ความจริงวันนี้(เรียนเชิญพระอริยมาตอบกระทู้นี้นะขอรับ)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เด็กโชว์พาว, 20 พฤศจิกายน 2008.

  1. namsompun

    namsompun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,365
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]..[​IMG]..[​IMG]...[​IMG]

    [​IMG]..[​IMG]...[​IMG]..[​IMG]

    [​IMG]....[​IMG]......[​IMG]...[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  3. อคติ

    อคติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +395
    ดีๆๆ
    สาธุด้วยๆ
    คิดได้แบบนี้แล้ว มีความสุขขนาดนี้ เคยคิดอยากไปนิพพานดูมั้ย?
     
  4. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    นิพพานน่ะ เมื่อถึงเวลาที่จะไปก็ต้องไปอยู่แล้วครับ ทุกๆคน เมื่อการเรียนรู้บนโลกมนุษย์จบทุกๆคนต้องไปทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าธาตุวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นเอง โดยส่วนตัวผมยังครับ ยังมีสิ่งที่ต้องทำ เมื่อรู้สึกว่ายังไม่อยากไปนั่นคือมีสิ่งที่จะต้องทำก็แสดงว่ายังต้องเรียนรู้และเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยังไม่ถึงเวลาที่เราต้องนิพพาน ก็จึงอยู่ไปก่อน
    แต่แท้จริงคนเราน่ะหาความสุขได้ทุกขณะของการมีชีวิตอยู่แล้ว ถ้าเข้าใจว่าความสุขคือการรักตนเองและผู้อื่น และสร้างสรรค์ในสิ่งที่ตนต้องการจะเรียนรู้
    ผมจึงยังไม่ไป เพราะยังมีความปรารถนาอะไรอยู่ในใจนั่นเอง แต่ผมก็มีความสุขครับ ที่ได้อยู่บนโลกใบนี้ มีความสุขที่ได้รักตนเองและผู้อื่น มีความสุขที่ได้ไล่ตามเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับคำปรารถนา
     
  5. อคติ

    อคติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +395
    ค้าบผม
    ขอบคุณมากๆ
    อุตส่าห์ตอบให้

    จะรอแล้วกันครับ -_-
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การที่จะตระหนักอย่างนั้น ตระหนักว่าไม่ไปนิพพาน ไม่ใช่คิดเอาว่าไม่ไป
    ไม่ใช่ตัดสินใจเอาว่าไม่ไป แล้วอ้างเหตุผลต่างๆนานา ให้ดูดี

    จริงแล้ว เป็นตามที่สันโดษบอกไว้นั้นแหละ ทุกคนล้วนมุ่งต่อพระนิพพาน
    แต่เห็นแล้วตรงหน้า แต่คว้าไม่ได้ ยังไงก็คว้ามาไม่ได้ นั้นแหละถึงจะกลับ
    มาตระหนักว่า เป็นเพราะอะไร ไม่ใช่ไม่เคยเดินไปถึง ไปเห็นเลย แล้วบอก
    ว่า ไม่ไป จะอยู่ช่วยคนนู้นคนนี้ จะเอาอะไรไปช่วยหละ จะช่วยเท่าไหร่หละ
    แค่เท่าที่เห็นตรงหน้าเหรอ มันกระจอกไป...ไม่ใช่หรอก

    แล้วที่จริง ก็ไม่มีการอ้างเหตุผลทำอะไรเพื่ออะไร ไม่มีสัญญาแบบนั้นในจิตหรอก

    หากมีสัญญาหมาย ก็แปลว่า ไม่รู้จักนิพพานเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  7. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ตัวของผมแยกร่างได้ตามใจปรารถนา มีจำนวนมหาศาลอย่างคาดการณ์ไม่ได้ เมื่อท่านหลุดออกจากเวลา(ถึงพระนิพพาน) คุณก็จะไปเจอตัวผมในอนาคตอีกมากมายอยู่แล้ว เพราะเวลาไม่มีอยู่จริง เมื่อถึงพระนิพพานแล้วคุณก็ไปคุยกับตัวตนของผมเหล่านั้นที่ไม่มีจำนวนจำกัดที่นิพพานไปแล้วละกัน -*-
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อะไรที่เธอเห็นว่าแบ่งออกไป ล้วนแต่เป็นเศษสิ่งของที่ถูกเห็นโดยจิต

    จิตที่เห็นอยู่นั้นไม่ได้แตกตัวไปไหน มันก็นั่งบื้อๆ มองเห็นอะไรก็ไม่รู้
    แตกออกไป แถมยังอุปทานว่า มีอะไรแตกออกไปจากตน ทั้งๆที่ความ
    เป็นจริง นั่งดูอยู่ด้วยใจที่ฝุ้งกระจาย

    คุยกะสันโดษให้เยอะๆ ให้เขาใจที่เขาพูดดูก่อน แบบฟังแล้วความคิดไม่แตก
    ประเด็น ไม่เกิดคำถาม หยุดที่เขาพูด ไม่สงสัยเพิ่ม ไม่ตรึกหนทางใหม่ที่
    คิดว่าสันโดษยังไม่รู้ ทำแบบนั้นได้เมื่อไหร่ค่อย ถามหา นิพพาน อีกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  9. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ไอ้ที่แตกน่ะคือจิตวิญญาณครับ เมื่อคุณคิดอะไรคุณจะสร้างมิติใหม่ขึ้นมาทันที และเมื่อความเข้มของความรู้สึกนึกคิดมากจนเต็มเปี่ยม เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นและคุณจะเข้าไปอยู่ในช่องมิตินั้น ตัวของเราเองก็มีจำนวนมหาศาลไม่ใช่มีแค่ร่างเราร่างนี้ร่างเดียว
    เมื่อคุณถึงพระนิพพาน คุณจะออกจากขอบเขตแห่งกาลเวลาและพบว่า ตัวของผมที่ไปถึงพระนิพพานนั้นมีจำนวนมหาศาลนับไม่ได้
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อันนี้เรียก เห็นการตูน มากไป

    ไม่ใช่ เห็น นิพพาน

    เห็นแบบนั้นจะใหญ่คับฟ้า ไม่ใช่ติดดิน

    จะอ้างฟ้าเป็นพยาน ไม่ได้อ้างธรณีเป็นพยาน
     
  11. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    แท้จริงแล้วนิพพานก็คือการหยุดเวลานั่นเอง การหลุดออกจากห้วงแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คำว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นเพียง กลอุบายที่ใช้ล่อให้นักปฏิบัติได้ทำความเข้าใจ

    มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนิพพานหรอก มันยังเป็นอุบายง่ายๆเท่านั้น ลองตรองดูสิ
    เวลาใครมาเรียนพุทธศาสนา คำว่า รู้ลงเป็นปัจจุบัน จะเป็นประโยคต้นๆ ที่พูดถึง
     
  13. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    to คุณ komodo อนุโมทนานะครับ ท่านเจ้าหน้าที่บอร์ดจะคิดยังไงหรือจะทำอะไรกับกระทู้ผมก็ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่คุณอ่ะครับ ไม่เกี่ยวกับผม เพราะผมจะบริสุทธิ์ใจหรือไม่คำตอบมันอยู่ในใจของผมอยู่แล้ว
     
  14. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +511


















    *********
    ดีเหมือนกันการนำกระทู้นี้มาแสดงเราจะได้ดับ ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1674507", true); </SCRIPT>

    วันนี้เราจะดับขันธ์ เพราะขันธ์คิดว่าตนเองเป็นพระอริยะ ดูถูกคนอื่นมานานแล้ว เห็นคนอื่นโง่เสมอ

    หากคุณกินอาหารหวานทุกมื้อ คุณคิดว่าคุณยังรู้สึกว่าอาหารหวานนั้นเป็นสิ่งที่คุณชอบที่สุดอยู่หรือไม่

    หากคุณกินอาหารที่คุณชอบที่สุด 10 วันติดต่อกัน อาหารที่คุณชอบนั้นยังเป็นอาหารที่คุณชอบอยู่หรือไม่

    พระอริยะบุคคล หรือพระอริยะสงฆ์ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มิอาจเสพสิ่งใดสิ่งหนึ่งทุกวันตลอดเวลา มิว่าจะเป็นความว่างเปล่า ความสุขเพียงอย่างเดียว เสียชาติเกิด หากคิดว่าคนที่เสพสุขเพียงอย่างเดียวแล้วจะมีความสุขที่สุด

    คนที่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพราะเบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจ กับชีวีตที่เรียบง่ายมิตื่นเต้น ไร้ชีวิตชีวา เพราะถึงอย่างไรมิมีใครที่สามารถดับจิตตนเองได้
    แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามี เทพเซียนจากลัทธิเต๋า พระโพธิสัตว์พระผู้สร้างทั้งปวง

    จิตเกิดมาแล้วมิอาจดับเองได้ จักต้องร้องขอให้ดับจิต และได้รับอนุญาตจากพุทธปฐม ก่อนเท่านั้น มิมีพระผู้สร้างองค์ใดสามารถดับจิตสรรพสัตว์ทั้งปวงได้ เพราะมิใช่ผู้สร้างจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง

    วันนี้เราจะดับขันธ์ ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1674507", true); </SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  15. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ กระทู้มันดาบสองคมครับ ยังไงรอผู้ดูแลครับ ในห้องนี้ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งเท่านั้นครับ
     
  16. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    <TABLE height=270 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ccffff>

    [​IMG]
    ความจริงปัญหาเรื่อง ตายแล้วไปไหน นี้ ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านสาธุชนเลย เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า
    เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สาย คือ
    ๑. อบายภูมิ ได้แก่ เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๒. เกิดเป็นมนุษย์
    ๓. เกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์
    ๔. เกิดเป็นพรหม
    ๕. ไปพระนิพพาน

    การที่ท่านผู้ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรม คือ การกระทำ ได้แก่ ความประพฤติดีหรือชั่ว ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง
    กฎของกรรม หรือ ผลของความประพฤติดีชั่ว ที่จะพาตัวไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่ท่านทรงตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้
    ทางสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือ ก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ ๆ ไว้ ๕ ประการ คือ
    ๑. เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหง รังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี
    ๒. มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือ ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง
    ๓. ใจเร็ว ได้แก่ มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยา และ ธิดา สามีของคนอื่น ด้วยความมัวเมาในกามคุณ
    ๔. พูดปด ได้แก่ พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา
    ๕. ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบ ด้วยน้ำเมา

    กรรม คือ ความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายแล้วไปสู่อบายภูมิ มีตกนรก เป็นต้น
    แดนเกิดสายที่ ๒ คือ เกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมี กรรมบถ ๑๐ หรือเอากันที่รู้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นคนมี ศีล ๕ ประจำ ได้แก่
    เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหงทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตัวเอง
    ไม่มือไว คือ เคารพสิทธิในทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
    ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของผู้อื่น
    ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระ ตรงต่อความเป็นจริง
    ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ เป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความชั่วความดีตามกฎของจิตใจ ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่าง ๆท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายแล้วมีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
    แดนเกิดสายที่ ๓ ได้แก่ สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่าง คือ
    ๑. เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำความชั่วในที่ทุกสถาน
    ๒. เกรงผลของความชั่วจะทำให้เกิดความเดือดร้อน เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลให้คนเกิดเป็นเทวดา

    แดนเกิดสายที่ ๔ ได้แก่ พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละชั้น พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดา และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา
    แต่พรหมท่านว่าไม่มีเพศ คือ ไม่มีเพศหญิงชาย จะเป็นอะไรท่านก็ไม่บอก ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัด คือ ไม่มีภรรยาสามี คงจะเหงาแย่ก็ไม่รู้ แต่ตามคำสอนท่านว่ามีความสุขกว่าเทวดา น่ากลัวจะมีความสุขสงบสงัด เพราะไม่มีใครขัดคอด้วย อยู่เดี่ยวเดียวดายหาใครเป็นคู่ทะเลาะไม่ได้
    ท่านที่จะเป็นพรหมได้ ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานที่ได้ฌาน
    [​IMG] แดนที่ ๕ ได้แก่ นิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่านิพพานสูญกันเสียเป็นประเพณีไปแล้ว จะขอบอกไว้ย่อ ๆ ว่า คนที่จะถึงนิพพานได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่าง คือ
    ๑. ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้ตัวเสมอว่าจะต้องตานย และพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายความพลัดพรากเสียได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึง หรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
    ๒. ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริง ที่ท่านกล่าวว่าทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพ คือ เป็นอย่างนั้นเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีคุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ ดังนี้เป็นต้น
    ๓. รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
    ๔. ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้เท่าถึงตามความเป็นจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตน เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
    ๕. มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธ ไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากเมตตา
    ๖. ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
    ๗. ไม่เมาในอรูปฌาน โดยคิดว่า ความดีเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
    ๘. มีอารมณ์ปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
    ๙. ไม่ถือตนทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร ไม่คิดว่าเลวกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรพัย์สินทั้งหมด เป็นของธรรมดาที่จะต้องตายทำลายตนเอง และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว เมื่อเข้าสังคมสมาคมใด ๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมสมาคมนั้น ๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมแก่สมาคมนั้น ๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
    ๑๐. ตัดความรัก ความพอใจในโลกียวิสัยเสียให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงนิพพานก็ยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้ อยู่ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่า จะต้องตายมีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์บุคคลใด เท่านี้ก็ไปนิพพานได้ เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไปเมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพุสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรและปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่ง ไม่ใช่เรียนแบบไทย

    ฝรั่งเขาสงสัยอะไร เขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้ เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย
    ที่ว่าอย่าเรียนแบบไทยก็เพราะ คนไทยเป็นคนมีบุญทุกอย่างไม่ต้องลงทุน คอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจ ได้เปรียบฝรั่งตั้งเยอะ แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่า ไม่ใช่เราเห็นเอง
    เรื่องของการตายแล้วไปไหนก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัย หรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริง ๆ
    หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม คือ ท่านให้เจริญสมาธิ มีอภิญญาเป็นบท คือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณท่านให้ใช้ เตโชกสิณ เพ่งไฟ อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ คือ อุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญ ฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้
    การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านอาจจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เอง เห็นเอง ตามแนวสอนของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าฟังกันแล้วก็คิดกัน ไม่ทำตาม เอาแบบไทยแท้แล้ว ความหวังที่ตั้งใจก็คงเหลวแน่ เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตาย
    เมื่อว่ากันถึงการปฏิบัติตาม ท่านที่มีอารมณ์เป็นไทย ไม่ใช่ทาสของความสงสัยก็คงรำคาญ ท่านอาจจะคิดว่าเขาทำกรรมฐานเป็นล่ำเป็นสันในปัจจบัน ใครบ้างที่รู้ได้ อันนี้ก็ยากที่จะบอกให้ฟัง เพราะท่านที่รู้นั้น คนไม่อยากคุยด้วย เพราะไปคุยด้วยเมื่อไร พ่อพูดแต่เรื่องตายอย่างเดียว หวยก็ไม่ใบ้ ไพ่ก็ไม่บอก จะคบกันได้อย่างไร เรื่องมันเป็นอย่างนั้น

    เมื่อท่านที่รู้ท่านไม่บอก จะเอาคนที่รู้มาบ้างแล้ว และบอกได้มีไหม ขอบอกว่ามี ใครหรือ? มีหลายท่าน แต่ละท่านก็รู้ก็ทราบกันคนละจุดสองจุด จะยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง ค่อย ๆ ฟังกันคราวละรายสองราย

    รายแรก จะขอนำเรื่องของท่าน พันเอกสมาน วีระไวทยะ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นี้ ท่านพลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ รู้จักดี ถ้าสงสัยว่าท่านพันเอกสมานอยู่ที่ไหน จดหมายหรือโทรเลขไปถามท่านดูก็ได้ คิดว่าท่านคงสงเคราะห์บอกให้ ท่านผู้นี้เคยตายมาแล้วและกลับฟื้นคืนชีพ ท่านเล่าเหตุการณ์ของแดนที่ไปแดนที่หนึ่ง คือ นรก นำมาเล่าสู่กันฟัง
    ลองฟังเรื่องของท่าน เอาไว้เป็นเครื่องประดับอารมณ์เพื่อความเชื่อ หรือ เพื่อรำคาญก็ตามใจ เรื่องของท่านมีดังต่อไปนี้
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามระบาดเข้ามาถึงประเทศไทย ท่านพันเอกสมาน สมัยนั้นมียศเป็นร้อยโท ท่านถูกส่งตัวไปประจำสมรภูมิเมืองพราก เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางแม่สายกับเชียงตุง
    ระหว่างที่พักอยู่ในค่ายทหารที่เมืองพรากนั้น ท่านกับเพื่อนนายทหารอีกสองคน คือ ร้อยโทสมฤกษ์ พลศิริ และ ร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์ ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคมาเลเรียนขึ้นสมองอย่างแรง
    ต่อมาร้อยโทสมฤกษ์ อาการค่อนข้างดีขึ้น แต่ร้อยโทวิทย์ได้ถึงแก่กรรม ส่วนท่านเองมีอาการไข้หนักมาก
    พอถึงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๕ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. ท่านพันเอกสมานก็สิ้นลมหายใจ ว่ากันตรง ๆ ก็ตายนั่นเอง ท่านตายเพราะพิษไข้ ไม่ได้ตายเพราะสงคราม น่าเสียดายที่กำลังสำคัญชั้นนายทหารสัญญาบัตร อันเป็นกำลังของกองทัยต้องมาสิ้นชีวิตลง ทำให้กำลังของกองทัพต้องเสียกำลังไป แม้แต่จะเป็นส่วนน้อยเพียงนายร้อยโทคนเดียว
    ท่านอาจคิดว่าไม่สำคัญ ก็ขอให้คิดว่าทหารให้กองทัพนั้นไม่ว่าทหารคนใดจำนวนมากน้อยเพียงใดก็ตาม ย่อมมีความสำคัญยิ่งแก่ประเทศชาติ ยิ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตรที่มีอำนาจคุมทหารถึงหนึ่งหมวด เมื่อเสียนายทหารไปหนึ่งคนก็เท่ากับเสียกำลังทหารไปหนึ่งหมวด แต่ทว่าเรื่องสำคัญที่ตัวบุคคล แม้จะสำคัญเพียงใดก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะพูดในขณะนี้ ในที่นี้ต้องการเรื่องที่ท่านตายแล้วไปนรกมา ฟังเรื่องของท่านต่อไป
    เมื่อข่าวนายร้อยโทสมาน ( ยศสมัยนั้น ) สิ้นลมปราณรู้ถึงนายแพทย์สนาม คือ ร.อ. ประภาคาร กาญจนาคม ( ต่อมามียศเป็นพลตรี ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่กรมแพทย์ทหารบก ) ท่านได้มาตรวจดูเห็นว่า ร.ท. สมาน ตายแน่ จึงได้มีคำสั่งให้ทหารนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บศพ ห้องเก็บศพนี้มีไว้สำหรับเก็บศพทหารที่ตายแล้ว และคนป่วยที่เห็นว่าไม่มีทางรอด คือ แก้ไขไม่ได้ จะต้องตายแน่นอนก็เอาไว้ที่ห้องนี้ เพื่อรอเวลาสิ้นลมในที่สุด เป็นระเบียบของแพทย์ในสนามหรืออย่างไรไม่ทราบ
    ท่านเล่าเรื่องของท่านว่า เมื่อท่านป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ทุกขเวทนามันรุมเล่นงานท่านขนาดหนัก ร่างกายทุกส่วนมันเจ็บปวดหมดทั้งร่าง ไม่มีส่วนใดที่จะแสดงออกถึงความสุข คือ ไม่ปวดร้าวไม่มีเลย แม้แต่เส้นผม เมื่อมีใครมาถูกก็รู้สึกปวดจนทนไม่ไหว แต่ทว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ท่านกล่าวว่า กลับไม่มีอาการเจ็บ
    ท่านกล่าวว่า ตอนนั้นปรากฏร่างของท่านเกิดมีสองร่าง ร่างหนึ่งนอนเฉยเหมือนคนตาย ตอนนี้ท่านยกข้อเปรียบเทียบ ความจริงก็เช่นนั้น ร่างเดิมที่นอนป่วยอยู่นั้น เมื่อสิ้นลมปราณ คือ ลมหายใจ เรื่องของความรู้สึกใด ๆ ที่มีอยู่เมื่อสมัยมีลมหายใจมันก็หมดเรื่องกัน ตอนนี้คนเราจะรักจะมีความมั่นหมายปรารถนาในกันและกัน ก็แค่ขณะมีลมหายใจเท่านั้น เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว เพียงชั่วไม่ถึงชั่วโมง คนที่เคยรัก เคยหวงและห่วงใยสมัยที่มีลมหายใจไม่อยากห่าง แต่ตอนสิ้นลมปราณแล้วก็เกิดความรังเกียจ เกลียดกลัวคนที่เคยรักและหวงแหน
    เมื่อท่านเห็นร่างเดิมนอนสงบนิ่ง ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่า ท่านมีร่างใหม่เกิดขึ้นแทน ร่างนี้ไม่นอนแต่ลอยอยู่เฉย ๆ เห็นพวกทหารด้วยกันมาในที่ที่ท่านนอนตาย ท่านพยายามทักทายปราศรัย พูดจากับเพื่อนทหาร ไม่มีใครยอมพูดด้วย ท่านรู้สึกรำคาญเห็นว่า เมื่อเพื่อนร่วมตายทั้งหลายไม่มีใครยอมพูดจาปราศรัยด้วย ท่านก็เกิดมีความรู้สึกเบื่อ อยากจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมเยียนบุตรภรรยา
    [​IMG] เมื่อความคิดว่าจะกลับบ้านกรุงเทพฯเกิดขึ้น ท่านก็เกิดมีความรู้สึกว่าร่างกายเบาผิดปกติ เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เมื่อตั้งใจออกจากสถานที่นั้นก็ลอยลิ่วอย่างรวดเร็ว ไม่เชื่องช้าเหมือนร่างเดิม มุ่งสู่กรุงเทพฯ
    แต่ทว่ายังไม่ทันจะพ้นที่เดิมเท่าใดนัก ก็ปรากฏมีชายชราคนหนึ่งยืนขวางหน้าท่านไว้ เมื่อท่านลอยมาถึงชายชราคนนั้นบอกให้หยุด และกล่าวว่า
    "อย่าเพิ่งไปกรุงเทพฯ เลย ขอให้ตามฉันมา ฉันจะพาเธอไปหาท่านพ่อ"
    ชายชราคนนั้นแต่งกายคล้ายขุนนางโบราณ ท่านได้รับฟังแล้วก็สงสัยในคำกล่าวที่ว่า "จะพาไปหาท่านพ่อ" แต่ก็ปรากฏว่าลอยตามท่านผู้นั้นไปอย่างคนว่าง่าย
    ชายชราขุนนางโบราณคนนั้น ได้พาท่านมาถึงเมือง ๆ หนึ่ง เมืองนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก มีกำแพงสีขาว แต่ทว่าประตูกำแพงสีดำ เมื่อท่านขุนนางชราพามาถึงประตูสีดำ ท่านได้เคาะระฆังที่แขวนไว้หน้าประตู สักประเดี๋ยวเดียวบานประตูก็เปิดออก ภายในเห็นมีทหารยืนเรียงรายอยู่หลายคน ต่างก็มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ยืนรักษาการที่ภายในประตู
    เมื่อผ่านประตูสีดำไปแล้ว ท่านขุนนางโบราณคนนั้นก็พาเดินไปถึงประตูอีกชั้นหนึ่ง ประตูนี้มีสีเป็นสีทอง กำแพงก็มีสีเป็นสีทองดูสวยงามมาก เพราะจะมองไปทานไหนเห็นเป็นทองระยิบระยับไปหมด
    เมื่อถึงประตู ท่านก็เคาะระฆังเรียกเหมือนประตูแรก แล้วบานประตูก็เปิดออก ท่านพาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มีความสวยสดงดงามมาก มีลักษณะคล้ายท้องพระโรง ภายในท้องพระโรงนั้น มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่หลายคน แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขมักเขม้นเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยกันเหมือนห้องทำงานในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์นี้ นักการทำงานทั้งทำทั้งคุย มีจำนวนมากที่คุยมากกว่าทำ แต่ก็มีไม่น้อยที่ท่านขยันขันแข็งต่อการงานอย่างจริงจัง ไม่ชอบพูดพล่ามทำเพลง เวลางานเป็นงาน แต่ท่านที่ทำงานดีอย่างนี้มีสภาพเหมือนคนปิดทองหลับงพระ เพราะมัวห่วงงานไม่มีเวลาประจบสอพลอ ดีไม่ดีผู้บังคับบัญชาลืมขอบำเหน็จให้เสียก็ยังได้
    ฉะนั้น นักทำงานดีในเมืองมนุษย์ต้องทำงานดีด้วยและทำให้ถูกใจผู้บังคับบัญชาด้วย จึงจะมีผลตอบแทนที่สาสมกับความขยัน หมั่นเพียร ฉะนั้น คนทำงานในเมืองมนุษย์จึงต้องฝึกทั้งการทำงาน และซักซ้อมคารมพร้อม ๆ กันไป จึงเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนอกจากทำงานเก่งแล้ว ยังคุยเก่งอีกด้วย บางรายคุยเก่งกว่าทำตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังพอหาได้
    ที่นั่นเป็นเมืองผี ผีเขารู้งานโดยไม่ต้องรายงาน ใครขยัน ขี้เกียจ ผู้บังคับบัญชาทราบเอง เพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ เจ้าหน้าที่จึงไม่ต้องซ้อมวาทะไว้เพื่อรายงาน ของเขาก็ดีไปอย่างหนนึ่ง แต่เงียบเหงามาก เพราะเมื่อนั่งอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่ามีเสียงคนพูดเลย ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างไม่ยอมมองมาดูเลย
    ทุกคนมีหน้าตาแปลกประหลาดไม่ใคร่เหมือนคนสมัยปัจจุบันนัก เครื่องแต่งกายก็คล้ายกับคนสมัยโบราณทั้งหมด มีทั้งทหารและพลเรือน
    เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้นำได้บอกให้ทราบว่า
    "คอยสักประเดี๋ยว ท่านพ่อจะเสด็จออก"
    แล้วก็ชี้ให้ดูประตูที่ท่านพ่อจะเสด็จออก เป็นประตูสีทอง มีม่านสีทองผืนใหญ่รูดปิดไว้ บนบริเวณที่ที่ท่านพ่อจะออกมาประทับมีสภาพกว้างขวาง สวยสดงดงามมากคล้ายเวทีละคร สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงมโหรีดังขึ้น มีเสียงตะโกนออกมาว่า
    "พระยายมเสด็จแล้ว" เสียงนั้นบอกกันต่อ ๆ ออกมา ท่านกล่าวว่า เมื่อได้ยินเสียงบอกว่า พระยายม เท่านั้น ท่านว่าความรู้สึกขณะนั้นบอกไม่ถูก มีความหวาดกลัวที่สุด ด้วยคำว่า พระยายมได้ยินจนชิน ตามความรู้สึกแล้วคิดว่า พระยายมคงมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ดุดันเหี้ยมโหด ด้วยได้รับคำขู่ไว้เมื่อสมัยมีชีวิตว่า
    พระยายมถ้าเอาใครเข้าไปสู่สำนัก คนนั้นก็ไม่พ้นการลงโทษอย่างสาหัส คือ เอาลงนรก
    เขาเล่าใหัฟังกันมาอย่างนั้น จนความรู้สึกของตนจดจำคำว่าพระยายมไว้จนชิน และมีความหวาดสะดุ้งอยู่เป็นปกติ แล้วเมื่อมาได้ยินคำว่า พระยายมออกมาแล้ว และอยู่ในสำนักพระยายมด้วย ความหวาดหวั่นยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ
    เมื่อม่านสีทองถูกเปิดออก พระยายมเสด็จออกประทับที่แท่นอันสวยงดงามเป็นพิเศษ หาความสวยใด ๆ ที่ประดับด้วยทองและเพชรนิลจินดาในเมืองมนุษย์ที่จะงามคล้ายคลึงแท่นที่พระยายมประทับไม่มีเลย เมื่อเห็นองค์พระยายมจริงเข้า ความเข้าใจที่ว่าพระยายมคงจะมีรูปสูงใหญ่ หน้าตาดุร้าย ตวาดคนลั่นเมือง ตามที่คิดไว้ผิดถนัด
    รูปร่างของพระยายมที่เห็น ก็มีรูปาลักษณะเป็นคนธรรมดาเรานี่เอง อาการที่แสดงออกไม่มีริ้วรอยของความโหดร้ายเลย มีอารมณ์เยือกเย็น เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีเครื่องแต่งกายสวยงามมาก มีความสวยสง่ากว่าทุกคนในที่นั้น เมื่อพระยายมเสด็จประทับบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ท่านขุนนางโบราณผู้เฒ่าที่พาท่านไป ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า
    "ขณะนี้ได้พาคนที่ท่านประสงค์จะพบ มาแล้วตามพระบัญชา"
    เมื่อท่านขุนนางชรากราบทูลแล้ว ท่านพระยายมก็หันมาทางท่านพันเอกสมาน ขณะที่ท่านพูดก็พูดด้วยอาการของคนมีเมตตา คือ อารมณ์แจ่มใส หน้าตาเบิกบาน ไม่เหมือนพระยายมในโทรทัศน์ ที่นักออกแบบให้คนที่สมมติว่าเป็นพระยายม แอบเอาเขาสวมเข้าด้วย มองแล้วไม่น่าว่าจะเป็นเขาอะไร จะเป็นเขาวัวก็ไม่ใช่ เขาควายก็ไม่เชิง จะว่าเหมือนเขาสัตว์ประเภทไหนก็ไม่ชัด ที่แน่เห็นจะเป็นเขาของคนออกแบบนั่นแหละ อาจจะตรงตามความจริง
    [​IMG] ส่วนพระยายมที่ท่านพันเอกสมานเห็นนั้น ไม่มีเขา และ สวยงามด้วย เป็นอันว่า พระยายมตามคติของปวงชนที่เข้าใจกันมาในอดีต ไม่ตรงกับความเป็นจริง เมื่อพระยายมหันมาทางท่านพันเอกสมาน ท่านได้พูดว่า
    "ที่ให้พระยามัจจุราช หมายถึง ท่านขุนนางโบราณคนที่ไปดักหน้าแล้วนำมาที่นี่ ความจริงเธอยังไม่หมดอายุขัย คือ ยังไม่ถึงกำหนดตายนั่นเอง ที่ให้เขาพามาก็เพื่อให้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ตามความเป็นจริงของยมโลก เมื่อกลับไปเมืองมนุษย์จะได้ปฏิบัติแต่ความดี ไม่ทำความชั่วอีก เมื่อได้ดูสิ่งต่าง ๆ แล้ว จะได้ให้พระยามัจจุราชนำไปส่ง" แล้วท่านก็ให้โอวาทอย่างยืดยาว
    โอวาทที่ให้นั้นมีความสำคัญอยู่อย่างเดียว คือ ให้พยายามประพฤติแต่ความดี พยายามทำบุญทำทานไว้ อย่าประพฤติตนเป็นคนชั่วใจบาปหยาบช้า เพราะเมื่อทำตนเป็นคนใจบาป เมื่อตายแล้วผลของความชั่วจะนำไปสู่นรก มีโทษทัณฑ์หนักมาก มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ไม่มีโอกาสที่จะพักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าจะสิ้นกำหนดตามกฎการลงโทษ ตามกรรมชั่วที่ทำ
    แต่ถ้าทำตนเป็นคนดี ทำบุญให้ทานไว้เสมอ ๆ บุญและความดีจะส่งผลให้พ้นนรก ได้ไปเกิดบนสวรรค์ อันเป็นดินแดนที่แสนสุข มีความสำเร็จตามใจประสงค์ทุกประการโดยไม่ต้องใช้กำลังกายทำงาน

    ท่านให้โอวาทอยู่นานพอเวลาสมควร ท่านก็บอกให้พระยามัจจุราชนำไปชมสถานที่ลงทัณฑ์ต่าง ๆ ให้พาไปดูให้ทั่ว จะได้รู้ได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่ท่านพันเอกสมานไม่มีความประสงค์จะดูอะไรเลย ท่านมีความประสงค์ใคร่จะกลับ ท่านพระยายมท่านก็ไม่ขัดใจ เมื่อไม่อยากดูท่านก็ไม่ว่า ท่านก็มีบัญชาให้พระยามัจจุราชนำไปส่งที่เดิม
    น่าเสียดายตอนนี้ ถ้าท่านพันเอกสมานท่านไปชมนรกมา แล้วนำมาเล่าให้คนเบื้องหลังฟัง จะมีประโยชน์แก่คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์นี้มาก เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นนายทหารใหญ่ที่มีความรู้เรื่องราวของชาวโลกดี มีสังคมกว้างขวางพอสมควร เป็นที่เชื่อถือของท่านบรรดาบัณฑิตได้พอควร ซึ่งมีสภาพตรงกันข้ามกับนักปราชญ์ที่เรียนรู้มาจากศาลาวัด ท่านจัดเป็นนักปราชญ์ประเภทที่คร่ำครึ ถึงแม้จะรู้จริงก็ตาม แต่หาคนเชื่อได้ยาก
    บางรายนักเรียนศาลาวัดเองนั่นแหละ สอนคนอื่นสอนได้แต่ตัวเองไม่เชื่อ อย่างนี้ก็มีไม่มีน้อย เพราะท่านนักปราชญ์ประเภทนี้รู้จักกันมาก เคยเป็นนักเทศน์มาด้วยกัน เคยปรารภให้ฟัง เมื่อฟังท่านพูดแล้วก็สลดใจ
    ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อขณะที่พระยามัจจุราชนำมานั้น ท่านนำมาทางเดิม เมื่อเดินไปถึงที่สุดทาง ท่านพระยามัจจุราชบอกว่า "ฉันมาส่งเพียงเท่านี้นะ ต่อไปเธอเดินไปเองก็แล้วกัน"
    พอท่านพูดเท่านั้น ท่านว่าท่านเองมีอาการหวิวคล้ายกับพลัดตกจากที่สูง แล้วหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัว ปรากฎว่ามานอนอยู่ที่ห้องเก็บศพ ยังเคราะห์ดีที่มีทหารเฝ้าอยู่สองคน พอรู้สึกตัวก็กระหายน้ำมาก อาการอย่างนี้เล่าเหมือนกันทุกคนที่ตายแล้วกลับฟื้น ต้องมีการกระหายน้ำเป็นพิเศษ
    เมื่อท่านเล่ามาถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ได้ถามท่านว่า
    "ท่านตายไปกี่ชั่วโมง?"
    ท่านบอกว่า "เมื่อหมดความรู้สึก คือ ตอนตายที่เกิดมีร่างเป็นร่างที่สองนั้น เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. เวลาที่ท่านรู้สึกตัวเป็นเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๔๘๕ รวมเวลาที่ท่านตายไปประมาณ ๑๒ ชั่วโมง"
    ผู้ถามได้ถามต่อไปว่า "เมื่อท่านอยู่ท้องพระโรงของพระยายม ท่านพบคนที่รู้จักกันบ้างไหม?"
    ท่านตอบว่า "พบหลายคน แต่ทุกคนที่พบ เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น ในจำนวนคนทั้งหมด มีร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์ เพื่อนนายทหารในค่ายเดียวกันที่ตายไปก่อนรวมอยู่ด้วย"
    ท่านได้เล่ากับผู้ถามว่า ต่อมาภายหลัง ท่านได้ติดต่อโดยทางจิต ตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า นิมิต ภาษาพระ เรียกว่า ฌาน กับหลวงพ่อแก้วมรกต และเจ้าพ่อองค์สำคัญอีกหลายท่าน แต่ละท่านก็ให้คาถาที่เป็นประโยชน์มาใช้ รวมแล้วหลายบทและแนะนำวิธีปฏิบัติสมาธิกับใช้จิตให้เป็นประโยชน์ คือ อำนาจสมาธินั่นเอง ท่านนำมาใช้แล้วได้รับผลดีเป็นที่น่าเลื่อมใส คาถาที่ท่านได้มา เช่น คาถาต่ออายุ และ คาถาย่นระยะทาง
    สำหรับคาถาย่นระยะทางนี้ ท่านพลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์ เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้เอง ท่านได้ร่วมทางกับท่านพันเอกสมาน มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านร่วมทางไปด้วย เมื่อขณะนั่งไปบนเครื่องบิน บังเอิญวันนั้นลมแรง นักบินรายงานว่า
    "วันนี้จะถึงสนามลงไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ อาจเสียเวลาถึงครึ่งชั่วโมง"
    เมื่อทุกคนสำรวจเวลา และสถานที่ที่เครื่องบินกำลังร่อนอยู่ว่าเป็นตำบลอะไร และตรวจความเร็วของเครื่องบินที่เคลื่อนไป ทุกคนทสี่ไปนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารอากาศผู้ชำนาญการบินมาแล้ว ต่างก็ยอมรับว่าวันนี้ไปถึงที่หมายปลายทางล่ากว่ากำหนดนัดแน่
    เมื่อท่านพันเอกสมานทราบเรื่อง ท่านว่าท่านเรียนคาถาย่นหนทางมาจากท่านองค์ใด อาตมาจำไม่ได้ ท่านรับรองว่าจะไปถึงก่อนกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ แล้วท่านก็เริ่มภาวนาคาถา เมื่อเครื่องบินถึงที่หมายเข้าจริง ๆ พล.อ.อ. พะเนียง เล่าว่า
    "ถึงก่อนกำหนดตั้ง ๔๕ นาที สนามบินเงียบเหงา คนที่จะมารับก็ยังไม่มีใครมารับเลย เพราะถึงก่อนกำหนดมากไป"
    นี่เป็นคุณของคาถาบทหนึ่ง ที่ท่านพันเอกสมานเรียนจากท่านที่ไม่ใช่มนุษย์ ยังมีคาถาต่ออายุคนอีกที่ท่านทำเกิดผลมาแล้ว การต่ออายุท่านว่าต้องขออนุมัติจากท่านเจ้าของคาถาก่อน จะต่อได้กี่เดือนกี่วันก็สุดแล้วแต่จะตกลงกัน ไม่ใช่ต่อให้แล้วไม่รู้จักตาย ขอยุติเรื่องของท่านพันเอกสมานไว้เพียงเท่านี้ ที่นำเรื่องของท่านพันเอกสมานมาเล่าก่อนเรื่องคนอื่นใด ก็เพราะว่าท่านยังมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อว่าใครสงสัยจะได้สอบถามได้
    อีกอย่างหนึ่ง ก็เห็นว่าท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีความรู้พอที่ชาวโลกจะเชื่อถือได้ แม้เรื่องของท่านจะเป็นเพียงมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมเล็ก ๆ ของมรณะโลก คือ โลกของคนตายแล้วก็ตามที ก็อาจะเป็นเหตุยืนยันได้ว่า คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ และยังต้องเสวยผลของกรรม คือ การกระทำหรือที่เรียกกันว่า ความประพฤติในชาติที่เป็นมนุษย์นี้
    ใครทำดี ผลกรรมก็สนองให้มีความสุข
    ใครทำชั่ว ก็รับผลเป็นความทุกข์

    และจะได้ทราบว่า คนที่ตายแล้วยังจำญาติและพวกพ้องได้ ที่กลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องพวกพ้องก็มีมากราย แต่ใครเล่าจะเป็นคนเห็นผีอย่างท่านพันเอกสมาน ท่านเล่าว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างที่มีเนื้อเลือดเป็นสมุฏฐาน ก็ปรากฏมีร่างอีกร่างหนึ่งขึ้นมาแทน มันเป็นร่างที่มีอวัยวะทุกอย่างครบครันเช่นเดียวกับร่างนี้ แต่มีความเบามากกว่าหลายแสนเท่า มันไม่มีความรู้สึกหนักหน่วงเลย มีความคล่องตัวเป็นพิเศษ คิดว่าจะไปไหน ร่างนั้นจะลอยไปและถึงทันที
    ร่างนี้ตามปกติมันอยู่ที่ไหน ถ้าท่านสงสัยอย่างนี้ก็ขอถามท่านว่า เมื่อท่านนอนหลับแล้วฝัน ท่านเอาร่างนี้ออกเที่ยวตามความฝันหรือเปล่า? ถ้าเปล่า ท่านเอาร่าง ร่างกายที่ไหนไป?
    ตามเรื่องราวที่ท่านฝัน ถ้าท่านคิดไม่ออก ก็ขอบอกว่า ที่เขาพูดกันว่า คน ถ้าวิญญาณไม่สิ้นเพียงใด ความรู้สึกใด ๆ ก็ยังปรากฎ ถ้าวิญญาณดับเมื่อไร เมื่อนั้นความรู้สึกต่าง ๆ ก็สิ้นไป
    วิญญาณท่านเข้าใจว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจก็ขอให้คิดเอาไว้ก่อนว่า ร่างของเราที่ปรากฎตามความฝันนั้น นั่นแหละคือ วิญญาณ เมื่อวิญญาณออกจากร่างเดิม อย่างท่านพันเอกสมาน ท่านพูดกับใครไม่มีใครรับรู้ ก็เช่นเดียวกับท่านทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ถ้าจะมาเยี่ยมญาติ เยี่ยมลูก เยี่ยมเมีย ใครเล่าที่เคยตัดพ้อว่า ถ้าตายแล้วไม่สูญ ทำไมไม่มีใครมาบอกบ้างว่า อยู่ที่ไหนมีความสุข ความทุกข์อย่างไร ท่านที่กล่าวนั้น เมื่อผีมาจริงท่านจะเห็นผีไหม เมื่อผีพูดด้วยท่านจะได้ยินเสียงไหม ข้อนี้ควรคิด
    [​IMG] ที่เอามาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะนำเอาพระสูตรมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยในเรื่องของพระสูตร ที่มีท่านผู้รู้หลายท่านค้านว่า พระสูตรเป็นเรื่องนิทานปรัมปราเหลวไหลไม่ได้เรื่อง เมื่อเรื่องนี้มีการสอบสวนทวนพยานได้ หากท่านสงสัยจะได้คลายความสงสัยด้วยการสอบถาม ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟัง เจ้าของเรื่องบางท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ บางท่านก็ตายไปแล้ว

    ต่อไปในโอกาสหน้า ถ้าหมดเรื่องที่เจ้าของเรื่องมีชีวิต ก็จะนำเรื่องของท่านที่เคยตายแม้สิ้นชีวิตแล้วก็ตาม เอามาเล่าสู่กันฟัง

    สำหรับวันนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี


    *****************************

    [​IMG]
    วันนี้จะขอนำเรื่องราวของพระเก่า ๆ มาเล่าให้ฟัง ลองอ่านเรื่องเก่า ๆ ของคนแก่ดูบ้าง เอาไว้เป็นเรื่องประดับความจำ จะว่าเป็นเรื่องประดับปัญญาหรือความรู้เลยทีเดียวก็คงไม่เหมาะ เอากันเพียงแค่ประดับความจำกันก็แล้วกัน
    เรื่องต้นที่จะพูดถึงก่อน ขอนำเรื่องของท่านพระครูสุวรรณ พิทักษ์บรรพต เจ้าคณะ ๑๑ วัดสระเกศ จังหวัดพระนคร มาเล่าให้ฟังก่อน
    สมัยนั้น พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ยินข่าวเขาเล่าลือกันว่า มีพระอาจารย์ผู้ทรงฌานทางสมถะองค์หนึ่ง อยู่วัดสระเกศ สมัยนั้นก็เป็นคนชอบรู้ ชอบพิสูจน์ เมื่อมีข่าวว่าท่านดีก็พยายามไปหาท่าน ปรากฏว่าท่านมีอายุถึง ๘๐ ปีเศษเกือบจะ ๙๐ ปีแล้ว หูท่านพูดชักจะได้ยินยาก ต้องใช้เสียงดังมากท่านจึงจะได้ยิน
    เมื่อเห็นว่าท่านว่าง จึงเข้าไปหาท่าน กราบไหว้กันตามธรรมเนียมพระแล้ว ก็เรียนถามท่านเรื่องความรู้ทางด้านฌาน ท่านก็บอกว่า พอรู้บ้าง
    ท่านถามว่า " จะต้องการรู้อะไร "
    ขณะนั้นมีความสนใจเรื่องของพระคณาจารย์ต่าง ๆ ที่เป็นอาจารย์เครื่องรางของขลัง ปลุกเสกเลขยันต์ทางคงกระพันชาตรีมีมาก สงสัยว่าคณาจารย์พวกนี้ เมื่อท่านตายแล้วท่านจะขึ้นสวรรค์หรือไปนรก เพราะผลงานของท่านมีทั้งคุณและโทษ ที่เป็นคุณก็คือ เป็นเครื่องรักษาชีวิตของผู้มีของ ๆ ท่านให้คงอยู่ ไม่ตายด้วยศัสตราอาวุธ เป็นการช่วยส่งเสริมให้คนดีมีชีวิต
    แต่อีกมุมหนึ่งนั้น ก็รู้สึกว่าเป็นผลร้ายไม่ใช่น้อย คือ คนที่มีของดี หนังเหนียว อยู่ยงคงกระพันนั้น ถ้าไปใช้ในทางที่เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่น คือ เอาความหนังเหนียวที่ตนมีอยู่ไปเป็นเครื่องป้องกันชีวิต แต่ตนเองเที่ยวทำอันตรายชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่น เช่น ปล้น ฆ่า เป็นต้น
    กรรมที่คนพวกนี้เอาวิทยาคมที่ท่านอาจารย์ให้ไปเป็นเครื่องทำลายคนอื่น จัดว่าเป็นกรรมชั่ว ก็เลยเกิดความสงสัยว่า ท่านอาจารย์ผู้ให้เองจะมีผลเป็นประการใดเมื่อตายไปแล้ว จึงได้เรียนถามเรื่องนี้กับท่าน
    ท่านได้ถามถึงอาจารย์ที่ให้ของนั้น ๆ ก็ได้พยายามคัดชื่ออาจารย์ประเภทไท้แป๊ะกิมแชร์ คือ ขนาดหนัก ที่เสกเป่าแล้วทดลองกันได้เลย ใช้มีดที่คมกริบฟันทันที เมื่อเสกเป่าเสร็จ ผลที่ได้รับก็คือ คน ๆ นั้นมีหนังเหนียวจริง ๆ หันแทบไม่เข้า
    เมื่อท่านได้ชื่อท่านอาจารย์คงกระพันชาตรีแล้ว ท่านก็บอกว่า
    " วันพรุ่งนี้มาใหม่นะ คืนนี้จะตรวจให้ "
    เมื่อท่านว่าอย่างนั้น ก็ลาท่านกลับ วันรุ่งขึ้นไปหาท่าน ท่านเห็นหน้าท่านก็หัวเราะชอบใจ พร้อมกับพูดว่า
    " ไอ้หนู บรรดาอาจารย์คงกระพันชาตรีทั้งหลายที่เอ็งมาถามไว้แต่วันวานนี้ เมื่อคืนนี้ฉันตรวจดูแล้ว ฉันค้นดูหมดบนสวรรค์ ฉันไม่พบเขาเลยสักคนที่บนสวรรค์ น่ากลัวจะดันลงนรกเสียหมดแล้ว "
    เมื่อท่านบอกให้ทราบ ก็รับทราบไว้ แต่ในใจนั้นไม่แน่ใจว่าท่านจะรู้จริง เพราะเรื่องนรกสวรรค์นี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องพูดกันเล่น ๆ พระก็ว่าอย่างนั้น นักธัมมะธัมโมทั้งหลายก็ว่าอย่างนั้น แต่คนส่วนมาก ไม่ใคร่มีใครรักสวรรค์ และก็หาคนกลัวนรกได้ยากอีกด้วย จึงเรียนถามท่านถึงเรื่องวิชาพิสูจน์สวรรค์นรกว่า
    " ทำอย่างไรจึงจะเห็นสวรรค์นรกได้บ้าง "
    ท่านก็บอกว่า " ไม่ยากเลย ไม่ว่าใคร ถ้าเป็นคนมีจิตเมตตาเป็นปกติ รักษาศีลไม่บกพร่อง ละนิวรณ์ ๕ ประการได้ มีอารมณ์จิตเป็นสมาธิ ทุกคนเห็นสวรรค์นรกได้อย่างไม่ยาก "
    ท่านบอกวิธีเห็นสวรรค์นรกให้ แต่ก็คิดไม่ออกว่าตนเองจะมีความสามารถทำได้อย่างท่านหรือไม่
    ทีนี้มีข้อสงสัยอีกหน่อยว่า เมื่ออาจารย์ให้ของอยู่ยงคงกระพันนั้นตายแล้วไปนรก หรืออย่างเบาก็ไม่มีโอกาสไปสวรรค์ สมัยนั้นมีอาจารย์ประเภททั้งโด่ง ทั้งดัง แบบนี้มาก มีทั้งพระและฆราวาส พวกนี้มิไปนรกกันหมดหรือ? ได้เรียนถามท่านตามความรู้สึก ท่านแก้ให้ฟังว่า
    อาจารย์ประเภทลงนรกนั้น เป็นอาจารย์ประเภทอยากดัง คือ เมื่อเสกเป่านั้น ทำด้วยเจตนาให้เป็นเครื่องอยู่ยงคงกระพัน และรับรองผล มีการทดลองยิง ฟัน ให้ประจักษ์แก่ลูกศิษย์ลูกหา อาจารย์ประเภทนี้มีเจตนาชั่ว คือ
    ๑. อยากมีชื่อเสียงโด่งดัง
    ๒. ประสงค์ขายวิชาเป็นอาชีพ
    ๓. พลอยยินดีเมื่อพวกคณะลูกศิษย์ลูกหาพากันไปตีรันฟันแทงคนอื่น แต่ตนเองปลอดภัย หรือว่าเมื่อลูกศิษย์ลูกหาไปปล้นทรัพย์สินของชาวบ้าน เมื่อเจ้าของต่อสู้แต่ก็ปลอดภัยกลับมา ยินดีด้วยอาการอย่างนี้ ท่านว่าเป็นการสนับสนุนการทำชั่วของศิษย์ เมื่อศิษย์เลวอาจารย์พลอยยินดี ก็ชื่อว่าเป็นต้นเหตุของความเลว อาจารย์ประเภทนี้ตกนรกทั้งนั้น

    เรียนถามท่านว่า " บรรดาพระผู้ใหญ่หลายท่าน ต่างก็ทำพระแจก และพระที่มีคนรับไป เป็นพระอยู่ยงคงกระพัน พระผู้ใหญ่นั้น ๆ ท่านมิลงนรกด้วยหรือ? "
    ท่านฟังแล้วก็ยิ้มแล้วตอบว่า
    " ไม่แน่เสมอไป บางท่านก็ลงนรก ในเมื่อท่านชอบลง บางท่านก็ขึ้นสวรรค์ เพราะท่านชอบสวรรค์ "
    ท่านตอบเป็นปัญหาน่าถาม จึงเรียนถามท่านว่า
    " อาการอย่างไรเป็นอาการชอบสวรรค์ อาการอย่างไรเป็นอาการชอบนรก "
    ท่านตอบว่า " ถ้าพระองค์ใดแจกพระแล้วรับรองว่าเป็นของคงกระพันชาตรี หนังเหนียว กระดูกแข็ง เมื่อคนรับไปหนังเหนียวจริง และเอาหนังเหนียวไปข่มเหงคนอื่น อาจารย์องค์นั้นท่านก็ชื่อว่าเป็นต้นตระกูลโจร คือ เป็นคนสร้างโจร สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนคนสุจริต เพราะท่านสร้งหนังคนชั่วให้เหนียว คนชั่วจึงไปรังควานชาวบ้านชาวเมืองให้เดือดร้อน ถ้าบวชอยู่ก็เห็นท่าจะไม่ใช่พระ เพราะพระแท้ไม่เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน การทำตนเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนอย่างนั้น ถ้าเป็นพระ ก็ไม่ใช่พระพุทธสาวก ต้องเป็นพระนอกพระพุทธศาสนา แต่จะเป็นศาสนาไหนนั้นฉันไม่รู้ อย่างนี้จะเอาสวรรค์ที่ไหนอยู่ สวรรค์ไม่รับพระประเภทนี้ไว้
    แต่ถ้าพระองค์ไหนแจกพระ แล้วแนะนำให้คนรับทำตนอย่างพระ คือ เอาพระห้อยคอแล้ว ทำจิตใจให้สุขุมเยือกเย็นอย่างพระ มีเมตตาปรานีประจำใจ แม้บังเอิญพระที่เขารับไปจะทำให้อยู่ยงคงกระพัน ก็ไม่เป็นไร เพราะหนังเหนียวได้ด้วยดี และเป็นคนมีดีเป็นเครื่องรับรอง คนรับไปก็ดี อาจารย์ผู้ให้ก็ไม่มีโทษ "

    [​IMG] ฟังท่านตอบแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผลพอสมควร จะรับรองว่าผิดหรือถูกนั้น ไม่รับรองแน่ ท่านพูดมาอย่างนั้นก็เอาเรื่องของท่านมาเล่าให้ฟัง ฟังท่านแล้วก็เลยสงสัยเรื่องสงคราม
    สมัยนั้นสงครามยังไม่มี แต่ก็มีเรื่องต้องสงสัยเพราะอยู่ในเขตของนักบุญ เมื่อเกิดสงครามคราวใด ก็มักมีคนชอบเข้าหาพระ เพื่อได้ของดีป้องกันตัว พระก็ให้ตามแต่ที่ท่านจะสามารถทำได้ ต่างก็ตั้งใจทำกันเต็มกำลัง

    ก็สงครามใคร ๆ ก็ทราบกันดีแล้วว่า เป็นเรื่องฆ่ากันชัด ๆ เมื่อพระท่านให้ของดี ให้คนไปฆ่ากัน ท่านมิต้องลงนรกด้วยหรือ เรื่องน่าสงสัย จึงเรียนถามท่านตามนั้น
    ท่านมองหน้าแล้วถามว่า " นี่แกหาเรื่องด่าพระแก่หรืออย่างไร ก็พระที่แก่แล้วและบวชนาน ๆ อย่างฉันนี่ ชาวบ้านเขาพากันสนับสนุนให้เป็นอาจารย์ชั้นเซียนกันทั้งนั้น มีอะไรไม่ดีก็ช่าง พวกนักเลงหัวไม้ก็มาขอของอยู่ยงคงกระพัน นักเลงการพนันก็พากันมาขอหวยบ้าง ขอน้ำมันไปบ้าง จะทำได้หรือไม่ได้ ดีหรือไม่ดี พวกเขาไม่สนใจ ถ้าลงไปหาแล้วต้องเอาให้ได้ ถ้ามันได้ไปแล้ว ถ้าหนังไม่เหนียวแทงหวยไม่ถูก เล่นโปไม่รวย มันก็บูชาใหญ่ คือ ด่าโคตรเง่าเหล่ากอ ค้นขึ้นมาด่านไม่มีเหลือ
    เมื่อมันมาขอ แม้จะบอกว่าไม่มีหรือทำไม่ได้ มันก็บอกว่า ขอให้ให้เท่านั้น ตรงไม่ตรง เหนียวไม่เหนียวไม่เป็นไร คนมันทำพระเสียอย่างนี้ เมื่อให้แล้วไม่สมเจตนาที่ตั้งใจก็ช่วยกันด่า นี่พระแก่มันซวยอย่างนี้ ท่านพูดแล้วก็หัวเราะ
    เมื่อเธอพูดถึงเรื่องสงครามก็ดีแล้ว ฉันขอตอบสั้น ๆ ว่า พระที่แจกพระแก่ทหารที่เข้าสงคราม ถ้ามีจิตคิดว่า ขอให้พวกเราปลอดภัย พวกเขาจงพินาศ คิดอย่างนี้ จิตโทรมเพราะมีความเศร้าหมอง แต่ถ้าคิดว่า ขอบารมีพระจงคุ้มครองคนที่บูชาแล้วให้ปลอดภัย แต่เขาจะไปฆ่าใครหรือไม่ฆ่าไม่สนใจ และแนะนำว่าอย่านำของที่ให้นี้ไปเพื่อการทุจริต ถ้าทำผิดกฎหมาย หรือ ศีลธรรมของจะคุ้มไม่ได้ แม้ทำถูกทำดีก็เถอะ เมื่อกฎของกรรมให้ผล กรรมนั้นเป็นกรรมชั่ว พระก็ช่วยไม่ได้ จงเอาไว้เพื่อเป็นมิ่งขวัญ ทุกวันจงบูชา นึกว่าเราอยู่กับพระ และพระอยู่กับเรา และเราก็อยู่กับพระอย่างนี้ ใครจะฆ่าอย่างไรก็ไม่เป็นไร ปืนยิงไม่ออก มีดก็ฟันไม่เข้า
    ถ้าจิตใจมั่นคงจริง ๆ เป็นอย่างนี้ เพราะเรามีของดี คือ พระท่านก็ดี เราก็ดี เมื่อดีต่อดีมาพบกัน มันต้องไม่ตาย จะเอาไปทำอย่างไรก็ไม่ตาย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า "
    ฉันเองก็รับรองท่านว่าอย่างนี้ แล้วท่านก็พูดต่อไป
    " ถ้ากำลังใจตกลงมานิดหนึ่ง รักษาความดีไว้ได้แต่บางคราวก็หวั่นไหว อย่างนี้เรียกว่ามีความมั่นคงเพลาลงมา แต่ทว่ามีความมั่นคงมากกว่าความหวั่นไหว พระคุ้มครองก็เพลาลง คือ ตอนนี้ยิงออกแต่ไม่ถูก ฟันยังไม่เข้า ถ้าเพลายิ่งกว่านั้น ยิงออกและถูกด้วยแต่ไม่เข้า
    ถ้าความนับถือหย่อนกว่านั้น แต่ก็ยังเคารพอยู่มี อารมณ์วอกแวกหวั่นไหวมากกว่านั้น ท่านว่าคราวนี้ยิงเข้าแต่ไม่ตาย
    ถ้าอารมณ์นับถือหย่อนยานมาก แต่ก็ยังมีความเคารพอยู่ ส่วนความรู้สึกลังเลมีมากกว่า ท่านว่าตอนนี้ยิงเข้าและก็ตาย แต่ตายแล้วไปสวรรค์ "
    ท่านพูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ ในที่สุดท่านลงท้ายว่า
    " คนที่หาเครื่องลางของขลังก็หาไปอย่างนั้นเอง เพราะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของกำลังใจ เรื่องที่จะป้องกันความตายนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ แม้แต่สมัยเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์?อยู่ คราวที่พระญาติของพระองค์ถูกวิฑูธภะฆ่าเสียมากมาย พระองค์ก็ช่วยให้เขาพ้นตายไม่ได้ เพราะเป็นกฎของกรรมเดิม
    เรื่องของคนจะตายไม่ต้องออกรบก็ตาย มีมากรายที่เขาออกไปรบกับข้าศึก แต่ปลอดภัย ตัวก็ไม่ตาย เงินทองข้าวของก็ได้ เพราะทางบ้านเมืองเห็นความดี ก็บำเหน็จรางวัลให้ มีชื่อเสียงเป็นที่เกรงขาม และนิยมชมชอบ อีกด้านหนึ่งคนนอนอยู่ในมุ้งแท้ ๆ ไม่มีใครมาฆ่าเลย ก็แอบตายเสียนับรายไม่ถ้วน นี่ว่ากันถึงเรื่องตาย
    ส่วนเรื่องของพระที่แจกของกับทหารนั้น อย่าไปว่าท่านเลย ถ้าท่านแจกอย่างพระ ท่านก็ไม่มีโทษ เพราะท่านให้พระเขาไป ไม่ได้ให้นักเลงเขาไป คือ แจกไปเพื่อมีไว้บูชา เป็นเครื่องแสดงออกถึงความเป็นคนดี ที่มีพระเป็นที่เคารพ ส่วนท่านที่แจกแบบนักเลง รับรองผล ยินดีด้วย
    เมื่อผลปรากฏ เมื่อลูกศิษย์ฆ่าเขาได้ อาการอย่างนี้จะเป็นสงครามหรือไม่ พระอาจารย์ก็มีส่วนด้วยทั้งนั้น
    เมื่อท่านพูดจบ ก็เลยถามเรื่องทหารที่รบกับข้าศึกถูกข้าศึกฆ่าตาย เรียนถามท่านว่า
    " ทหารที่ถูกฆ่าตายในสนามรบนั้น ตายแล้วไปสวรรค์หรือไปนรก? "
    ท่านตอบว่า
    " ไม่แน่ บางคนตายแล้วไปสวรรค์ บางคนตายแล้วไปนรก "
    ท่านอธิบายโดยยึดพุทธภาษิตว่า
    " พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า คนเมื่อจะตายถ้าจิตเป็นกุศล ไม่ว่าจะตายในลักษณะเช่นไร ตายแล้วไปสู่สุคติทั้งนั้น คือ ถ้าเกิดเป็นคนก็เป็นคนประเภทมีเงินทองของใช้สมบูรณ์ งานไม่หนัก แต่เงินดี ถ้าไม่เกิดเป็นคน ก็เกิดเนเทวดาหรือพรหม
    ถ้าขณะจะตาย จิตเศร้าหมอง มีอารมณ์หวังในทรัพย์สิน หรือ อารมณ์ขุ่นมัว เพราะความโกรธเคืองอารมณ์อย่างนี้ ถ้ามีเมื่อขณะจิตจะออกจากร่าง ท่านบอกว่า ตายในสนามรบหรือบนที่นอนของพระ ก็ลงนรกทั้งนั้น "
    ท่านพูดต่อไปว่า
    " ทหารที่รบในสนามรบ ส่วนใหญ่ เป็นทหารที่ไม่เคยรู้จักกับศัตรู ไม่มีอารมณ์โกรธแค้นกันมาก่อน ไปรบตามหน้าที่ ที่ทางราชการทหารใช้ เขาบอกให้รุกก็รุก เขาบอกให้ถอยก็ถอย เขาบอกให้ยิงก็ยิง ตัวทหารเองมีสภาพเหมือนหุ่น เมื่อพูดถึงเจตนาที่จะเป็นอกุศลนั้น ที่มีโดยตรงน้อยเต็มที
    เมื่อเข้าสนามรบ ขณะที่ประจันหน้ากับข้าศึก ทหารมักไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง นอกจากนึกถึงท่านที่มีคุณ คือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และบางรายก็นึกเห็นภาพหลวงพ่อที่คอก็รูปของพระสงฆ์บ้าง การคิดอย่างนี้ ท่านเรียกว่า กุศลจิตตายแล้วไปสวรรค์ ถ้าจิตครุ่นคิดจะฆ่าเพื่อล้างแค้น อย่างนี้น่ากลัวจะไปนรก
    ถ้าความจริงเป็นอย่างนั้น ก็คิดว่าทหารที่เข้าสนามเป็นเทวดามากกว่าเป็นอย่างอื่น เพราะทหารส่วนใหญ่มีพระติดตัวกันไป มีน้ำหนักเกือบเท่าเครื่องสนาม คงจะพากันนึกถึงพระ และท่านผู้มีคุณเป็นประจำ เมื่อคิดอย่างนี้ท่านรับรองว่าไม่ตกนรก ฉะนั้น ทหารหาญทั้งหลายก็ไม่น่าหนักใจ "
    ได้เรียนถามท่านต่อไปว่า " ทหารที่เข้าสงครามมีมากที่ออกแนวหน้า และประจันบานกับข้าศึกไม่น่าจะรอดมาได้ แต่ก็ไม่ตาย ทหารบางคนไม่เคยปะทะกับข้าศึกเลย ไม่ทันได้ยินเสียงปืนก็มีอันต้องตาย ที่เป็นอย่างนี้มีอะไรเป็นเหตุ "
    ท่านตอบว่า " กรรมเป็นเหตุ "

    เรื่องของกรรมนี้ ท่านผู้อ่านเบื่อหรือยัง กำกันมานานแล้ว ไม่มีใครแบสักที เมื่อท่านเอากรรมมาตอบ ก็ลองท่านของท่านต่อไป
    ท่านยกตัวอย่างคนที่จะต้องตายว่า สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านวิฑูธภะครองเมืองสาวัตถี แทนพระเจ้าปเสนทิโกศล แกแค้นที่พวกศากยะ ญาติ ๆ ของพระพุทธเจ้านั่นเอง หาว่าแกเป็นลูกคนใช้ รับรองไม่สมเกีรยติ สมัยเมื่อเป็นมกุฏราชกุมาร พอได้ครองราชย์เลยยกทัพไปฆ่าล้างแค้น
    พระพุทธเจ้าทราบ เข้ามานั่งข้างทาง ท่านวิฑูธภะเห็นด้วยพระพุทธญาณว่า พวกศากยะมีกรรม เพราะชาติก่อนร่วมกันโปรยยาเบื่อให้ปลาตาย แล้วเอาปลาไปขาย คราวนี้กรรมเบื่อปลามาถึงแล้ว ท่านเลยไม่ไปนั่งขวางทางตามที่เคยทำมาปล่อยให้เขาฆ่ากันตามกฎของกรรม
    คราวนั้นพวกศากยะตายมาก เมื่อฆ่าเขาแล้วไม่มีใครสู้เพราะเป็นสงครามเงียบ ไม่ได้ประกาศสงคราม ด้วยฝ่ายศากยะไม่คิดว่าเป็นสงคราม ด้วยเคยเห็นในฐานะเป็นมิตร เมื่อท่านวิฑูธภะคิดรบคนเดียว ก็เลยไม่มีใครสู้สงครามคราวนี้เป็นสงครามเบ็ดเตล็ด ที่ใช้เวลารบไม่ถึงครึ่งวัน เร็วกว่าอิสราเอลรบกับแขกตะวันออกอีก เพราะต้องใช้เวลาถึง ๖ วัน เมื่อรบแล้วก็พาพวกกลับ
    ตอนกลับนี้เดินทางผ่านชายทะเลใกล้ค่ำ ท่านแม่ทัพหรือควรจะเรียกว่าจอมทัพ ก็สั่งให้ทหารพักที่ชายหาด
    คราวนี้กรรมมาอีก ท่านพากันเป็นตัวกรรมแทนปลาฆ่าพวกศากยะแล้ว คราวนี้กรรมอะไรไม่ทราบ จำไม่ได้ ตามมาเล่นงานเจ้ากรรมเสียเองอีกต่อหนึ่ง คือ เมื่อขณะที่ท่านสั่งพัก หาดทรายสวยมาก เพราะน้ำทะเลลงจัด คนบางพวกก็นอนบนฝั่ง บางพวกก็นอนที่หาดทราย เมื่อกรรมมาถึง คนที่จะต้องถูกกรรมเข่นฆ่า ที่นอนบนฝั่งไม่สบายใจ ไปนอนที่หาดทราย คนที่นอนที่หาดทรายไม่สบายใจ มานอนบนฝั่ง
    พวกที่นอนบนฝั่งตอนดึกนี้ ท่านว่า ไม่มีกรรมที่จะต้องตายในวันนั้น พวกที่ดิ้นรนไปนอนที่หาดทราย ท่านว่ากรรมบังคับให้นอน เพราะต้องตายในวันนั้น เสียดายที่จำไม่ไดว่า ทำกรรมอะไรไว้
    พอดึกสงัด ทหารทั้งหมดหลับสนิท น้ำก็ขึ้นมา คลื่นลมแรง ซัดเอานักรบที่นอนชายหาดลงทะเลตายหมด ส่วนพวกที่นอนบนบกปลอดภัย เรื่องของความตายเป็นกฎของกรรม ไปรบก็ตาย ไม่รบก็ตาย อย่างพวกศากยะ นอนอยู่แท้ ๆ ความตายตามผลาญถึงในมุ้ง
    ที่เอาเรื่องความตายมาเล่าใหัฟัง ก็เห็นว่า ขณะนี้เรื่องของกรรมจ่อประตูบ้านมาแล้ว ยืนอยู่หน้าประตูเรือนนั่นเอง จะก้าวเข้าประตูเรือนเมื่อไรก็ได้ สงครามจะเกิดหรือไม่เกิด ใครก็พยากรณ์ยาก ถ้าไม่เกิดก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์เท่านั้นเอง
    เมื่อสงครามมายืนคุยด้วยหน้าประตูบ้าน ญาติโยมก็คงจะประสงค์จะหาของกันตาย และกันภัยไปพร้อม ๆ กัน ท่านจะไปหาที่ไหนนั้น ตามแต่ใจท่าน ขอให้ท่านคิดว่า ของที่ท่านได้มานั้นมีพระติดมาด้วย จะเป็นตะกรุด ผ้ายันต์ หรืออะไรก็ตาม คิดว่ามีพระ ถ้าไม่เห็นรูปพระ ก็คิดว่าเป็นของที่เกิดจากบารมีพระ คิดไว้เสมอ ทั้งยามปกติและประจันบาน ผลที่ได้ก็คือ
    ยิงไม่ออก ถึงออกก็ไม่ถูก
    ยิงถูกก็ไม่เข้า ถึงยิงเข้าก็ไม่ตาย

    ถ้าท่านตายท่านก็จะได้ไปสวรรค์ ตามที่ท่านพระครู สุวรรณ พิทักษ์บรรพต วัดสระเกศ สมัย พ.ศ. ๒๔๘๒ ท่านว่านั่นเอง สวัสดี

    [​IMG]
    *******************************

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    ปัจจุบันธรรม........ธรรมะหลวงปู่แหวน
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><!-- ads code -->
    ปัจจุบันธรรม

    เอามรรคที่เกิดขึ้นจากกายจากใจ น้อมเข้าหาตน น้อมเข้ามาในกายน้อมเข้ามาในใจ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในใจนี่แหละ อย่าไปยึดไปถือเอาที่อื่น ถ้ารู้ตามแผนที่ปริยัติธรรมไปยึดไปถือเอาสิ่งต่างๆไป แผนที่ปริยัติธรรมต่างหากต้องน้อมเข้าหากายต้องน้อมเข้าหาใจ ให้มันแจ้งอยู่ในกายนี้ให้มันแจ้งอยู่ในใจนี่ มันจะหลงมันจะเขวไปอย่างไรก็ตามพยายามดึงเข้ามาจุดนี้ น้อมเข้ามาหากายนี้น้อมเข้ามาหาใจนี้เอาใจนี่แหละนำออก ถ้าเอามากบางทีมันก็เขวก็ลืมไปน้อมเข้ามาหากาย น้อมเข้ามาหาใจนี้ มีเท่านี้แหละหลักของมัน
    </O:p
    ถ้าออกจากกายใจแล้วมันเขวไปแล้วหลงไปแล้วน้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจแล้วก็ได้หลักใจดี ธรรมก็คือการรักษากายรักษาใจ น้อมเข้ามาหากายน้อมเข้ามาใจแหละ
    </O:p
    ศีล ตั้งอยู่ในกายนี่แหละ ตั้งอยู่ในวาจานี่แหละและตั้งอยู่ในใจนี่แหละ ให้น้อมเข้ามานี้มันจึงรู้ ตั้งหลักได้ ถ้าส่งออกไปจากนี้มันมักหลงไป
    </O:p
    เอาอยู่ในกายในใจนี้ น้อมเข้ามาสู่อันนี้ นำหลงนำลืมออกไปเสีย เอาให้เป็นปัจจุบัน เอาจิตเอาใจนี่ละวางถอดถอนออก ทางกายก็น้อมเข้ามาให้รู้แจ้งทางกาย น้อมเข้ามาหาใจของตนนี้ให้มันแจ่มแจ้ง ถ้าไปยึดถือเอาอย่างอื่นมันเป็นเพียงสัญญาความจำ น้อมเข้ามารู้แจ้งในใจของตนนี้รู้แจ้งในกายของตจนนี้ นอกจากนี้เป็นอาการของธรรม
    </O:p
    ยกขึ้นสู่จิต น้อมเข้ามาหาจิตหาใจนี้ ความโลภ ความหลง ความโกรธ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นที่นี่แหละต้องน้อมเข้ามาสู่จุดนี้ ถ้าน้อมเข้าหาจุดอื่นเป็นแผนที่ปริยัติธรรม รู้กายรู้ใจแจ่งแจ้งแล้วนอกนั้นเป็นแต่อาการ บางทีไปจับไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้มันก็ลืมไป
    </O:p
    ทำให้มันแจ้งอยู่ในกายแจ้งอยู่ในใจ มีสติสัมปชัญญะ สติสัมโพชฌงค์ สัมมาสติ ก็อันเดียวกันนี่แหละ ให้พิจารณาอยู่อย่างนี้ อาศัยความเพียรความหมั่น
    </O:p
    คำว่าสติ ก็รู้ในปัจจุบัน สัมปชัญญะรู้ในปัจจุบัน รู้ในตนรู้ในใจเรานี้แหละ รู้ในปัจจุบัน รู้ละความโลภ ความโลภ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา เหล่านี้ละออกให้หมด ละออกจากใจ ละอยู่ตรงนี้แหละ สติถ้าได้กำลังใจแล้วมันก็สว่าง
    </O:p
    ตั้งจิตตั้งใจกำหนดเบื้องต้น คือ การกำหนดจิตหรือกำหนดศีล คือกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์ ใจก็บริสุทธิ์ กำหนดนำความผิดออกจากกายจากใจของตน
    </O:p
    เมื่อกายวาจาใจบริสุทธิ์ สมาธิก็บังเกิดขึ้น รู้แจ่มแจ้งไปหาจิตหาใจ กายนี้ก็รู้แจ้ง รู้แจ้งในกายในใจของตนนี้
    </O:p
    สติปัฏฐานสี่ สติ มีเพียงตัวเดียว นอกนั้นท่านจัดไปตามอาการ แต่ทั้งสี่มารวมอยู่จุดเดียว คือ เมื่อสติกำหนดรู้กาย แล้วนอกนั้น คือ เวทนา จิต ธรรม ก็รู้ไปด้วยกัน เพราะมีอาการเป็นอย่างเดียวกัน
    </O:p
    อาการทั้ง ๕ คือ อนิจจัง ทั้ง ๕ , ทุกขัง ทั้ง ๕ , อนัตตา ทั้ง ๕ เป็นไม่ยั่งยืน เราเกิดมาอาศัยเขาชั่วอายุหนึ่ง อนิจจังทั้ง ๕ ทุกขังทั้ง ๕ อนัตตา ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็สิ้นไปเสื่อมไป เราอาศัยเขาอยู่เพียงอายุหนึ่งเท่านั้น เมื่อรูปขันธ์แตกสลายมันก็หมดเรื่องกัน
    </O:p
    การประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน สมมติกันให้ได้ชั้นนั้นบ้างชั้นนี้บ้าง อันนั้นมันเป็นสมมติแต่ธรรม เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่เที่ยงมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังทั้ง ๕ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น รูปํ อนิจัง , เวทนา อนิจจัง , สัญญา อนิจจัง, สังขารา อนิจจัง , วิญญาณํ อนิจจัง มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เรามาอาศัยเขา สัญญาเราก็ไหลไปตาม เวลา ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายจากกันแล้วมันก็ยุติลง
    </O:p
    ส่วนจิตเป็นผู้รู้ เมื่อละสมมติ วางสมมติได้แล้ว มันก็เย็นต่อไป กลายเป็นวิมุตติความหลุดพ้นไป เพราะสมมติทั้งหลายวางได้แล้วก็เป็นวิมุตติ
    </O:p
    แต่ถ้าเอาเข้าจริงๆ แล้วมันมักจะหลง ถ้าเราตั้งใจเอาจริงๆ พวกกิเลสมันก็เอาจริงๆ กับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยความหมั่นความเพียรไม่ท้อถอย ถ้าละพวกกิเลสตัณหาได้มันก็เย็นสงบสบาย
    </O:p
    ถ้าจิตมันปรุงมันแต่งเป็นอดีต อนาคตไป เราก็ต้องเพ่งพิจารณา เพราะอดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคต ก็เป็นธรรมเมา จิตที่รู้ปัจจุบัน จึงเป็นธรรมโม
    </O:p
    อาการทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ให้ยืนอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ธรรมโมคือเห็นอยู่ รู้อยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นอดีตอนาคต ดับทั้งอดีตอนาคต แล้วเป็นปัจจุบัน คือธรรมโม
    </O:p
    ให้จิตรู้อยู่ส่วนกลาง คือ สิ่งที่ล่วงไปแล้วเป็นอดีต ยังไม่มาถึงเป็นอนาคต ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนทั้งสองนั้นให้เพ่งพินิจ คือ เราอยู่ปัจจุบันธรรม มันจึงจะถูก เพราะปัจจุบันเป็นธรรมโม นอกจากนั้นเป็นธรรมเมา อดีตอนาคต
    </O:p
    รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม ถ้าไปยึดถืออดีตอนาคตอยู่ เท่ากับไปเก็บไปถือเอาของปลอม ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน ละเฉพาะตน วางเฉพาะตน หมุนเข้าหากายหาใจนี่แหละ ถ้ามันเอาอดีตอนาคตมันกลายเป็นแผนที่ไป
    </O:p
    แผนที่ปริยัติธรรมจำมาได้มาก ไปยึดไปถืออย่างนั้นบ้างสิ่งนี้บ้าง ทั้งอดีตอนาคต ยิ่งห่างจากการรู้กายรู้ใจของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นเชื้อของกิเลส มันอยู่ในแผนที่ใบลาน มันไม่เดือดร้อน ถ้ามันอยู่ในใจมันเดือดร้อน เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดขึ้นในใจ ให้เอาใจละ เอาใจวาง เอาใจออก เอาใจถอน ปัจจุบันเป็นอย่างนี้

    ไม่ใช่จำปริยัติได้มาก พูดได้คล่อง เวลาเอาจริงๆ ไม่รู้จะจับอันไหนเป็นหลัก ปัจจุบันธรรมต้องรู้แจ้งเห็นแจ้งในกายใจของตน ละวางถอดถอน ในปัจจุบัน มันจึงใช้ได้
    </O:p
    ความโลภ ความโกรธมันเกิดขึ้นในใจ น้อมเข้ามาแล้วละให้มันหมด ราคะ, กิเลส, ตัณหา, มันเกิดขึ้นมาละมันเสีย เรื่องของสังขารมันก็ปรุง เกิดขึ้นดับลง เกิดขึ้นดับลง เอารู้เฉพาะปัจจุบัน อดีตอนาคตวางไปเสีย อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ข้อนี้ถือให้มั่นๆ ความปฏิบัติเพ่งความเพียร เร่งเข้าๆ มันก็ค่อยแจ่มแจ้งไปเอง ถ้าจิตมันเป็นอดีตอนาคต วางเสีย เอาเฉพาะปัจจุบัน การกระทำสำคัญเวลาทำตั้งใจเข้าๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมักเกิด เราต้องพิจารณาค้นเข้าหาใจมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จิตมักจะเก็บอดีตอนาคตมาไว้ ทำให้แส่ส่ายไปตามอาการ ให้เอาเฉพาะปัจจุบัน ธรรมโม น้อมเข้ามาให้ได้กำลังทางด้านจิตใจ ละวางอดีตอนาคต อันเป็นส่วนธรรมเมา เพ่งพินิจเฉพาะ ธรรมโม
    </O:p
    รักษากายให้บริสุทธิ์ รักษาวาจาให้บริสุทธิ์ รักษาใจให้บริสุทธิ์ น้อมเข้าหาใจให้รู้แจ้งใจนี้ กายก็ให้รู้แจ้ง เอาให้รู้แจ้งกายใจ จนละได้วางได้ เพ่งจนเป็นร่างกระดูก ทำได้อย่างนี้ก็พอสมควร เอาให้มันรู้แจ้งเฉพาะกายใจนี้ ไม่ต้องเอามาก ถ้าเอามากมันมักไปยึดเป็นอดีตอนาคตไปเสีย ข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา

    ตั้งหลักไว้ อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ระลึก ดับ ละ วาง ในปัจจุบันจึงเป็นธรรมโม เมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคต ถ้ามันเกิดมันก็ต้องดับลงไป
    </O:p
    ต้องหมั่นต้องพยายามเข้าหาจุดของจริง อดีตอนาคตปัจจุบัน สามอย่างนี้แหละเป็นทางเดินของจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นในใจนี้แหละ มันแสดงออกจากใจนี้ ให้น้อมเข้ามาๆ ถึงอย่างนั้นกิเลสทั้งหลายมันก็ยังทำลายคุณความดีได้เหมือนกัน
    </O:p
    แต่ถ้ามีสติความชั่วเหล่านั้นมันก็ดับไป
     
  18. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    คำสอนหลวงปู่ดุลย์ เรื่องนิพพาน

    <!-- Main -->ครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยบอกว่า การอยากรู้เรื่องนิพพานก็เหมือนปลาถามเต่า มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้ ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่ สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน แล้วหลวงปู่ก็ว่าที่อุปมาอย่างปลาถามเต่าก็คือ

    เต่าอยู่ได้สองโลก คือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ โลกในน้ำขืนมาบนบกก็ตายหมด ...วันหนึ่งเต่าลงไปในน้ำ แล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ ปลาพากันฟังด้วยความสนใจและอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่าบนบกนั้นลึกมากไหม เต่าว่ามันจะลึกอะไรก็มันบนบก เอ...บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะคลื่นอะไรก็มันบนบก เอ...บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไร ก็มันบนบก ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ จิตปุถุชนที่เดามรรคผลนิพพานก็ไม่ต่างอะไรกับปลา


     
  19. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ เมื่อมองออกไปช่างห่างไกลเหลือเกิน ชั้นไม่อาจพาตัวข้ามผืนน้ำอันเวิ้งไกลได้ แต่ชั้นอาจตะโกนก้องส่งเสียงให้ดังไปถึงฝั่งนู้นได้
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อยู่ กะ ปัจจุบัน เป็นเพื่อน เราไปก่อน กะได้นะ

    อดีต อนาคต วางไว้ก่อน ค่อยๆ ระลึกรู้ไป ไม่รู้ ก็ ไม่ตาย นินา ไม่บ้า ด้วยนะ

    รู้ทุกข์ รู้สุข แต่พอดี พอดี ช่วยได้ ก็ช่วยไป ตามปัญญา ที่มี ก็ กระดึ๊บ กระดึ๊บ ไปได้เอง อะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...