ความจริงวันนี้(เรียนเชิญพระอริยมาตอบกระทู้นี้นะขอรับ)

คุณไม่อาจบินขึ้นไปบนฟ้า แต่คุณอาจแหงนหน้ามองฟ้าใกล้ๆคนที่คุณรักได้เสมอ
และเมื่อคนที่คุณรักจากไป คุณคงไม่ได้เสียดายที่ได้โบยบินบนฟ้า แต่คุณจะเสียดายคนที่คุณรักที่เคยเเหงนหน้ามองฟ้าข้างๆ ไม่ได้อยู่อีกต่อไป
และคุณจะแหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้งด้วยความรู้สึกว่า
ยามเมื่อคุณมองขึ้นไป คนๆนั้นจะอยู่บนฟ้า และเค้าคงก้มหัวลงเพื่อมองเห็นคุณแหงนหน้าขึ้นไปบนที่ตรงนั้น

 

อยากตอบจากผู้เคยสัมผัสพระอริยะ
เหนือคำสมมุติทางโลกที่เรียกว่าจักรวาลก็คือที่อยูของพระอริยะที่เสวยนิพพานผล
ไม่มีคำสมมุติใดที่จะอธิบายสถานที่นิพพานได้และท่านก็จะไม่มีโอกาสได้กลับเข้าสู่วัฎฎะ
มาเวียนว่ายตายเกิดอีกแต่ท่านก็ไม่ได้สูญ

 

เศร้า ทำไหมไม่ไปถามที่วัด แล้วจะหาเบอร์โทรให้เสียเวลาทำไหม
แล้วพวกที่เหลือทั้งหลาย มันก็ไม่ต่างจากเจ้าของกระทู้นักหรอกว้า
- -แล้วนิยายคำว่า ควาย ถ้าไม่มี ความ สมัยก่อน ชาวนา จะทำนายังไง
บุณคุณของควายนั้นเหนือคน มันไถนาให้คนได้กินข้าว แต่คนไม่เคยขอบคุณมัน
แล้วคนที่ว่า ควายโง่ ขอถามนิดหนึ่ง รู้จักคำว่า สำนึก ไหมหรือว่าเป็นพวก...คิดเอาเอง
ป.ล.ไร้สังกัด

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ siarayamarata

*********
ดีเหมือนกันการนำกระทู้นี้มาแสดงเราจะได้ดับ ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1674507", true); </SCRIPT>

วันนี้เราจะดับขันธ์ เพราะขันธ์คิดว่าตนเองเป็นพระอริยะ ดูถูกคนอื่นมานานแล้ว เห็นคนอื่นโง่เสมอ

หากคุณกินอาหารหวานทุกมื้อ คุณคิดว่าคุณยังรู้สึกว่าอาหารหวานนั้นเป็นสิ่งที่คุณชอบที่สุดอยู่หรือไม่

หากคุณกินอาหารที่คุณชอบที่สุด 10 วันติดต่อกัน อาหารที่คุณชอบนั้นยังเป็นอาหารที่คุณชอบอยู่หรือไม่

พระอริยะบุคคล หรือพระอริยะสงฆ์ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มิอาจเสพสิ่งใดสิ่งหนึ่งทุกวันตลอดเวลา มิว่าจะเป็นความว่างเปล่า ความสุขเพียงอย่างเดียว เสียชาติเกิด หากคิดว่าคนที่เสพสุขเพียงอย่างเดียวแล้วจะมีความสุขที่สุด

คนที่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพราะเบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจ กับชีวีตที่เรียบง่ายมิตื่นเต้น ไร้ชีวิตชีวา เพราะถึงอย่างไรมิมีใครที่สามารถดับจิตตนเองได้
แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามี เทพเซียนจากลัทธิเต๋า พระโพธิสัตว์พระผู้สร้างทั้งปวง

จิตเกิดมาแล้วมิอาจดับเองได้ จักต้องร้องขอให้ดับจิต และได้รับอนุญาตจากพุทธปฐม ก่อนเท่านั้น มิมีพระผู้สร้างองค์ใดสามารถดับจิตสรรพสัตว์ทั้งปวงได้ เพราะมิใช่ผู้สร้างจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง

วันนี้เราจะดับขันธ์ ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1674507", true); </SCRIPT>


</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เด็กโชว์พาว
ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ เมื่อมองออกไปช่างห่างไกลเหลือเกิน ชั้นไม่อาจพาตัวข้ามผืนน้ำอันเวิ้งไกลได้ แต่ชั้นอาจตะโกนก้องส่งเสียงให้ดังไปถึงฝั่งนู้นได้


</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เด็กโชว์พาว
คุณไม่อาจบินขึ้นไปบนฟ้า แต่คุณอาจแหงนหน้ามองฟ้าใกล้ๆคนที่คุณรักได้เสมอ
และเมื่อคนที่คุณรักจากไป คุณคงไม่ได้เสียดายที่ได้โบยบินบนฟ้า แต่คุณจะเสียดายคนที่คุณรักที่เคยเเหงนหน้ามองฟ้าข้างๆ ไม่ได้อยู่อีกต่อไป
และคุณจะแหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้งด้วยความรู้สึกว่า
ยามเมื่อคุณมองขึ้นไป คนๆนั้นจะอยู่บนฟ้า และเค้าคงก้มหัวลงเพื่อมองเห็นคุณแหงนหน้าขึ้นไปบนที่ตรงนั้น


</TD></TR></TBODY></TABLE>
********
หลักง่ายๆคือต้องรู้ความหมายของนิพพานก่อน นิพพานมาจากอักขระบาลีที่ใช้บัญญัติกฎแห่งกรรม [นิปน] อ่านว่า นิปะนะ แปลว่าคนดีที่สั่งสมความดี และมาจาก [นิวน] อ่านว่า นิวะนะ แปลว่าคนดีที่รู้จริงว่าการทำความดีคือการทำอย่างไร ดังนั้นนิพพานจึงแปลว่าคนดีที่สั่งสมความดี เพราะรู้ว่าการการทำความความดีจะต้องทำอย่างไร

ผลของการกระทำของคนดีที่สั่งสมความดี เพราะรู้ว่าการทำความดีจะต้องทำอย่างไร คือสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ซึ่งจะตรงข้ามกับคนชั่วที่ทำความชั่ว [นิรยม] อ่านว่า นิระยะมะ แปลาว่า คนดีที่ความดีลดลงเพราะทำความชั่ว ผลของการกระทำคือนรกภูมิ

อุปสรรคที่มิอาจรู้จริงเพราะมิรู้ความหมายของคำว่านิพพาน บางคนทำความดีแต่มิรู้ว่าตนเองทำความดี ผลของการกระทำยังคงส่งผลให้ขึ้นสวรรค์ ทั้งสวรรค์ชั้นดุสิตสำหรับบุรุษเพศ และสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สำหรับสตรีเพศ ในโลกของจิตบุรุษสตรีมิอาจอยู่รวมกันได้เพราะมิมีกายสังขารเป็นเพียงพลังงานที่อยู่ตรงข้ามกัน เป็นประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ

บางคนทำความชั่วแต่มิรู้ว่าตนเองทำความชั่วภายหลังจากตายไปผลยังคงส่งไปยังนรกภูมิอยู่นั่นเอง

อุปสรรคจึงอยู่ที่คนมิรู้ว่าสิ่งใดคือนิพพาน สิ่งใดคือการทำความดี และสิ่งใดคือการทำความชั่ว ต่างคนต่างคิดว่าตนเองทำความดีแล้วคนอื่นทำความชั่ว นั่นคือ ความดีเป็นของตัวความชั่วเป็นของคนอื่นเสมอ ไม่รับผิดแต่รับชอบ

เพียงแต่กฎแห่งกรรมมิได้เอนเอียงให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายถูกอีกฝ่ายหนึ่งผิด ล้วนยึดผลของการกระทำเป็นสำคัญ ใครลงมือกระทำให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ก่อน ผู้นั้นคือฝ่ายผิดเสมอ คนที่ถูกกระทำมิอาจต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้แต่กฎแห่งกรรมให้ความเป็นธรรมได้ นั่นคือข้อเท็จจริง ให้พิจารณาข้อเท็จจริงด้วยปัญญา

 

แก้วที่แตกคือจักรวาลที่สะเทือน

แก้วที่แตกคือจักรวาลที่สะเทือน แก้วสะเทือนแล้วจักรวาลก็จะแตกหนอ
ทั้งแก้วและจักรวาล ก็คือ อวิชชา

 

เวรกรรมจริงๆ ดันมาเจอกระทู้นี้ ปวดหัวกับคนที่เอาเวปนี้เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ คุณพูดถึงนิพพาน แต่คุณยังไม่รู้จักศีลห้าเลย เหมือนเด็ก 4 ขวบ ก กาไม่ได้เรียน แต่ดันไปถามหาปริญญาเอก เอาศีลห้าให้ได้ก่อน เด็กโง่เอ๋ย

 

คุณ สีอาน คุณจะดับขันธ์ คุณมีปัญญาแค่ไหน
ก่อนที่คุณจะดับขันธ์ได้ คุณจะต้องไปเดินวิปัสสนาให้มากกว่านี้ พอที่จะรู้เท่าทันขันธ์
นี่คุณยังไม่รุ้เท่าทัน แล้วคิดจะไปดับขันธ์ ผมเกรงว่า คุณจะหลงขันธ์มากกว่า ทั้งขันธ์นอกขันธ์ใน

 

หลังจากอวิชชาดับแล้ว และเมื่อปัจจัยเหมาะสม เบญจขันธ์ จะดับเอง
เสมือนเชื้อไฟหมด ไฟจะสลายไปเอง
ไม่ต้องไปดับ ได้ยินไหม;aa14

 

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ

 

คิดว่าเดินหน้ากลับถอยหลัง

ของที่ดูไกล้ตากลับไกลเกินคว้า

ชาติภพจบสิ้นหรืออุปมาคาดเดา

สนทานหาธรรม นานวันปัญญาล้ำเกินเยียวยา

ละหรือเพิ่มซื่งอัตตา ติดที่ว่าเรามีธรรมเกินใครๆ

คุยสูง มองสูง ภูมิคาดเดา

ใจนึกเอาคลำทาง ตรองกันไป

ถอยก้าว มองเหลี่ยมครบจบมุม

พระธรรมคงจักกว้างไกล ใยเท่าเดิม

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, เจ้าหญิงแพร, หลงเข้ามา, ผู้ชายกับสายน้ำ </TD></TR></TBODY></TABLE>

 

หลงมากระทู้แปลกๆอีกแล้ว

คำตอบคือ คนเป็นพระอริยะแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง คนที่สงสัยว่าตัวเองเป็นพระอริยะหรือยังและคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาว่าเอ๊ะเราเป็นพระอริยะหรือยัง นั่นแหละคืออริยะ

 

จริงๆต้นกระทู้ผมก็บอกแล้วว่าผมให้พระอริยะมาตอบแต่พวกท่านก็ตอบกระทู้ผมอ่ะครับ แต่ไม่เป็นไร ให้อภัย อิๆ
เรื่องของเรื่องคือมีพระอริยะไม่กี่พระองค์เองที่มาตอบกระทู้ผม ขอบคุณมากๆที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่าของพวกท่านมา
ส่วนท่านอื่นๆก็ภูมิธรรมสูงส่งจริงๆเลยครับ นับถือๆ

 

ศาสนาพุทธบนโลกใบนี้ของพวกท่านช่างน่าสนใจดีแท้นะครับ อิอิ

 

เช้า ๆ อย่างนี้ กราบพระกันก่อนจ๊ะ

ขอนอบน้อม แด่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ด้วยเศียรเกล้า

ขอนอบน้อม แด่พระธรรมคำสั่งสอน ด้วยเศียรเกล้า

ขอนอบน้อม แด่พระอริยสงฆ์เจ้าทุกพระองค์ ด้วยเศียรเกล้า

สาธุ...

 

********
เราหมายถึง ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1676254", true); </SCRIPT> ที่ชอบคิดว่าคนอื่นโง่กว่าตนเองเสมอ หลงตัวเองคิดว่าตนเองรู้มากที่สุด ขันธ์จริงๆคุณยังมิรู้จักเลยแล้วมาตั้งชื่อตนเองว่า ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1676254", true); </SCRIPT> คุณมีความเข้าใจในขันธ์เพียงไหน
ขันธ์ สมาชิก

ขันธ์ 5 จริงๆมิมีใครดับได้ มิมีใครที่ดับขันธ์ที่เป็นกฎแห่งกรรมได้ แต่เราจะดับขันธ์ที่ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นอยู่เสมอ

เราจะแสดงธรรมที่เกี่ยวกับขันธ์ที่แท้จริง เมื่อคุณแสดงธรรมที่คุณคิดว่าตนเองเก่งตนเองรู้มากกว่าคนอื่น

เราจะรอคุณมาแสดงธรรมที่เกี่ยวกับขันธ์ทั้งที่รู้ตามผู้อื่นและที่รู้เอง

ที่รู้ตามผู้อื่นใครๆก็ติดตามอ่านได้ในโลกของไซเบอร์

เราต้องการขันธ์จริงๆที่เป็นกฎแห่งกรรมที่มิมีใครฝ่าฝืนได้ มิใช่ขันธ์ปลอม เป็นไก่ขัน เป็นขำขัน เป็นอารมณ์ขัน เป็นขันอาบน้ำ อาบน้ำสามขัน

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ WebSnow

ขอเชิญชวนบริจาคซื้อ
อภิญญาใหญ่ Server




ตอนนี้เราอยู่ยุคอภิญญาใหญ่ในสาธารณะ ตามที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
และเรากำลังจะขยายตัวเองให้ใหญ่ออกไปเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาไปทั่วโลก


งบที่ต้องการ ประมาณ 130,000 บาท
ราคาของ server จะขึ้นลงตามตลาด

เป็น Sever Multicore processor,
Server ตัวใหม่นี้ เราจะเน้นที่ Speed
Quad core Processor and SAS HDD

คาดว่า Servers 3 ตัวนี้ เมื่อต่อกัน จะรองรับ คนได้ประมาณ 4-5 หมื่นคนต่อวัน

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ยุคอภิญญาใหญ่ที่คุณ WebSnow พูดถึง คงจะเป็นเรื่องนี้ใช่ไหม

ที่มา : http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=603


พุทธพยากรณ์ ที่ตึกกองทุน คืนวันที่ ๘ ก.ค.๒๕๒๑ <O
"...สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านพูดว่า ดีแล้ว...เรื่องเบื้องต้นไม่ต้องห่วง...เรื่องฌานโลกีย์ พวกแกนะไม่มีหรอก ไม่ต้องห่วงสั้น ตียาวเลย พวกของแกไม่มีใครเหลือหรอก ถามว่าเมื่อก่อนนี้ล่ะ ท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้ยังไม่ถึงเวลา ท่านสอนยากมาเรื่อย เพราะยังไม่ถึงเวลา ถามว่าถ้าเขามาใหม่ล่ะ ตอบว่ามาใหม่ก็เหมือนกันมันเต็ม การฟักตัวแม้จะอยู่ที่อื่นก็ตาม มันก็เต็ม เวลานี้เทปและหนังสือสั่งมาซื้อกันตั้งเยอะ เทปนี่มีประโยชน์มาก

สมเด็จท่านทรงตรัสต่อไปว่า <O
"อีก ๒๐ ปีข้างหน้า จะมีพระอรหันต์นับแสน" ไม่ใช่เราผู้เดียวเป็นผู้สอน คือว่าทั่ว ๆ ไป กลุ่มเรานี่จะมาก คำว่า "กลุ่มเรา" นี่ อาจจะไม่มีตัวมาอยู่นะ เขาอาจจะมีหนังสือมีเทป แล้ว ท่านตรัสต่อไปว่า
<O
"ที่ฉันให้บันทึกเสียงใหม่ ทำเป็นตำราใหม่ เพราะว่าถึงเวลา เวลานี้คนที่จะถึงเวลาเข้าถึงมุมง่ายแล้ว นี่เป็นเวลานะ คำว่า "เวลา" หมายถึงกำลังใจมันตีขึ้นมา มีแรงขึ้น ๆ
<O
ก็เลยถามท่านว่า ตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่าสอนไม่ได้หรอกคุณ..! คนมันหาว่าง่ายเกินไป เลยไม่เอาเลย ต้องยาก ๆ..."
<O
ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ก่อนหน้านั้นหลวงพ่อสอนวนเวียนเฉพาะ "อารมณ์ฌาน"เท่านั้น พอเริ่มกลางปี ๒๕๒๑ จึงเริ่มสอนเข้าสู่ "อารมณ์พระอริยะ" พอถึงเดือนกันยายน ๒๕๒๑ หลวงพ่อเริ่มสอน "มโนมยิทธิ" แบบครึ่งกำลัง ในตอนนี้หลวงพ่อเล่าว่า สมเด็จทรงตรัสว่า

"ต่อจากนี้ไปอีก ๒๐ ปี อภิญญาใหญ่จะเข้า"
<O
ฉะนั้น เมื่อ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อบอกว่าเวลานี้เกณฑ์ "อภิญญา" จะเริ่มเข้า ให้พระไปฝึก "กสิณ" ชอบกสิณกองไหน ให้ฝึกกองนั้นก่อน แล้วกองอื่น ๆ จะตามมา แล้วท่านได้สั่งให้พระเจ้าหน้าที่เปิดเทป "การฝึกกสิณ" ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้แล้ว นำมาเปิดเสียงตามสายอยู่พักหนึ่ง
<O
ในตอนงาน "หล่อสมเด็จองค์ปฐม" วันที่ ๑๕ มี.ค.๒๕๓๕ ได้มีอาจารย์นำเด็กนักเรียนชั้น ป.๒ มาจาก โรงเรียนแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จำนวนหลายสิบคน เฉพาะที่ได้มโนมยิทธิ และสามารถขอสิ่งของจากเทวดานางฟ้าได้ มีอยู่ประมาณ ๓-๔ คน เธอได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่ตึกรับแขก แล้วขอเหรียญ ๑ บาทจากหลวงปู่ปาน ปรากฏว่าเธอสามารถขอมาได้จริง ๆ ต่อหน้าญาติโยมทั้งหลายในขณะนั้น
<O
ปรากฏว่าหลังจากกลับไปแล้ว อาจารย์เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เคยมาวัดนี้ เธอสามารถลอยขึ้นไปในขณะยืนอยู่ โดยลอยสูงขึ้นไป พอพ้นหัวเพื่อน ๆ ด้วยกัน แล้วจึงค่อย ๆ ลงมา เธอได้เล่าให้ฟังว่า นางฟ้าเอา "เกือกแก้ว" จากสวรรค์มาให้ใส่ จึงสามารถลอยขึ้นได้ แต่ตอนนี้ต้องขอเอากลับไปก่อน ไว้เวลาไม่มีใครเห็น จะเอามาให้ใส่อีก
<O
ในขณะที่บันทึกอยู่นี้ ก็ได้รับทราบข่าวเพียงแค่นี้ ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์อะไรอีก ไว้คอยติดตามข่าวต่อไป อีกไม่นานเกินรอใกล้เวลาที่จะครบ ๒๐ ปี ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ เราก็คงจะได้พบเห็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ (ถ้าไม่ตายจากกันไปเสียก่อนนะ...สำหรับท่านที่ชอบฤทธิ์เดช ทั้งหลาย...)<O<!-- / message --><!-- sig -->

 

คุณสีอานผูกโกรธอะไรคุณขันธ์มาก่อนหรือ

สวัสดีสหายหลง คิดถึงมาก...

 

แสดงว่า สีอาน พูดถึง ขันธ์ ที่เป็นบุคคล ก็แสดงว่า สีอานยังไม่เข้าใจในคำว่า ขันธ์ ดีพอ
ริอาจจะเป็นพระศรีอารย์ แต่ไฉน ยังแยกกองขันธ์ไม่ออก เหมารวมเป็นตัวบุคคล อันเป็นสักกายทิฎฐิเล่า

 

เราขอหยิบตรงนี้มากล่าวสักหน่อยนะ
ท่านสีอานกำลังพยายามเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นโลกียะ (การเสพอาหารอร่อย) กับสิ่งที่เป็นโลกุตตระ (สุขที่ไร้อามิส)
ตรงนี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันน้อยนิดที่มีอยู่ เนื่องจาก สองสิ่งนี้มิอาจนำมาเปรียบเทียบกันได้
เนื่องจากการเสพอาหารรสอร่อย ยังอยู่ในข่ายของกามราคะ ซึ่งยังเป็นกิเลส เมื่อเสพซ้ำๆกันนานๆ ย่อมต้องมีความเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา ตามกฏของสามัญลักษณะ เพราะยังเป็นโลกียะอยู่ มีตัณหาเป็นแรงผลักดันอยู่
ส่วนรสแห่งพระธรรมสำหรับพระอริยะเจ้าแล้วไซร้ ไร้ซึ่งกิเลสเป็นตัวผลักดัน เป็นความสุขที่ไร้อามิสเจือ ความเบื่อหน่ายจึงเกิดขึ้นไม่ได้ หาไม่เช่นนั้นแล้ว บรมสุขที่เรียกว่านิพพาน จะไปต่างอะไรกับสุขแบบโลกๆกันเล่า ถ้าเสพมากๆแล้วเบื่อได้อีก
และหากเสพนิพพานมากๆแล้วเบื่อได้ เราจะปรารถนาสิ่งนั้นไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อไม่ใช่ความสุขที่เที่ยงแท้ถาวร
สิ่งที่ท่านสีอานกล่าว เท่ากับลบลู่คำสอนของบรมครูเป็นอย่างยิ่ง
โปรดสำนึกด้วยและขอขมาพระรัตนตรัยเสียบัดนี้ เพื่อลดความหลงผิดให้น้อยลง บาปที่หนักที่สุด คือ มิจฉาทิฏฐิ นี่เอง ขวางทางมรรคผลจนหมดสิ้น...