เนื่องในวรโอกาศครอบรอบวันมรณภาพครบ16ปีของพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษี) จึงขอนําธรรมะของท่านเพื่อเป็นที่ระลึกและไว้อาลัยขององค์ท่าน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ลูกพ่อลิงดำ, 24 ตุลาคม 2008.

  1. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    เนื่องในวรโอกาศครอบรอบวันมรณภาพครบ16ปีของพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษี) จึงขอน

    [​IMG]




    หลวงพ่อ อยากเห็นเราเป็นคนดีได้อารมณ์พระโสดาบันเป็นอย่างต่ำและมีพรหมวิหาร 4 เป็นอย่างน้อยจึงขอนําธรรมะเรื่องอารมณ์พระโสดาบันเพื่อพิจารณาแต่สิ่งที่ท่านต้องการคือลูกหลานไปพระนิพพาน

    [​IMG]

    พระโสดาบันพุทธจริต
    "ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา "


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลากาลบรรจบครบรอบของการเจริญพระกรรมฐานหมุนมาถึงพวกเราอีกวันหนึ่งคือวันนี้ สำหรับเมื่อวันก่อนได้พูดถึงการปฏิบัติพระกรรมฐานสายสุกขวิปัสสโก ในเรื่องของ สักกายทิฏฐิ เป็นสำคัญ ได้กล่าวไว้แล้วว่า
    สำหรับเรื่องสักกายทิฏฐินั้น พระโสดาบันยังมีปัญญาน้อย ยังตัดได้เพียงอารมณ์รู้สึกว่ามีความตายเป็นปกติ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง แล้วก็มีความไม่ประมาทในชีวิต คิดสร้างความดีไว้เสมอ
    อันนี้เป็นกิจอันหนึ่ง ที่การที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ตัวอย่างที่แล้วมา ก็ได้แก่ เปสการีธิดา คือลูกสาวของนายช่างหูก บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ทราบแล้วในวันก่อน

    [​IMG]
    ในการที่จะเป็นพระโสดาบันได้นั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ทรงตรัสว่า ต้องตัดสังโยชน์ ๓ ประการ คือ:-
    สักกายทิฏฐิ เห็นอัตภาพร่างกายของเรานี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา และบางท่านตามพระบาลี ท่านกล่าวว่าพิจารณาเห็น ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะว่าความจริงขันธ์ ๕ นี้ พวกเรามักจะรวมตัวไว้ในคำว่า ร่างกาย ที่มีร่างกายเป็นสำคัญ
    แต่กำลังของพระโสดาบันนั้นตัดได้แค่นิดเดียว คือมีความรู้สึกว่าชีวิตจะต้องตายเท่านั้น ยังไม่ถึงกับปลดเปลื้องว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง เท่าที่หวังว่าคงไม่เป็นการสุดวิสัยท่านพุทธบริษัทชายหญิง ที่จะพึงกระทำให้เข้าถึงได้
    วันนี้ก็เห็นจะไม่พูดซ้ำถึงเรื่องการไม่สงสัยถึงคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร เพราะว่าการที่เรานึกถึงความตาย เราเชื่อพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่าเราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
    ต่อไปนี้ไปจับสังโยชน์ตัวที่ ๓ คือ สีลัพพตปรามาส องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงตรัสว่า พระโสดาบันจะต้องมีศีลบริสุทธิ์ สำหรับศีลนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง มีทั้งพระ มีทั้งเณร มีทั้งฆราวาส ทีนี้การรักษาศีลก็จะต้องเป็นศีลเฉพาะของแต่ละเพศ
    พระที่มีสิกขาบท ๒๒๗ รวมทั้งอภิสมาจารด้วย
    สำหรับสามเณรมีสิกขาบท ๑๐ รวมทั้งเสขิยวัตรอีก ๗๕ เป็น ๘๕
    สำหรับฆราวาสก็ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ รวมทั้งพรหมวิหาร ๔ ด้วย อย่างนี้จึงจะช่วยให้มีศีลบริสุทธิ์
    ทั้งนี้สำหรับศีลเขาเว้นกันแบบไหน ศีลที่จะขาดหรือไม่ขาดอยู่ที่เจตนาเป็นสำคัญ เราต้องไม่มีเจตนาทำลายชีวิตสัตว์หรือทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก ความจริงการทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบากไม่ถึงกับศีลขาด แต่รู้สึกว่าศีลจะทะลุไปเสียแล้ว ยังไม่ขาดแต่ว่ามันทะลุ ผ้านุ่งของเราที่ไม่ขาดแต่เป็นรูพรุน มันจะดีหรือ
    ฉะนั้น จึงควรจะงดเว้นเสียทั้งหมด คือไม่ทำให้ขาดด้วย แล้วไม่ทำให้ไม่ทะลุด้วย ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็ไม่ทรมานสัตว์
    [​IMG]

    นอกจากไม่ฆ่าไม่ทรมานแล้ว ก็มีอารมณ์จิตเมตตาสงเคราะห์ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าสัตว์กับเรามีสภาวะเสมอกัน คือยังมีความต้องการในความสุข ไม่ต้องการในความทุกข์ ต้องการในความเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แทนที่เราจะฆ่ากลับมีความเมตตา ความรัก กรุณาความสงสาร
    อาตมารู้สึกสลดใจที่เห็นว่าท่านผู้ใดแสดงอาการรังเกียจในสัตว์ เห็นเข้าแล้วหนักใจมากและสลดใจมาก ทั้งนี้เพราะอะไร คนและสัตว์ สัตว์กับเรามีสภาวะเหมือนกัน มีความหิว มีความกระหาย มีความต้องการทุกอย่างเหมือนกัน ในเมื่อความรู้สึกมันเหมือนกันอย่างนี้ เราจะไปรังเกียจกันเพื่ออะไร
    รังเกียจว่าร่างกายของสัตว์สกปรกหยาบคายต่ำช้า ร่างกายของเราล่ะมันดีกว่าสัตว์ตรงไหน สัตว์มีอุจจาระ เราก็มีอุจจาระ สัตว์มีปัสสาวะ เราก็มีปัสสาวะ สัตว์ก็มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เราก็มีเหมือนกัน สัตว์กินของที่สดที่คาว เราก็กินของสดคาวเหมือนกัน สัตว์ต้องการเสพกาม เราก็มีความปรารถนาในการเสพกามเหมือนกัน แต่ว่าสัตว์ฆ่าคนน้อย แต่คนฆ่าสัตว์มาก สัตว์เบียดเบียนคนมีน้อย แต่คนเบียดเบียนสัตว์มาก อย่างนี้ใครควรจะรังเกียจใคร
    มานึกว่าคนเราควรจะรังเกียจสัตว์ หรือสัตว์ควรจะรังเกียจเรา นั่งนึกนั่งพิจารณาดูให้ดี

    [​IMG]
    มนุษย์มักจะยกย่องตัวเราเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่เนื้อแท้จริงๆ แล้ววันหนึ่งพวกปลาทู ปลาเล็ก ปลาใหญ่ฆ่าคนตายไปกี่คน และคนฆ่าสัตว์ตายวันละกี่ตัว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทำไมเราจะมานั่งรังเกียจสัตว์เพื่อประโยชน์อะไร
    ถ้าจะว่ากันไปเราเองซิมีความร้ายกว่าสัตว์มาก แล้วเราจะไม่พูดกันถึงในข้อนี้ เราก็จะพูดกันเฉพาะในข้อที่ว่า เรามีความต้องการเมตตาปรานีสัตว์ เราไม่รังเกียจในสัตว์ก็แล้วกัน เราจะไม่ฆ่าสัตว์ เราจะไม่ทรมานสัตว์ มีความรู้สึกว่าสัตว์กับเราเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน อย่างนี้สบายใจดีไหม
    ถ้าเราอยากจะฆ่าเขา ถ้าเขาจะฆ่าเราเข้าบ้าง เราจะมีความรู้สึกอย่างไร เราไม่ต้องการ สัตว์ตัวเล็กๆ เช่น ยุง ขอเลือดเราหยดเดียว เราเกิดตีเสียจนตาย ค่าของชีวิตสัตว์ช่างไม่มีราคาค่างวด ไม่มีใครรับรองชีวิตเสียเลย
    เป็นอันว่าความร้ายแรงของคนมีความร้ายแรงยิ่งกว่าสัตว์ ทำไมเราจะต้องไปนั่งรังเกียจสัตว์ว่าเป็นสัตว์ชั้นเลว สัตว์เดรัจฉานนะ มายกย่องตนเองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ชั้นดี สัตว์ประเสริฐ หนักใจ ทีนี้ขอพูดตรงๆ ว่าหนักใจ ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรจะให้มีความรู้สึกดีไปกว่านี้
    เป็นอันว่า ท่านทั้งหลายเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เราปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน เราก็ต้องการจิตเมตตาความรัก กรุณาความสงสารไว้เป็นที่ตั้ง เราก็ไม่ยอมทำลายชีวิตสัตว์ ไม่ยอมกลั่นแกล้งให้สัตว์ได้รับความลำบาก มีความปลาบปลื้มใจ เมื่อมีโอกาสได้สงเคราะห์สัตว์ให้มีความสุข นี่เป็นข้อที่หนึ่งสำหรับศีล ข้อที่ ๒ อทินนาทาน การลักขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น ความจริงทรัพย์สอนของเราไม่ต้องการให้ใครมาลักมาขโมย แล้วก็มีชาวบ้านที่ไหนที่เคยประกาศทางหนังสือพิมพ์ ประกาศทางวิทยุ แจกใบปลิว หรือโฆษณา หรือขยายเสียงว่าทรัพย์สินของฉันมีมาก

    [​IMG]
    ขอท่านทั้งหลายจงมาช่วยกอบโกยทรัพย์ของฉันไปโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจจะมีที่ไหนบ้างก็ได้
    อาตมาชีวิตยังน้อย แต่ว่าชีวิตที่เกิดมาผ่านมายังไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ก็เป็นอันว่าเท่าที่ทราบ คนก็ดี สัตว์ก็ดี ไม่ต้องการให้เรายื้อแย่งทรัพย์สินของเรา เรามีความรู้สึกฉันใด เขาก็มีความรู้สึกฉันนั้น
    ทีนี้ความต้องการในทรัพย์สินของบุคคลอื่น เราจะทำลายด้วยวิธีไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า การอยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นนั้นเป็นเรื่องจากความโลภเป็นสำคัญ การที่เราจะทำลายความโลภให้หมดไป เราก็ต้องมีการให้ทาน เป็นการต่อต่านกับความรู้สึกนั้น ความรู้สึกอยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน เราไม่เอาล่ะ
    เราไม่ต้องการอยากได้ทรัพย์สินของเขา แต่เรากลับให้ทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น
    นี่เป็นปฏิปทาเพื่อก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระโสดาบัน
    [​IMG]
    จะเห็นว่าพระโสดาบันทุกท่านพอใจในการสงเคราะห์ เป็นการทำลายความโลภ ไม่มีความทะเยอทะยาน อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน
    ทว่าพระโสดาบันยังร่ำรวย แต่ว่าการทำมาหากินโดยปกติ ท่านเรียกว่า สัมมาอาชีวะ อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ และไม่ทรงถือว่าเป็นความโลภ ความโลภในที่นี้ เป็นการถือเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นให้โดยไม่ชอบธรรมเท่านั้น
    นี่การจะแก้ตัวนี้ แก้โลภตัวนี้ต้องมีการให้ทานเป็นกำลัง การให้ทานที่จะมีขึ้นได้ก็อาศัยจิตเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร เป็นอันว่าถ้าเรามีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ก็คุมศีลได้สองสิกขาบทแล้ว
    ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำว่า โทษแห่งความทุกข์ และเหตุแห่งความทุกข์ข้อที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร การละเมิดความรักในบุคคลอื่น ข้อนี้ยังมีความเข้าใจว่า แย่งสามีเขา แย่งภรรยาเขาเป็นกาเมสุมิจฉาจาร
    [​IMG]
    แต่เนื้อแท้แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมทรงตรัสว่า สามีเขาก็ดี ภรรยาเขาก็ดี ลูกเขาก็ดี เหลนเขาก็ดี ญาติเขาก็ดี คนใช้เขาก็ดี คนอยู่กับผู้บังคับบัญชาก็ดี ทั้งหมดนี้ถ้าไปละเมิดโดยที่ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ปกครองเขาไม่รู้ บิดามารดาไม่รู้ ไม่อนุญาต เขาผู้นั้นมีโทษเป็นกาเมสุมิจฉาจาร อันนี้ต้องละให้หมด ยินดีแต่เฉพาะคู่ตัวผัวเมียเท่านั้น จึงจะถูกต้องตามจังหวะของการรักษาศีลเพื่อความเป็นพระโสดาบัน
    นี่ความรู้สึกอย่างนี้เราจะทำยังไง ดีไม่ดีเห็นคู่ครองของบุคคลอื่นมันน่ารัก น่าปรารถนา น่าร่วมรักเสียจริงๆ
    อย่าลืมท่านชายก็ดี ท่านหญิงก็ดี มานึกถึงตัวเราก็แล้วกัน ว่าเขากับเราผู้เป็นเจ้าของย่อมมีความรู้สึกเสมอกัน เราไม่ต้องการให้ใครมาทำลายคนรักของเรา และบุตรหลานของเราโดยที่เราไม่เห็นชอบด้วยฉันใด คนอื่นทั้งหลายเขาก็มีความรู้สึกฉันนั้น อดใจยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ใช้เมตตาความรัก กรุณาความสงสารบุคคลผู้เป็นผู้ปกครอง ว่าเขากับเรามีความรู้สึกเหมือนกัน ในตอนนี้ ท่านเรียกว่า สันโดษ ยินดีแต่เฉพาะคู่ครองของตัวเท่านั้น หักอารมณ์ข่มใจเข้าไว้
    [​IMG]
    เพราะว่าการสัมผัสระหว่างเพศไม่ได้สร้างให้เรามีความสุขตลอดกาลตลอดสมัย ถ้าทำผิดจังหวะเข้าไปร่วมละเมิดคนรักของบุคคลอื่นเขาเข้า หรือที่เขาหวงแหนชีวิตจะสั้น ตัวเองก็จะมีแต่ความเดือดร้อน ข้อนี้องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้ทรงแนะนำให้ละเสีย เราจะมีความสุข
    ข้อที่ ๔ มุสาวาท องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ให้ปรารภว่าเราต้องการไหมว่าคนอื่นเขาจะมาโกหกมดเท็จ ในเรื่องที่เราต้องการความจริง อันนี้ก็จะมองเห็นได้ว่าทั้งท่านชายและท่านหญิงก็ไม่พึงปรารถนา เราไม่ต้องการฉันใดเขาก็ไม่ต้องการฉันนั้น นอกจากคำมุสาวาท วาจาที่ไม่ตรงกับความจริงแล้ว
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้ระงับถ้อยคำคือ คำหยาบเป็นเครื่องสะเทือนใจของบุคคลผู้รับฟัง วาจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นเขาแตกร้าวซึ่งกันและกัน เพ้อเจ้อเหลวไหล วาจาที่ไร้ประโยชน์ พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ อันนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแนะนำให้ละเสีย
    [​IMG]

    รวมความว่าสิ่งทั้งหมดที่เราเอง เราก็ไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการแล้วใครเขาจะต้องการ
    ข้อที่ ๕ องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำให้ละจากการดื่มสุราและเมรัย เพราะว่าเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความประมาท ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าตามปกติเราก็เมาอยู่แล้ว ถ้าเราไปดื่มสุราเมรัยเข้าประสาทมันจะฟั่นเฟือน ทำลายทรัพย์สินที่เรามีอยู่โดยใช่เหตุ และเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเขาเหยียดหยามดูถูกดูหมิ่น คนดื่มสุราเมรัยไม่เป็นที่นิยมของคนดี จะมีอยู่บ้างก็สำหรับคนเลวเท่านั้น ที่มันเลวเท่ากันเขาก็นิยมกันเอง คนที่ดีนี่เขาไม่นิยม พูดอย่างนี้คนเขาไม่เข้าใจ คนดื่มสุราก็ช่างประไร
    เราพูดกันเฉพาะบุคคลที่ต้องการความเป็นพระโสดาบันเท่านั้น ศีล ๕ ประการสำหรับฆราวาส องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถถือว่าเป็นปกติ ศีลที่คนทุกคนต้องการ สำหรับพระ สำหรับเณรก็จงระวัง ท่านจงอย่าถือว่ามีศีล ๒๒๗ มีศีล ๑๐ หากว่าศีล ๕ สิกขาบทใดบทหนึ่งท่านพลาด ก็แสดงว่าสิกขาบททั้ง ๒๒๗ สิกขาบท หรือสิกขาบท ๑๐ ของท่านไม่มีเลย และของเล็กยังรักษาไม่ได้แล้วของใหญ่จะรักษาได้อย่างไร
    เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย การที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน สิ่งสำคัญที่สุดคือศีล

    [​IMG]
    รักษาศีลเสียให้มั่นคง ดำรงจิตให้ทรงอยู่ อย่างนี้เราจะเห็นตัวอย่างสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เวลามีน้อย ยกตัวอย่างมาแต่น้อยๆ
    อย่าง นางขุชชุตตรา สาวใช้ของนางสามาวดี ในตอนต้นนี้นางขโมยค่าดอกไม้ของพระนางวันละ ๔ ตำลึง เพราะว่าพระนางสามาวดีได้รับความเมตตา จากพระเจ้าอุเทนบรมกษัตริย์ พระบาทเท้าเธอทรงพระราชทานค่าดอกไม้วันละ ๘ ตำลึง ขุชชุตตราสาวชาววังใกล้ชิด ได้รับใช้ให้ไปซื้อดอกไม้ ก็ว่ากันเสียวันละ ๔ ตำลึงๆ วันละครึ่งของผลที่ให้ไป
    ต่อมา เมื่อนางได้ฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์จบที่บ้านของนายมาลาการ ก็ปรากฏว่า นางนั้นได้เป็นพระโสดาบัน เมื่อได้เป็นพระโสดาบันในวันนั้นเป็นต้นมานางก็เลิกโกงค่าดอกไม้
    นี่จะเห็นว่าคนที่เป็นพระโสดาบันนั้น เขาไม่ละเมิดศีล ๕ จริงๆ
    อีกอันหนึ่งในเรื่องเดียวกัน สำหรับการรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต นี่ก็ได้แก่ คณะของพระนางสามาวดี ก็มีขุชชุตตราเป็นอาจารย์ เมื่อกลับถึงพระราชฐาน พระนางสามาวดีเห็นดอกไม้มากขึ้นเท่าตัว จึงถามว่าวันนี้พระราชาทรงพระราชทานค่าดอกไม้ให้ฉันเพิ่มหรืออย่างไร นางขุชชุตตราก็บอกว่าไม่ใช่พระแม่เจ้าพระราชทานเท่าเดิม
    เพราะวันก่อนๆ นี่หม่อมฉันโกงเสียครึ่งหนึ่ง ซื้อมาครึ่งหนึ่ง นี่คนที่เป็นพระโสดาบันนี่เขาไม่โกหกด้วย เขาพูดตามความเป็นจริง พระนางสามาวดีถามว่าวันนี้ทำไมถึงไม่เอา นางก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระประทีบแก้ว ท่านบอกว่าบาป เป็นความชั่ว พระนางสามาวดีขอให้เธอเทศน์ให้ฟังพร้อมด้วยหญิงอีก ๕๐๐ (ขอพูดแต่ลัดๆ) เธอพูดให้ฟังจบเดียว ก็ปรากฏว่าหญิงทั้งหมดเป็นพระโสดาบันหมด
    ในขณะนั้นเองที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตยังอยู่ในประเทศนั้น วันหนึ่งพระนางมาคันทิยา มีความริษยาในพระนางสามาวดีกับคณะที่บำรุงพระพุทธเจ้า จึงตั้งใจจะเข่นฆ่าพระนางสามาวดีกับหญิง ๕๐๐ คนทั้งหมด เพราะว่าสนใจในองค์สมเด็จพระบรมสุคต ที่เธอไม่เลื่อมใส

    [​IMG]
    นางจึงให้อาเอาไก่เป็นไปให้พระนางสามาวดีแกงไปให้พระราชา
    นี่ขอเล่าแบบลัดๆ เป็นการประกอบเรื่อง พระนางสามาวดีพร้อมด้วยหญิง ๕๐๐ ได้ฟังข่าวว่า พระราชาต้องการเสวยแกงไก่ แต่ว่านำไก่เป็นมาให้ นางก็บอกว่ารับไม่ได้ ด้วยฉันรักษาศีล ฆ่าสัตว์ไม่ได้ เขาบอกว่าเป็นคำสั่งของพระราชา อาจจะต้องถึงตาย นางก็บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าฉันจะตายเพราะทรงศีลบิรสุทธิ์ฉันยอมรับ เป็นอันว่านางก็ไม่ยอมฆ่าสัตว์ ไม่ยอมฆ่าไก่
    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะเห็นว่าการเป็นพระโสดาบัน นี่มีความมั่นคงในศีลจริงๆ อย่างนางขุชชุตตรานั่น เขาไม่ยอมนำเอาทรัพย์สินที่พระนางสามาวดีให้ไปซื้อดอกไม้ที่เคยโกงไว้วันละ ๔ ตำลึง เขาก็ไม่โกง เมื่อไม่โกง แล้วก็ไม่โกหกมดเท็จ
    และต่อมาคนของพระนางสามาวดีทั้งหมด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต เพราะขัดคำสั่งของพระราชา แต่ทว่าพระนางทั้งบรรดานางทั้งหมดมีหญิง ๕๐๐ คนที่มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน ก็กล้าที่จะยืนยันว่าเราจะไม่ยอมฆ่าไก่เด็ดขาด เพราะว่าเราเคารพในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ จะตายก็ตามที ยอมรักษาศีลยิ่งกว่ารักษาชีวิต
    นี่แหละ บรรดาท่านทั้งหลาย ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ไหนๆ ท่านก็ประกาศตน เคารพในองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แล้วก็ต้องการความเป็นพระโสดาบัน คือเป็นความสุขขั้นต้นในพระพุทธศาสนา
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า จงพากันรักษาสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือทำลายอารมณ์ที่รัดรึงใจ ได้แก่ สีลัพพตปรามาส
    [​IMG]
    การเป็นผู้ทำลายศีลจงอย่ามีแก่จิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงมีความมั่นใจในการรักษาศีล และจงเชื่อว่าท่านผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้น ย่อมมีความสุขทั้งในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ คือคนดีที่มีศีลบริสุทธิ์ ชาตินี้ก็มีความสุข เมื่อตายจากชาตินี้แล้วเกิดมาในชาติใหม่ก็มีความสุข ขึ้นชื่อว่าความทุกข์ใดๆ ที่มีปัจจัยเกิดแก่ศีล ไม่มีสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาการที่จะแนะนำกันก็หมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงใช้อิริยาบถตามสมควรนั่งปฏิบัติ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งห้อยขาจากเก้าอี้ หรือเอนกายบนเตียงนอน หรือที่พื้นข้างล่าง จะยืนหรือจะจงกลมก็ได้ ให้ทรงใจนึกถึงศีลไว้เสมอ ที่เราเรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน
    เพราะว่าสีลานุสสติกรรมฐานจะทรงอยู่ได้นานก็เพราะอาศัยมีพรหมวิหาร ๔ คือเมตตากับกรุณา ทั้ง ๒ ประการคงอยู่ด้วย จะช่วยให้อารมณ์ใจของท่านเป็นเอกัคคตารมณ์
    มองดูเวลาสำหรับการที่จะพูดกันก็หมดแล้ว ต่อนี้ไปขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระชินวรแนะนำมาตามที่กล่าวแล้ว จนกว่าจะถึงกาลเวลาอันสมควรของท่าน สวัสดี

    จาก http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=188


    <cite></cite>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ตุลาคม 2008
  2. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

    [​IMG]
    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

    เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช


    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก

    ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
    พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด
    พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่ พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร" พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
    มรณภาพ
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

    ข้อมูล : เว็บศิษย์หลวงพ่อ http://www.sitluangpor.com/
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ธรรมโอวาท

    นิพพานเป็นของง่ายเป็นของไม่ยาก นิพพานนี่เขาแปลว่า ดับ นะคุณนะ ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่า ดับความชั่ว คนที่จะถึงนิพพานได้ต้องไม่มีความชั่ว 3 อย่าง คือ
    <DL><DD>1. ไม่ชั่วทางกาย <DD>2. ไม่ชั่วทางวาจา <DD>3. ไม่ชั่วทางใจ </DD></DL>ถ้าทุกคนดับความชั่วได้หมด บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ภาพพระธาตุ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]แหล่งข้อมูล: เว็บธรรมะไทย[/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    จาก www.relicsofbuddha.com

    ปัจจฉิมโอวาท

    ให้ ณ วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2535 ที่ตึกรับแขก วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
    <DL><DD>"ลูกเอ้ย นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา สังขารมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก ทุกขัง ตอนอยู่มันเป็นทุกข์ แต่ผลที่สุดมันก็อนัตตาสลายไป มีแค่นี้ อย่ามายึดสังขารพ่อเลย ลูกเอ้ย "</DD></DL>
     
  3. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    ผลงาน
    ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ
    ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล, สร้างโรงเรียน, จัดตั้งธนาคารข้าว, ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่าง ๆ เพื่อ ปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร, ยา, อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ
    ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติสำรวมกาย, วาจา, ใจ, มุ่งในทาน, ศีล, สมาธิ และปัญญา ทั้งในทางกรรมฐาน 40 และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนจำนวนมากและบันทึกเทปคำสอนกว่า 1,000 ม้วน นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุก ๆ ปี
    ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า 30 วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า 600 ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า 200 ไตร
    ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ทั้งการแจกเสื้อผ้า, อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน, การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ, การจัดแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย, การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน, การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่าง ๆ ฯลฯ
    นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรสแท้องค์หนึ่ง
    คุณวิเศษส่วนองค์และต่อส่วนรวม

    <DL><DD>1. เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมามาก <DD>2. ทรงอภิญญาสมาบัติและปฏิสัมภิทาญาณ <DD>3. ทรงเถรธรรม ประกอบด้วย รัตตัญญู (รู้ราตรีนาน), สีลวา (มีศีล), พหุสสุตะ (ทรงความรู้ได้ฟังมาก), สวาคตะปาฏิโมกขะ (วินิจฉัยพระวินัยได้ดี), อธิกรณสมุปปาทวูปสมกุสละ (ฉลาดในการระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น), ธัมมกามะ (ใคร่ในธรรม), สันตุฏฐะ (สันโดษ), ปาสาทิกะ (น่าเลื่อมใส), ฌานลาภี (คล่องในฌาน) และ อนาสวเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ (บรรลุเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ สิ้นอาสวกิเลส <DD>4. รู้แจ้งในไตรภูมิ <DD>5. เป็นที่รักของพระ พรหม เทพยดาและมนุษย์ทั้งปวง <DD>6. สอนคนให้เข้าใจถึงพระนิพพานได้จริง ตามมาตรฐานการปฏิบัติธรรมแห่งพระพุทธศาสนาครบถ้วนทั้ง 4 หมวด อันได้แก่ <DD>6.1) สุกขวิปัสสโก ปฏิบัติธรรมแบบเรียบ ๆ มีมรรคมีผล แต่ไม่มีความรู้พิเศษ <DD>6.2) เตวิชโช หรือเรียกว่า วิชชา 3 มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษคือ ทิพจักขุญาณ รู้ว่าคนเกิดมาจากไหน ตายไปไหน เป็นต้น มีญาณ 8 ประการ <DD>6.3) ฉฬภิญโญ หรือเรียกว่า อภิญญา 6 มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษคือแสดงฤทธิ์ได้ 5 อย่าง หากหมดกิเลสด้วยจะเรียกว่าได้อภิญญา 6 <DD>6.4) ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษครอบคลุมทั้ง 3 หมวดแรก ปฏิสัมภิทาญาณนั้นคือ ทรงพระ </DD></DL>ไตรปิฎก(แตกฉานในเหตุและผล), รู้ภาษาคนทุกภาษาและภาษาสัตว์ทุกชนิด และคล่องแคล่วในการสอนธรรม (ขยายความให้เข้าใจก็ได้ ย่อความให้เข้าใจก็ได้)
    [​IMG]

    คำกล่าวที่จารึกในแผ่นทองซึ่งบรรจุใต้แท่นพระประธาน เมื่อพ.ศ. 2519 ในแผ่นทองได้จารึกไว้ดังนี้ เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมถ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว 2700 ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว
    อีกทั้งท่านยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้ ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้ ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปัชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว อุโบสถหลังใหม่นี้ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศมาลาของสมเด็จพระ พุทธพรมงคล พระประธานในพระอุโบสถ, เททองหล่อรูปหลวงพ่อปาน และทรงตัดลูกนิมิตด้วย ในช่วงพ.ศ. 2518 - 2520
     
  4. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    การรับเป็นศิษย์

    "..คนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ

    <DL><DD>1. ศิษย์ชั้น 3 </DD></DL>พยายามรักษาศีล 5 เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น 3 คือ ศิษย์ขนาดจิ๋ว


    <DL><DD>2. ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ </DD></DL>มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง


    <DL><DD>3. ศิษย์เอก มีปฏิปทา ดังนี้ <DD>ก. รักษาศีล 5 ครบถ้วนเป็นปกติ <DD>ข. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ ..." </DD></DL>[​IMG]

    พระสงฆ์ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เคยสนทนา หรือเป็นสหาย ได้แก่

    <DL><DD>1. พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา : </DD></DL>ท่านเป็นปฐมาจารย์ ผู้สั่งสอนเป็นองค์แรก สอนกรรมฐานทุกตอนจนถึงระดับนิพพาน และพยายามฝึกฝนให้จนมีความเข้าใจในการปฏิบัติกรรมฐานจนมี ความเข้าใจ

    <DL><DD>2. หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา : อาจารย์ที่สองรองจากหลวงพ่อปาน เป็นตัวแทนหลวงพ่อปาน ในการควบคุมดูแลในการปฏิบัติเบื้องต้นท่านอยู่วัดบางนมโค เช่นเดียวกัน <DD>3. พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <DD>4. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <DD>5. หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <DD>6. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <DD>7. พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา :พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน <DD>8. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี <DD>9. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี <DD>10. หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี <DD>11. พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต เจ้าคณะ 11 วัดสระเกศ จังหวัดพระนคร <DD>12. สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>13. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>14. ท่านเจ้าคุณ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี <DD>15. ท่านเจ้าคุณ พระธรรมปาหังสณาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี <DD>16. ท่านเจ้าคุณ พระมหาโพธิวงศาจารย์ เจ้าอาวาส วัดอนงคาราม จังหวัดธนบุรี <DD>17. พระเดชพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส วัดอนงคาราม จังหวัดธนบุรี <DD>18. พระอาจารย์เกษม วัดดาวดึงสาวาส จังหวัดธนบุรี <DD>19. พระอาจารย์ทอง วัดราษฎรสุนทรเจริญ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี <DD>20. ท่านอาจารย์สุข (เป็นฆราวาส) ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี <DD>21. พระเทพวิสุทธิเวที (ไสว สุจิตฺโต ป.ธ.6) อดีตเจ้าอาวาสวัดอนงคาราม จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>22. พระราชวิสุทธิเมธี (พระมหาวิจิตร วิจารโณ; พระศรีวิสุทธิโสภณ ในสมัยนั้น) วัดอนงคาราม จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>23. พระมงคลชัยสิทธิ์ (พระครูวิชาญชัยคุณ ในสมัยนั้น) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท <DD>24. พระวิสุทธาธิบดี วัดไตรมิตร จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>25. พระราชอุทัยกวี จังหวัดอุทัยธานี <DD>26. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ) <DD>27. พระครูปิยรัตนาภรณ์ (บุญรัตน์ กันตจาโร) วัดโขงขาว ตำบลบ้านแหวน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ <DD>28. หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดไชยมงคล(วัดวังมุย) จังหวัดลำพูน <DD>29. พระครูสุคันธศีล (หลวงปู่คำแสน) วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ <DD>30. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง(ดอยม่อนเวียง) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ <DD>31. หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ <DD>32. หลวงพ่อทืม(หลวงพ่อบุญทืม พรหมเสโน) วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน <DD>33. พระครูสันติวรญาณ(หลวงพ่อสิม) วัดถ้ำผาปล่อง เชียงดาว <DD>34. พระครูพรหมจักสังวร (พระสุพรหมยานเถระ; ครูบาพรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซางจังหวัดลำพูน <DD>35. พระครูภาวนาภิรัตน์ (พระสุธรรมยานเถระ; ครูบาอินทจักรรักษา) วัดวนาราม(วัดน้ำบ่อหลวง) อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ <DD>36. พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน <DD>37. พระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>38. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร <DD>39. พระครูวรเวทย์วิสิฐ (ครูบาธรรมชัย) วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ <DD>40. พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน บุญ - หลง) วัดเทพศิรินทราวาส จังหวัดกรุงเทพฯ <DD>41. หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี <DD>42. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม จังหวัดกรุงเทพฯ </DD></DL>ยังคงมีพระสงฆ์อีกมากรูปในชั่วชีวิตของพระราชพรหมยานฯ

    จาก http://th.wikipedia.org
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ตุลาคม 2008
  5. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]
    พระวิหารแก้ว วัดท่าซุง
    ........................................................................................................


    วัดท่าซุง (วัดจันทาราม)
    เลขที่ 60 หมู่ 1 บ้านท่าซุง
    ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี 61000
    โทรศัพท์ (056) 511-366,
    (056) 511-391, (056) 511-938


    พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

    พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อดีตเจ้าอาวาส


    เป็นวัดปฏิบัติสายพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ข้อปฏิบัติในปฏิบัติธรรม

    การปฏิบัติธรรมที่วัด ตามปกติ ถ้าเป็นช่วงวันธรรมดาที่วัดไม่ได้มีจัดงานสำคัญ
    สาธุชนทุกท่านสามารถมาพักที่วัดได้ โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้

    - พักครั้งละไม่เกิน 7 วัน
    - การมาพักต้องติอต่อพระเจ้าหน้าที่ ที่ศาลานวราช (อยู่บริเวณโบสถ์ ติดกับหอนาฬิกา)
    - ต้องมีบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เป็นหลักฐาน
    - หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสที่ท่านสังกัดมาแสดงโดยทางวัด

    - พระเจ้าหน้าที่จะขอเก็บไว้ 1 บัตรหรือใบต่อ 1 ห้องพักเพื่อแลกกับกุญแจ (และไว้มาแลกคืนตอนกลับ)
    - ต้องมาติดต่อพระเจ้าหน้าที่ (ไม่ว่าจะขอกุญแจหรือคืนกุญแจ) ต้องติดต่อในช่วงต่อไปนี้เท่านั้นคือ
    ช่วงเช้า 9.00 น. ถึง 11.00 น.
    ช่วงบ่าย 13.00 น. ถึง 16.00 น.
    (หากติดต่อนอกเวลา จะไม่อนุญาตให้พักในวัด)
    - ที่พักมีพักเป็นห้องๆ หลายจุดในวัด แยกชายหญิง

    - เตรียมเสื้อผ้าที่สุภาพมาให้เพียงพอ
    - ทางวัดมีห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ
    - เรื่องอาหารการกินผู้มาปฏิบัติต้องรับผิดชอบตนเอง โดยมีร้านอาหารตั้งอยู่หลายจุดรอบๆ วัด
    - ภายในวัด มีร้านสหกรณ์ของวัดจำหน่ายของใช้ของจำเป็นทุกอย่าง

    - มีการทำวัตรเช้าที่ศาลานวราช ทำวัตรเย็นที่วิหาร 100 เมตร
    - ในวัดมีมีรถบัสที่ดัดแปลงเป็นรถนั่ง 2 แถว หรือไม่ก็มีรถสามล้อเครื่องให้ใช้บริการตามสะดวก
    - ห้ามดื่มเหล้าและเล่นการพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง
    -ท่านต้องเคารพในสถานที่และทำตามระเบียบของวัดท่าซุงอย่างเคร่งครัด

    การเจริญกรรมฐานและการฝึกมโนมยิทธิ ท่านสามารถฝึกกรรมฐานทั้งแบบมโนมยิทธิและกรรมฐานแบบปกติได้ทุกวันในเวลา ๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. ที่มหาวิหารแก้ว 100 เมตร

    [​IMG]
    พระอุโบสถ วัดท่าซุง
    ........................................................................................................


    วิธีการเดินทาง

    ขับรถส่วนตัว ดูแผนที่ไปวัดท่าซุง

    (1) จากกรุงเทพ ขับเข้ามาในตัวเมืองอุทัย และขับออกจากเมืองไปตามทางหลวง หมายเลข 3265 มุ่งตรงไปทางแพข้ามฟากอำเภอมโนรมย์ของชัยนาท ประมาณ 12 กิโลเมตร ดูแผนที่ตัวเมืองอุทัย

    (2) จากกรุงเทพ ขับมาตาม ทางหลวงหมายเลข 32 จนถึงส่วนของจังหวัดชัยนาท ให้ขับตรงมาจนถึงจุดตัดกับถนนหมายเลข 3212 ให้เลี้ยวซ้ายเพื้อไป อ.มโนรมย์ (ให้ดูแผนที่ ถนนจังหวัดชัยนาท) สุดถนน 3212 เป็นแม่น้ำสะแกกรัง ให้เอารถขึ้นแพข้ามฟากไปฝั่งอุทัยธานี (ไม่ทราบว่ากี่บาทต่อรถหนึ่งคัน) และขับต่อขึ้นไปตามถนน 3265 ไม่กี่นาทีก็จะถึงบริเวณวัด

    นั่งรถโดยสาร
    วิธีที่ 1 นั่งรถบขส. สาย กรุงเทพ - มโนรมย์ (ชัยนาท) ขึ้นจากหมอชิตใหม่ นั่งจนมาถึงมโนรมย์ จะเป็นแพหรือโป๊ะข้ามฟาก ให้นั่งโป๊ะข้ามแม่น้ำสะแกกรังไปฝั่งอุทัยธานี 2 บาท แล้วต่อรถสองแถว 5 บาท ที่ผ่านวัดท่าซุง (รถหมดประมาณบ่ายสาม) นั่งไปประมาณ 10 กว่านาที ก็จะพบกำแพงเหลืองๆ ยาวตลอดแนว ก็แสดงว่าถึงวัดแล้ว

    วิธีที่ 2 นั่งรถตู้ไปอุทัยธานี (จอดที่ใต้ทางด่วนอนุสาวรีย์ มุม ตะวันออกเฉียงเหนือของอนุสาวรีย์ คนละ110 บ. รอบแรก 6 โมงเช้า ใช้เวลา 3 ชม. วันงานคนมาก) ถึงตลาดอุทัย (บขส.อุทัย) ให้ขึ้นรถสองแถวที่เขียนว่า ท่าซุง-มโนรมย์ ราคา 8 บาท (รถหมดประมาณ 4-5 โมงเย็น) หรือเหมารถสามล้อ นั่งได้ 2 คน ในราคาประมาณ 70 บ.

    โทรศัพท์ (พระเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับสาย)
    (056) 502-506, (056) 502-507, (056) 502-631

    [​IMG]
    ปราสาททอง วัดท่าซุง
    ........................................................................................................


    ประวัติวัดท่าซุง (วัดจันทาราม)

    วัดท่าซุง มีชื่อว่าวัดท่าซุงเพราะว่าสมัยที่การล่องซุงทางน้ำ แพซุงมักจะพักแวะที่หน้าวัด แต่ชื่อเดิมของวัดชื่อว่า วัดจันทาราม ตั้งชื่อตามอดีตเจ้าอาวาสชื่อ จันทร์ ส่วนอดีตเจ้าอาวาสที่มีความสำคัญอีกคือ หลวงปู่ไหญ่, หลวงปู่เล่ง, หลวงพ่อไล้ และหลวงปู่ขนมจีน

    สำหรับหลวงปู่ใหญ่ และหลวงปู่ขนมจีน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้สร้างรูปเหมือน และสร้างมณฑปไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้สักการะบูชา เดิมก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะมาอยู่ วัดท่าซุงทรุดโทรมมาก พระครูสังฆรักษ์อรุณ อรุโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง จึงได้ นิมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อมาจากวัดสะพาน จังหวัดชัยนาท เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เพื่อมาช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์วัด

    วัดท่าซุง แต่เดิมมีเนื้อที่ประมาณ ๖ไร่เศษ ปี ๒๕๑๗ คณะศิษย์และลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ร่วมกันซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามวัดเก่า เพื่อสร้างโบสถ์แทนโบสถ์เก่าที่ชำรุดทรุดโทรม ต่อมาก็มีสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายวัดมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันนี้วัดมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๕๑๐ ไร่ โดยแยกเป็นเนื้อที่วัด ๒๘๐ ไร่ เนื้อที่ป่า ๒๓๐ ไร่ มีสิ่งปลูกสร้าง และถาวรวัตถุมากมายอาทิเช่น

    ห้องปฏิบัติพระกรรมฐาน, ศาลา ๒ ไร่, ศาลา ๓ ไร่, ศาลา ๑ ไร่, ศาลา ๑๒ ไร่, มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร, วิหารสมเด็จองค์ปฐม, วิหารสมเด็จพระศรีอรียเมตไตรย์ สิ่งก่อสร้างที่เลื่องลือกันมากที่สุดคือ ศาลา ๑๒ ไร่ และมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร

    สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะผสมทองคำ ภายในบรรจุพระสารีริกธาตุ มณฑปทั้งหมดบุแก้วทั้งข้างนอกข้างในสวยงามมาก

    มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร เป็นตึก ๒ ชั้น หลังคาเป็นจตุรมุข ๓ ยอด ด้านนอกด้านใน ปิดกระจกจากชั้น ๒ ถึงยอดหลังคา ภายในปิดกระจกเสาทุกต้น ข้างฝาและเพดานทั้งวิหาร พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ประดับด้วยกระจกเงาใสสะท้อนสวยงามมาก ดูเด่นเป็นสง่า ไม่ว่าจะมองใกล้หรือไกล ตัวตึกสร้างสูงยกพื้น ๑.๕ เมตร มีขนาดกว้าง ๒๘ เมตร ยาว ๑๐๐ เมตร สูง ๘ เมตร ภายในวิหารมีพระประธานแบบทรงพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นพระอรหันต์ ๗ องค์ เช่น พระโมคลาน์, พระสารีบุตร อยู่หน้าพระพุทธชินราช ฯลฯ มีรูปหล่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อลักษณะยืนถือไม้เท้า เพดานวิหารมีช่อไฟระย้าทั้งช่อใหญ่ และช่อเล็กรวมทั้งหมด ๑๑๙ ช่อ สวยงามมาก และมีบุษบกตั้งศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ตั้งอยู่ในมหาวิหารนี้ด้วย

    พระวิสุทธิเทพ เป็นพระองค์สำคัญของวัดท่าซุง ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อจำลองของจริงบนพระนิพพาน ชั้นดาวดึงส ์ประดับด้านในพระจุฬามณีเจดียสถาน

    พระจุฬามณี ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดท่าซุง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนพระสุธรรม-ยานเถระวิทยา และอยู่ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช พระวิสุทธิเทพจำลองพร้อมวิหาร “พระจุฬามณี” ในโลกนี้มีอยู่แห่งเดียวที่วัดท่าซุง ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๓ จะนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็ได้

    อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้วัดท่าซุงอย่างมากคือ การเป่ายันต์เกราะเพชร การเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้บทพระพุทธคุณจุดกลางยันต์ เมื่อเข้าไปรักษาคนจะอยู่ที่กระหม่อม แล้วจะวนรอบทั่วร่างกายใช้ป้องกัน และแก้โรคไสยศาสตร์ได้ สำหรับยันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ยอดธงมหาพิชัยสงครามสมัยสุโขทัย สมัยนั้นตอนเรารบทำสงครามกันจะมีผู้ถือยันต์นำหน้าทัพ ยันต์เกราะเพชรเป็นยันต์ที่ทำไว้สูงกว่ายันต์พิชัยสงคราม เป็นยันต์ยอดธง ซึ่งทางวัดท่าซุงย่อส่วนลงมาให้เล็กลง ผ้ายันต์แดงเป็นยันต์พิชัยสงคราม ยันต์เกราะเพชรเป็นผ้าสีขาว

    ท่านสาธุชนสามารถมาปฏิบัติธรรมที่วัดได้ โดยค้างที่วัดได้คราวละอย่างมาก ๗ วัน ต้องมีบัตรประชาชนมาแสดงด้วย หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสที่ท่านสังกัดมาแสดงโดยทางวัดจะฝึกกรรมฐานทั้งแบบมโนมยิทธิและกรรมฐานแบบปกติในเวลา ๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. เตรียมเสื้อผ้าที่สุภาพมาให้เพียงพอ ทางวัดมีที่พักและห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ แต่ห้ามไม่ให้ดื่มเหล้า และเล่นการพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง สำหรับเวลาเปิด - ปิดมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร มีสองเวลาคือ ระหว่าง ๙.๐๐ - ๑๒.๓๐ น. และ ๑๔.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.

    “จงอย่าสนใจจริยาของบุคคลอื่น และการเจริญสมาธิจงอย่าทำเพื่อโอ้อวด การเจริญสมาธิที่จะทำให้ดีได้ ให้ถือใจความพระพุทธเจ้าว่า ใครเขาจะมีกินมาก ใครเขาจะมีกินน้อย ใครเขาอ้วนมาก ใครเขาอ้วนน้อย ใครเขามีสาวกมาก ใครเขามีสาวกน้อย คนนั้นมีสมบัติมาก คนนั้นมีสมบัติน้อย คนนั้นเจริญสมาธิ วิปัสสนาญาณ แล้วยังแต่งตัวสวย ยังผัดหน้า ยังทาแป้ง ใครเขาจะดีจะชั่วอย่างไร เป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปสนใจ เราจะนั่งสมาธิก็จงอย่านั่งให้บุคคลอื่นเห็น ถ้าหากไปทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ยังมีกิเลสอีกมาก”

    ที่มา : คัดจากคำสอนที่สายลม เดือนสิงหาคม ๒๕๒๒

    [​IMG]
    พระยืน 80ศอก ของ วัดท่าซุง

    จาก เวปธรรมจักร
     
  6. บีว่า

    บีว่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +94
    การที่เราจะทำลายความโลภให้หมดไป เราก็ต้องมีการให้ทาน เป็นการต่อต่านกับความรู้สึกนั้น ความรู้สึกอยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน เราไม่เอาล่ะ
    เราไม่ต้องการอยากได้ทรัพย์สินของเขา แต่เรากลับให้ทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น
    นี่เป็นปฏิปทาเพื่อก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระโสดาบัน
    [​IMG]
    จะเห็นว่าพระโสดาบันทุกท่านพอใจในการสงเคราะห์ เป็นการทำลายความโลภ ไม่มีความทะเยอทะยาน อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน


    สาธุ....ขอกราบนมัสการ และ ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  7. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  8. Elfen

    Elfen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2006
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +1,750
    กราบนมัสการพระคุณเจ้าฯ และกราบอนุโมทนาครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...