ปกิณกธรรมสัปดาห์วันวิสาขบูชา วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๖ (ช่วงเช้า)

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ยังสงสัยว่าทำไมพวกเราทำอะไรกันช้ามาก ? เพราะเมื่อครู่นี้อาตมาฉันเสร็จแล้วยังไปทำงานอีกตั้งเยอะ แถมยังล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวใหม่ด้วย ส่วนพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย อมขี้ฟันมาด้วย..!

    ของพวกนี้เป็นเรื่องที่ฝึกได้ เพียงแต่ว่าการฝึกหัดทุกอย่างระยะแรกต้องลำบาก หลังจากนั้นถึงจะสบาย เพราะว่าฝึกไปนาน ๆ ก็จะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา เป็นความเคยชิน ซึ่งถ้าเป็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่าเป็น "ฌาน" ก็คือทำจนชิน ทำจนชินเกิดความหนักแน่นทรงตัว ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง บาลีถึงได้เรียกว่า ฌาน มาจาก ฌานัง ความเพ่ง คือใจจดจ่ออยู่ที่เดียว

    ทุกวันนี้พวกเราส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่พอเลี้ยงกิเลส..! เหตุที่ใช้คำว่าไม่พอเลี้ยงกิเลส ก็เพราะว่าเราทำ ๆ ทิ้ง ๆ ส่วนที่จะพึงใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ ก็เลยโดนกิเลสเอาไปกินหมด

    พอพวกเราภาวนาไปกำลังใจเริ่มทรงตัว มีกำลังขึ้น แทนที่จะไล่ตีกิเลสให้ถอยไปหรือให้พ่ายแพ้ไปเลย เรากลับเลิก ไปทำอย่างอื่นแทน ให้กิเลสร่าเริงใหม่ ประมาณว่ากลัวกิเลสจะเศร้าหมอง..เราเป็นคนมีเมตตา..!

    เมื่อกิเลสเอากำลังของเราไปใช้งาน ก็เลยสามารถที่จะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐานเป็นการเป็นงาน ฟุ้งอย่างชนิดที่เอาไม่อยู่ ก็เกิดจากพวกเราปฏิบัติธรรมแล้วเอาไปเลี้ยงกิเลสนี่แหละ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    (โยมถวายยา) เอามาทำอะไร ? บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม..อาตมาไม่เคยเป็นเลย..! เหตุที่ไม่เคยเป็นเลยเพราะว่า ระหว่างฉันอาหารจะไม่ดื่มน้ำ ทำแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว เพราะมีความเข้าใจในเรื่องธาตุในร่างกายของเรา

    พอถึงเวลาร่างกายรับอาหารลงไป ก็จะส่งไฟธาตุมาเพื่อย่อยสลายอาหารนั้น ๆ ไปให้เป็นประโยชน์ เราก็เทน้ำกลืนลงไป..ดับไฟเสียเกลี้ยงเลย พออาหารไม่ย่อย ก็ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารเป็นพิษ ซึ่งเกิดจากเราทำตัวเอง ภาษาหมอสมัยใหม่บอกว่า ร่างกายส่งน้ำย่อยมา แล้วเราก็ดื่มน้ำลงไปมาก ๆ ทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารไม่ได้

    อาตมภาพอายุ ๖๔ ปีเต็ม กำลังย่าง ๖๕ ปี ไปให้หมอตรวจ เส้นเลือดหัวใจยังไม่มีตีบ ยังไม่มีตันสักเส้นหนึ่ง หมอถามว่า "หลวงพ่อทำอย่างไร ?" ไม่ได้ทำอะไรเลย อาจจะเป็นแค่กินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติธรรมหรือทำงานให้มากเข้าไว้ พอถึงเวลาร่างกายใช้พลังงานจนหมด ไม่เหลือไขมันไปอุดหัวใจ ในเมื่อไม่เหลือไขมันไปอุดหัวใจก็ไม่เหลืออะไรไปพอกตับด้วย

    ตอนนี้กำลังรอว่าเมื่อไรไขมันจะพอกพุงขึ้นมาสักที เห็นเขาบวชกัน ๒ พรรษา ๓ พรรษา..อ้วนปี๋แล้ว นี่ผ่านมาจะ ๔๐ พรรษาแล้วยังไม่ได้อะไรเลย น้ำหนักก่อนบวช ๖๓.๕ กิโลกรัม บวชมา ๓๗ ปีกว่า น้ำหนักอยู่ที่ ๖๑ กิโลกรัม ของเก่ายังไม่ได้คืนเลย..!

    สองเดือนแรกที่อดข้าวเย็น น้ำหนักหายฮวบไป ๙ กิโลกรัม บวชผ่านไป ๒๐ ปี ได้คืนมา ๒ กิโลกรัม..! เฉลี่ยว่าสิบปีได้มากิโลฯ เดียว ถ้าเป็นกิจการนี่เจ๊งแน่นอน..!

    หลังจากนั้นก็โดนหมอบังคับให้กินแล้วนอน กินแล้วนอน กินแล้วนอน จ่ายยาให้กินแล้วนอนหลับอย่างเดียว ได้น้ำหนักมา ๔ กิโลกรัม รวม ๆ แล้ว ๓๐ ปีได้น้ำหนักมา ๖ กิโลกรัม แต่หายไป ๙.๕ กิโลกรัม จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ของเก่าคืนมาเลย

    มีอยู่วันหนึ่ง "เฮ้ย ๖๓ แล้ว..! อีกครึ่งกิโลฯ เท่านั้น" ที่ไหนได้..ตอนนั้นเพิ่งจะดื่มน้ำลงไป ๑ ลิตร ในมือยังถือหนังสือเล่มใหญ่อยู่กับด้วแล้วขึ้นไปชั่ง ปรากฏว่าพอเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพเรียบร้อยออกมาชั่งใหม่เหลือ ๖๑ ตามเดิม..! ไม่น่าเชื่อว่าจะขึ้นมาได้ตั้ง ๒ กิโลกรัม..!

    เขาบอกว่าผู้ชายความสูงให้ลบ ๑๐๐ จะเป็นน้ำหนัก แปลว่าอาตมภาพยังขาดอยู่ ๑๑ กิโลกรัม ส่วนผู้หญิงให้เอา ๑๑๐ ไปลบจะเป็นน้ำหนัก อย่างเช่นว่าผู้หญิงสูง ๑๖๐ น้ำหนักก็จะแค่ ๕๐ กิโลกรัม..ห้ามเกินนั้น ถ้าเกินถือว่าเป็นการอวบระยะสุดท้าย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    (พระอาจารย์ทักชื่อโยมที่มาทำบุญใส่ขัน) หลายคนเขาสงสัยว่าใส่หน้ากากอนามัยเห็นแค่ลูกตาจำได้ด้วยหรือ ? รู้ไหมว่าคนเราจะแก้ไขอะไรก็ได้หมด ยกเว้นลูกตา ระยะห่างของดวงตาของแต่ละคนแก้ไม่ได้ คุณจะไปทำตาสองชั้น สี่ชั้นอย่างไร ตาก็ห่างกันแค่นั้น

    หลายต่อหลายคนน่าเสียดายมาก เราต้องเข้าใจคำว่า "รูปธรรม นามธรรม" ก็คือสิ่งที่เป็นเรา เกิดจากบุญกรรมที่เราทำมาในชาติก่อน ๆ ที่เขาเรียกว่า "บุญทำกรรมแต่ง"

    คราวนี้พอถึงเวลาเราก็ไปให้หมอศัลยกรรมหน้าให้ เจ๊งมาเยอะแล้ว ผู้หญิงบางคนจมูกใหญ่ นั่นแสดงออกซึ่งอำนาจ สามารถปกครองคนมาก ๆ ได้ แล้วก็ไปตัดปีกจมูกเหลือแหลมเปี๊ยบอยู่นิดเดียว ต่อให้มีลูกน้องเป็นร้อยก็หนีหมด เพราะว่าตัวเองไปตัดทิ้งเอง..!

    เราต้องศึกษามหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ กับอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการของพระพุทธเจ้า แต่ละอย่างของพระองค์ท่านได้มาเพราะสร้างบุญสร้างกรรมอะไรไว้ แล้วจะได้รู้ว่าเรื่องของนรลักษณ์ หรือโหงวเฮ้ง หรือว่าปุริสลักษณะ ก็คือเรื่องที่เกิดจากบุญจากกรรมที่เราทำมาทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น..แก้ไขให้ตายก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่ควรแก้ไขก็คือความประพฤติ กาย วาจา ใจ ของตัวเอง ไม่ใช่ไปเสริมดั้ง ไปกรีดตาสองชั้น ไปทำปากนกแก้ว นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากเจ็บตัวและเสียเงิน..!

    แล้วก็ไม่ใช่ไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนชื่อให้ตายถ้าไม่เปลี่ยนความประพฤติก็ไม่ช่วยอะไรได้ เพราะว่าการกระทำทุกอย่างยังเหมือนเดิม

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครรู้สึกว่าตัวเองดวงตก มีแต่สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น อยากจะเสริมดวง ให้รีบรักษาศีล เจริญภาวนาเข้าไว้ นั่นคือวิธีเสริมดวงที่ถูกต้องและมั่นคงที่สุด
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ถ้า กาย วาจา ใจ ของเรามีแต่สิ่งดี ๆ ก็จะดึงดูดเอาสิ่งดีรอบข้างเข้ามา พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า "สรรพสิ่งอยู่ร่วมกันด้วยธาตุ" คำว่าธาตุในที่นี้ก็คือ คุณลักษณะที่เหมือนกัน

    พระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่สมาคมอยู่กับพระสารีบุตรหรือไม่ ?"
    พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีปัญญามาก"

    "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่สมาคมอยู่กับพระโมคคัลลานะหรือไม่ ?"
    พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในอภิญญา"

    "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นภิกษุทั้งหลายซึ่งสมาคมอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรหรือไม่ ?"
    พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในธรรมกถึก" คือชอบที่จะเป็นนักเทศน์

    เพราะฉะนั้น
    ..เรื่องของบุคคลหรือว่าสรรพสิ่งทั้งหลายดึงดูดกันด้วยธาตุ หรือว่าคุณลักษณะแบบเดียวกัน ถ้าเราทำแต่สิ่งดี ๆ เข้าไว้ เรื่องดี ๆ ก็จะเข้ามาหา ไม่ต้องเสียสตางค์ไป "โมฯ" หน้า ไม่ต้องเสียเวลาไปเสริมนม ทุกดีของมันเอง
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่คนเราส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่พอที่จะทำความดีด้วยตัวเอง
    บอกให้รักษาศีล "ไม่เอา..ยุ่งยาก ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ห้าม"
    บอกว่าให้นั่งภาวนา "ไม่มีเวลา"
    สู้ไปเปลี่ยนชื่อไม่ได้ พักเดียวจบ

    ที่ซวยจริง ๆ ก็เพื่อนอาตมานี่แหละ ไม่กี่วันก่อนไปเปลี่ยนชื่อมา เมื่อวานได้เลื่อนเป็นรองเจ้าคณะอำเภอ ตายห่..! ท่านต้องบอกคนอื่นแน่เลยว่าเปลี่ยนชื่อแล้วถึงจะดี

    ความจริงแล้วในเขตนั้นทั้งหมดท่านเป็นมหาเปรียญ ๙ ประโยคอยู่รูปเดียว ไม่มีคนอื่น จะเปลี่ยนชื่อหรือไม่เปลี่ยนชื่อ เจ้านายก็ต้องเอาท่านอยู่แล้ว ดันไปเปลี่ยนชื่อพอดีแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง เดี๋ยวได้พาลูกศิษย์เปลี่ยนชื่อกันหมดวัดแน่เลย..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ปกิณกธรรมสัปดาห์วันวิสาขบูชา
    ช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...