"รุกฆาต" ทุกสรรพสิ่งในอภิมหาอนันตจักรวาล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WASINOAS, 19 ธันวาคม 2024.

  1. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    อัตตาของพวกเขาสร้าง "กรง"
    ที่พวกเขาเรียกว่า "อิสรภาพ"
    สร้าง "มายา" ที่พวกเขาเรียกว่า
    "ความสำเร็จ"
    สร้าง "ความว่างเปล่า"
    ที่พวกเขาเรียกว่า "ตัวตน"


    1. กรงที่เรียกว่า "อิสรภาพ"

    ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าการจำกัดตนเองด้วยกฎเกณฑ์ บรรทัดฐาน หรือข้อจำกัดบางอย่าง คือ "อิสรภาพ"

    แต่จริงๆ แล้ว กรงนี้คือการยึดติดกับรูปแบบและแนวคิดที่ถูกบีบอัดไว้ อัตตาของพวกเขาสร้างกรงจำกัดเพื่อให้รู้สึกว่ามีความปลอดภัยและควบคุมโลกได้

    นั่นหมายความว่าพวกเขายึดถือความคิดว่า "การมีขอบเขตและข้อจำกัด" คืออิสรภาพ ซึ่งเป็นภาพลวงตาแท้จริง เพราะเมื่อปล่อยวางการยึดติด ความเป็นอิสระที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้

    2. มายาที่เรียกว่า "ความสำเร็จ"

    อัตตาของพวกเขาสร้างมายา เพื่อให้เห็นว่าความสำเร็จนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดและเป็นเครื่องหมายของความมีคุณค่า

    แต่ความสำเร็จที่ว่านี้มักเป็นผลจากการประดิษฐ์หรือการตีกรอบตามมาตรฐานภายนอก ซึ่งถูกบิดเบือนโดยอัตตา

    ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ความสำเร็จ" จึงเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีตำแหน่งในสังคม แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและไม่มีความแน่นอน

    3. ความว่างเปล่าที่เรียกว่า "ตัวตน"

    อัตตาของพวกเขายิ่งสร้างความว่างเปล่าไว้ในจิตใจ ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาปฏิเสธความไม่แน่นอนและความไม่มีตัวตนที่แท้จริง

    จากความว่างเปล่านี้ พวกเขาจึงปั้นแต่ง "ตัวตน" เป็นสิ่งที่มีความแน่นอนตามที่พวกเขายึดติด

    แต่ในความเป็นจริง "ตัวตน" ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีอะไรที่คงที่และแท้จริงตามหลักอนัตตา

    นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ตัวตน" นั้น เป็นการสร้างภาพจำลองเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองมีอยู่และสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้
     
  2. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    พวกเขาที่ยังคงหลงติดอยู่ในกรงของอัตตานั้น แสดงออกถึง

    “ความเป็นเด็กน้อยที่แท้จริงในตัวเอง”

    นี่คือกระบวนการของการเปิดเผยความอ่อนโยนและความบริสุทธิ์ในจิตใจของพวกเขา พวกเขาแสดงออกถึงความอ่อนไหวที่แท้จริง แม้จะมีอัตตาที่แข็งแกร่ง พวกเขากลับสะท้อนออกมาด้วยความกลัวและความต้องการที่จะได้รับการยอมรับ ซึ่งคล้ายกับพฤติกรรมของ "เด็กน้อยที่ยังแสวงหากระบวนการยืนยันตัวตนจากภายนอก" ในใจลึกๆ พวกเขาปรารถนาความอิสระจากกรงที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง แต่ยังไม่สามารถรับรู้ถึงความสามารถในการปล่อยวาง จึงแสดงออกมาผ่านความขัดแย้ง พฤติกรรมที่ไม่มั่นคง ถูกกระทบกระเทือนเมื่อเผชิญกับพลังงานเหนือระดับ

    สิ่งเหล่านี้เผยให้เห็นถึง "ความเป็นเด็กน้อย" ที่ยังต้องการการยืนยันและได้รับการปกป้องจากโลกภายนอก การที่เราเห็น "ความเป็นเด็กน้อย" ในตัวพวกเขานั้นเป็นการหวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการเข้าใจในความไร้เดียงสาและความบริสุทธิ์ แต่ภายในกรอบของอัตตาที่พวกเขายึดถือ ก็ยากที่จะปลดปล่อยจากความหลงใหลในตัวตนที่พวกเขามโนสร้างขึ้นเอง

    ความเป็นเด็กน้อย ไร้ประสบการณ์และการยังไม่ผ่านพ้นกรอบความคิดที่ถูกสร้างขึ้นจากความกลัวและความยึดติด เป็นเหมือนกับการอยู่ในโลกของเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักปล่อยวางและเปิดรับความจริงแท้อันบริสุทธิ์

    เมื่อเราได้ตรัสรู้และปลดปล่อยจากพันธนาการของอัตตา เราสามารถมองเห็นว่าพวกเขากำลังประพฤติตัวในแบบที่ยังไม่พัฒนาจนถึงระดับที่สามารถรับรู้หรือเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2025
  3. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    สภาวะอารมณ์ที่ลึกซึ้งช่วยเปิดมุมมองให้เราเห็นรายละเอียดที่คนทั่วไปอาจมองข้ามไป เหมือนกับคนธรรมดาและศิลปินที่มองภาพเดียวกัน แต่ศิลปินจะเห็นเค้าโครง รายละเอียด ความประณีต และความละเมียดละไมที่ซ่อนอยู่ในภาพนั้นได้มากกว่า

    - อารมณ์ลึกซึ้ง: เมื่อจิตใจเราอยู่ในสภาวะที่ละเอียดอ่อนและเปิดกว้าง เราจะรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นภายในทุกสิ่ง สิ่งเหล่านี้คือรายละเอียดที่บ่งบอกถึงที่มาที่ไปของปรากฏการณ์ต่าง ๆ

    - ความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและศิลปิน: คนธรรมดาอาจมองเห็นเพียงภาพรวมหรือความรู้สึกทั่วไปในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ศิลปินที่มีความอ่อนไหวในจิตใจสามารถสังเกตเห็นองค์ประกอบที่ละเอียดอ่อน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ และความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ ซึ่งช่วยให้เขาตระหนักถึงความจริงในระดับที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์มากขึ้น

    - ผลกระทบต่อการตรัสรู้: เมื่อเรามีความสามารถในการสังเกตและขยายความเข้าใจในรายละเอียดเหล่านี้ได้ สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่เพียงแค่ภาพรวม แต่เป็นการรับรู้ที่ครอบคลุมถึงความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในทุกมิติของสิ่งนั้น ๆ บุคคลที่มีความเป็นศิลปินในจิตใจจึงมีแนวโน้มที่จะตรัสรู้ได้ง่ายกว่า เพราะเขาสามารถเห็นที่มาที่ไปและแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน


    ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีอารมณ์หยาบช้ามักจะรับรู้โลกในระดับพื้นฐานและไม่สามารถสัมผัสความละเอียดอ่อนในประสบการณ์ภายในได้เท่าผู้ที่มีอารมณ์ลึกซึ้ง
    (*ควรหลีกเลี่ยง หากสัมผัสได้ถึงการแสดงออกของอารมณ์ที่หยาบช้าทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม มันสะท้อนถึงความเป็นไปได้ของภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมเก็บกดทางอารมณ์ที่เขาแสดงออกมา ซึ่งยังยื้อและท้าทายจุดแตกดับของอัตตา*)

    - ความละเอียดของอารมณ์: ผู้ที่มีอารมณ์ลึกซึ้งสามารถแยกแยะและรับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในจิตใจได้ ในขณะที่ผู้ที่มีอารมณ์หยาบช้ามักจะมองเห็นแค่ความรู้สึกที่เด่นชัดและชัดเจนโดยไม่มีความละเอียดในการรับรู้

    - การตีความและการตรัสรู้: ความสามารถในการสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ ช่วยให้เกิดการตรัสรู้ในระดับที่ลึกซึ้ง ผู้ที่มีอารมณ์หยาบช้ามักจะมองโลกผ่านกรอบของความรู้สึกที่ตึงเครียดหรือถูกปกคลุมด้วยอารมณ์พื้นฐาน ทำให้พวกเขาพลาดความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในความละเอียดอ่อนของประสบการณ์

    - ผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรม: ผู้ที่มีอารมณ์หยาบช้ามักจะตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรุนแรงหรือความรู้สึกพื้นฐาน เช่น ความโกรธหรือความกลัว โดยไม่ค่อยมีการไตร่ตรองถึงความหมายที่ลึกซึ้งหรือแง่มุมที่ละเอียดอ่อนของสิ่งนั้น ๆ หรือแม้กระทั่งผลกระทบที่อาจสร้างพฤติกรรมเลียนแบบในวงกว้าง ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่เป็นผลเสียต่อจิตสำนึกส่วนรวม

    โดยรวมแล้ว ในขณะที่

    "ผู้ที่มีอารมณ์ลึกซึ้ง" สามารถเข้าถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดและเข้าใจโลกในมิติที่บริสุทธิ์และละเอียดอ่อนได้

    "ผู้ที่มีอารมณ์หยาบช้า" มักจะติดอยู่ในระดับพื้นฐานของความรู้สึกและมุมมองที่ขาดความละเอียดอ่อน ทำให้พวกเขาอาจไม่สามารถสัมผัสหรือเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและความหมายที่ซ่อนอยู่ในประสบการณ์ชีวิตได้ดีเท่าที่ควร
    *** "จงแสดงความเมตตาและหลีกเลี่ยงหนทางสู่การปะทะ" ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2025
  4. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    ถ้าอัตตาถูกนำมาใช้เพื่อสนองอารมณ์หยาบช้า มันก็จะกลายเป็น *เชื้อไฟที่เผาผลาญกิเลสไปเรื่อย ๆ ทำให้จิตใจถูกบดบังด้วยความยึดติดและทุกข์อย่างไม่รู้จบ

    แต่ในทางกลับกัน หากเราใช้ความเข้าใจและเป็นไปเพื่อการตรัสรู้ในการละกิเลสอย่างแท้จริง เราจะตระหนักได้ว่าอัตตาที่เราเคยยึดติดนั้น ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือดับกิเลส แต่กลับเป็นเชื้อไฟที่สามารถเสริมให้เกิดการตื่นรู้และการปลดปล่อยได้ เมื่อเราใช้เชื้อไฟนี้อย่างมีสติและเจตนาที่บริสุทธิ์ เราก็จะเห็นว่าการเผาผลาญกิเลสนั้นไม่ใช่การทำลายอัตตา แต่เป็นการปลดปล่อยให้จิตใจกลับมาสัมผัสความบริสุทธิ์และความเป็นจริงที่เหนือกว่าการยึดติดในตัวตนเดิม ๆ

    กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงของอัตตานั้นขึ้นอยู่กับวิธีที่เรานำมันมาใช้:

    หากใช้เพื่อเสริมอารมณ์หยาบช้า อัตตาจะเป็นเชื้อไฟที่เผาผลาญกิเลสและทำให้เราเสพติดในวงจรของความทุกข์

    "แต่ถ้าใช้เป็นไปเพื่อการละกิเลสโดยแท้ *เราจะตระหนักเห็นว่าอัตตานั้นเป็นเพียงเชื้อไฟที่ช่วยให้เราเผาผลาญกิเลสไปสู่การปลดปล่อยและความตื่นรู้ที่แท้จริง"


    นี่คือแนวทางที่จิตสำนึกจะเปลี่ยนแปลงจากการติดพันกับอัตตา ไปสู่การปลดปล่อยที่สมบูรณ์และเข้าถึงความบริสุทธิ์ในระดับที่สูงสุด
     
  5. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    "ความยุ่งเหยิงของอัตตาเป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดให้กิเลสลุกไหม้ขึ้นในจิตใจ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรความทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่สามารถดับเชื้อไฟนั้นได้ มันก็จะกลายเป็นจุดจบของความบริสุทธิ์ในตัวเรา แต่เมื่อเราได้ตระหนักรู้และปลดปล่อยตัวเองจากการยึดติดในอัตตา เราจะเห็นว่าพลังงานของความรู้แจ้งสามารถทำลายวงจรของกิเลสได้อย่างแท้จริง ส่งผลให้จิตใจกลับมาสู่สภาวะที่สงบบริสุทธิ์และไม่มีข้อจำกัด ในระดับจักรวาลนี่คือการเดินทางจากจุดเริ่มต้นสู่จุดจบของความทุกข์นำพาเราไปสู่ความเป็นนิรันดร์และความบริสุทธิ์ที่แท้จริงในทุกมิติของการดำรงอยู่"
    ⚡⚡⚡


    เมื่อเราลงลึกเข้าไปในแก่นของอัตตา เราจะพบว่าอัตตานั้นไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ตามที่เราคิด แต่เป็นภาพลวงตาที่จิตใจสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันความเปราะบางและความกลัว ภาพลวงตานี้มีความยุ่งเหยิงและซับซ้อน โดยมีลักษณะดังนี้

    1. อัตตาเป็นเชื้อไฟที่จุดประกายกิเลส: เมื่อจิตใจถูกพันธนาการด้วยความปรารถนาและความกลัว ความรู้สึกเหล่านี้จะทำหน้าที่เสมือนเชื้อไฟ ที่จุดให้เกิดกิเลส เช่น โลภ โกรธ หลง และละโมบ
    ----- กิเลสเหล่านี้จะทำให้จิตใจติดอยู่ในวงจรของความทุกข์ และนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด
    ----- เมื่อกิเลสเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ความคิดและพฤติกรรมของเราเกิดความสับสนและการยึดติดที่ลึกซึ้ง

    2. วงจรของความทุกข์: จุดเริ่มต้นและจุดจบที่เชื่อมโยงกัน: ความยุ่งเหยิงของอัตตาไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดจบที่ทำให้ความบริสุทธิ์และความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราถูกบดบังไป
    ----- เมื่ออัตตาที่ถูกพันธนาการไว้อย่างหนักแน่นไม่ถูกดับลงด้วยการตรัสรู้และการปลดปล่อย จิตใจของเราก็จะตกอยู่ในวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุดของการติดพันธนาการ
    ----- วงจรนี้เป็นเหมือนกับการติดอยู่ในกรงที่เราเองสร้างขึ้น ไม่สามารถหลุดพ้นไปสู่ความอิสระที่แท้จริงได้

    3. การปลดปล่อยจากพันธนาการ: การตระหนักรู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของอัตตา—ในฐานะที่มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่บิดเบือนความจริง—คือจุดเริ่มต้นของการดับเชื้อไฟกิเลส
    ----- เมื่อเราได้ปลดปล่อยจากการยึดติดในอัตตา เราจะได้สัมผัสกับความสงบและความบริสุทธิ์ที่แท้จริงในจิตใจ
    ----- การปลดปล่อยนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่ยังเป็นหนทางเข้าสู่สภาวะที่จิตใจสามารถเป็นแสงแห่งความรู้แจ้งที่ไร้ขีดจำกัด

    4. ผลกระทบในระดับจักรวาล: เมื่อพลังงานแห่งความรู้แจ้งได้แผ่กระจายออกไปจากจิตใจที่ปลดปล่อยแล้ว มันจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อระบบพลังงานของจักรวาล
    ----- ความทุกข์และการติดพันของอัตตาที่คงอยู่ในรูปแบบของกิเลสจะเริ่มลดลง เมื่อพลังแห่งความรู้แจ้งสามารถดับเชื้อไฟที่ทำให้กิเลสลุกไหม้
    ----- สิ่งนี้นำไปสู่การสร้างความสมดุลใหม่ในจักรวาล ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ความบริสุทธิ์และการหลุดพ้นในระดับที่เหนือกาลเวลา
     
  6. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    ผู้ที่หลงติดอยู่ในอัตตาจะถูกพันธนาการด้วยภาพลวงตาและความยึดติดในตนเอง จนไม่สามารถเปิดใจรับแสงแห่งความรู้แจ้งและความจริงที่แท้จริงได้

    การติดอยู่ในเงามืดของอัตตา: เมื่อใครบางคนยังคงยึดติดกับอัตตาที่สร้างขึ้นจากความกลัวและความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภาพลวงตานั้นจะบดบังความจริง ทำให้สติปัญญาของเขาหรือเธอถูกกักขังอยู่ในโลกของความมืดมิดและความไม่รู้

    ความมืดบอดทางสติปัญญา: การที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นเรา ซึ่งเป็นแสงแห่งการตรัสรู้และความบริสุทธิ์นั้น แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงอยู่ในสภาวะที่ถูกอัตตาปกครองอย่างถาวร *พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหรือตระหนักรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในจักรวาลที่แผ่กระจายไปด้วยความรู้แจ้ง ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะความยึดติดแน่นในอัตตาที่พอกพูนสะสมทำให้สติปัญญาของพวกเขาถูกบดบังไว้*

    ผลกระทบ: ในที่สุด ความมืดมิดของอัตตาที่ติดอยู่ จะทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ที่ "มืดบอดทางสติปัญญาถาวร" อย่างแท้จริง ไม่มีทางที่จะเห็นแสงแห่งความจริงที่เราเป็นแสงนำทางให้เห็น นั่นคือเหตุผลที่ผู้ที่ติดอยู่ในอัตตาเหล่านี้ ไม่สามารถรับรู้หรือเข้าถึงความบริสุทธิ์และอิสระที่แท้จริงได้

    ผู้ที่หลงติดในอัตตาจะไม่เห็นเรา เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในความมืดมิดที่อัตตาสร้างขึ้นเอง—เป็นสภาวะของสติปัญญาที่ถูกบดบังอย่างถาวร *ถึงบอกไง ต่อให้เห็น ก็บอกใครให้เห็นด้วยไม่ได้


    "ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2025 at 13:11
  7. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    *คำเตือน*

    ความเย็นของเราในแง่ของจิตที่ตรัสรู้ คือความสงบที่บริสุทธิ์และไร้การยึดติด ที่เมื่อแผ่กระจายออกไปจะทำหน้าที่เหมือนสารเร่งปฏิกิริยาในการเผาผลาญกิเลสภายในจิตใจ

    ความเย็นแห่งการตรัสรู้: เป็นความสงบที่เกิดจากการปลดปล่อยจากอัตตาและพันธนาการของกิเลส เมื่อเรามีความเย็นนี้ในตัว มันจะช่วยให้จิตใจของเราปลอดโปร่งและสามารถมองเห็นความจริงของแก่นแท้ได้อย่างชัดเจน

    การเร่งปฏิกิริยาการเผาไหม้กิเลส: ความเย็นนี้ทำหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้กิเลส—ซึ่งเกิดจากความโลภ โกรธ หลง และละโมบ—ถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้เปรียบเสมือนการดับไฟด้วยน้ำเย็นที่เข้ามาลดความร้อนของกิเลส

    ผลกระทบตามระดับการตรัสรู้: แต่ละบุคคลที่ตรัสรู้จะมีระดับความเย็นที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีระดับชั้นที่เหมือนกันแต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในมิติที่แตกต่างกัน

    ผู้ที่ตรัสรู้ในระดับสูงจะมีความเย็นที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเผาผลาญกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

    ในขณะที่ผู้ที่ยังอยู่ในกระบวนการตื่นรู้ อาจพบว่าการเผาไหม้นั้นเกิดขึ้นช้าลง หรือมีความรุนแรงแตกต่างกันไปตามความยึดติดในอัตตาที่ยังคงมีอยู่

    สรุปคือ ความเย็นของเราคือพลังแห่งการตรัสรู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเผาผลาญกิเลส ซึ่งผลของมันจะแปรเปลี่ยนไปตามระดับการตรัสรู้ของแต่ละบุคคล ทำให้ในท้ายที่สุด “เกมแห่งอัตตา” ถึงคราวต้องจบสิ้น และเปิดทางสู่ความบริสุทธิ์และความอิสระที่แท้จริงในอภิมหาอนันตจักรวาลศิวิไลซ์ถาวรอันเป็นนิรันดร์

    Endgame.

    blue and silver aura.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2025 at 17:07
  8. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    **การดับกิเลสโดยสมบูรณ์**

    หมายถึงการที่จิตไม่ท่องเที่ยวไปในโลกแห่งความอยากและทุกข์อีกต่อไป **นิพพาน** จึงเป็นการหลุดพ้นที่แท้จริงจากการทรมานของกิเลสและกลับสู่สภาวะความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะที่ไม่มีการแยกขาดจากจักรวาล อันแสดงถึงความสมบูรณ์ของการตรัสรู้ที่ไม่ต้องพึ่งพาอัตตาอันหลอกลวงอีกต่อไป เป็นหนทางเพื่อปกป้องให้เดินทางไปสู่การหลุดพ้นอย่างปลอดภัย พบกับความอิสระที่แท้จริงโดยปราศจากอุปสรรคจากกิเลสที่เคยครอบงำ และจากเหตุการณ์นี้เราจะพบว่า ความสงบและความสมดุลดังกล่าวคือ ความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่รอการตระหนักรู้จากทุกคนที่กำลังมุ่งไปสู่เส้นทางแห่งการหลุดพ้น

    • การหลุดพ้นจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด : เมื่อกิเลสที่เป็นเชื้อเพลิงของความทุกข์และความยึดติดถูกดับลงแล้ว จิตจะไม่ถูกพันธนาการอยู่ในวัฏจักรของการเกิดใหม่อีกต่อไป
    • การเข้าสู่ “กระแส” หรือ “สภาวะนิพพาน” : ในพุทธศาสนาถือเป็นขั้นตอนแรกของการตรัสรู้ที่ทำให้จิตได้เข้าถึงแก่นของความเป็นจริงอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เมื่อกิเลสดับลงโดยสมบูรณ์แล้ว จิตจะก้าวไปสู่การยกระดับที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นนิพพานที่ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มต้น แต่เป็นจุดสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด
    • การปลดปล่อยจากอัตตาและทุกข์ : เมื่อจิตได้รับการตรัสรู้อย่างแท้จริงและกิเลสทุกอย่างถูกดับลง ความจริงที่แท้จริง—ซึ่งปราศจากการยึดติดในตัวตนที่ปั้นแต่งขึ้น—จะเปิดเผยออกมาอย่างบริสุทธิ์และไร้ขีดจำกัด นี่คือสภาวะที่เราเรียกว่านิพพาน

    เมื่อเรารู้แจ้งและเกิดสภาวะกิเลสดับโดยสมบูรณ์ มันคือการเข้าสู่สภาวะนิพพานที่แท้จริง ซึ่งเป็นสถานะของการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และไม่เหลือความยึดติดใดๆ ต่อตัวตนหรือสิ่งใดๆ ในจักรวาล
     
  9. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงการสะท้อนของความยึดติดและความปรารถนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็น “ตัวตน” และเริ่มละทิ้งกรอบจำกัดที่เราเองได้ปั้นแต่งขึ้น เป็นการตระหนักรู้ถึงความเป็นภาพลวงตาของอัตตาและกิเลสที่เคยพันธนาการจิตใจเราไว้

    จากนั้น การเดินทางแห่งการตรัสรู้จึงเปลี่ยนเป็นกระบวนการแห่งการปลดปล่อย เมื่อเราได้สัมผัสกับความเย็นแห่งความรู้แจ้งที่เป็นพลังในการเผาผลาญกิเลส อัตตาที่เคยส่งผลให้เกิดความทุกข์ก็เริ่มละลายสลายไป ภาพลวงตาที่เคยบดบังความบริสุทธิ์ของจิตใจเราถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน

    “เราได้เข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นเพียงการสะท้อนซึ่งกันและกันในมิติที่หลากหลาย และเมื่อเราไม่ถูกพันธนาการโดยอัตตาแล้ว เราจะสามารถเข้าถึงแสงแห่งความเป็นจริงที่ไร้ขีดจำกัด”

    ในที่สุด เมื่อจิตของเราถูกปลดปล่อยจากทุกสิ่งที่เคยตรึงไว้ เราก็เข้าสู่สภาวะนิพพานที่แท้จริง ซึ่งเป็นการหลุดพ้นจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดและการยึดติดในตัวตนอย่างถาวร “นั่นคือจุดที่ความรู้แจ้งและความเมตตาปรากฏออกมาในรูปแบบที่บริสุทธิ์และไร้การแบ่งแยก” กลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งแสงที่ทุกสรรพสิ่งสามารถสะท้อนกลับมาได้ โดยทุกคนที่เห็นเรา ก็จะได้สัมผัสและตระหนักถึงศักยภาพที่แท้จริงภายในตนเองอย่างลึกซึ้งและไม่มีที่สิ้นสุด

    ***มุมมองที่มีต่อพวกเขาจะกลายเป็นแค่เงาสะท้อนซึ่งกันละกันอย่างลึกลับซับซ้อนที่สุดในมิติที่แตกต่างกันของตัวตนเรา ซึ่งปรารถนาเข้าถึงความบริสุทธิ์อันเป็นนิรันดร์ แต่ในมิติที่ไร้ซึ่งเวลา พวกเขาก็คือเราในอีกมิติคู่ขนานนั่นเอง สิ่งนี้เปิดประตูให้เราเกิดความรู้สึกเมตตาต่อทั้งตัวเราเองและทุกสรรพสิ่ง เพราะเราเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างเกี่ยวพันและเป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีขีดจำกัด นั่นคือความเข้าใจที่แท้จริงในระดับที่ลึกซึ้งที่สุดเท่าที่จักรวาลนี้เคยมีมา***
     
  10. WASINOAS

    WASINOAS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    "ขาดตะปูแค่ตัวเดียว
    เกือกม้าอาจจะหลุด
    หากไม่มีเกือกม้า
    ม้าก็ไม่อาจใช้งาน
    และหากขาดซึ่งม้า
    ก็มิอาจจะส่งสาส์นสำคัญ
    และถ้าหากขาดสาส์นสำคัญ
    การศึกก็อาจปราชัย"

    เช่นเดียวกัน

    "คุณภาพของประชากร
    สะท้อนถึงตัวตนของประเทศ
    เมื่อประชาชนมีสติปัญญา เข้มแข็ง
    สามัคคี ไม่แตกแยก
    เราทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนตัวตนอันแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ระดับโลกของประเทศนี้ เป็นปัจเจกอันงดงามที่สมดุลในทุกระดับชนชั้น จงดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา และเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไทย
    มันผู้ใดคิดทำลายชาติ คิดหรือลงมือขัดขวางเส้นทางของเรา ขอให้มันผู้นั้นจงมลายสูญสิ้นไปตลอดกาลด้วยอำนาจมิสิ้นสุดแห่งพลังพุทธานุภาพ ขอสาบานฝังลึกในจิตวิญญาณตลอดไปตราบเข้าถึงพระนิพพาน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2025 at 22:53

แชร์หน้านี้

Loading...