เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 31 มกราคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ สิ้นเดือนอีกแล้ว ผ่านไป ๓ ปี ปีใหม่ฝรั่งคือคริสต์มาส ปีใหม่สากลคือวันที่ ๑ มกราคม แล้วปีใหม่จีนก็คือตรุษจีน ช่วงระยะเวลา ๑ เดือนกับ ๖ วัน ผ่านไป ๓ ปี

    พูดเล่น ๆ ให้คิดกันว่าเวลาล่วงเลยไปเร็วมาก ที่โบราณเขาบอกว่า


    เวลาและวารีไม่มีวันจะคอยใคร
    เรือเมล์และรถไฟก็ต้องไปตามเวลา
    เชื่องช้าและอืดอาดจักต้องพลาดปรารถนา
    พลาดแล้วจักโศกาอนิจจาเราช้าเอง

    หลายต่อหลายท่านที่ทำอะไรเชื่องช้า ประมาณ "เจ้าชายสายเสมอ" "เจ้าหญิงสายเสมอ" หรือไม่ก็ "คุณนายเชื่องช้า" ประเภทนั้นต้องบอกว่า "ยังต้องเกิดอีกนาน" ถ้าฟังแค่ว่ายังต้องเกิดอีกนาน บางทีก็ไม่รู้สึกอะไร แต่อย่าลืมว่าเกิดมาแต่ละชาติ เรามีความทุกข์ขนาดไหน..?!


    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับกีสาโคตมีเถรี ตอนที่ยังเป็นลูกสาวเศรษฐี อุ้มศพลูกตนเองตระเวนหาหมอรักษาให้ฟื้นว่า "น้ำตาจากความเศร้าโศกในการพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจของเธอทั้งหลายในแต่ละชาติ น้ำตาเหล่านั้นถ้ารวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุมรทั้ง ๔ เป็นไหน ๆ..!"


    ไม่ต้องคิดถึงมหาสมุทรหรอก เอาแค่สักโอ่งหรือถังเดียว ต้องร้องไห้กันขนาดไหนถึงจะได้มากขนาดนั้น ? แล้วต้องร้องมากี่ชาติ น้ำตาถึงจะมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ? ก็แปลว่า ความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหมดที่สั่งสมมา มากมายมหาศาลจนประมาณไม่ได้ ดังนั้น..ใครที่ยังต้องเกิดอีกนานก็คือต้องทุกข์อีกนาน..!


    "ทำไมบุคคลที่ปฏิบัติธรรมแล้วกำลังใจยิ่งเข้มข้น ยิ่งทำอะไรเร็วขึ้น ?" นั่นมาจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือปล่อยวางสิ่งรุงรังทั้งหลายทั้งปวงลงแล้ว เป็นผู้มีภาระหรือสิ่งที่ต้องสนใจน้อย ทำอะไรก็จะเร็วกว่าคนอื่น ประการที่สอง เกิดจากสภาพจิตที่ฝึกฝนขัดเกลาดีแล้ว ทำอะไรก็จะรวดเร็วและคล่องตัว และเป็นความเร็วที่ไม่ค่อยจะผิดพลาดอีกด้วย


    สมัยก่อนหลวงปู่บุดดา ถาวโร ช่วงที่ท่านยังอยู่ที่อาศรมฤๅษีขาว จังหวัดชัยนาท ไม่ได้อยู่ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข ท่านบอกว่า "บุคคลที่จะออกธุดงค์ด้วยกัน บารมีต้องเสมอกัน ถ้าบารมีไม่เสมอกัน จะไปด้วยกันไม่ได้"


    กระผม/อาตมภาพมาเจอด้วยตัวเอง เพราะว่าเพื่อนร่วมเดินทางกำลังใจไม่พอ ลำบากเข้าหน่อยก็ถอดใจ เดินเข้าป่าไปแล้ว ๓ วัน ๔ วัน ต้องเดินกลับมาส่ง ไม่อย่างนั้นอาจจะหลงป่าหรือโดนเสือลากไปรับประทาน..! จึงเห็นได้ชัด ๆ ว่าคนที่กำลังใจไม่เสมอกัน ไปด้วยกันไม่ได้ เพราะว่าทำอะไรช้าเร็วต่างกันมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แม้กระทั่งทุกวันนี้ เวลาพระเถระเจ้าคณะปกครองถามว่า "อาจารย์เล็ก/หลวงพ่อเล็ก ไปไหนไม่มีพระติดตามหรือ ?" ความจริงพระติดตามนี่เป็นระเบียบทางพระธรรมวินัยเลยว่า พระเถระพรรษาพ้น ๑๐ แล้วต้องมีพระอนุจร ผู้คอยติดตามไปถวายการรับใช้ กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ตอบไปว่า "ท่านตามผมไม่ทันครับ แทนที่จะมาดูแลผม กลายเป็นผมต้องไปดูแลท่านแทน..!"

    แม้กระทั่งญาติโยมทั้งหลายบางทีก็ถามว่า "ทำไมพระอาจารย์..ทำไมหลวงพ่อ..ไม่พาไปไหว้พระที่โน่นที่นี่บ้าง ? เพราะว่าเห็นวัดอื่นเขาทำกันทั้งนั้น" ก็ได้แต่ตอบไปว่า "โยมตามฉันไม่ทัน..!" แล้วกระผม/อาตมภาพเป็นคนที่ไม่รอใครเสียด้วย เคยทำสถิติถึงเชียงใหม่ - ลำพูนก็ทิ้งให้โยมกลับเองมาแล้ว ทุกคนขึ้นมารออยู่บนรถแล้ว ไอ้ที่เหลือยังช็อปปิ้งไม่เลิก ถ้าอย่างนั้นก็ช็อปปิ้งให้พอ แล้วค่อยหารถตามไปทีหลังก็แล้วกัน..!

    ประการต่อมาก็คือ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าวัดท่าขนุนของเรา แค่ทำตามระเบียบวินัยก็อยู่สบายแล้ว แต่ว่าญาติโยมจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ต่อให้แห่ลูกชายมากราบหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย เพื่อขอลาบวช แต่ก็จะไปบวชที่อื่น บอกว่า "อยู่วัดนี้ไม่ได้ เคร่งเกินไป" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่คิดว่า "ถ้ามึงเจอวัดอย่างที่กูเจอมา แล้วจะรู้ว่าที่เคร่งจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร ?!"

    แม้กระทั่งของที่โยมตั้งใจถวายแล้ว แต่ยังมาไม่ถึงมือ ถ้าเราไปจับ เขาปรับอาบัติเลยนะครับ แล้วของนั้นถือเป็นนิสสัคคีย์ เป็นของเสีย ห้ามรับประเคนใหม่ เหตุที่ต้องระมัดระวังถึงขนาดนั้น ก็เพราะท่านเกรงว่าเราเกิดเถยยจิตคิดจะขโมยขึ้นมา พระวินัยระบุไว้ชัดว่า สิ่งนั้นเคลื่อนออกจากฐานแค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม ถือว่ากรรมนั้นสำเร็จลง ถ้าวัตถุนั้นราคาได้ ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ทางพระธรรมยุตจึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

    สมัยที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (นิรนฺตรมหาเถร, ป.ธ. ๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เวลาท่านรับสังฆทาน ท่านถามแล้วถามอีก ถามโยมที่ถวายว่า "ให้แน่นะ" "ตัดใจได้แน่นะ" "ให้แล้วไม่เอาคืนนะ" จนกระทั่งโยมต้องรับปากโดยเด็ดขาดทุกอย่าง ท่านถึงได้บอก "เออ..ถ้าอย่างนั้นก็จะรับไว้" นั่นก็คือการปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยเพื่อรักษาตนเอง ด้วยความรักศีลของตน กลัวว่าศีลจะขาด ถ้าไปเอาของที่เจ้าของไม่ได้สละให้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    พวกเราเองรู้สึกว่าเราอยู่กันสบาย แต่คนอื่นอยู่แล้วจะอึดอัดใจ ท่านทั้งหลายที่เรียนนักธรรมชั้นตรีมาแล้ว อ่านในวินัยมุข เล่ม ๑ ก็จะเห็นว่า บุคคลที่ไม่ปฏิบัติในพระธรรมวินัยย่อมเกิดวิปฏิสาร คือความเดือดเนื้อร้อนใจเอง เพราะว่าศีลไม่เท่ากับเพื่อน ในเมื่อเดือดเนื้อร้อนใจเอง ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้ ท่านถึงได้เปรียบว่า พระธรรมวินัยนี้เปรียบเสมือนกับทะเล คลื่นทะเลย่อมมีปกติซัดซากศพเข้าสู่ฝั่งเสมอ

    เราทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งฆราวาสนักปฏิบัติธรรม เราต้องคอยระมัดระวังตัวเองไว้เสมอ อย่าให้พลาดแล้วกลายเป็นซากศพที่โดนซัดขึ้นสู่ฝั่ง ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นอย่างวันนี้ ที่พระภิกษุชื่อดังไปสารภาพกับเจ้าคณะปกครอง ในเรื่องที่ไปขี่เรือกล้วย ไปเล่นน้ำตก แล้วก็ต้องไปแสดงคืนอาบัติที่ทำอาการประหนึ่งฆราวาส

    การแสดงอาการประหนึ่งฆราวาส เขาปรับแค่ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัย คือโดนปาจิตตีย์เท่านั้น คำว่าโดนปาจิตตีย์เท่านั้น ถ้าหากว่าญาติโยมที่ไม่มีความรู้ทางพระธรรมวินัย ก็ไม่รู้ว่าหนักเบาแค่ไหน ? ก็คือเป็นอาบัติที่สามารถสารภาพผิด แล้วก็คืนความบริสุทธิ์ให้กับตนเองได้

    แต่คนเรามักจะเข้าใจผิด พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ว่า การแสดงคืนอาบัติเหมือนอย่างกับเราเป็นแผล เมื่อสารภาพบาป แผลนั้นหยุดการลุกลาม ก็คือไม่เน่าลามต่อไป แต่ถ้าพลาดอีกก็เป็นแผลอีก พลาดอีกก็เป็นแผลอีก คนที่มีแผลเน่าทั้งตัว ท่านถามว่าคนจะรังเกียจไหม ? ต่อให้คนไม่รังเกียจ เพื่อนพระก็รังเกียจ ดังนั้น..พวกเราจะทำสิ่งหนึ่งประการใดจึงต้องระมัดระวังอยู่เสมอ

    เมื่อวานนี้มีพรรคพวกส่งคลิปวิดีโอมาให้ พระภิกษุรูปหนึ่ง น่าจะเป็นอดีตนักฟุตบอลเก่า เดาะฟุตบอลเตะอัดกับกำแพงวัด ซ้ายขวา..ซ้ายขวา..! เก่งแล้วก็คล่องมาก มีการถ่ายคลิป หัวเราะกันสนุกสนาน กระผม/อาตมภาพถามคนส่งให้ว่า "ก่อนที่มันจะเตะฟุตบอลกับก่อนที่มันจะถ่ายคลิป มันเคยใช้หัวแม่ตีนคิดบ้างหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?" สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเล่นสนุกอะไร ก็ไม่ควรที่จะมีการถ่ายคลิปแล้วเผยแพร่ออกสื่อโซเชียล เพราะว่าเราเป็นพระภิกษุสามเณร เป็นปูชนียบุคคลที่คนเขาให้ความเคารพนับถือ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เหตุที่คนเขาให้ความเคารพนับถือ เพราะว่าเรามีความต่างจากเขาอย่างชัดเจน ต่างกันตรงไหน ? ต่างกันตรงศีลที่เรายึดถือและรักษาไว้เป็นเครื่องป้องกันตนเองนั้น มีมากกว่าญาติโยมหลายเท่า "ถ้าทุกอย่างเหมือนกันหมด แล้วคนที่ไหนเขาจะมาเคารพนับถือเรา ?" คิดง่าย ๆ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสิ่งนั้นควรทำหรือว่าไม่ควรทำ

    แต่กิเลสก็มักจะชักชวนเราอยู่เสมอ ประมาณที่โบราณเขาบอกว่า "สึกก็อยากสวด บวชก็อยากร้อง" ตอนเป็นพระขี้เกียจสวดมนต์ ทำวัตรนี่ไม่ค่อยอยากจะมา ต้องแคะตัวเอง ไม่ค่อยอยากจะหลุดจากเตียง ตอนสึกหาลาเพศไปดันสวดมนต์ ส่วนตอนเป็นฆราวาส รู้ว่าตนเองเสียงแย่ยิ่งกว่าเป็ดตัวผู้ ไม่อยากจะร้องเพลงให้ใครได้ยิน แต่ตอนเป็นพระดันเผลอร้องเพลงไปได้..!

    จึงเป็นเรื่องของการที่เราเผลอสติเมื่อไร ก็จะไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่สมกับเพศภาวะของตน แล้วผลเสียไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว แต่ว่าเสียหายถึงวัดวาอาราม เสียหายถึงครูบาอาจารย์ เสียหายถึงคณะสงฆ์ ท้ายสุดก็เสียหายถึงพระพุทธศาสนา

    แล้วบุคคลสมัยนี้ล้วนแล้วแต่ "สิงห์คีย์บอร์ด" แต่ละคอมเมนท์ล้วนแล้วแต่แสบสันทั้งหลาย โดยเฉพาะ "กูเลิกไหว้มานานแล้ว" "เพราะเหตุนี้แหละที่กูไม่นับถือศาสนา" ฯลฯ แล้วแต่จะว่ากันไป

    เชื่อหรือไม่ว่าถ้าสืบสาวย้อนหลังไป ไอ้ห่..พวกนี้ไม่เคยเข้าวัดหรอก แต่กูคอมเมนท์เอามันไว้ก่อน ประมาณว่ากูเป็นคนดี ถ้าสามารถเหยียบหัวนักบวชขึ้นไป กูยิ่งดีเด่นเข้าไปใหญ่ จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะระมัดระวังว่า อย่าให้กาย วาจา หรือใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น เพราะว่าตนเองเสียหายยังไม่พอ สิ่งที่แย่ที่สุดคือเสียหายถึงพระพุทธศาสนา

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...