การปฏิบัติธรรม เรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลการปฏิบัติจะเกิดขึ้นอย่างไร จะเกิดขึ้นเมื่อไร...แล้วแต่

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    13986DA9-E0B8-4FFB-A854-9A058D8F2556.jpeg

    มีญาติโยมที่ได้รับคำแนะนำในเรื่องของการปฏิบัติแล้วตั้งใจมากเกินไป หันกลับมาปฏิบัติแบบปล่อยวาง แล้วถามว่าเราจะได้อะไรจากการปฏิบัตินั้น ?

    ขอให้ทุกคนทราบว่าในเรื่องของการปฏิบัตินั้น เราจะหวังผลอย่างไรก็ตาม หรือว่าอยากได้ผลการปฏิบัติอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องก่อนการลงมือปฏิบัติ คือเราจะคิดเราจะอยากอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง แต่เมื่อตอนลงมือปฏิบัติ คือเริ่มเข้าสมาธิ นึกถึงลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา เราต้องลืมเรื่องความอยากหรือสิ่งที่จะได้จากการปฏิบัติไปเสีย

    พูดง่าย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลการปฏิบัติจะเกิดขึ้นอย่างไร จะเกิดขึ้นเมื่อไร...แล้วแต่ ก็คือไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น เพราะว่าถ้าเราอยากได้ว่าปฏิบัติแล้วต้องได้อย่างนั้น ต้องได้อย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แปลว่าสภาพจิตของเรากำลังฟุ้งซ่าน หาความสงบที่แท้จริงไม่ได้ ในเมื่อฟุ้งซ่านหาความสงบที่แท้จริงไม่ได้ เราก็จะพลอยไม่ได้ผลในการปฏิบัติไปด้วย

    จะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นพื้นฐานขั้นต้นของการปฏิบัติ แต่เราก็มักจะไม่ได้ศึกษากัน หรือว่าศึกษาตำราที่ไม่ได้เขียนถึงเอาไว้ จึงต้องเสียเวลามาสอบถาม เสียเวลาในการทำผิดทำพลาด ซึ่งถ้าช่วงเวลาที่เรายังทำผิดทำพลาดอยู่แล้วเกิดเสียชีวิตลงไป ก็เท่ากับว่าเราขาดทุน ไม่ได้ความดีในส่วนที่จะพึงได้ แต่ว่าในเรื่องของการศึกษาตำราก็ยังคงมีโทษ คือถ้าเราศึกษาเป็นแนวทาง ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าศึกษาแล้วไปยึดมั่นถือมั่น ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องได้อย่างนั้น ต้องได้อย่างนี้ ก็จะกลายเป็นโทษมากกว่าประโยชน์

    โดยเฉพาะศึกษาเรียนรู้แนวทางตามตำราไว้มาก ๆ พอถึงเวลาเราก็จะไปไล่ตามดูว่า ตอนนี้อารมณ์ใจของเราเป็นอย่างไร ตอนนี้การภาวนาของเราเป็นอย่างไร สิ่งใดที่กำลังเกิดขึ้น

    การที่เราไปตามจี้ในลักษณะนั้น สภาพจิตก็จะไม่รวมตัว เราเองก็ไม่สามารถได้ผลตอบแทนเบื้องต้นที่จะพึงได้ แล้วบางคนพอศึกษาไปแล้ว ก็เอาไปคุยกับคนอื่นเขา โดยจำตำราไปพูด ก็ยิ่งพาให้เสียหายมาก เพราะว่าเราเข้าไม่ถึงอารมณ์ของการปฏิบัติอย่างแท้จริง ได้แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น คาดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้

    ถ้าเราคิดว่า คาดว่า ได้ถูกต้อง ก็ถือว่าเสมอตัว แต่ถ้าผิด จะเป็นการสอนคนให้เป็นมิจฉาทิฐิ การเป็นมิจฉาทิฐินั้นมีโทษลงอบายภูมิอย่างเดียว เท่ากับว่าเราทำให้เขาจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ห่างไกลมรรคผลออกไปมากขนาดนั้น

    ดังนั้น...โทษของบุคคลที่สอนผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฐิ มีทางเดียวคือลงอเวจีมหานรก หรือถ้าสอนแล้วมีคนเชื่อตามปฏิบัติตามผิด ๆ เป็นจำนวนมาก ก็อาจจะลงถึงโลกันตนรก ฉะนั้น..ในการศึกษาตำราขอให้ศึกษาเพียงเป็นแนวทาง แต่อย่าไปเอาจริงเอาจังกับตำรามากนัก ให้ทุ่มเทกับการปฏิบัติ แล้วสิ่งที่เราศึกษามาก็จะช่วยให้รู้ว่า ลักษณะที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้ามัวแต่ไปยึดติดตำราอยู่ ก็จะเสียเวลาไปเปล่า ๆ โดยไม่ได้ผลตอบแทนอะไร

    ลำดับต่อไปก็ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
    วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...