เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 มีนาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันที่สองของโครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ วันนี้ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘) เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านเดินทางมาเป็นวิทยากรบรรยายให้ในช่วงบ่าย

    พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านก็อายุกาลพรรษาถึง ๙๐ ปีแล้ว ช่วงสองปีที่ผ่านมาก็เจ็บไข้ได้ป่วยจนกระทั่งไม่สามารถที่จะรับกิจนิมนต์ที่ไหนได้ แต่เมื่อทราบว่ามีการปฏิบัติธรรมของเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้ง ๑๒๐ สำนัก ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ท่านก็เต็มใจที่จะมาบรรยายถวายความรู้ให้ โดยมีรถประจำตัวซึ่งมีบุคคลช่วยเข็นเข้ามาให้จนถึงกลางศาลา

    แม้ว่าหลวงปู่ท่านจะอายุกาลพรรษามาก แต่ด้วยความที่เคยทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ถึงระดับเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เคยเรียนบาลีจนสอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค และที่สำคัญก็คือท่านปฏิบัติธรรมแบบสัมมาอะระหังตามสายของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ

    เมื่อครั้งแรก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพจับได้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระกรรมฐาน แล้วกระซิบถามท่านว่า "ใช่อย่างที่กระผมว่าหรือไม่ ?" หลวงปู่ท่านตอบด้วยการเขกหัวให้โป๊กเบ้อเร่อ..! แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมา เจอหน้าเมื่อไรก็ได้มะเหงกเป็นรางวัล พร้อมกับกำชับว่า "เอ็งอย่าเที่ยวไปบอกใครเชียวนะ"

    งวดนี้เมื่อท่านทราบว่าเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหมดนั้นมาปฏิบัติรวมกัน ท่านก็อยากที่จะแนะนำแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานให้ จึงได้เมตตาเดินทางมาบรรยายถวายความรู้ โดยที่บอกกล่าวแก่เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหมดว่า ข้อใหญ่ใจความที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพวกเราก็คือ ให้สร้างกองบุญการกุศลจนกว่าจะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน บุญใหญ่ที่พระพุทธเจ้าสอนเราก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นั่นเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    โดยการที่เราจะพิจารณาว่าข้อธรรมคำสอนนั้นใช่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ? หลวงปู่ท่านให้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าให้เราทำนั้นเป็นของง่าย แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เราทำนั้นเป็นของยาก ดังนั้น..เราจึงควรที่จะทำของง่าย อย่าไปทำของยาก

    อย่างเช่นว่าการให้ทานนั้นเป็นของง่าย แต่การลักขโมยฉกฉวยช่วงชิงของคนอื่นนั้นเป็นของที่ทำได้ยาก การให้ทาน เรานึกอยากให้เมื่อไรเราก็ให้ได้เลย แต่การที่จะลักขโมยคนอื่นนั้น ต้องดูลู่ทาง ดูเวลาที่เหมาะสม ดูว่าเมื่อไรเจ้าของจะเผลอ ดูว่ามีคนและสัตว์เฝ้ารักษาหรือไม่ ? เป็นต้น

    หรืออย่างเช่นว่าพระองค์สั่งเราห้ามฆ่าสัตว์ การที่เราไม่ฆ่าสัตว์ก็คือไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพียงแต่งดเว้นการฆ่าเท่านั้น แต่ถ้าเราต้องไปฆ่าคน ไปฆ่าวัว ไปฆ่าควาย เป็นการกระทำที่ยากเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่พระพุทธเจ้าให้ทำจึงเป็นของง่าย สิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามทำจึงเป็นของยาก

    ที่สำคัญที่สุดสำหรับนักปฏิบัติก็คือให้เจริญเมตตาอยู่เสมอ เพราะว่าจิตใจของเราเหมือนกับปลา เมตตาเหมือนกับน้ำสะอาดที่ชุ่มเย็น ปลาสามารถอยู่อาศัยเจริญเติบโตได้ดี ถ้าหากว่าเราไปโกรธคนอื่น ก็กลายเป็นเอาน้ำเดือดมาใส่ใจ ปลาก็ย่อมจะต้องเดือดร้อนจนถึงขนาดตายไปเลยก็มี หรือว่าถ้าเราเกลียดคนอื่น ก็เอาน้ำเน่ามาใส่ใจ ปลาที่ไหนจะอยู่ได้นาน ? ท่านถึงได้เปรียบเอาไว้ว่า
    กำลังใจเหมือนกับปลา เมตตาเหมือนกับน้ำ ปลากับน้ำต้องอยู่ด้วยกัน จึงจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมได้ง่าย

    หลักการปฏิบัติธรรมก็ให้ยึดในแนวของโพชฌงค์ ๗ ก็คือประกอบไปด้วย สติสัมโพชฌงค์ ระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ในส่วนของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก อยากจะทำข้อไหนก็เลือกหยิบจับเอาข้อธรรมที่เราปฏิบัติได้ง่ายขึ้นมาแล้วลงมือทำ ซึ่งก็คือวิริยสัมโพชฌงค์ เมื่อพากเพียรทำไปก็จะเกิดปีติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มเอิบใจ แล้วประกอบไปด้วยปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็คือความสงบย่อมเกิดขึ้น

    สมาธิสัมโพชฌงค์ ความที่จิตใจตั้งมั่น ทำให้กิเลสแทรกแซงไม่ได้ก็เกิดขึ้น ก่อให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็คือการปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้ายทั้งในสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่ว เราก็จะสามารถดึงกำลังใจของเราให้ห่างไกลจากกิเลส ถ้าหากว่าห่างไกลออกมามาก ๆ ไม่ไปปรุงไปแต่ง ท้ายที่สุดก็จะส่งผลให้พวกเราทั้งหลาย สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ส่วนในเรื่องของการที่เรามาอบรมภาวนาอยู่ในที่นี้ ในเมื่อจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติภาวนาก็ว่าเรื่องสมาธิให้เต็มที่ไปเลย ไม่ว่าตั้งแต่การบริกรรม การที่เราเกิดนิมิต การที่เราเข้าสู่ปีติ การที่เราเข้าสู่องค์ฌาน ขอให้ทุกคนพยายามซักซ้อม ทำให้คล่องตัวเข้าไว้ เพราะว่าการที่เราจะเป็นผู้นำชาวบ้านนั้น เราจะต้องมีฤทธิ์ คำว่าฤทธิ์ในที่นี้ก็คือปฏิบัติธรรมจนเห็นผล

    ตรงจุดนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเจอหน้ากระผม/อาตมภาพทีไร มักจะบอกกล่าวแก่ผู้อื่นรอบข้างว่า ท่านไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง แม้ว่าคนจะเลื่องลือว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุงมีฤทธิ์เป็นที่อัศจรรย์ ในเมื่อท่านไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง ท่านไม่สามารถที่จะยืนยันได้

    แต่ว่าท่านดูจากลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหลายที่ออกมาอยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) แห่งวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ก็ดี ท่านเจ้าคุณองอาจ (พระภาวนาประชานุกูล วิ.) แห่งวัดวีระโชติธรรมารามก็ดี หลวงพ่อชลอ (พระครูสาครสิทธิวิมล) วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ก็ตาม หรือว่าหลวงพ่อวิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) วัดธรรมยาน และแกด้วย คำว่า "แกด้วย" ในที่นี้ก็คืออาตมภาพเอง

    ท่านจะบอกว่า ดูจากพวกแกก็รู้แล้วว่าหลวงพ่อท่านมีฤทธิ์แค่ไหน บุคคลที่ไม่มีฤทธิ์ไม่สามารถอบรมลูกศิษย์ประเภทนี้ออกมาได้ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อมีฤทธิ์ ไปอยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะเสริมสร้างสถานที่นั้นให้งดงาม เจริญขึ้นมาเหมือนกับเนรมิต คนไม่มีฤทธิ์สร้างลูกศิษย์แบบนี้ไม่ได้ ดังนั้น..ท่านจึงเชื่อว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีฤทธิ์จริง แม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสด้วยตนเองก็ตาม

    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหลวงปู่ท่านอายุถึง ๙๐ ปีแล้ว แต่ว่าสมองยังคงแจ่มใส ไม่มีการหลงลืม สามารถบรรยายเรื่องราวให้เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ฟังอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นผล เป็นวิธีการที่ง่าย ๆ ฟังแล้วเหมือนกับทำได้เลยในตรงนั้น หลวงปู่ท่านใช้เวลาไปถึง ๑ ชั่วโมง ๒๕ นาที แล้วท่านถึงได้สรุปจบและขออนุญาตลากลับไป
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เมื่อกระผม/อาตมภาพส่งหลวงปู่ท่านกลับแล้ว หันมาสอบถามบรรดาพระวิปัสสนาจารย์และผู้เข้าปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าจำได้บ้างหรือไม่ ว่าหลวงปู่ท่านเทศน์ท่านบรรยายเรื่องอะไรไป ? พระวิปัสสนาจารย์ท่านบอกว่าจำได้ ๑๐ นาทีแรก หลังจากนั้นแล้วก็สับสนไปหมด ส่วนบรรดาเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีใครรับว่าจำได้หรือไม่ได้

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องทบทวนเนื้อหาข้อใหญ่ใจความให้ท่านทั้งหลายได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะตรงจุดที่ท่านบอกว่า ให้แนะนำญาติโยมทั้งหมดสวดมนต์ภาวนา สรรเสริญคุณพระรัตนตรัยทุกวัน เพราะว่าคนเรานั้นเกิดมาก็ผูกกรรมกับกลุ่มบุคคลจำนวนมาก บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ทุกข์ไปด้วย อย่างเช่นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ เป็นต้น อีกคณะหนึ่ง ถ้าหากว่าท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็พลอยทุกข์ใจ อย่างเช่นว่าครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง อีกส่วนหนึ่งก็คือบุคคลที่เรารักมาก และเป็นครอบครัวของเรา อย่างเช่น สามีภรรยา บุตรหลาน เป็นต้น

    กลุ่มคนทั้งหลายเหล่านี้ผูกกรรมกับเรามา เราสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ขอบารมีพระช่วยสงเคราะห์ อย่าให้เคราะห์กรรมมาถึงท่านทั้งหลายเหล่านั้น เราจะได้ไม่ต้องทุกข์ใจ ถ้าหากว่าใครสามารถทำได้อย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ครอบครัวก็จะเจริญรุ่งเรือง มีความสุขความเจริญทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาก แค่แนะนำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นสวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เท่านั้น

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ง่าย สมัยก่อนพระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ท่านก็แนะนำญาติโยมทั้งหลายของท่านให้ปฏิบัติในลักษณะอย่างนี้ แต่ท่านบอกว่าให้สวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้องเท่าอายุ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเข้าใจดีว่า การที่บังคับให้สวดเท่าอายุ ก็เพื่อที่คุณภาพของจิตจะได้เป็นสมาธิมากขึ้น เพราะว่าต้องใช้ระยะเวลาในการสวดที่ค่อนข้างนาน กำลังสมาธิของเรายิ่งสูงเท่าไร ผลานิสงส์ที่จะพึงได้ก็มีมากเท่านั้น

    ในเมื่อผลานิสงส์มีมาก การส่งผลที่เป็นวิบากในด้านกุศลก็ย่อมมีมากไปด้วย จึงทำให้หลาย ๆ คนที่วิบากกรรมกำลังส่งผลอยู่นั้นพ้นจากวิบากกรรมทั้งหลายเหล่านั้นไปได้
    ด้วยการสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย บวกกับบทพาหุงฯ คือพระพุทธเจ้าชนะมาร ๘ บท และบทชยมงคลคาถา ที่เรียกสั้น ๆ ว่ามหากาฯ เพราะว่าขึ้นต้นด้วย มหาการุณิโก นาโถฯ

    ดังนั้น..บรรดาเจ้าสำนักทั้งหลายวันนี้ จึงได้รับเคล็ดลับต่าง ๆ จากหลวงปู่ท่านไป ถ้าหากว่านำไปฝึกฝน ขัดเกลา และสั่งสอนแก่ญาติโยม ถ่ายทอดแก่ญาติโยมต่อไป ก็จะทำให้สำนักของตนเองเจริญมั่นคงได้อย่างแน่นอน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...