ฝึกสมาธิแนวอินดี้ เด็กแนว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย naykantana, 26 มกราคม 2009.

  1. naykantana

    naykantana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +76
    ฝึกสมาธิแนวอินดี้ เด็กแนว เป็นความเห็นส่วนตัวในการฝึกสมาธินะครับ
    ใครอาจจะเหมือน หรือ ไม่เหมือนก็ได้ แต่ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าจะฝึกได้ง่ายกว่านะครับ
    ลงมือปฎิบัติกันเลย

    1 ให้สูดลมหายใจให้เต็มปอด 3 ครั้ง แต่ละครั้งกลั้นไว้ประมาณ หนึ่งเท่าที่เราคิดว่า
    เต็มปอดแล้วมากที่สุด ซึ่งแต่ละคนก็ปอดใหญ่มาก เล็กบ้าง แล้วแต่ละคนนะครับ
    2 ให้ท่อง นะมะโม 3 ครั้ง
    3 หลับตาลงแล้วให้มองในความมืด หลังหลับตาลงแล้ว สักพักท่านอาจเห็นแสงสีต่างๆ
    ไม่ต้องสนใจ ใช้ใจสร้าง วงกลม กว้างพอสมควร แล้ว ใช้ใจคิด ให้ภาพวงกลม หมุนวน
    จาก ซ้ายไป ขวา หมุนวนๆไปเรื่อยๆ ถ้าภาพวงกลม หมุนวนหายไป ให้กลับเริ่มไหม
    4 หลังจากนั้นให้ดำ ดิ่ง หมายความว่าใช้ใจดำดิ่ง ตามวงกลมหมุนวนนั้นไป เรื่อยๆ
    หลังจากทำแล้วท่านจะเปลือกตากระพริบๆเป็นจังหวะ จากช้า แล้ว มันจะเร็วและถี่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตกใจ ดำดิ่งต่อไปเรื่อยๆ
    5 หลังจากดำดิ่งสักระยะ ท่านจะมีหัวใจเต้นแรงมาก ชนิดที่ว่าเหมือนเครื่องยนต์ รถแข่ง มันเต้นเหมือนจะขาดใจ แต่ ไม่ต้องกลัว ให้ตั้งสติเอาไว้ แล้วสักพัก จะมี
    แสงสีขาว พุ่งมาที่ตัวท่าน ทั้งหมดจะขาว ไปหมดทุกอย่าง มือถึงตอนนั้น ก็ อธิฐานครับ
    ส่งคุณได้แค่นี้ แหละ ขากลับ อย่าลืม กลับที่บ้านหล่ะ
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ไม่เคยได้ยินเลยครับวิธีนี้ มีจริงหรือครับนี่ ????
     
  3. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    จะลองด้วยดีไหมเนี๊ยะ -.-
    แต่ไม่ชัวเพราะ กลัวกลับไม่ได้ อิอิ
     
  4. jokerpalm

    jokerpalm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +46
    ไม่เคยได้ยิน
     
  5. Pite55555

    Pite55555 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +1
    เคยทำแต่เบสิคแบบแค่ตาขยับเร็วแค่นั้น ก็จะลองนะครับ
     
  6. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +1,936
    สมาธิแบบนี้ ผลที่ได้ทำให้ได้สมาธิแบบที่ฤาษีชีไพร ในสมัยก่อนเคยได้กันมา
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ก็เหมือนที่ mokoto ปฏิบัตินั้นแหละ แต่ของ จขกท เป็นอย่างไร ขออนุญาติแจงตามนี้

    1.เริ่มกรรมฐานด้วยการจับลม

    2.พอจิตเริ่มเป็นสมาธิได้นิดหน่อย ก็เปลียนอารมณ์กรรมฐานไปอีก1 ย้ายฐานไปคำสวด
    มนต์ทำอารมณ์สงบให้หนักแน่น

    3.พอได้ความสงบมาอีกหน่อยก็ย้ายฐานไปดูไปกสิณลมแต่ขณะที่สมถะกสิณลมกำลังจะ
    ส่งผล ตรงนี้ mokoto วาดรูปออกมาเป็นลมหมุนวน ตรงนี้มันจะมีขาวกับดำเป็นจุด
    ใครจับอารมณ์ที่จุดขาวก็เห็นเป็นดวงขาวหมุนใครจับอารมณ์เป็นจุดดำก็เห็นจุดดำหมุน

    4.พอหมุนได้ที่อามรณ์จิตตามการหมุนโดยไม่จงใจ เจตนาเริ่มหมด จิตเริ่มตามการหมุนใน
    นิมิตที่จับได้ หากไม่มีปิติแทรก ก็จะเริ่มเกิดแสงสว่าง

    5.แต่พอเกิดแสงสว่างนี่ ร้อยละร้อย จะตกใจ และ สงสัยมาก บางคนก็ถึงขั้นคิดว่าบรรลุ แต่
    ถ้าสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีกิเลส ก็คลายความเชื่อลงนิดหน่อยแต่คงความเชื่อไว้ว่า ตรง
    นั้นต้องมีอะไรดี ก็จะเริ่มเกิดความอยากเห็นแสงสว่างวาบ ตรงนี้จะเป็นขั้นกว่าของการติด
    ปิติ ตัวโยก ตัวโคลง ตัวลอย ขนลุก ขนชัน

    6. มาถึงทางแยก และทางตัน เพราะว่า ตัณหาได้ครอบคลุมจิตเสียก่อน ทำให้จิตจดจำ
    อารมณ์ตอนได้รับแสงสว่างไว้ เพราะมันมีความสุข เบาอย่างมากหลังจากเห็นแสง ทำ
    ให้จิตใจยินดีมาก ก็จะเกิดการนำของปัญญาที่ล้ำหน้าสมาธิ เกิดการไขว่คว้ากองกรรม
    ฐานผิดไปจากทางเดิม ตอนนี้เรียกว่า ขั้นสะเปะสะปะหาอะไรมาทำเยอะแยะไปหมด แทน
    ที่จะครองอารมณ์กรรมฐานกองเดียว จะเที่ยวแสวงหาวิธี หรือ กองกรรมฐานแปลกๆ
    อัศจรรย์ ที่ไม่เคยรู้มาทำ เพราะไม่รู้ว่าที่ติดนั้น เพราะปัญญามันไขว่คว้าแสวงหาอยาก
    เป็น

    7. จึงเลือกเปิดตา เพื่อรับแสง เพราะแสงที่วับๆ แวมๆ นั้นคล้ายกับ อาการเห็นแสง
    วาบที่ได้จากองค์สมาธิ พอทำแล้วใจก็ทยานอยากไม่เลิก ทำให้กระพริบตาถี่ขึ้น
    ซึ่งก็เป็นอารมณ์กรรมฐานอีกชนิดไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงขั้นจะเกิดแสงสว่างจริงตาม
    องค์ฌาณก็ตกใจ ถอยกลับอีก

    8. พอถอยกลับมาตอนนี้กุกกุจจะเริ่มครอบงำแรงขึ้น อาการกายกระสับกระส่าย
    และจิตกระสับกระส่ายเริ่มแรงขึ้น ทำให้กายสั่น หัวใจสั่น แล้วแต่คน คนไหนจับ
    กายสั่นก็จะโยกหัว โยกตัว คนไหนจับที่ใจก็จะดูหัวใจ คนรไหนจับที่ลมปราณก็
    จะเที่ยวไล่แทงทะลุจุด

    9.ตอนนี้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมาก จะกลับกันกับสมาธิแบบปรกติที่ใช้พลังงานเพียง
    นิดเดียว พอใช้พลังงานมากขณะที่ทำกรรมฐานก็จะร้อนไปหมด เกิดไอร้อนให้สัมผัส
    ก็จะเปลี่ยนอารมณ์กรรมฐานต่ออีก เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปฏิบัติแบบจับจด ไม่ทุ่มไปใน
    อารมณ์เดียว ก็เรียกว่ายิ่งทำให้เนิ่นช้าเพราะจะรู้แต่ละกองไปทีละน้อย ตอนที่ใจสัมผัส
    ด้วยความทยานอยากของใจจึงต้องสร้างเครื่องหมายการรู้ จึงสร้าวสัญญา นิมิตมาครอบ
    ก็จะเห็นเป็นเปลวไฟ เทียนบ้าง เห็นไปไฟล้อมตัวเองบ้าง เปลี่ยนไปเป็นกรรมฐานกสิณไฟ
    ก็อีกแหละ พอจะไปถึงขั้นโอภาสก็จะล้ม

    ปัญาหาคือ ไม่วางใจในโอภาส ต้องการได้โอภาส เพราะติดใจในอาการ และผลที่ได้
    จากเห็นโอภาส ทำให้ไม่อาจแทงทะลุฌาณในขั้นต่อไปของกรรมฐานแต่ละกอง ที่เอา
    แต่ย้ายไปย้ายมา

    หากต้องการเจริญปัญญา ให้ตามดู อภิชญา โทมนัส ความยินดี ยินร้าย ความชอบใจ
    และไม่ชอบใจ ที่ครอบงำจิต มีโลภะมูลจิต และโมหะมูลจิตครอบงำ พร้อมทั้งการเกิด
    ของนิวรณ์คือ อุธธัจจะ(ฝุ้งในรสธรรม) และ กุกกุจจะ(รำคาญที่ไม่ได้รสธรรมตามที่ฝุ้ง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2009
  8. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ถูกต้องนะครับ ท่านนิวรณ์กล่าวมาก็ถูกนะ (แต่นั่นก็ผ่านมานานแล้วคับผิดบ้างถูกบ้างเพราะทำด้วยตัวเองและด้วยความที่ว่าไม่รู้ แต่อยากทำ อยากปฏิบัติและก็ปฏิบัติคนเดียวมาโดยตลอดจึงไม่พัฒนาสักเท่าไหร่ ผมจึงได้ตั้งกระทู้ขึ้นมาเผื่อใครหลายๆคนที่เพิ่งหัดใหม่ๆลองอ่านไปเรื่อยๆคับจะได้ความรู้มากมายและก็จะเดินได้ถูกทางไม่หลงตกขอบทางแล้วแต่จะเลือกว่าจะเดินทางอ้อมหรือทางตรง+กับบุญบารมี+ความตั้งใจอดทน ถึงจะไปถึงที่หมายใครพอใจที่จะแวะข้างทางระวังเวาลาอายุขัยจะดับเสียก่อนที่จะถึงที่หมาย(นิพพาน) เอานะคับ ^^ ไปดูกระทู้ผมก็ได้นะคับลิ้งข้างล่าง)
    http://palungjit.org/showthread.php?t=168279

    อ่อแล้ว ที่ท่านนิวรณ์กล่าวมาบางส่วนก็ไม่ตรงตามที่ท่านนิวรณ์เข้าใจนะครับ ผมไม่ได้ยินดียินร้าย กับบุญบารมีเก่า หรือ อยากได้อิทธิฤทธิ์ อยากได้นู้น ได้นั่น จนเป็น โลภะ เพียงแต่บางอย่างสงสัยและไม่รู้ จึงถาม แชร์ความรู้หลายๆท่าน เพื่อที่ผมจะได้นำไปปรับใช้ในการปฏิบัติ ทุกคนมีจุดมุ้งหมายเดียวกันคือพ้นทุข พ้นวัฏสงสาร (นิพพาน) แต่ใครที่จะพอใจหรือ อยากได้อยากเป็น อยากมี ญาณ วิเศษ ก็จะวนเวียนอยู่แค่นั้น

    และเพื่อที่ใครหลายๆคนอาจจะเป็นอย่างเช่นผม ก็เข้ามาอ่านกระทู้ ได้นะคับ
    มีบางท่านที่เหมือนผม เค้าเคยบวชอยู่ในกลุ่มที่บวชให้ในหลวงพร้อมๆกัน80กว่ารูป มีท่านนึง ไอความเย็นของเขาเช่นเดียวกับผมเลยแต่ผมเป็นความร้อน แต่เค้าเป็นความเย็นเวลาเค้านั่งสมาธิ จะรู้สึกเย็นเหมือนมีไอเย็นรอบกาย

    ตอนนี้ ผมปฏิบัติคงสมาธิและกำหนดจิตรู้ กายรู้ วิปัสนา ทำให้ผม หนักแน่นขึ้นมากและ เพ่งแต่ จุดหมุนแต่สีดำแล้ว คงไว้ และก็กำหนดความรู้สึกที่มันร้อนทั่วร่าง คงไว้ (สรุปคือผมฝึก กสิณ2กองพร้อมกัน+วิปัสนาไปด้วยหรือ?แต่ก็ทำให้ผมมีสมาธิมากเวลาที่ทำ )คงไว้ได้นานไม่วอกแวก แล้วก็กำหนดจิตตามรู้
    1วันผมก่อนนั่งสมาธิ ไม่ได้กำหนดเวลาเพียงแต่ดูเวลาว่ามีเวลาที่สามารถนั่งได้นานๆไหมทำสมาธิว่าไม่ติดงานธุระอะไรค่อยนั่งสมาธิ(ปรกติก็ทำตลอดทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้ว) ก็ทำสมาธิคงไว้ได้วันละประมาณ2-3ชั่วโมงโดยฉเลี่ย จากเดินทำแค่ครึ่งชั่วโมงก็หลุดจากสมาธิไม่รู้มันไปของมันเรื่อยๆหรือวกกลับมาที่เดิมเหมือนเริ่มใหม่คล้ายๆกับเวลาเล่นเกมส์แล้วตายก็กลับมาเริ่มใหม่ แล้วก็ต้องกลับมานั่งทำใหม่
    สรุปคือ ไม่พัฒนายังไงก็ยังงั้นทำใหม่นั่งใหม่คิดว่าดีแล้ว ก็ทำไปเรื่อยๆ (ผู้ที่แสวงหาทางด้วยตัวเอง)จะเรียกว่าหลงป่าก็คงไม่ผิดหรอก

    ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราที่รู้ตัวเราเอง

    อ่อข้อความก่อนหน้านั้น ข้อความี่ #3 ผมแค่หยอกแซว จขกท เล่นหน่ะคับ ผมคงไม่เอาไปลองใช้หรอกคับปฏิบัติแบบที่ผมทำอยู่ดีแล้วคับ ^^;

    อนุโมทนาสาธุสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มกราคม 2009
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ไม่ได้ว่าคุณ mokoto ว่ามีความอยาก แต่ ชี้เฉพาะจุดเวลา ขณะที่ปฏิบัติ มันจะ
    มี ตัณหาเจตสิกผุดขึ้น อันนี้ก็เป็นเรื่องวิปัสสนาที่ต้องตามรู้ขณะปฏิบัติ แต่ความ
    อยากที่เรียกว่า อยากนิพพาน อะไรนั่นก็มีไป ไม่ห้าม เพราะปฏิบัติไปเรื่อยๆ หาก
    ไม่ทำสมถะอย่างเดียว ทำวิปัสสนาด้วย จะค่อยๆละความอยากลงไปเอง มันจะ
    เหลือแต่ เหตุ และ ผล ที่มุ่งไปสู่นิพพาน จะไม่ใช่ทำนอง ทำๆไปเถอะแล้วดีเอง
    แต่มันเป็นเหตุเป็นผลล้วนๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ว่ากันด้วยเหตุด้วยผล

    เรื่องการปฏิบัตินี่มันละเอียด เวลาพูดถึงสภาวะธรรม ก็ต้องช่วยผมนิดหนึ่ง หาก
    มองว่าผมเข้ามาต่อว่านี่ เดี๋ยวก็ไปยกเอา เรื่องปรามาสพระรัตนไตรมา หรือ ผู้ทรง
    ฌาณมาแสดงให้วุ่น

    แต่อย่างคุณ mokoto ที่ทำหลายกรรมฐานหลายอย่าง เพราะยังหาจริตตัวเองยัง
    ไม่เจอ ถ้าเจอแล้วก็จะพบว่า วสี ของตัวเองมีช่องเข้าอย่างนี้ พอเห็น วสี แล้วก็
    จะละทางอื่นๆไปเอง เพราะการเข้าฌาณนั้นเราเล่นกันที่ วสี ไม่จำเป็นต้องนับหนึ่ง

    แต่ที่นี้ถ้าเป็น วิปัสสนา เราจะไม่เน้น วสี จะเปลี่ยนมาที่นับจาก 0 จาก 1 เสมอ
    เพราะการทำปัญญาให้แจ้งนั้นจะต้องทำการศึกษาแบบ ญาณ3 คือ เห็นว่ามันเกิด
    (สัจจญาณ) เห็นว่ามันเกิดเพื่อทำอะไร(กิจญาณ) และเห็นว่ามันมีผลอย่างไร(กตญาณ)
    จึงต้องเห็นอย่างครบรอบของมัน เลยต้องนับจาก 0 หรือ 1 เสมอๆ

    ตัวอย่างเช่น เราจะยก อาการจิตมีวสี ขึ้นมาวิปัสสนา เราก็จะต้องระลึกรู้ว่า วสี เกิด
    แล้วในเรา แล้วก็เห็นวสีแต่ละอย่าง(มี5) มันเกิดมาเพื่ออะไร แล้ว วสี มีแล้วทำให้
    เกิดผลอะไร ซึ่งถ้าเอาแต่ทำฌาณ(มีวสี) ไม่ยกขึ้นวิปัสสนา ก็ไม่รู้ว่า วสี มีไปเพื่อ
    อะไร รู้แค่ มันทำให้เข้าฌาณได้เร็วแค่นั้น ซึ่งมันไม่พอให้เกิดปัญญาวิมุตติ(ไม่
    เห็นลงเป็นไตรลักษณ์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2009
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    บางครั้งก็ต้องยกให้เป็นเรื่องของกาลเวลานะ ทุกคนต้องลองผิดลองถูกไปก่อน ตรงนี้แหละเรียกว่า การสร้างบารมี ปัญญาจริง ๆ มันต้องเกิดจากความเข้าใจเพราะได้ลงมือทำ ความเข็ดหลาบจะมีส่วนช่วย เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษ คนที่มองว่าไปเร็วในวันนี้ ก็คงเคยช้ามาก่อนแล้วเมื่อวันวานเหมือนกัน..ว่ามั้ย
     
  11. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    อย่าลืมว่าจริตแต่ละคนไม่เหมือนกันนะเอย ^ ^
     

แชร์หน้านี้

Loading...