วิญญาณยังอยู่

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 31 มีนาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    โดย ใบหนาด

    "ฐานิกา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของวิญญาณเพื่อนบ้าน

    ถ้าได้ยินข่าวใครล้มตายลง ผู้คนสมัยก่อนมักจะพูดว่า "สิ้นบุญสิ้นกรรม" ทำให้เกิดความสงสัยว่าหมายถึงอะไรกันแน่?

    มีผู้ใหญ่อธิบายว่า "สิ้นบุญ" หมายถึงความตายของคนร่ำรวย หรือมีอำนาจวาสนา เมื่อความตายมาถึงจึงเรียกว่า "สิ้นบุญ" ส่วน "สิ้นกรรม" หมายถึงคนยากจน ทุคตะ=เข็ญใจ ถึงวันตายเมื่อใดจึงเรียกว่า "สิ้นกรรม"

    แต่คนทั่วไปมักจะเรียกกันติดปาก หรือเป็นสำนวนว่า "สิ้นบุญสิ้นกรรม"

    สำนวนที่ว่านั้น มักจะหมายถึงคนชราที่มีโรคพยาธิเบียดเบียน หรือไม่ก็มีกายสังขารอันเสื่อมทรามลงไปตามกาลเวลา แม้ว่าจะพยายามบำรุงรักษาเพียงใดก็ไม่อาจจะหนีพ้นกฎธรรมชาติ คือ "อนิจจัง" ไปได้

    นั่นคือ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา

    ในกรณีที่ล้มตายเพราะอุบัติเหตุในวัยหนุ่มสาว รวมทั้งวัยกลางคน ที่เป็นวัยเข้มแข็งอยู่แท้ๆ ผู้คนก็มักจะปลงอนิจจังว่า "เขาทำบุญมาแค่นั้นเอง" บ้าง "ถึงคราวก็ต้องตาย" บ้าง "อายุขัยมีเพียงนี้" บ้าง

    ดิฉันเคยได้ยินมาว่า คนที่ถึงแก่ความตายอย่างกะทันหัน แทบจะไม่รู้ตัวเลยนั้น วิญญาณหลุดลอยจากร่างในฉับพลัน เปรียบเหมือนคนที่บ้านถูกไฟไหม้ กระโดดหนีไฟด้วยความตกใจไม่มีผิด

    ในช่วงแรกๆ วิญญาณจะไม่รู้ว่าร่างกายของตนหมดสภาพที่จะดำรงอยู่ได้อีกต่อไป คิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ และบ้างก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ!

    วิญญาณเหล่านี้จะมีพลังมาก เมื่อสบโอกาสก็จะปรากฏร่างทันที

    อาจเป็นสาเหตุนี้กระมังคะ ที่ทำให้คนส่วนมากเชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณแล้วว่า วิญญาณหรือผีที่ดุร้ายยิ่งกว่าผีทุกชนิด คือ วิญญาณผีตายโหง เพราะคิดว่าตนยังมีชีวิตอยู่ ไม่ยอมรับว่าร่างกายที่เคยยึดครองได้แตกดับไปแล้ว

    เมื่อราว 4-5 ปีก่อน ดิฉันได้ประสบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดและน่าขนหัวลุก เมื่อเพื่อนบ้านรั้วติดกันถึงแก่ความตายทั้งครอบครัว

    คุณพิชัยกับคุณพรรณีทำงานรัฐวิสาหกิจเดียวกัน มีลูกสาวคนเดียววัย 15 ปี ชื่อน้ำตาล บ้านเดิมอยู่ในภาคเหนือทั้งคู่ แต่มาศึกษาต่อและทำงานในเขตกรุงเทพฯ จนตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านติดกับดิฉันแถวดาวคะนอง ก่อนจะเกิดเรื่องร้ายกาจขึ้นมาราวสิบปีเศษๆ

    บ้านนี้เป็นตึกสองชั้นสีฟ้าอ่อน สามีภรรยาคู่นี้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ลูกสาวก็น่ารัก ปกติจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ตื่นเช้าก็ขับรถพาลูกออกจากบ้าน ตกเย็นก็กลับพร้อมกัน มีแม่บ้านชื่อป้าแวว อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรก

    เสาร์อาทิตย์มักจะอยู่บ้าน คุณพิชัยอ่านหนังสือพิมพ์ คุณพรรณีกับลูกสาวดูทีวี นานๆ จะขับรถออกไปเที่ยวนอกบ้านสักครั้ง

    ต่อมาก็มีรถยนต์เพิ่มอีกคัน คราวนี้เป็นของภรรยาที่ขับรถออกไปส่งลูกและไปทำงาน ราว 3-4 ปี ก็เปลี่ยนรถยนต์ใหม่ทั้งคู่...เพื่อนบ้านนินทาว่าเขามีรายได้หลายทางจนมีฐานะร่ำรวยน่าอิจฉา

    คิดว่าไม่ใช่ธุระอะไรของเรา จริงไหมคะ? เพื่อนบ้านมีความสุข เขาไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนก็ดีแล้วค่ะ

    ดิฉันกับน้ำตาลชอบพอกันมาตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แม้ว่ารั้วจะเป็นอิฐบล็อกหนาทึบ น้ำตาลก็เข้ามาเล่นในบ้านดิฉันที่มีอายุคราวน้า มีขนมบ้าง ของเล่นบ้างให้เธอ...ไม่ช้าคุณพรรณีก็เอาอาหารหรือขนมมาให้ดิฉันเป็นของตอบแทน

    สังเกตว่าครอบครัวนี้รักสงบมากๆ เลยค่ะ ไม่ค่อยมีใครไปมาหาสู่ ขนาดอยู่บ้านติดๆ มาราวสิบปี ดิฉันยังไม่รู้จักญาติหรือเพื่อนฝูงเขาแม้แต่คนเดียว!

    วันที่เกิดเหตุร้าย น้ำตาลบอกดิฉันไว้ก่อนว่าอาทิตย์นี้มีวันหยุดยาว พ่อจะขับรถพาไปเยี่ยมคุณปู่ที่จังหวัดตากสองคืน แล้วกลับค่ำวันจันทร์ ส่วนป้าแววเฝ้าบ้านค่ะ

    บ้านนั้นดูเงียบๆ เช่นเคย แต่เมื่อตอนดึกคืนวันจันทร์ ดิฉันได้ยินเสียงรถยนต์คุณพิชัยแล่นมาจอดหน้าบ้าน ประตูรั้วเปิดค่อนข้างดัง ก็คิดว่าครอบครัวนี้พากันกลับมาแล้ว แต่ปรากฏว่าเข้าใจผิดค่ะ

    วันรุ่งขึ้น น้าแววหน้าตาตื่นเข้ามาบอกว่า ได้ยินเสียงรถยนต์เช่นกัน แถมคุณผู้ชายร้องเรียกอีกด้วย ครั้นลุกมาดูก็เห็นแต่ความว่างเปล่าอยู่ในแสงไฟหน้าประตู ขณะที่จะเข้าบ้านก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะรถยนต์ของคุณผู้หญิงเกิดติดเครื่องขึ้นมาดื้อๆ ครู่หนึ่งแล้วก็ดับไปเอง

    ข่าวร้ายมาถึงใกล้ๆ กัน นั่นคือคุณพิชัย ขับรถกลับกรุงเทพฯยังไม่พ้นจังหวัดตาก ก็เกิดอุบัติเหตุชนกับปิคอัพ...เสียชีวิตคาที่หมดทุกคน!

    พวกญาติๆ นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด น้าแววต้องเฝ้าบ้านที่เหมือนบ้านร้าง ทั้งอ้างว้างและเยือกเย็นนัก เพื่อรอคอยให้ญาติคุณพิชัยมาจัดการทีหลัง

    เพื่อนบ้านไม่ได้ไปงานศพพวกเขาหรอกค่ะ เพราะไม่สนิทสนมกันมากพอ โจษขานกันในวันแรกๆ ก่อนจะลืมเลือนไป....จนกระทั่งคืนหนึ่งดิฉันกำลังหลับสนิทอยู่ชั้นบน ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มที่บ้านนั้นก็ลุกออกมามองดูที่หน้าต่าง

    ในแสงไฟเยือกเย็น คุณพิชัยกับคุณพรรณีและลูกสาวพากันเปิดประตูรถออกมา รูปร่างหน้าตาและท่าทางเหมือนคนปกติทั่วไป น้องน้ำตาลยังหันมาเงยหน้าโบกมือให้อย่างร่าเริงด้วยซ้ำ

    ดิฉันรู้สึกมึนงงอย่างบอกไม่ถูก จนไม่ได้หวาดกลัวเลย มองดูร่างทั้งสามพากันหิ้วกระเป๋าและข้าวของหายเงียบเข้าไปในบ้าน...ดูเป็นปกติเต็มที่

    จนกระทั่งกลับไปนอนตามเดิม ถึงได้นึกออกว่าพวกเขาเสียชีวิตหมดแล้ว นี่นา แต่เราไม่ได้เห็นศพ ไม่ได้ไปงานศพเขา จึงไม่ได้นึกหวาดกลัวอะไร คล้ายๆ กับครอบครัวนี้ไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วเพิ่งกลับมากระนั้น

    นี่กระมังวิญญาณที่ยังคิดว่าตัวเองยังอยู่ ทั้งน่าสงสารและขนหัวลุกค่ะ
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,499
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,015
    น่ากลัวดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...