ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ทางคณะกรรมการขอโมทนาบุญในจิตอันเป็นกุศลกับทั้งสองท่านด้วยครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    สติเป็นธรรมประจำชีวิต...(หลวงปู่ขาว อนาลโย)

    [​IMG]


    หากต้องการภาพขนาดใหญ่ เพื่อทำ Wallpaper
    Download Wallpaper Link...

    (กดปุ่มเมาส์ด้านขวา เลือก Save Target As)

     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    [​IMG]

    เรื่อง วาสนา (กุศลวาสนา อกุศลวาสนา อัพยากตวาสนา)

    อัธยาศัยของสัตว์ เป็นมาแล้วต่างๆ คือ ดี เลว และกลางๆ
    วาสนาก็เป็นไปตามอัธยาศัย คือวาสนายิ่งกว่าตัว วาสนาเสมอตัว วาสนาที่เลวทราม

    บางคนเป็นผู้มีวาสนายิ่งในทางดีมาแล้ว แต่คบกับพาล วาสนาก็อาจเหมือนคนพาลได้
    บางคนวาสนายังอ่อนแต่คบกับบัณฑิต วาสนาก็เลื่อนขึ้นไปเป็นบัณฑิต


    บางคนคบมิตรเป็นกลางๆ ไม่ดี ไม่ร้าย ไม่หายนะ ไม่เสื่อมทราม วาสนาพอประมาณ สถานกลาง
    ฉะนั้น บุคคลถึงพยายามคบบัณฑิต เพื่อเลื่นภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้นไปโดยลำดับ

    : มุตโตทัย
    : หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ลานธรรมจักร • แสดงกระทู้ - เรื่องวาสนา (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

     
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พระวัดเก๋งจีน ระยอง..

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ส่วนตัวกระผมยังไม่มีครับ :cool: รอพี่ ๆ กรุณาอยู่
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    วิปัสสนานี้มีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่...
    (หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล)


    [​IMG]


    หากต้องการภาพขนาดใหญ่ เพื่อทำ Wallpaper
    Download Wallpaper Link...

    (กดปุ่มเมาส์ด้านขวา เลือก Save Target As)


    ทั้งรูปทั้งบทความธรรมะข้างต้น ขอขอบคุณ คุณลูกโป่ง จากเวบ

    ลานธรรมจักร • แสดงกระทู้ - ...วิปัสสนานี้มีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่...(หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล)
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เมื่อวานในที่ประชุมกรรมการฯ ก็ได้มีการคุยถึงพระเก๋งจีนพระบู๊ของเมืองระยอง วันก่อนยืนดูพระในตู้กระจกที่ตลาดพระในระยอง พบพระวัดเก๋งจีน ท่านจำวัดในตู้นิ่งๆ อยู่ 2 องค์เป็นพิมพ์ปางสมาธิ สอบถามราคา อยู่ที่ 900.-บาท/องค์ ซึ่งราคานี้ เท่าที่ทราบไม่ขยับมานานแล้วเหมือนกัน แต่ที่สำคัญก็คือที่เจดีย์องค์เล็กที่เหลือนี่ล่ะ ที่พี่ใหญ่ที่ถือว่าเป็นฌาณลาภีบุคคลของทุนนิธิฯ บอกว่าให้ผมเอาพวงมาลัยดอกไม้ที่เป็นอุบะดอกกุหลาบ พร้อมกับธูป 3 ดอก ไปไหว้หลวงปู่สังข์เฒ่าท่านซะ ท่านยังอยู่ ยังไม่ไปไหน แล้วจะขออะไรก็ขอเอา รอไว้โอกาสเหมาะๆ ไปแน่นอนครับ...เอ้า..ใครอยู่ระยอง หรือใครผ่านมา อยากได้สิ่งใดก็ไปกราบปู่ที่เจดีย์เดี่ยวๆ กันเด้อ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    สวดอิติปิโสประจำวัน วันละ ๑๐๘ จบ ก็ยิ่งดี พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)<!-- google_ad_section_end -->​
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>เทศน์กัณฑ์สุดท้าย
    พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD><DD><DD>พระพุทธเจ้าย่อมรู้ว่า พระองค์เกิดในภพนั้นชาตินั้น เพราะบุญอะไร เพราะกรรมอะไร บางทีก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางทีก็เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา อินทร์ พรหม เป็นภูตผีปีศาจก็เคยเป็นมาแล้ว ที่ไปเป็นเช่นนั้นเพราะบุญอะไร เพราะกรรมอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์ที่ว่า สิ่งนี้เป็นบาปอย่าทำ นั่นแสดงว่าพระองค์เคยทำบาปตกนรกมาแล้ว สิ่งใดที่พระองค์สอนว่าสิ่งนี้เป็นบุญทำให้มาก ๆ ทำแล้วจะขึ้นสวรรค์ พระองค์ก็เคยทำบุญอย่างนั้น ขึ้นสวรรค์มาแล้ว การบำเพ็ญฌาน การบำเพ็ญสมาธิได้สำเร็จฌานสมาบัติ ได้ไปเกิดเป็นพระพรหม พระองค์ก็เคยบำเพ็ญฌานเกิดเป็นพระพรหมมาแล้ว <DD><DD><DD><DD>เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์ ทุกคำพูดเป็นเรื่องส่วนตัวของพระองค์ ในฐานะที่เราปฏิญาณตนถึงพระองค์ว่า พุทธํ สรณํ คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกก็หมายความว่าเราจะต้องยกท่านเป็นครูเป็นอาจารย์เรา ยอมตัวเป็นศิษย์ของพระองค์ท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้นลูกศิษย์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของครูจึงกลายเป็นลูกศิษย์ที่ดีได้ <DD><DD><DD><DD>เพราะฉะนั้นหลักที่เราจะยึดเป็นหลักในการที่จะปฏิบัติให้มันเข้าถึงครูของเราเอง เราจะเริ่มต้น ตั้งแต่การเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ว่ากันโดยหลักและวิธีปฏิบัติกันซะเลย มันจะได้จำง่าย ๆ แล้วจะได้นำไปปฏิบัติเข้าใจว่าชาวพุทธเรามีที่สักการะบูชาในบ้านของเราทุกคนทุกครัวเรือน เวลาเราจะปฏิบัติเรากราบพระ ไหว้พระสวดมนต์ อรหํ สมฺมา สมฺพุทฺโธ ภควา สฺวากฺขาโต… สุปฏิปนฺโน... ธูปเทียนไม่จำเป็นก็ไม่ต้องจุดเพราะภัยอันตรายมันจะเกิดอัคคีภัยได้ เพราะความผิดพลาดอาจจะมีได้ ถ้าหากว่าบ้านเรือนของท่านผู้ใดที่มันไม่เหมาะสมที่จะจุดก็ไม่ต้องจุด ถ้ามีที่บูชา ถ้ามีแจกัน เชิงเทียน กระถางธูป ดอกไม้ใส่แจกัน เทียนปักไว้ที่เชิงเทียน ธูปปักไว้ที่กระถาง อธิษฐานจิตบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ไหว้พระ

    อรหํ สมฺมา สมฺพุทฺโธ ภควา [​IMG]พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ กราบทีหนึ่ง
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม [​IMG] ธมฺมํ นมสฺสามิ กราบทีหนึ่ง


    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ [​IMG] สงฺฆํ นมามิ กราบทีหนึ่ง


    <DD><DD>อันนี้เป็นการนมัสการหรือไหว้พระรัตนตรัยตอนต้น ทีนี้เพื่อความแน่นอน เรามาน้อมจิตน้อมใจกล่าวคำนอบน้อม

    <DD><DD>นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ๓ จบ แต่จิตใจน้อมนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่อไปก็สวดบทสวดมนต์ อิติปิโส ฯลฯ สวากขาโต ฯลฯ สุปฏิปนโน ฯลฯ ตามลำดับ พอจบแล้วก็แผ่เมตตา คือเจริญเมตตาพรหมวิหาร <DD><DD><DD><DD>ทีนี้หากว่าใครยังไม่เข้าใจในหลักการปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรให้มากนัก เพียงแต่ว่ามาอธิษฐานจิต ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงคุ้มครองข้าพเจ้าตลอดทั้งครอบครัวคนเกี่ยวข้องให้มีความสุขกายสุขใจ แล้วก็มีการสำรวมจิตสวด </DD></TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD><DD>อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯลฯ <DD><DD><DD>สวดซ้ำ ๆ อยู่นั่น เลิกจากสมาธิแล้ว เวลานอนสวดไปจนกว่าจะนอนหลับ ทำอย่างนี้ทุก ๆ วัน แล้วเราจะได้สมาธิขึ้นมาเอง สมาธิไม่ต้องไปเอาลึกซึ้งถึงขนาดได้ญาณก็ได้ ในเมื่อเราสวดบ่อย ๆ เข้า ให้สังเกตดูจิตของเรา ถ้าหากว่าจิตนี้มีสติสัมปชัญญะ สติความระลึก สัมปชัญญะความรู้พร้อมอยู่ที่จิต นั้นแสดงว่าคุณของพระพุทธเจ้าได้บังเกิดในจิตของเรา แล้วให้สังเกตต่อไปว่า สติสัมปชัญญะตัวนี้ถ้าอยู่ปกติคือนิ่งอยู่เฉย ๆ มันก็จะรู้อยู่ที่จิต แต่ถ้าหากว่าจิตขยับมีความคิด สติตัวนี้มันจะรู้ ถ้าหากว่าเราลุกขึ้น สติตัวนี้มันก็จะรู้ตัวว่ายืน ถ้าเราก้าวเดินไปสติตัวนี้มันก็จะรู้ตัวว่าก้าวเดิน ถ้าเรานั่งลงสติตัวนี้มันก็จะรู้ตัวว่านั่งลง ถ้าเรานอนลงสติตัวนี้มันก็จะรู้ตัวว่านอนลง เมื่อจิตของเราพอมีสติรู้อยู่ทุกขณะจิต เราก็มีพุทธะ ผู้รู้อยู่ในจิต คำว่าพุทโธ พุทโธ ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธนั่นแหละ… <DD><DD><DD>ทีนี้ในเมื่อเรามาเจริญคุณของพระพุทธเจ้าเป็นนิจศีลประจำทุก ๆ วัน ในเมื่อจิตของเรามีสติสัมปชัญญะ รู้เตรียมพร้อมอยู่ที่จิตตลอดเวลา จิตของเราก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นเป็นคุณพระธรรม เราก็มีคุณพระธรรมอยู่ในจิตในใจ <DD><DD><DD>ทีนี้ผู้มีคุณพระธรรมอยู่ในจิตในใจจะต้องเป็นผู้มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี แล้วก็จะตั้งใจละความชั่ว ประพฤติความดี ทำใจให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ อันนี้เป็นลักษณะของผู้มีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตในใจ <DD><DD><DD>เมื่อใจของเรามีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จิตของเราก็มีฤทธิ์มีอิทธิพล เราสามารถที่จะทำธุรกิจการงานอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ด้วยความขยันขันแข็งและด้วยความจริงใจ ด้วยความวิริยะอุตสาหะ พากเพียรพยายาม เมื่อคุณธรรมอันนี้มันเกิดขึ้นในใจแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น สำหรับหลักการภาวนาของบุคคลผู้ยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าหากว่าเราสวดอิติปิโสประจำวันนั้นหลาย ๆ บท วันละ ๑๐๘ จบ ก็ยิ่งดี ในเมื่อจิตของเราได้สมาธิแล้วเราจะรู้เองหรอกว่า วิธีการภาวนานั้นคือทำอย่างไร </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>


     
  8. active

    active เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +278
    วันที่ 21 ก.ย. 2552 เวลา 10.25 น. ผมได้โอนเงินทำบุญ เข้า บ/ช ทุนนิธิ เป็นเงิน 400 บาท ครับ
     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญสำหรับทุกท่านที่ได้ร่วมกันทำบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร โอกาสนี้ขออนุญาตนำใบโมทนาบัตรและจดหมายตอบรับของทางโรงพยาบาลต่างๆที่ทางทุนนิธิฯได้ส่งเงินไปให้ทุกเดือนเพื่อใช้ในการพยาบาลรักษาพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธของโรงบาลต่างมาให้ทุกท่านได้ร่วมโมทนาบุญโดยพร้อมเพรียงกัน

    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    เพิ่มเติม

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]




    โมทนาสาธุ
    โมทนาสาธุ
    โมทนาสาธุ

    หมายเหตุ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ไปประชุมเรื่องการทำบุญประจำเดือน กันยายน ที่บ้านพี่ใหญ่ ได้มีผู้ฝากเงินมาทำบุญกับทางทุนนิธิฯดังนี้

    1. คุณ Katicat และครอบครัว 4000 บาท
    2. คุณสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์ 100 บาท
    คุณศศิมา ประเสริฐผาติสุข
    3. คุณศศิสมัย มีทรัพย์ 100 บาท
    4. คุณพิชญ์สินี ชาญปรีชญา 100 บาท

    ขอขอบพระคุณและโมทนาในบุญกุศลในครั้งนี้ด้วยครับ
    โมทนาสาธุ
    โมทนาสาธุ
    โมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2009
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>
    พระดีที่หลวงพ่อแพสร้างถวายสมเด็จพระสังฆราช
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=10 width="100%" align=center bgColor=#f4f4ff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff height=300><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "พระสมเด็จพระไพรีพินาศ ญสส พิมพ์ฉัพพรรณรังสี แช่น้ำมนต์ รุ่นแรก" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30> DSC00291.gif </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=bot1>โดย : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT) </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> IP : 58.8.130.xxx | เมื่อ: 21 กันยายน 2552 เวลา: 8:26:05 น. </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090921082630011','','width=370,height=150')" align=right>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>[​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> DSC00292.gif </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090921084130012','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>"พระสมเด็จพระไพรีพินาศ พิมพ์ฉัพพรรณรังสี แช่น้ำมนต์ รุ่นแรก พ.ศ.2536" นี้ จัดเป็นพระเครื่องแห่งประวัติศาสตร์ที่มีศักดิ์ศรีสูงสุดทั้ง"ผู้สร้าง"และ"ผู้เสก" อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อีกทั้งยังมี"ประวัติการสร้าง"ที่พิศดารลึกซึ้งและน่าประทับใจในชั้นลึกอย่างยิ่งที่สุด ยากจะมีพระเครื่องใดในสายนี้มาเปรียบปานหรือทำซ้ำสองให้เสมอเหมือนได้ด้วยประการทั้งปวง <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> File0630(1).gif </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>ก็จะมี พระเครื่องรุ่นใดในประวัติศาสตร์เล่าที่พระเกจิคณาจารย์ผู้เรืองนามใหญ่ยิ่งสุดยอดระดับประเทศแห่งยุคองค์หนึ่งได้เจาะจงสร้างถวายสมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงคุณธรรมและสมณศักดิ์สูงสุดถึงวัดที่ประทับอย่างเป็นทางการที่สุดเห็นปานนี้ได้
    ตั้งแต่เกิดมา และรู้ความมาโดยตลอด ก็เพิ่งจะเห็นงานนี้เป็น"งานแรก"และ"งานเดียว"จริงๆ.......
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> File0631.gif </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090921093330026','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>และต่อไปนี้ คือประวัติความเป็นมาและลำดับการจ้ดสร้าง,พิธีพุทธชัยมังคลาภิเษกของ"พระสมเด็จพระไพรีพินาศ ญสส พิมพ์ฉัพพรรณรังสี แช่น้ำมนต์ รุ่นแรก พ.ศ. 2536 " ชั้นลึกที่พิศดารลึกล้ำแต่แฝงไปด้วยความน่าประทับใจอย่างที่ไม่มีอะไรจะเปรียบได้เป็นที่สุด อย่างที่อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่เคยพบไม่เคยเห็นและไม่อาจที่จะหาพระเครื่องใดๆจะเคยมีหรืออาจมี(ในอนาคต)ซึ่งมีประวัติความเป็นมาชั้นลึกที่สุดแสนจะ DRAMA และหักมุมแบบสุดขั้วอย่างสุดๆ(แต่เป็นเรื่องจริงในทุกขั้นตอน)มาเทียบเคียงหรือเสมอเหมือนได้เลย.!!!!! <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> DSC08923.gif </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>เพราะเริ่มต้น ก็ออกที่จะน่าแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว
    ด้วยว่า
    งานใหญ่ระดับประเทศในพระอารามหลวงระด้บสุดยอดของแผ่นดินพิธีเยี่ยงนี้ ตามปกติแล้ว น่าที่จะได้เชื้อเชิญผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในวงสังคมของประเทศมาเป็นประธานดำเนินการ,ออกแบบ,จัดสร้าง,ควบคุมพิธีกรรม,คัดเลือกพระคณาจารย์นั่งปรกพุทธาภิเษก ฯลฯ ตามที่ควรจะเป็น
    แต่ไปๆมาๆ การอันหนักและใหญ่ยิ่งทั้งปวงกลับมาลงอยู่ที่"พุทธวงศ์"ซึ่งตอนนั้นเรียกได้ว่า
    เป็นคน Noname และปราศจากเกียรติยศชื่อเสียงเงินทองหน้าที่การงาน ควรค่าแก่การไว้วางใจให้ทำงานใดๆทั้งสิ้นอย่างที่เคยนึกเคยฝัน แต่ไม่คาดว่าจะเป็นจริงอย่างรวดเร็วและพิเศษกว่ากรณีปกติเห็นปานนี้ได้
    แต่ก่อนหน้านั้น เพราะได้คลุกคลีอยู่ในวงการมานาน และได้กราบสมเด็จพระญาณฯมาตั้งแต่ก่อนจะได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช จึงมีข้อมูลในชั้นลึกมิใช่น้อยว่า ในบรรดาพระเครื่องของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ออกมาสู่วงการมากมายมหาศาลจนแทบจะนับรุ่นนับพิมพ์ไม่ถูกนั้น
    มีกี่รุ่นที่เล่นได้..??
    มีกี่รุ่นที่ปราศจากของปลอมของเสริม..???
    มีกี่รุ่นที่เข้าพิธีอย่างแท้จริง..????
    และมีกี่รุ่นที่สมเด็จฯท่านเสกจริงๆ..?????
    ด้วยเหตุที่ออกจะ"แสนรู้"เช่นนี้ จึงอดที่จะนึกฝันไปเรื่อยเปื่อยลอยๆไปเสียมิได้ว่า
    "เออหนอ...หากว่าเรามีวาสนาได้ทำพระถวายสมเด็จญาณฯแล้ว เราจะทำให้ดีที่สุด ไม่ให้มีการปลอมการเสริมหรือมีปัญหาอื่นๆใดๆเลย จะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยกราบไหว้บูชาแก่คนรุ่นหลังอย่างสนิทใจได้ตลอดไปทีเดียว..." <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> DSC01597.gif </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%">
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%">
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> IP : 58.8.129.xx | เมื่อ: 22 กันยายน 2552 เวลา: 12:20:07 น. </TD><TD align=right width="20%" height=17></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20> หมายเหตุ , "พุทธวงศ์" เคยปฏิบัติหลวงพ่อแพในโอกาสอื่นๆมาก่อนหน้ามาหลายวาระ และเคยอยู่งานนวดถวายหลวงพ่อแพที่หน้าพระอุโบสถ วัดพระแก้วระหว่างรอพุทธาภิเษก"เหรียญพระชัยหลังช้าง สก." ครั้งหนึ่งตามเทคนิควิธีที่หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนารามเคยบอกแนวมา(เลยจำมานวดเอาบุญกับพระอริยอรหันต์อีกหลายๆองค์ในกาลต่อมาแทนที่จะ"ขยำ"อย่างไร้ทิศทางเหมือนก่อน) จำได้อย่างแม่นยำว่า กระดูกหน้าแข้งของหลวงพ่อแพนั้น เป็นแผ่นหนาราวกับไม้หน้าสามผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ตอนนั้น ขณะที่ยังบีบนวดหลวงพ่อแพอยู่ ก็ยังนึกในใจขำๆเลยว่า
    "นี่ถ้าท่านไปเตะใครเข้าล่ะก็ มีหวังสลบเหมือด นับหนึ่งถึงร้อยไม่ฟื้นแน่ๆเลย..!!!!!"
    แต่พอคิดไปคิดมาถึงประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ถึง"กระดูกท่อนเดียว" ก็อดจะฉุกใจคิดด้วยความทึ่งไปเสียมิได้ว่า
    "หรือนี่จะเป็นกระดูกท่อนเดียวแบบพระโพธิสัตว์เหมือนอย่างที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โตเคยว่าไว้..??!!??"
    และที่สำคัญและเกี่ยวเนื่องโดยตรงก็คือ หลวงพ่อแพนั้น เคารพและนับถือสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีอย่างยิ่งถึงแก่ได้ทำพระพิมพ์สมเด็จเจริญรอยตามจนนับไม่ถ้วนอีกด้วย..??!!
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> p-336.gif </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%">"พระโพธิสัตว์..??!!!??" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    พระแม่ธรณี
    [​IMG]

    เล่าโดย ไตรรงค์ ปิมปา คนชอบน้ำ
    พระแม่ธรณี หรือ แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา
    ในคติของศาสนาฮินดูให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า "ธรณิธริตริ" แปลว่า "ผู้ค้ำจุนพระธรณี" แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณ๊ให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุกๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้
    เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
    ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควาญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า
    "แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนา ได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้
    [​IMG]ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา
    แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง

    ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง

    ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทพิภพ"



    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    (คลิก เพื่อชมภาพใหญ่)
    รูปในจินตนาการ ในคืนวันตรัสรู้ พระแม่ธรณีบีบน้ำมวยผมท่วมหมู่มารตามที่ปรากฏ โดยมากมักจะเป็นรูปเทวดาผู้หญิง มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน หรือในบางแห่งจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น

    ตามตำนานนี้ เชื่อว่า เป็นที่มาของพระพุทธรูป ปางสะดุ้งมาร (แปลว่า มาร สะดุ้งตกใจกับพระมหาบารมี ดังภาพแรกในแถวบนนี้) เป็นปางที่พระพุทธรูป ชี้นิ้วทั้ง 5 ลงพื้น เพื่อขอให้พระแม่ธรณีเป็นพยานแห่งพระบารมีที่ทรงสร้างไว้ก่อนนี้ และกลายเป็นประเพณีการกรวดน้ำ เพื่อฝากพระแม่ธรณี ทรงเป็นพยานการทำบุญ เพราะไม่ว่าจะไปแห่งใดในโลก พระแม่ธรณีก็จะทรงรู้เห็นช่วยเหลือและเป็นพยานแห่งบุญติดตามทุกท่านได้ตลอด แม่ว่าประเพณีนี้ จะสืบเนื่องมาเนิ่นนานจากศาสนาต่างๆ เช่นศาสนาพราหมณ์ แต่ไทย และศาสนาพุทธ ก็รับต่อเนื่องมาเป็นตำนานแห่งน้ำ และนับว่า น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของประเพณีการทำบุญสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน



     
  12. ต้นแก้ว

    ต้นแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,569
    โอนเงินร่วมบุญสมทบกองทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ จำนวน 300 บาท 23/09/52 เวลา 9.17 น. อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #c60000 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #c60000 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #c60000 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #c60000 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>
    ธรณีสูบลูกทรพีไล่ฆ่าแม่



    </TD></TR><TR><TD class=content align="center valign=" width=650 colSpan=2 top?>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>จากบันทึกของคุณอนุชาติ อินทรพรหม

    เมื่อราว ๕๐ ปีผ่านมาที่ลพบุรีสมัยที่บ้านเมืองยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ทำนาเลี้ยงชีวิต

    ณ เชิงเขาสะพานนาค

    มีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้านมีกระต๊อบหลังคามุงแฝกหลังหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ ๔ ชีวิต มีหญิงชราผู้เป็นแม่ ลูกชาย - ลูกสะใภ้ และหลานน้อยลูกชายชื่อทองเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหร้าย มุทะลุดุดัน ชอบเล่นการพนันติดสุรายาเสพติด วันๆการงานไม่ทำเอาแต่ดื่มสุราหาเล่นการพนันแม่กับเมียจะลำบากอย่างไรก็ช่าง

    ผู้เป็นเมียจึงออกไปทำไร่หาเลี้ยงครอบครัวทุกวัน

    ปล่อยให้แม่ผัวกับลูกน้อยเฝ้าบ้านเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง ย่ากับหลานอยู่ด้วยกันสองคนย่าแก่แล้วจึงงกๆเงิ่นๆด้วยความชราตามหลานไม่ค่อยจะทันหลานน้อยก็แสนซนคอยลักหนีไปเที่ยวอยู่เรื่อย

    ตะวันบ่ายคล้อย ผู้เป็นย่าจัดแจงเข้าครัวหุงหาอาหารไว้คอยลูก

    ย่ากำลังทำครัวเพลินหลานน้อยได้โอกาสหนีไปเล่นน้ำในโอ่งข้างล่างน้ำมีเพียงครึ่งโอ่งหลานน้อนจอมซนจะตักน้ำมาเล่นแต่ตักไม่ถึงจึงปีนปากโอ่งพยายามตักน้ำให้ได้บังเอิญพลาดหัวทิ่มลงไปในโองดิ้นขลุกขลักอยู่ จะขึ้นก็ไม่ได้หายใจก็ไม่ออกทุรนทุรายฝ่ายย่าอยู่ในครัวได้ยินเสียงหลานดิ้นจึงรีบออกมาดูเห็นแต่เท้าโผล่ออกมาจึงรีบคว้าหลานขึ้นจากโอ่งอนิจจา....สายเกินไปเสียแล้วเด็กน้อยขาดใจตายเสียแล้ว


    หญิงชราตกใจแทบสิ้นสติ

    ได้แต่กอดศพหลานร้องไห้คร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจเพื่อนบ้านเดินทางผ่านมาจึงแวะเข้าไปดูเห็นหญิงชรากอดศพหลานร้องไห้อยู่สอบถามดูก็รู้สาเหตุจึงให้คนไปตามเอาลูกชายลูกสะใภ้ของหญิงชราให้กลับมาบ้าน

    ที่วงการพนันเจ้าทองร่ำสุราได้ที่เข้าเล่นการพนันกำลังเสียอารมณ์ไม่ดี

    พอมีคนไปส่งข่าวว่าลูกชายตายจึงรีบกลับบ้านด้วยความเสียใจมาถึงบ้านเห็นแม่กับเมียร้องไห้อยู่ข้างศพลูกชายท่ามกลางเพื่อนบ้านเจ้าทองยิ่งเสียใจบวกด้วยความเมาและอารมณ์เสียจากพนันจึงเอะอะตึงตังตะคอกถามแม่ด้วยเสียงอันดังถึงสาเหตุที่ลูกของตนทำไมจึงตกน้ำตาย

    ผู้เป็นแม่เห็นเจ้าทองเอะอะขึงขังเสียงดังก็ใจคอไม่ค่อยดี

    ปากคอสั่นจับต้นชนปลายไม่ถูก เพื่อนบ้านจึงเล่าให้ฟังแทนเมื่อรู้เรื่องแทนที่เจ้าทองจะระงับยับยั้งอารมณ์กลับมีโมโหโทสะเพิ่มขึ้นชี้หน้าด่าแม่อย่างเดือดดาลว่าไม่ดูแลหลานให้ดี แม่ได้แต่ตกใจกลัวตัวสั่น

    เจ้าทองลืมตัวขาดสติยับยั้งชั่งใจ

    กระชากมีดเหน็บอยู่ข้างฝาบ้านตรงเข้าไปหมายจะฆ่าแม่ให้ตายด้วยความแค้นเพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขัดขวางจับกุมไว้พร้อมว่ากล่าวเตือนสติแต่เจ้าทองหน้ามืดตาลายเสียแล้วออกแรงสะบัดดิ้นจนหลุดกระโจนเงื้อมีดเข้าหาแม่

    หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงออกวิ่งหนีจากบ้าน

    ไอ้ลูกเนรคุณยังไม่ลดละไล่กวดตามแม่ไปติดๆอย่างไม่ลดละหญิงชราวิ่งกระเซอะกระเซิงหนีตายดีแต่เจ้าทองยังไม่สร่างเมาดีจึงวิ่งเปะปะตามแม่ไม่ค่อยจะทันเพื่อนบ้านเห็นเหตุการณ์พยายามจะขัดขวางแต่ถูกเจ้าทองป่ายมีดวืดวาดเข้าใส่ต่างก็กระเจิดกระเจิงออกไปทุกทิศเจ้าทองออกตามแม่ไปอย่างกระชั้นชิด

    หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงหนีเข้าวัดหวังพึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยด้วยเป็นเขตอภัยทาน

    เข้าไปหาสมภารที่กุฏิร่ำร้องให้ช่วยสงเคราะห์แก่สัตว์ผู้ตกยากสมภารเข้าขวางหมายเตือนสติพยายามเทศนาสั่งสอนให้รู้จักชั่วดีว่าการฆ่าพ่อฆ่าแม่นั้นเป็นบาปมหันต์พ่อแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงเรามากว่าจะเติบโตแสนจะลำบากแต่เจ้าทองหาได้เชื่อฟังไม่กลับตรงเข้าไปผลักท่านสมภารจนเซถลาตรงเข้าไปจะฆ่าแม่ที่แอบอยู่ข้างหลังอีก

    หญิงชราอาศัยจังหวะที่เจ้าทองยังช้าอยู่วิ่งออกจากกุฎิหมายเข้าไปที่โบสถ์ปิดประตู

    เจ้าทองออกวิ่งตามไปติดๆหวุดหวิดจวนเจียน หญิงชราก้าวขาเข้าโบสถ์เจ้าทองเงื้อมีดหมายจะฆ่า

    ฟ้าดินก่อปาฏิหารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าข้างคนดีลงโทษคนชั่ว

    ฉับพลันพื้นดินที่เจ้าทองเหยียบอยู่พลันก็แยกออกจากกันเหมือนทานน้ำหนักคนชั่วไม่ไหวลูกทรพีตกใจสุดขีดร่างร่วงลงไปในรอยแยกมีดหลุดจากมือสร่างเมาโดยฉับพลันแถมแผ่นดินนั้นกลับหนีบตัวเอาไว้เจ้าทองพยายามดิ้นให้หลุดแต่ดินนั้นยังคงดูดเจ้าทองลงไปเรื่อยๆยิ่งดิ้นยิ่งดูดเจ้าทองตาสว่างได้คิดถึงบาป-บุญว่ามีจริงตนเจอบาปกรรมตามทันจึงเกิดความกลัวแหกปากร้องเรียกให้คนช่วยเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหวด้วยกลัวตาย

    หญิงชราผู้เป็นแม่หนีเข้าโบสถ์ได้ก็ปิดประตูรอดตาย

    แต่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของเจ้าทองก็แปลกใจแง้มประตูออกดูเห็นเจ้าทองถูกธรณีสูบก็ตกใจเข้าใจทุกอย่างทันทีด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่เกิดความเป็นห่วงกลัวลูกจะตายลืมไปแล้วว่าเพิ่งถูกลูกทรพีคนนี้ไล่ฆ่าจนเอาชีวิตแทบไม่รอดมาหยกๆ ( นี่แหละหนอความรักของแม่ที่มีต่อลูก ) รีบเปิดประตูโบสถ์ถลาออกมาดูลูกทันที

    เจ้าทองเห็นแม่ออกมาหา ถึงกับน้ำตาร่วงร้องไห้โฮด้วยสำนึกผิด

    กราบเท้าแม่สารภาพผิดหญิงชราคว้าแขนลูกชายหมายจะดึงให้พ้นจากพื้นดินที่ดูดแต่ก็หาได้ขยัยเขยื้อนไม่ผู้เป็นแม่หมดปัญญาก็ไปขอร้องให้พระในวัดมาช่วยพอดีชาวบ้านตามมาทันนางก็ขอให้ช่วยลูกชั่วของตนให้พ้นภัย

    ท่านสมภารให้ชาวบ้านทำขันธ์ ๕

    ให้เจ้าทองขอขมาโทษแม่และฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้กระทำชั่วล่วงเกินแม่และขอให้แม่ธรณียกโทษให้ หญิงชราผู้เป็นแม่ยกโทษอโหสิกรรมให้ชาวบ้านจึงช่วยกันฉุดเอาเจ้าทองขึ้นจากดินแต่ไม่ว่าจะฉุดกระชากลากดึงอย่างไรก็หาขยับเขยื้อนไม่มีแต่จะจมลงๆชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาเป็นขุดดินออก

    แต่แปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนสวรรค์ลงโทษซ้ำ

    ดินนั้นกลับแข็งเหมือนเหล็กจนจอบเสียมที่ขุดกระเด็นดีดออกมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมยกโทษให้

    ในที่สุดก็จนปัญญาที่จะช่วยเจ้าทองได้

    แม่และเมียจึงได้นิมนต์ท่านสมภารให้เทศนาโปรดเจ้าทองเป็นครั้งสุดท้ายเจ้าลูกทรพีสำนึกผิดฟังเทศน์ด้วยอาการสงบน้ำตานองหน้า ร่างก็จมลงเรื่อยๆเจ้าทองทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืนก็สิ้นใจตายพร้อมกับร่างจมลงหมดแผ่นดินก็ปิดเหมือนเดิมท่ามกลางความโศกเศร้าสังเวชใจของชาวบ้านที่พบเห็น

    *-* เรื่องนี้คุณอนุชาติ อินทรพรหมบอกว่าได้รับฟังจากแม่และญาติผู้ใหญ่อีกทีเหตุการณ์นี้คงเตือนสติท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย *-*


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ขอบคุณที่มา
    สังคมธรรมะออนไลน์



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    คณะกรรมการฯ ขอขอบคุณ คุณต้นแก้วมากครับ ที่ช่วยบริจาคเพื่อรักษาสงฆ์อาพาธ โดยผ่านทุนนิธิฯ นี้มา นี่ก็เพิ่งวางสายจาก รพ.ปัว จ.น่าน และ รพ.50 พรรษาฯ ที่อุบลฯ ไป เพื่อแจ้งเรื่องการบริจาคประจำเดือน ก.ย. 52 รวมถึงจาก ที่ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายที่ จ.เลย เพราะเตรียมแผนเรื่องการแจกผ้าห่มหนาว และเสื้อกั๊กสำหรับพระสงฆ์สูงอายุที่อาพาธ เพราะแต่ละ รพ.แจ้งว่า ในช่วงหน้าหนาวของทุกปี พระสงฆ์ที่สูงอายุจะเข้ามารักษาตัวกันมาก เพราะทางเหนือกับอีสานจะหนาวมาก ร่างกายท่านชราภาพ เลยทำให้เจ็บป่วยง่าย ปีนี้รู้ตัวก่อน จึงขอทำแผนร่วมกันทั้ง 3 รพ.ไว้ล่วงหน้าเลย ส่วนที่ รพ.ขอนแก่น ตอนนี้ จนท.พยาบาล กำลังสำรวจข้อมูลให้เหมือนกันครับ บุญใด กุศลใดที่คุณต้นแก้ว ได้ประสงค์แล้ว ขอให้บุญนั้น กุศลนั้น จงสำเร็จ จงเกิดผลแด่คุณต้นแก้วและครอบครัวด้วยเทอญ.

    [​IMG]


     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ภาพพระแม่ธรณี ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความงามเป็นเลิศ


    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>มื่อสมัยผมยังเรียนอยู่วิทยาลัยช่างศิลป กรมศิลปากร ผมเคยเห็นภาพเขียนลายรดน้ำชิ้นหนึ่งแขวนอยู่ในห้องพักอาจารย์ ของอาจารย์แต้ม จั่นถมยา (เสียชีวิตแล้ว) เป็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผม สวยงามมากทั้งรูปทรงของพระแม่ธรณีและลายละเอียดของภาพ (เสียดายว่าผมไม่มีภาพถ่ายเก็บไว้) คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นฝีมือของคุณปัญญา ทิพวรรณ ครั้งสมัยยังเป็นนักเรียน (ผมไม่แน่ใจว่าใช่แน่หรือไม่ แต่ไม่ใช่ปัญญา วิจินธนสารนะครับ) เวลาผมเดินผ่านห้องนั้นแต่ละครั้งผมจะต้องเหลือบมองรูปนั้นทุกครั้งไป ครั้นเวลาต่อมา ผมได้รู้ว่าภาพลายรดน้ำรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมชิ้นนั้น เกิดจากการถอดลายเส้นออกมาจากภาพเขียนพระแม่ธรณีบีบมวยผมจากภาพฝาผนังของวัดชมภูเวก ซึ่งภาพเขียนพระแม่ธรณีบีบมวยผมของวัดชมภูเวกนี้ผมได้ยินอาจารย์หลายท่านพูดให้ได้ยินว่าสวยงามที่สุด ส่วนตัวผมเองก็ดูว่าเป็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมที่งามมาก

    เมื่อวานผมอยู่ที่ทำงาน เผอิญเห็นหนังสือ "ความรู้คือประทีป" ของ บ.เอสโซ่ ปกเป็นรูปโบสถ์และวิหารวัดชมภูเวกเลยหยิบขึ้นมาดู ปรากฎว่าข้างในมีบทความเรื่องวัดชมภูเวก เขียนโดยคุณอรุณศักดิ์ กิ่งมณี หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี
    รายละเอียดของบทความนี้ผมไม่ขอพูดถึงแล้วกันนะครับ แต่ว่าเขามีรูปประกอบบทความรูปพระแม่ธร์ของวัดชมภูเวกอยู่ด้วย และเขียนบรรยายภาพว่า "ภาพพระแม่ธรณี ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความงามเป็นเลิศ" ทำให้ผมได้ระลึกถึงความรู้สึกเก่าๆ ที่ได้เล่าไปข้างต้น ก็เลยเอารูปมาให้ชาวบล็กได้ชมกันว่าภาพพระแม่ธรณีที่ว่านี้มันงดงามอย่างไร

    [​IMG]


    (ภาพจากหนังสือความรู้คือประทีป)
    ทรวดทรงองเอวของพระแม่ธรณีวัดชมภูเวกนี้อ่อนช้อย มีชิวิตชีวา แขนดังลำเทียน งอเหมือนอย่างแขนนางรำ แต่มีความแข็งแร็ง อวบอิ่มไปทั้งเรือนร่าง นิ้วมือเรียวงาม และที่สดุดตาผมคือนิ้วกลางและนิ้วนางข้างขวาที่ขดเป็นดังก้นหอย
    ผมเห็นรูปพระแม่ธรณีมาก็หลายวัดยังหาที่ไหนสวยสมบูณเหมือนที่นี่ไม่มี



    ภาพเขียนจิตกรรมฝาผนังวัดชมภูเวกเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลาง-ตอนปลายช่วงแรก ราวๆ สมัยพระนารายณ์ ซึ่งสมัยพระนารายณ์นั้นมีอิธิพลศิลปะฝรั่งเข้ามามาก โดยดูจากงานปูนปั้นสมัยนั้นจะมีการผสมผสานอิธิพลของฝรั่งเข้าไป แต่ภาพเขียนนั้นยังนิยมเขียนเลียนตามลัทธิโบราณแบบภาพไทยไว้ โดย น. ณ ปากน้ำได้กล่าวไว้ในหนังสือ "วิวัฒนาการลายไทย" ว่า "แสดงว่าสมัยที่อิธิพลศิลปะฝรั่งเข้ามานั้น ศิลปะไทยเดิมของเรายังคงนิยมอยู่ เป็นแต่เพียงว่าเดินทางเป็นเส้นขนานกันเท่านั้น"

    [​IMG]

    ภาพปกของหนังสือ "วิวัฒนาการลายไทย" ก็ใช้ภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมของวัดชมภูเวกเป็นปก



    ที่เขียนมาทั้งหมดนี่อย่าเข้าใจว่าผมได้ไปเห็นของจริงมาแล้วนะครับ ผมยังไม่เคยไป เพียงแต่เห็นจากภาพถ่ายในหนังสือและภาพลอกแบบ สักวันคงได้มีโอกาสเข้าไปดูหละน่ะ

    **วัดชมภูเวก**
    ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บ้านบางกะสอ ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๐ ครั้งชาวมอญ อพยพหนีพม่ามาอยู่ในบริเวณนี้ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
    รถโดยสารประจำทางที่ผ่าน ได้แก่ สาย 69


    </TR></TBODY>
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ขอนำยอดการเบิกจ่ายเงินและยอดคงเหลือจากบัญชีของทุนนิธิฯที่จะนำไปใช้ในการทำบุญประจำเดือนกันยายน (27 ก.ย.นี้)และหลักฐานการโอนเงินไปให้ทางโรงพยาบาลต่างๆในส่วนภูมิภาคมาให้ได้รับรู้และรับทราบกันครับ

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    พิจารณา มหาพิจารณา

    [​IMG]



    [​IMG]
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    <TABLE class=tborder id=post2450711 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พันวฤทธิ์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2450711", true); </SCRIPT>
    สมาชิก PREMIUM

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    สถานที่: Samutprakarn
    ข้อความ: 2,252
    Groans: 0
    Groaned at 3 Times in 3 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 940
    ได้รับอนุโมทนา 18,969 ครั้ง ใน 2,017 โพส
    พลังการให้คะแนน: 648 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2450711 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->ขอลงหลักฐานการบริจาคเงินเพิ่มเติมครับอีก 3 รพ. ครับ และเมื่อรวมกับของนายสติ ตามข้างบน ก็เป็น 7 รพ. แล้ว คงเหลือกิจกรรมในวันอาทิตย์นี้ ก็จะครบทั้งหมด 8 รพ. ตามเป้าหมาย รวมเป็นการบริจาคให้ รพ.ภูมิภาคทั้งหมด 7 แห่ง เป็นปัจจัยรวมทั้งสิ้น 40,000.- (สี่หมื่นบาทถ้วน)

    [​IMG]

    สำเนาธนาณัติโอนเงินให้ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน และ
    รพ. 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จ.อุบลราชธานี

    [​IMG]

    สำเนาใบรับฝากเงินให้ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย
    ผ่านกองทุนพระราชทานเพื่อสงเคราะห์คนยากไร้ฯ ของ
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เสร็จจากงานบุญข้างต้น เรามาดูความศักดิ์สิทธิของพระแม่ธรณีที่เรามักจะไม่ค่อยนึกถึงท่าน หรือนึกถึงก็เพียงแต่ตอนกรวดน้ำเท่านั้น หรือบางทีก็ฝากไปเทก็มี ทางที่ดีในการอนุโมทนาบุญก็ควรอนุโมทนาให้ท่านด้วย หรือฝากบุญไว้กับท่านด้วยตนเอง อย่านำไปให้ใครไปฝาก แทนเพราะในโลกนี้ไม่มีใครเหาะเหินเดินอากาศมา ทุกคนเดินมาบนแผ่นดินทั้งสิ้น การขอขมา การอนุโมทนา การแผ่เมตตา การฝากบุญก็ควรเป็นเจ้าของเท้าทั้งสองที่เหยีบย่ำท่านทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง เพราะเราไม่เคยให้ใครมาเดินแทนเรา..มาดูบทความสุดท้ายกันครับ



    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center width=30></TD><TD vAlign=center>พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ ๙ ค่ำ


    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ ๙ ค่ำ

    เกร็ดประวัติของพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ ท่านปลัดโกศลได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ท่านเจ้าคุณธมมวิตกโกได้มอบไว้ให้แก่ครอบครัวของท่าน ปรกติท่านเจ้าคุณฯมิได้สนใจในเรื่องเครื่องรางต่าง ๆ นัก แต่เนื่องจากมีผู้ที่นับถือท่านฯ ได้ขออนุญาตจากท่านสร้างพระเครื่องรางต่าง ๆ มอบให้ท่านฯ อธิษฐานจิตให้ และเป็นที่น่าประหลาดมาก โดยเฉพาะการปลุกเสกพระเครื่อง ท่าน ฯ มิได้เคยหันหน้าเข้าทำพิธีอย่างพระคณาจารย์อื่น ๆ ท่าน ฯ จะนั่งหันหลังให้ คือหันหน้าเข้าหาพระประธาน ต่อจากนั้นท่านก็จะสวดแผ่เมตตาจิตให้

    ท่าน ฯ เคยได้กล่าวไว้ว่าท่านไม่สามารถที่จะเสกพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบประดุจบิดา และพระองค์ ก็เป็นผู้ประเสริฐ ฉะนั้นพิธีต่าง ๆ ที่ทางลูกศิษย์ได้จัดขึ้น ท่านจงเป็นเพียงแต่อธิษฐานให้เท่านั้น แต่สำหรับพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุนั้น ท่านฯ ได้เจาะจง โดยท่านฯ ได้สั่งให้คุณปลัดโกศล ซึ่งเป็นหลานชายของท่านฯ และคุณปลัดผู้นี้ก็เคยเป็นผู้ที่ส่งอาหารให้ท่านฯ ตั้งแต่ครั้งที่คุณปลัดยังเรียนอยู่ ชั้น ม. ๑-๒ ครั้งหลังที่คุณปลัดได้ศึกษาจบและได้เข้ารับราชการ จึงไม่ค่อยมีเวลา คุณปลัดจึงได้ให้ทางคุณน้ารับช่วงส่งอาหารแทน แต่ครั้งหลังตอนท่านฯ ป่วย คุณปลัดจึงได้ปฏิบัติท่านอีก คือทำอาหารซุปส่งให้เป็นประจำ ท่านฯ ได้เคยถามคุณปลัดว่า เหนื่อยไหมหลาน เพราะระยะทางจากบ้านซึ่งจะต้องนำอาหารมาส่งที่วัดนั้น มีระยะทางไกลพอสมควร ส่วนซุปซึ่งเป็นอาหารชนิดอ่อนนั้นท่านฯ ได้เป็นผู้สอนโดยจดแต่ละประเภทของอาหารรวมกันมีหลายชนิด คือ

    ๑. ผักขม ๒. ถั่วฝักยาว ๓. หัวผักกาดขาว ๔. หัวผักกาดเหลือง ๕. ถั่วเขียว ๖. ถั่วลิสง๗. ถั่วเหลือง ๘. มันฝรั่ง ๙. ผักกาดเขียว ๑๐. มะขามเปียก ๑๑. เกลือ ๑๒. น้ำตาลมะพร้าว๑๓. มันฮ่อ ๑๔. หัวหอม ๑๕. มะนาว

    โดยนำถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถัวลิสง มันฝรั่ง เคี่ยวให้เปื่อยแล้วบดให้ละเอียดด้วยเครื่องบด แล้วนำผักต่าง ๆ ต้ม พอสุกแล้วใช้เครื่องบดให้ละเอียดเช่นกันแล้วนำมาผสมกันใส่เครื่องปรุงมีน้ำตาล เกลือ มะขามเปียก มะนาว แล้วตั้งไฟให้เดือดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำบรรจุโถพลาสติกนำไปส่งที่วัด พร้อมด้วยผลไม้ตามที่ท่านจะสั่งแต่ละวัน แต่ที่จะต้องมีประจำได้แก่ผลฝรั่งทั้งเปลือกฝานเอาแต่ผิว แล้วนำมาบดด้วยเครื่องให้ละเอียดผสมเกลือลงไปเล็กน้อย ใส่โถพลาสติกเช่นกัน และกล้วยน้ำว้าสุก ๓ ผล ส่วนผลไม้อื่น ๆ สุดแต่ปลัดโกศลและภรรยาจะนำไปถวาย เท่าที่ทราบได้แก่ ชมพู่สาแหรก สับปะรด ลูกพลับสด สาลี่ ฯ ล ฯ โดยบดให้ละเอียดเช่นกัน และกว่าจะออกจากวัดไปทำงานต้องใช้เวลานานมากจึงจะถึงที่ทำงาน แต่คุณปลัดและภรรยาคือคุณนายจำเนียร ก็ได้ทำซุปเองทุกวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลา ๒๓.๐๐-๒๔.๐๐ น. ทุกวัน ซึ่งทั้งคุณปลัดและคุณนายก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกปลื้มปีติในความมานะพยายามอันเป็นมหากุศลของคุณปลัดและคุณนายทั้งสองคน

    ก่อนที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ (ธมฺมวิตกฺโก) ท่านจะมรณภาพ เหมือนว่าท่านจะรู้ตัวมาก่อน ท่านจึงพูดกับคุณปลัดผู้เป็นหลานว่า หลานจงไปเก็บก้อนกรวดที่บางบ่อมา ลุงจะทำของดีให้ คุณปลัดจึงได้เรียนถามท่านว่า ผมจะเก็บที่อื่นได้ไหม ท่าน ฯ บอกว่าไม่ได้ คุณปลัดจึงสงสัยว่าเหตุใดท่านฯ จึงมีความประสงค์เช่นนั้น

    ดูเหมือนท่าน ฯ จะรู้ว่าคุณปลัดมีความสงสัย ท่าน ฯ จึงได้อธิบายว่า อันธรรมตากรวดที่อำเภอบางบ่อนั้น ชื่ออำเภอก็เปรียบเหมือน บ่อเงิน บ่อทอง และถือเคล็ดว่าจังหวัดสมุทรปราการด้วย คำว่าปราการ เปรียบเหมือนเป็นเกราะป้องกันภยันตรายต่าง ๆ นั้น บางครั้งท่านจะเรียกก้อนกรวดว่า “เพชร-พลอย” และท่านยังได้อธิบายต่อไปว่าก้อนกรวดนั้นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเรียกว่า “คดดิน” ตามธรรมดามนุษย์เราจะถือว่าของที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เช่น “คดปลวก” ที่เกิดขึ้นในจอมปลวก คนโบราณท่านถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกจึงได้เจาะจงให้หลานชายท่านไปเก็บของสิ่งนี้มา

    ในรุ่งขึ้นคุณปลัดก็ลืมเสียท่านฯ จึงได้ย้ำอีกว่าจงรีบไปหาเก็บมานะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ คุณปลัดเองก็ไม่ได้สังหรณ์ใจในคำพูดเช่นนี้ คุณปลัดได้กราบเรียนท่าน ฯ ว่า ผมผ่านไปมาทุกวันไม่เห็นมีกองกรวดที่ไหนเลย ท่านฯ จึงพูดว่าไปหาให้ดีเถอะ มีแน่ ๆ ที่บางบ่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่ท่านฯ ไม่เคยออกจากวัดไปไหนมาก่อนเลย เหตุไฉนท่านฯ จึงรู้ว่ามีกองกรวดอยู่ คุณปลัดเองก็ขับรถเข้าออกอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเห็น หรืออาจจะเป็นเพราะคุณปลัดไม่ได้เอาใจใส่เองก็อาจจะเป็นได้ และที่ท่านได้เอ่ยปากว่าจะทำของดีให้นั้น ก็ทำให้คุณปลัดรู้สึกประหลาดใจบ้าง เพราะตามปกติท่านก็ไม่เคยให้สิ่งใดแก่คุณปลัดไว้บูชาเลย และตนเองก็เคยทราบว่าท่านมักจะไม่ปลุกเสกของให้ใครง่าย ๆ เพราะท่านเคยพูดกับคุณหมอสุพจน์ ศิริรัตน์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งคุณหมอสุพจน์ได้นำผงสมเด็จจากกรุวัดจักรวรรดิ (สามปลื้ม) บดละเอียดใส่บาตรไปไว้ทิศใต้ฐานชุกชีในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ ฯ เป็นเวลา ๑ ไตรมาส ตอนเอากลับท่านได้พูดกับคุณหมอสุพจน์ว่า ผงนี้ท่านปลุกเสกให้สำเร็จแล้ว ถ้าจะนำไปทำพระ ก็ไม่ต้องนำมาให้อาตมาปลุกเสกอีก เพียงแต่นำไปเข้าพิธีที่ไหนก็ได้ จะได้ผลเท่ากัน อาตมาเองก็ไม่อยากที่จะปลุกเสกให้นัก เพราะถ้าพระของอาตมา ที่ปลุกเสกให้ตกไปอยู่กับใคร ถ้าผู้นั้นประกอบแต่กรรมดี ผู้นั้นก็จะได้รับแต่ความเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าผู้ใดที่ประพฤติในทางที่ไม่ชอบจะเป็นกำลังหนุนให้ประพฤติมิชอบยิ่งขึ้น แต่ไม่นานก็ได้รับผลกรรมนั้น ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงไม่อยากปลุกเสกให้กับผู้ใด นอกจากท่านพระครูอุดมคุณาทรเท่านั้น (ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ)

    ฉะนั้นเมื่อคุณปลัดโกศลมานึกถึงคำนี้ ก็ให้แปลกใจเป็นอันมาก ที่จู่ ๆ ท่านก็ให้ไปเก็บก้อนกรวดให้ และบอกว่าจะทำของดีด้วย ก็คิดว่าจะต้องมีอะไรเป็นพิเศษแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นท่านจะไม่เร่งเร้าเป็นอันขาด และของดีที่ท่านได้เคยปลุกเสกให้ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ซึ่งสมัยยังเป็นพระครูอุดมฯ อยู่ ก็ก่ออภินิหารศักดิ์สิทธิ์มากแก่ผู้ที่ได้รับไปบูชา จนเป็นที่เลื่อมใสในศรัทธาแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งในต่างประเทศก็เคยปรากฏว่าฝรั่งถึงกับนั่งเครื่องบินมาขอบูชาพระเครื่องของท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณก็ยังเคยมี และคุณปลัดเองก็เคยมาขอกับเจ้าคุณลุงเหมือนกัน แต่ท่านได้บอกว่าเฉพาะที่ตัวท่านแล้วไม่เคยมีพระเครื่องเลย ถ้าอยากได้ก็ให้ไปขอท่านเจ้าคุณอุดมฯ ซึ่งเป็นผู้สร้าง และท่านยังกำชับอีกด้วยว่า อย่าไปเอาของเขาฟรี ๆ นะ ต้องบริจาคเงินด้วยเพื่อเขาจะได้นำไปสร้างกุศล นี่ก็เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกไม่ยอมให้ญาติพี่น้องหรือลูกหลานของท่านไปรบกวนคนอื่น ๆ

    ในวันรุ่งขึ้นตรงกับวันอาทิตย์ คุณปลัดโกศล พร้อมด้วยภรรยาคือคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร และ พ.อ. วรสนธิ วรเสียงสุขา (เดิมชื่อ พ.อ.สนธิเสียงสุขา) แต่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก ท่านได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้ใหม่โดยเติม วร เข้าที่หน้าชื่อและนามสกุล ทั้งสามได้นำเอารถส่วนตัวออกเที่ยวตระเวนหาก้อนกรวดจนทั่วท้องที่บางบ่อก็ยังไม่พบเลยสักก้อน จนกระทั่งขับรถจะออกมาทางบริเวณปากทางจะเข้าตัวอำเภอบางบ่อ ซึ่งตรงนั้นใกล้กับสะพานคลองเจ้า (พระองค์เจ้าไชยยานุชิต) จึงพบกองทรายเข้ากองหนึ่ง ทั้งสามจึงจอดรถเข้าไปค้นหาดูก็พบ

    คุณปลัดรู้สึกดีใจมาก จึงเลือกเก็บก้อนกรวดเป็นนาน และได้มาทั้งหมดประมาณ ๒ กำมือ ใส่ถุงพลาสติกเล็ก ๆ ได้ ๓ ถุง จึงนำไปชำระล้างจนสะอาดดี

    รุ่งขึ้นตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ มกราคม จึงได้นำก้อนกรวดใส่ภาชนะ คือพาน และมีผ้าขาวปักดอกไม้ต่าง ๆ ปูรองอยู่ใต้พาน นำก้อนกรวดวางไว้จำนวน ๙ ก้อน ซึ่งคุณปลัดได้กะไว้สำหรับครอบครัวพอดี ตามจำนวนที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกท่านสั่งไว้ คือของบุตรคุณปลัด ๗ คน และคุณปลัดพร้อมด้วยภรรยาอีกรวมเป็น ๙ คนพอดี

    ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก ได้ปลุกเสกให้โดยรับไว้ในมือ เสกอยู่นานประมาณ ๑๘ นาที จึงเป็นอันเสร็จพิธี ท่านได้มอบให้กับคุณปลัดโกศล และบอกให้ไปเลี่ยมให้ลูก ๆ ห้อยคอไว้ จะเกิดสิริมงคลอันยิ่งใหญ่ และท่านได้สั่งให้ปลัดโกศลไปนำก้อนกรวดมาอีกท่านจะเสกให้

    รุ่งขึ้นในวันอังคารที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๔ คุณปลัดก็ได้สั่งภรรยา คือคุณจำเนียร ปัทมสุนทร (ซึ่งเป็นหลานสะใภ้ของท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก) ซึ่งคุณจำเนียรได้เดินทางไปพร้อมกับภรรยาของข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งแห่งอำเภอบางบ่อ (สำหรับผู้นี้ไม่ประสงค์จะออกนาม ด้วยเกรงว่าจะถูกรบกวน เรื่องปฐวีธาตุ) เพียง ๒ คน เพราะคุณปลัดโกศลไม่ว่างเพราะติดราชการ จึงได้มอบหมายให้ภรรยาจัดการแทน ซึ่งเก็บได้อีก ๑ ถุงพลาสติก และได้นำไปชำระล้างอีกอย่างเคยพร้อมกับนำใส่ถาดพลาสติก และรวมทั้งของที่เก็บไว้เมื่อครั้งก่อนอีก ๓ ถุง รวมเป็น ๔ ถุง จากนั้นจึงได้นำไปให้ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกปลุกเสกอีก

    ภายหลังจากที่ท่านได้ทำวัตรเย็นเสร็จเรียบร้อยและได้รับการชำระแผลจากนายแพทย์ไพบูลย์เป็นที่เรียบร้อย คุณปลัดโกศลจึงได้นำมาให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ภายในพระอุโบสถ โตยท่านใช้เวลาบริกรรมปลุกเสกให้อย่างตั้งใจ เป็นเวลาเท่ากับครั้งแรก และครั้งนี้ท่านก็ได้อธิบายให้คุณปลัดโกศลฟังว่า “ของดีที่มีคุณค่ามาก” เรียกว่า “พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ” หมายความว่ามีจิตเมตตา ถึงใครจะเหยียบย่ำทำสิ่งใดก็ไม่ว่า ประดุจพ่อแม่ของเราที่รักลูก จะมีแต่ความเมตตากรุณาต่อลูกทุกคน แม้ลูกจะกระทำสิ่งใดผิดก็จะให้อภัยเสมอ ฉะนั้นก้อนกรวดนี้จึงมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก หากจะมอบให้กับใคร ก็จงให้แก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น เพราะสิ่งของนี้มีค่ายิ่งกว่าเพชรพลอย และให้ผู้ที่เขารับไป จงนำก้อนกรวดนี้วางไว้ตรงกลางรูปใบโพธิ ส่วนรูปใบโพธินั้นให้เอากระดาษแข็งหรือจะเป็นโลหะ ทองเหลืออง ทองแดง เงินหรือทองคำก็ได้ ให้ตัดเป็นรูปใบโพธิ ให้เขียนเป็นตัวอักขระขอมตัว “อุณาโลม ๙ ชั้น” อยู่ด้านบน หางตัว “อุ” ชี้ตรงไปจดปลายใบโพธิ ส่วนใต้ตัว “อุ” ลงไปให้เขียนเป็นอักขระภาษาไทยก็ได้ว่า “น” สำหรับใต้ตัว “น” ลงไปก็ให้เขียนชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าของก้อนกรวดนั้น พร้อมกับนามสกุลด้วย แล้วจึงนำก้อนกรวดวางลงตรงกลางใบโพธิที่เขียน แล้วนำไปเลี่ยมห้อยคอ จะเกิดสิริมงคลแก่คนห้อย

    สำหรับพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุท่านได้ย้ำเสมอว่า มีทั้งหมด ๙ คำด้วยกัน พร้อมกันนั้นท่านยังได้นับนิ้วมือให้ดูอีกด้วยดังนี้:-

    ๑. พระ

    ๒. พ่อแม่

    ๓. ธอ

    ๔. ระ

    ๕. ณี

    ๖. ปะ

    ๗. ฐะ

    ๘. วี

    ๙. ธาตุ

    และเป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก ท่านชอบทำอะไรต้องลง ๙ เสมอ เช่น การบูชาพระ ท่านชอบบูชาด้วยดอกบัว ๙ ดอก รูปก็ ๙ ดอกเช่นกัน ท่านอาจจะถือเคล็ดการก้าวหน้าเสมอก็เป็นได้ เช่นการบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ของท่าน ท่านจะไม่ละความพยายามที่จะให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปเสมอ ท่านไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ เลย ถึงแม้ท่านจะได้รับความทุกขเวทนาจากโรคภัย แต่ท่านก็ยังยิ้มเสมอ แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้มีความอดทนอย่างยอดเยี่ยมไม่มีพระภิกษุองค์ใดจะมีความมานะอย่างท่าน

    และเป็นที่น่าแปลกใจยิ่ง ที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกรู้สึกกระวนกระวายมาก ที่จะให้คุณปลัดโกศลไปนำก้อนกรวดมาในครั้งนี้ แถมยังกำชับเสียหนักแน่น ไม่ให้ไปเอาจากที่อื่น จำเพาะจะต้องที่อำเภอบางบ่อแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งท่านได้ย้ำอย่างผิดสังเกตมาก แต่ก่อนมีแต่จะถูกผู้อื่นขอร้อง รบกวนให้ปลุกเสกของตลอดมา จนบางครั้งท่านยังตำหนิเอา เช่นเมื่อคราวที่พระมหารูปหนึ่ง ได้นำเหรียญกลมใส่ตะลุ่มแล้วเอาผ้าปิด เพื่อกันผู้อื่นเห็น เข้าไปขอร้องให้ท่านช่วยอธิษฐานให้ในพระอุโบสถ ตอนหลังจากทำวัตรเรียบร้อย ขณะนั้นคุณปลัดโกศลและภรรยา และผู้อื่นอีกหลายท่านอยู่ในที่นั่นด้วย ท่านได้ตำหนิเอาว่า เอ ท่านมหานี้รบกวนจริง ๆ ปลุกเสกไม่รู้จักหมดจักสิ้นกันเสียที บางรายก็จะถูกถามเอาว่า จะปลุกเสกเอาไปเพื่อประโยชน์อะไร ?

    แต่ถ้าเพื่อการกุศลทางศาสนา ดังเช่นที่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ท่านก็ยินดีที่จะปลุกเสกให้ เพราะท่านเคยพูดไว้ตอนหนึ่ง เมื่อคราวที่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ (สมัยยังเป็นพระครู) ได้นำพระเครื่องใส่พานไปให้ท่านอธิษฐานจิตให้ ท่านได้พูดกับพระมหาองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่และอยู่ในที่นั้นด้วยว่า คุณไม่มีความสามารถที่สร้างได้สำเร็จเหมือนพระครูอุดม ฯ เขา ที่ท่านพูดดังนี้ เพราะพระมหารูปนี้ได้เคยไปขอร้องให้ท่านปลุกเสกของให้ และมหารูปนี้ปัจจุบันก็ยังอยู่ แต่ผู้เขียนจะไม่ขอออกชื่อ ท่านยังบ่นอีกว่า แหม พวกคุณนี่รบกวนกระทั่งคนเจ็บคนป่วย แต่ถ้ามีผู้ใดจะให้ปลุกเสกของเพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาหรือสาธารณประโยชน์ ท่านจะไม่ปริปากบ่นเลย สำหรับผู้ต้องการจะหาประโยชน์ใส่ตน ต้องถูกท่านไล่ให้กลับไปอย่างไม่ไว้หน้า ฉะนั้นพระที่ต้องการจะสร้างพระไปให้ท่านอธิษฐานจิตให้ เมื่อรู้ดังนี้จึงไม่ค่อยมีใครที่จะเข้าใกล้ท่าน เพราะท่านเองก็ไม่เคยจัดสร้างพระเครื่องเลย ไม่เหมือนกับคณาจารย์อื่น ๆ

    โดยปรกติท่านก็ไม่เคยมีพระเครื่องไว้แจกผู้อื่นเลย แม้แต่ญาติพี่น้องหรือลูกหลานของท่าน ท่านก็ไม่มีให้ซึ่งเราก็ย่อมรู้ได้ว่าท่านเป็นพระที่ไม่ยอมสร้างสมอะไรทั้งสิ้นไม่ บางท่านได้ทราบมาว่าท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกเคยแจกพระเครื่องเป็นรูปเหรียญด้านข้างรูปไข่ เรื่องนี้ผู้เขียนขอค้าน เพราะท่านไม่เคยมีเหรียญไว้แจกเลย อาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้ ผู้เขียนต้องขออภัยด้วย และยังมีบางท่านว่าท่านได้มอบพระเครื่องไว้ให้โดยล้วงออกมาจากในย่ามตอนลงพระอุโบสถ และลงใบหนังสือพิมพ์เสียด้วย แต่ผู้เขียนมาคิดดูและไตร่ตรองอยู่เป็นนานก็คิดไม่ตกว่าจะเป็นจริง เพราะตามธรรมดาผู้เขียนไม่เคยเห็นท่านถือย่ามเลย แม้แต่รูปถ่ายท่านก็ไม่เคยถือย่าม ดังนั้นเหตุใดท่านจะถือย่ามลงทำวัตร แม้แต่พระที่มีกิจธุระเวลาทำวัตร ท่านก็ยังไม่ถือย่ามเข้าพระอุโบสถ นอกจากพระคณาจารย์ที่มาจากที่อื่น โดยได้รับการนิมนต์มานั่งปรกท่านจึงจะถือมา ดังนั้นผู้ที่ว่าท่านได้ล้วงย่ามนำพระออกมาแจก ผู้เขียนเข้าใจคงมีการเข้าใจกันผิดก็เป็นได้

    แต่ว่าในกรณีที่ท่านได้สั่งปลัดโกศลหลานท่านให้รีบไปนำก้อนกรวดมาให้ แล้วท่านก็ยังติดตามผลที่ท่านสั่งเสมอ เหมือนกับว่าท่านยังมีห่วงกังวลอะไรสักอย่าง ตั้งแต่ท่านได้ปลุกเสกพระเครื่องตลอดมา ท่านไม่เคยได้พูดอวดอ้างสรรพคุณของที่ท่านปลุกเสกให้ แต่มาคราวนี้ท่านก็ได้อธิบายให้หลานชายท่าน คือ ปลัดโกศลฟัง จะว่าเป็นการอวดอ้างของท่านเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ เป็นของชิ้นแรกที่ท่านได้ให้หลานชายท่านนำมาและเป็นของสิ่งแรกที่ท่านได้ประคองปลุกเสกโดยหันหน้าเข้าหาสิ่งของนั้น แต่………อะไรจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับท่านได้พูดว่า “ก้อนกรวดนี้ขลังมาก สามารถที่จะคุ้มครองป้องกันนิวเคลียร์ได้อีกด้วย” และยังป้องกันไฟได้อีกเช่นกัน พร้อมทั้งยกนิ้วชี้ขึ้นกระดกสำทับอย่างกลัวจะไม่เชื่อ

    เมื่อท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกปลุกเสกก้อนกรวดเสร็จในตอนเย็นของวันอังคารที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๔ แล้วท่านก็ได้มอบก้อนกรวดที่ปลุกเสกทั้งหมดแก่คุณปลัดโกศล ขณะนั้นลูกศิษย์ลูกหาที่เฝ้าดูท่านเจ้าคุณธมมฺวิตกฺโกอยู่ในพระอุโบสถที่มีจิตศรัทธาในตัวพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกต่างก็ลุกฮือเข้ามารุมล้อมขอของดีจากคุณปลัดโกศลกันยกใหญ่ ซึ่งปลัดโกศลก็ได้แจกแก่ผู้ที่เข้ามารุมล้อมโดยทั่วหน้ากันทุกคน ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกเห็นดังนั้น จึงบอกแก่ปลัดโกศลให้ไปเอาก้อนกรวดมาอีก ท่านยินดีที่จะเสกให้

    รุ่งขึ้นตรงกับวันพุธ ที่ ๖ มกรากม ๒๕๑๔ คุณปลัดโกศลติดราชการ จึงได้มอบหมายให้คุณจำเนียรซึ่งเป็นภรรยาไปเก็บก้อนกรวดแทนอีกเช่นเคย ในครั้งนี้ก็ได้มีผู้ที่ได้ร่วมสมทบไปอีก รวม ๔ ท่านด้วยกัน เท่าที่จำได้ก็คือ คุณจำเนียร ปัทมสุนทร พ.ต.ไพบูลย์ บุษปะธำรง และนายทหารยศร้อยเอกซึ่งเป็นนายแพทย์ทหารบกประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าทั้งสองท่าน พร้อมกับผู้สมทบติดตามไปอีก ๑ ท่านแต่จำชื่อไม่ได้ จากนั้นทั้ง ๔ ท่าน จึงขับรถมุ่งไปยังท้องที่อำเภอบางบ่อ . โดยเก็บจากสถานที่จุดเดิมนั่นเอง เหมือนกับจะมีอะไรมาดลจิตใจทำให้แต่ละคนที่ไปด้วยกันต่างก็พยายามจะหาก้อนกรวดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะว่าคงจะไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นทั้ง ๔ ท่านจึงได้ขอยืมตะแกรงร่อนจากคนงานที่นั่นมาช่วยกันร่อนเอาทรายออก เหลือนอกนั้นจึงคัดเอาก้อนกรวดที่งาม ๆ เท่าที่จะหาได้ เมื่อถึงตอนนี้อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาพคนที่แต่งตัวดี ๆ มียศเป็นนายทหาร แต่ไปยืนถือตะแกรงร่อนทราย เหมือนกับจะหาสิ่งของที่ทำตกอย่างนั้นแหละ ถ้าผู้ที่ขับรถผ่านไปมาพบเห็นเข้า และรู้ว่าที่มาร่วมกันเพื่อต้องการแต่เพียงก้อนกรวด เขาก็จะคิดว่าพวกนี้คงจะเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ คงจะมาค้นคว้าอะไรสักอย่างเป็นแน่ และคงจะเป็นที่สงสัยแก่ชาวบ้านในย่านนั้นและผู้ที่สัญจรผ่านไปมา มีบางคนสงสัยมากถึงกับเข้าไปถามก็มี และก็ได้รับคำตอบจากคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทรไปว่า “ท่านให้มาเก็บ” ซึ่งคุณจำเนียรก็อดที่จะสงสารคนที่สงสัยไม่ได้ เพราะคำตอบที่ได้รับคนฟังย่อมไม่รู้เรื่อง ก็ได้แต่ดูเขาเก็บเพชรพลอยกันโดยมิได้เสียดายแม้แต่น้อย

    เมื่อเก็บได้จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้พากันกลับ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปะธำรง แยกส่วนที่เลือกมาได้ไว้เป็นของแต่ละคน โดยหวังที่จะให้ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกปลุกเสกให้ ส่วนคุณนายจำเนียร ปัทมะสุนทร พอถึงบ้านก็จัดเตรียมชำระล้างก้อนกรวดเป็นอย่างดี

    พอวันรุ่งขึ้นตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๑๔ โดยคุณปลัดโกศลก็ได้เตรียมก้อนกรวด แต่คราวนี้ไม่กล้าจะนำไปมาก เพราะเกรงว่าท่านเจ้าคุณลุงจะหนักด้วยเหตุท่านต้องยกไว้ในอุ้งมือตลอดเวลาในการบริกรรม “ปลุกเสก” สำหรับก้อนกรวดนั้นคุณปลัดโกศลได้จัดไว้ในถุงพลาสติกและใส่ไว้ในถาดเหมือนอย่างเดิม และถุงนี้เองที่เป็นถุงสุดท้ายที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกได้พยายามนั่งบริกรรมปลุกเสกให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะมรณภาพ เมื่อปลุกเสกเสร็จท่านก็ปรารภว่า “วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย เหนื่อยเหลือเกิน” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ท่านเปล่งไว้ในโบสถ์ แล้วท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกก็รีบรุดกลับกุฏิท่านทันที นี่คือการปลุกเสกก้อนกรวดหรือเพชรพลอยของท่านเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ โดยไม่มีใครได้เฉลียวใจในคำพูดของท่านเลย ทั้ง ๆ ที่วันนั้นก็มีหลายท่านนั่งร่วมอยู่ในพระอุโบสถด้วย

    สำหรับเรื่องปฐวีธาตุนี้คุณปลัดโกศลเป็นคนรอบคอบมาก เพราะเรื่องปฐวีธาตุเป็นเรื่องใหญ่ในปัจจุบันนี้ และเป็นการยากที่จะดูให้รู้ได้ เพราะก็เหมือนก้อนกรวดธรรมดานั่นเอง ครั้นจะใช้วิธีดูทางในก็เป็นของลึกลับ เดี๋ยวจะพบแบบที่เขาพบกันเมื่อปี พ.ศ..๒๕๐๘ ที่เขาเรียกกันว่า ยำใหญ่ ฉะนั้นคุณปลัดโกศลจึงได้ทำบัญชีหรือที่เรียกกันว่า การขึ้นทะเบียนนั่นเอง เพราะผู้ที่ได้รับไปคุณปลัดโกศลได้จดรายชื่อ นามสกุล ไว้หมด จดแม้กระทั่งของที่ได้รับไปจำนวนเท่าไหร่ วันไหน ซึ่งดูก็รู้ว่าคุณปลัดเป็นบุคคลที่รอบคอบดีจริง แต่รายชื่อนั้นถ้าใครสงสัยว่าจะได้รับของแท้หรือไม่ก็ลองโทรไปถามคุณปลัดโกศลหรือคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทรดูก็ได้ หรือถ้าเป็นการรบกวน ก็โทรไปที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ได้ แต่ผู้เขียนไม่สามารถที่จะนำรายชื่อของผู้ได้รับมาลงได้ เพราะเจ้าของที่ได้รับปฐวีธาตุบอกว่ากลัวจะมีคนไปรบกวน จึงขอสงวนนาม และเคยมีหลายท่านถามผู้เขียนว่า ปฐวีธาตุนั้นมีจริงเท่าไหร่กันแน่ ผู้เขียนก็ได้เรียนถามไปทางคุณปลัดโกศลดูแล้ว ก็ได้ทราบว่า ปัจจุบันนี้ คุณปลัดมีเหลือทั้งหมดจำนวน ๑ ถุง จะคำนวณออกมาก็หลายร้อยก้อน เพราะเมื่อคราวที่มอบให้ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปะธำรง คราวที่เสร็จพิธีครั้งสุดท้าย โดย พ.ต.ไพบูลย์ได้ใช้มือกำมาจากในถาด ๑ กำ เมื่อนับดูได้จำนวน ๕๓ ก้อน ซึ่งถ้าเรามาคำนวณกันจริง คุณปลัดโกศล ปัทมสุนทร ก็ให้ภรรยาไปเก็บมาก็หลายครั้งด้วยกัน ฉะนั้นรวมแล้วก็จำนวนมากพอดู

    และคุณปลัดโกศล พร้อมด้วยภรรยา คุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร ก็เป็นผู้มีจิตเป็นมหากุศล คือมีผู้ที่มารับปฐวีธาตุจากคุณทั้งสองและช่วยทำบุญอุทิศ ไปถึงท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกด้วย คุณปลัดโกศล และภรรยาก็ได้นำเงินไปร่วมการกุศลกับท่านเจ้าคุณพระอุดมสารโสภณ รวมทั้งสิ้นก็หลายครั้งด้วยกัน เป็นเงินประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ ดังนั้น เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันเปิดป้ายโรงเรียน “นวมราชานุสรณ์” นครนายก คุณปลัดโกศล พร้อมด้วยคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร จึงได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับพระราชทานเข็มทองคำ จากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นเกียรติแก่คุณปลัดโกศล และคุณนายจำเนียร และสกุลปัทมสุนทรเป็นอย่างสูงยิ่ง และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง

    นี้คือผลแห่งการกระทำความดีของบุคคลในครอบครัว จึงได้รับผลของการกระทำในครั้งนี้ สมดังที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกซึ่งเป็นหลวงลุงของบุคคลทั้งสอง ได้สอนไว้เสมอและไม่ว่าใครก็ตามที่ไปพบและนมัสการท่าน ท่านจะสอนเสมอว่า “จงทำแต่กรรมดีนะ” สำหรับผู้ที่ได้รับปฐวีธาตุครั้งหลัง คุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร ได้ห่อใส่ผ้าไนล่อนบางตาเม็ดพริกไทยสีเขียวใบไม้ ผูกด้วยไหมญี่ปุ่น สีเหลืองสวยงามน่ารักมาก คุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร ได้เล่าว่า เขียวเหลือง นั้นเป็นสัญลักษณ์ของวัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งเจ้าคุณลุงได้กล่าวไว้

    จากหนังสือ ประวัติพระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต ธมมวิตกฺโกภิกขุ วัดเทพศิรินทราวาส

    โดย ท. สิริปญฺโญ ภิกฺขุ วัดอุดมรังสี หนองแขม กรุงเทพ
     
  20. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ผมได้รับทราบข่าวเกี่ยวกับหลวงปู่สอ พันธุโล จากเพื่อนธรรม
    ว่าช่วงนี้หลวงปู่ท่านพักรักษาที่ห้องไอซียู รพ.วิชัยยุทธ ครับ

    ขอเชิญชวนทุกท่านช่วยกันสวดมนต์ถวายหลวงปู่ท่านด้วย ครับ

    อนุโมทนา สาธุ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...