระบรมรูปของทั้งสองพระองค์ประทับนั่งทรงเครื่องกษัตริย์ พระหัตถ์ทั้งสองข้างของทั้งสองพระองค์ กำพระแสงดาบ ซึ่งวางพาดอยู่บนพระเพลา ด้านหลังขวาของอุโบสถเช่นเดียวกัน ได้สร้างพระตำหนักทรงงานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เอาไว้ด้วย ซึ่งจะได้เป็นที่ทรงงานเมื่อมาตรวจงานก่อสร้าง และเสด็จมาในภายหลัง ตำหนักนี้ไม่ได้เปิดให้เข้าชม

    ขอนำประวัติวัดที่เกี่ยวข้องในพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาแสดงค่ะ
    http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/tour/wattasutawas.htm
    [/SIZE]
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,914
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์


    [​IMG]


    [​IMG]


    วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลโสนน้อย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

    วัดนี้เป็นวัดที่ใช้ศิลปกรรมการก่อสร้างและตบแต่งเฉพาะสำหรับองค์พระจักรพรรดิ และเพราะวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงสร้างด้วยศิลปะสำหรับองค์พระจักรพรรดิ สังเกตุได้ว่าสามัญชนคนธรรมดาจะสร้างวัดด้วยศิลปะแบบนี้ไม่ได้ เพราะสงวนไว้สำหรับสร้างถวายพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น แม้แต่รูปแบบของมังกรบนหลังคาก็ยังเป็นรูปแบบเฉพาะที่ใช้กับองค์พระจักรพรรดิเท่านั้น

    บอกเล่าเก้าสิบถึงที่มาของศิลปะการตกแต่งวัดบรมราชาฯ เพื่อให้ท่านที่เคยมาชมแล้วและจะมาชมในภายหลังได้ซาบซึ้งดื่มด่ำกับศิลปกรรมรูปแบบเฉพาะที่สวยงามอันมีเพื่อถวายองค์พระเจ้าแผ่นดินที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย

    ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ก็ได้รับรู้ สิ่งที่ไม่เคยได้เห็นก็ได้รับชม สิ่งที่เป็นเพียงคำเล่าลือ

    ก็ได้กระจ่างชัด

    ขอขอบคุณ คุณทางสายธาตุ และอนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระสุบินว่า สมเด็จพระนเรศวร ฯ ให้บูรณะอุโบสถแห่งนี้ เมื่อได้เสด็จมาที่วัดนี้ ตรงกับพระสุบิน จึงได้มาบูรณะอุโบสถ บูรณะวัด และวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นในอุโบสถ ภาพจิตรกรรมเป็นฝีมือช่างจากกรมศิลปากร ช่างจากในวัง และมีพระประสงค์จะให้นักเรียน ได้ฝึกงานภาคสนาม จึงให้อาจารย์ และนักเรียนแผนกเขียนลายของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ฯ มาเขียนผนังเหนือประตูด้านหลังพระประธาน เขียนภาพไตรภูมิ ผนังด้านข้างซ้าย ขวา ของพระประธาน เหนือหน้าต่างเขียนภาพ



    เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...