เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ วัดท่าขนุนของเราก็มีนาคฝึกฝนเพื่อรอการบวชอยู่ ๕ รูปด้วยกัน

    คราวนี้นาคทั้งหลายต้องเข้าใจก่อนว่า การบวชนั้นเท่ากับว่าเราลงทุนเพื่อหนีนรก เพราะว่าทันทีที่บวชเข้ามา ขาข้างหนึ่งก็แหย่ลงนรกไปแล้ว จึงเหลือทุกวิถีทางที่เราจะต้องสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เพียงพอที่จะหนีนรกให้พ้น..! เนื่องเพราะว่าการบวชนั้น แม้ว่ามีอานิสงส์มาก แต่ถ้าผิดพลาด ก็มีกรรมมากเช่นกัน อย่างเช่นว่า ถ้าเราเป็นฆราวาส ทำบุญ ๑๐๐ ครั้ง อาจจะเทียบเท่ากับตอนเป็นพระเราทำแค่ครั้งเดียว เพราะว่าต้นทุนของเราสูงกว่า

    ชีวิตฆราวาส เรามีศีลแค่ ๕ ข้อ แต่พระเรามีศีล ๒๒๗ ข้อ คนลงทุน ๕ ล้าน กับคนลงทุน ๒๒๗ ล้าน ถ้าได้กำไร คนลงทุน ๒๒๗ ล้านต้องได้มากกว่าแน่นอน แต่ถ้าขาดทุน คนลงทุน ๒๒๗ ล้าน ก็ขาดทุนย่อยยับมากกว่าเช่นกัน..!

    ดังนั้น
    ..การบวชจึงไม่ใช่การมาพักผ่อน ไม่ใช่การมาทดลอง หากแต่ว่าเป็นการเสี่ยงด้วยอนาคตของตัวเอง ว่าจะ "ขึ้น" หรือว่า "ลง" เท่านั้น ตรงกลางไม่มี แม้ว่าช่วงนี้เรื่องของมรรคผลยังไม่พ้นสมัย ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำ โอกาสที่จะได้เป็นพระอริยเจ้าก็ยังมีอยู่เป็นปกติ แต่เครื่องถ่วง เครื่องขวาง ก็มีมากเป็นปกติเช่นกัน

    สมัยก่อนนั้น แสง สี เสียง ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าไปเสพเสวยมีไม่มาก หลวงตามหาบัวท่านเล่าให้กระผม/อาตมภาพฟังว่า รุ่นของท่าน พวกไมโล โอวัลตินนี่..ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่กระป๋องหน้าตาเป็นอย่างไรยังไม่เคยเห็นเลย..! น้ำปานะที่ฉันเป็นประจำก็คือ ต้มบอระเพ็ด ขมปี๋ กลืนลงไปวันนี้อีกสามวันยังขมติดคออยู่เลย..! แล้วถามว่าฉันไปทำไม ? ก็เพื่อป้องกันมาลาเรีย แต่ยุคสมัยของเรา จะฉันอะไรมีทั้งนั้น

    สมัยหลวงตามหาบัวอาจจะนึกหน้าของไมโล โอวัลตินไม่ออก แต่รุ่นของท่านนี่ ไม่ว่าจะชาบู หมูกระทะ มีให้ฟุ้งซ่านทั้งหมด..! ก็แปลว่าเราต้องต่อสู้กับกิเลสที่มากขึ้นหลายเท่า โดยที่ต้นทุนของเรามีแค่ศีล ๒๒๗ ข้อเท่ากัน สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราจะสร้างสมาธิเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ? ถ้าสร้างเพิ่มขึ้นได้ ความมั่นคงก็มีมากขึ้น ความหวั่นไหวต่อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็จะมีน้อยลง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    อย่างที่กระผม/อาตมภาพไปเมืองจีนมา การแสดงของบรรดานักแสดงชาวทิเบต นักแสดงผู้หญิงแต่ละคน ชุดที่เขาใส่เหมือนกับไม่ได้สวมอะไรเลย เพราะว่ารัดรูปมาก แล้วแต่ละคนก็ฝึกฝนจนกระทั่งรูปร่างของตนเองนั้น ต้องบอกว่าถูกตาถูกใจผู้ชายเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะมองเลยไปจากรูปร่างที่ตาเห็น ก็คือปัญญาไม่ถึง เราก็จะติดอยู่แค่นั้น แล้วราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะกำเริบทันที

    เนื่องจากพวกนักแสดงนั้นเดินเฉียดกระผม/อาตมภาพไป ชนิดเอื้อมมือแตะถึง เพราะว่าเวทีของเขาสามารถหมุนรอบได้ สามารถแยกส่วนให้นักแสดงเดินผ่านไปได้ แล้วกระผม/อาตมภาพนั่งอยู่หมายเลข ๑
    เวลาเวทีแยกออกก็อยู่ริมทางเดินของเขาเลย ยังเป็นห่วงดร.พระครูโรจน์ กับพระครูสมุห์ต้นไม้ ว่าจะฟุ้งซ่านไปอีกกี่วัน ?

    เรื่องของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่จะมาชวนให้เราฟุ้งซ่าน ถ้าในชีวิตฆราวาสไม่เป็นไร เพราะว่าฟุ้งแล้วก็สามารถที่จะไปเสาะหามาได้ แต่เป็นพระ ฟุ้งแล้วทำอะไรไม่ได้ อกจะแตกตาย..!

    กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบว่า ชีวิตฆราวาสกับกิเลส เหมือนกับเอาเราไปปล่อยไว้ในป่ากับเสือตัวหนึ่ง บางทีเดินทั้งวันไม่เจอเสียตัวนั้นเลย แต่ชีวิตของพระ เขาเอาเราไปขังไว้ในกรงแคบ ๆ กับเสือตัวนั้น โดนเสือฟัดอยู่ทุกวัน เนื่องเพราะว่าพระเราโดนตีกรอบด้วยศีล ๒๒๗ ข้อ ขยับไปทางไหนก็ติดกรอบ ออกไปไม่ได้ เหมือนกับอยู่ในที่แคบ ต้องอึดอัดขัดข้องไปหมด สิ่งที่เคยทำได้ตอนเป็นฆราวาส ตอนนี้ทำไม่ได้ทั้งนั้น เราจึงต้องใช้ความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างยิ่ง

    โบราณเขาถึงนิยมให้ลูกผู้ชาย "บวชก่อนเบียด" ก็คือก่อนจะมีครอบครัวให้ไปบวชเสียก่อน ๑ พรรษาเป็นอย่างน้อย ถ้าเราสามารถทนอยู่ได้ในกรอบของศีลเป็นเวลา ๓ เดือนได้ แปลว่าเรามีวุฒิภาวะ หรือว่าความอดทนเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้แล้ว เมื่อสึกหาลาเพศไป ก็สามารถที่จะมีครอบครัวได้

    แต่คราวนี้ พวกเราทั้งหลายที่โดนกิเลสไล่ฟัดอยู่ทุกวัน ก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งที่นิ่งนอนใจ หลวงตามหาบัวท่านใช้คำว่า "เหมือนกับหมูพาดเขียง" ก็คือไม่รู้ว่าจะถึงที่ตายเมื่อไร หมูเดินมาเห็นเขียง เอ้า..น่าหนุนนอน ก็นอนเอาหัวพาด..หลับสบาย..!

    เรื่องของการบวชไม่ใช่เรื่องยาก มีพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด พระอันดับ ครบตามจำนวนที่พระพุทธเจ้าอนุญาต เราก็บวชได้แล้ว แต่บวชแล้วเราจะเป็นพระภิกษุได้อย่างที่พระองค์ท่านต้องการนั้นยากสุด ๆ ต้องสู้กันชนิดเอาชีวิตเข้าแลก..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    โดยพระสายวัดป่าท่านใช้คำว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" อยากได้ดีต้องสู้ยันตาย แต่ถ้าสู้แบบคนไร้ปัญญาก็ตายฟรี..! จึงต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ทำอย่างไรที่จะรักษาสถานภาพความเป็นภิกษุของเราให้อยู่รอด ไม่ใช่ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ถ้าลักษณะนั้น อย่าบวชมาเลย ลงนรกเสียเปล่า ๆ..!

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านมีจิตสำนึกว่าเราบวชมาเพื่อละกิเลส มีสมณสัญญา ระลึกรู้ว่าตอนนี้เราเป็นพระภิกษุสามเณร ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา เพราะว่า กาย วาจา ใจ ของเรา จะดำเนินไปในกรอบของศีล ของสมาธิ ของปัญญา แต่ถ้าขาดความรู้สึกตัว ลืมความตั้งใจว่าเราบวชมาเพื่อละกิเลส ก็จะกลายเป็นบวชมาเพื่อสะสมกิเลส..!

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเจอมามากต่อมากด้วยกัน แรก ๆ ก็ตั้งใจทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อวัดวาอาราม นาน ๆ ไปก็ออกนอกแนวทาง กลายเป็นบำรุงบำเรอตัวเองให้มีความสุข ต้องอยู่กุฏิดี ๆ ต้องมีห้องนอนดี ๆ ต้องติดเครื่องปรับอากาศ บางท่านรู้สึกภูมิใจมาก นิมนต์กระผม/อาตมภาพเข้าไปดูยันห้องนอน แค่ผ้าม่านรอบห้องนอน กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าราคาเกินแสน..! แล้วซักเองไม่ได้แน่นอน ต้องจ้างเขา มีความจำเป็นอะไรที่เราต้องไปทำถึงขนาดนั้น ?

    ถ้าท่านทั้งหลายดูกระผม/อาตมภาพ จะเห็นว่าในห้อง แม้กระทั่งพัดลมยังไม่เอา ไม่ต้องพูดถึงเครื่องปรับอากาศ มีก็เสียคาอยู่ตรงนั้นแหละ..! เพราะไม่เคยใช้ ถ้าหากว่าเราทำตัวสบาย เราจะลำบากในภายหน้า เพราะว่าเรื่องของธรรมะ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ต้องอดทน อดกลั้น ต่อสู้ฟันฝ่าทุกวิถีทาง แต่ถ้าเราทำตัวลำบาก หนทางข้างหน้าจะง่ายขึ้น เพราะว่าความลำบากเหล่านี้ เราพบมาด้วยตนเองแล้ว

    จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพ
    อยากจะเตือนท่านทั้งหลายที่ตั้งใจจะบวชเข้ามา ให้รู้ว่าเรากำลังลงทุน แล้วมีโอกาสลงนรกมากกว่าถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิต ถึงจะมีโอกาสรอดไปได้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ถ้าท่านทั้งหลายเคยไปตำหนักพระยายมราช ปากทางก่อนที่จะเข้าเขต เขามีราวผ้าไว้สำหรับนักบวช ถึงเวลาให้ถอดจีวรพาดเอาไว้ก่อน แล้วค่อยเข้าไปให้พระยายมราชท่านตัดสิน เชื่อไหมว่าราวเหล็กใหญ่ขนาดลำตาล จีวรพระภิกษุสามเณรพาดจนแอ่นติดพื้นเลย..! แล้วท่านยังคิดว่าจะเอาตัวรอดได้ง่าย ๆ หรือ ?

    กระผม/อาตมภาพโดนโยมแม่รบเร้าให้บวช ตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๑๐ กว่าขวบ แต่ปฏิเสธมาตลอด เพราะเห็นในนรกว่ามีนักบวชอยู่จนแน่นไปหมด เหมือนกับเปิดกล่องไม้ขีด แล้วเห็นหัวไม้ขีดอย่างไรอย่างนั้น..! อยากจะบอกให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ผู้ที่บวชเข้ามา ร้อยละ ๙๘ - ๙๙ ลงข้างล่างหมด แต่เดี๋ยวจะเสียกำลังใจ ไม่กล้าบวช ก็เลยบอกแค่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์..!


    ในเมื่อตัดสินใจบวชมาแล้ว ก็ต้องสู้ให้เต็มที่ อย่างที่โบราณเขาว่า "เราก็ชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน" ดูสิว่าถ้าสู้กันยันตายไปข้างหนึ่ง กิเลสหรือว่าเราจะชนะกันแน่ พูดง่าย ๆ ว่าแพ้ก็ต้องแพ้อย่างที่คนดูประทับใจ ไม่ใช่แพ้ชนิดที่เขาโห่รอบเวที..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...