เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 มกราคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีเรื่องภายในวัดของเราเอง ก็คือแม่ชีศิริมงคล จันทรัศมี เส้นเลือดในสมองแตก ไปให้หมอดูแลอยู่ที่โรงพยาบาลทองผาภูมิ แต่คราวนี้เมื่อแจ้งให้กับญาติแล้ว ทางด้านลูกสาวมา แต่เหมือนกับว่าไม่อยากเฝ้าไข้แม่ชี แล้วก็ไม่อยากที่จะเซ็นรับรองให้หมอผ่าตัด ซึ่งถ้าหากว่าคิดกันแบบปุถุชนทั่ว ๆ ไป ก็คือกลัวว่าภาระทั้งหมดจะตกเป็นของตนเอง..! ซึ่งเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเกิดกับตัวเองเมื่อไร ถ้าไม่ใช่คนที่ทำใจได้จริง ๆ ก็อาจจะน้อยใจลูกหลาน ถึงขนาดซึมเศร้า ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ไปเลย..!

    เรื่องพวกนี้อยากจะบอกกับพวกเราว่า ในชีวิตกระผม/อาตมภาพ ๖๔ ปีที่ผ่านมา เห็นมานักต่อนักแล้วว่า ลูก ๆ ทำอย่างไรกับพ่อแม่ตัวเอง เมื่อถึงเวลาแล้ว ลูกของตัวเองมักจะทำแบบนั้นคืนมาหลายเท่า..! เห็นมาจนขี้เกียจจะนับ

    ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้นดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ดูแลแม่อยู่ ๓ ปี ตอนที่ดูแลก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องของความกตัญญูกตเวทีอะไรหรอก เป็นภาระที่คนในบ้านเขาโยนให้ ตอนดูแลพ่อ บรรดาพี่ ๆ เขาใช้เหตุผลว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดซึ่งยังไม่ได้ทำงาน" เพราะว่ายังเรียนหนังสืออยู่ เมื่อมาถึงแม่ เขาก็ให้เหตุผลว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน"

    ตอนนั้นก็คิดเหมือนกันว่าทำไมพี่ ๆ เขาเอาเปรียบเราขนาดนี้ ? แต่ว่าหลังจากที่ได้ทำหน้าที่ไปแล้ว ก็เกิดความภาคภูมิใจว่า ในขณะที่คนอื่นต้องหาโอกาสในการตอบแทนคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา แต่ตัวเราเองไม่ต้องหาโอกาสเลย ก็ได้ทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะดูแลพ่อจนตายคามือ ๖ ปีเต็ม ๆ ไม่ได้นอนเต็มตาแม้แต่คืนเดียว..! เพราะว่าโยมพ่อเป็นโรค น่าจะเป็นโรคประเภทพาร์กินสัน เพราะว่ามือท่านจะสั่นอยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าหากว่าไม่ได้นวดให้คลายตัว แค่ ๓ นาที ๕ นาที ก็เหมือนกับว่ามีกล้ามเนื้อจะแข็งเกร็ง แล้วปวดทรมานมาก จนต้องนวดกันทั้งคืน..!

    แต่คราวนี้ด้วยความที่เป็นเด็ก เริ่มวัยรุ่น ก็คือเพิ่งจะเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ต้องบอกว่าอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ต่อให้ตั้งใจทำหน้าที่ขนาดไหนก็ตาม บางเวลาก็เพลียจนไม่ไหว ได้ยินเสียงพ่อเรียก เหมือนดังมาจากสุดขอบโลก พยายามตั้งสติ กว่าที่จะลุกขึ้นมาได้ บางทีพ่อเขาก็เรียกอยู่นานจนบรรดาพี่ ๆ เขาทนไม่ไหวก็เข้ามา ก็พอดีกระผม/อาตมภาพตั้งสติได้ก็ลุกขึ้น คราวนี้ไม่ใช่ไม้ก็มือ ก็จะประเคนลงมาเลย..! พร้อมกับเสียงด่าว่า "พ่อเรียกอยู่แทบตายมึงไม่ลุก พอกูมาแล้วลุกเชียว..!" โดนแบบนี้อยู่บ่อย ๆ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แต่ว่าก็ไปได้ดีตอนเรียนหนังสือ เพราะว่าง่วงจนทนไม่ไหว จึงยกมือขออนุญาตครูว่า "ขออนุญาตนอนครับ" ครูในสมัยนั้นรู้สภาพครอบครัวของลูกศิษย์ทุกคนเป็นอย่างดี จึงบอกว่า "อนุญาตให้นอนได้ แต่วิชาของครู..เธอห้ามตกนะ..!" กระผม/อาตมภาพจึงต้องพยายามเงี่ยหูฟังในสิ่งที่ครูสอน เพราะว่าถ้าได้ยินก็จะจำได้

    ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝึกกรรมฐานอยู่ ก็คือต้องฝึกให้หลับหรือตื่นต้องมีสติเท่ากัน กลายเป็นว่าระยะเวลาหลายปีนั้น เป็นการฝึกซ้อมกรรมฐานที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังฝึกซ้อมกรรมฐานอยู่ รู้อยู่อย่างเดียวว่าครูเมตตาให้เรานอนในห้องได้ วิชาของครูเราจะต้องสอบได้ แล้วก็ไม่เคยตกจริง ๆ มีแต่ได้ที่ ๑..!

    เมื่อมาถึงคิวของโยมแม่ ต้องบอกว่าแม่เป็นคนมีกรรมเอาเรื่องทีเดียว เพราะว่าครั้งแรกก็ผ่าตัด ทั้งไส้ติ่ง ทั้งกระเพาะอาหาร แล้วก็มาโดนรถชน ๒ ครั้ง ครั้งที่หนักที่สุดก็คือรถชนครั้งแรก กระดูกด้านซ้ายมือ ตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นมาจนถึงซี่โครงหักหมดทุกชิ้นเลย เป็นเรื่องของวาระกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าโยมแม่อยู่ห่างจากถนนสิบกว่าเมตร..! แต่เนื่องจากว่าถนนสมัยก่อนเป็นถนนที่ค่อนข้างแคบ ต้องบอกว่า ถ้ารถวิ่งสวนกันก็เกือบ ๆ จะไม่พ้น

    พอดีกับที่บริเวณนั้นเป็นท่าจอดรถ บขส.ก็คือรถเมล์สีส้ม ปรากฏว่าคันหนึ่งจอดซ้าย คันหนึ่งจอดขวาพอดิบพอดี รถของหลวงพ่อประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดปทุมทองสุทธาราม ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะรีบไปไหน วิ่งมาเร็วจนเบรกไม่อยู่ ต้องหักหลบลงข้างทาง จึงกลายเป็นราชรถไปเกยโยมแม่เข้า..!

    คนที่อยู่ห่างถนนขนาดนั้น โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วว่าจะมี แต่วาระกรรมก็ทำให้มีจนได้ จึงต้องรับดูแลโยมแม่อยู่ตลอด ๓ ปีเต็ม ๆ กว่าที่ท่านจะเดินได้ตามปกติ ตอนหลังโดนมอเตอร์ไซค์ในซอยชนซ้ำเข้าไปอีก แต่ว่าตอนนั้นมีคนอื่นดูแล เพราะว่ากระผม/อาตมภาพบวชไปหลายพรรษาแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในเรื่องของพ่อแม่นั้น ไม่ต้องคิดอะไรเลย ต่อให้คลอดออกมาแล้วโยนเราทิ้งไปเลย มีคนอื่นเก็บไปเลี้ยงเราโตขึ้นมา ท่านก็มีบุญคุณในการให้ชีวิต ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ เราก็เกิดมาไม่ได้..!

    ดังนั้น..ต่อให้พ่อแม่ทอดทิ้งไม่เลี้ยงดู หรือว่าอะไรก็ตาม ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะมาเกลียดชังพ่อแม่ เป็นเรื่องที่พวกเราเองต้องมีจิตสำนึกด้วยตัวเอง เรื่องนี้คนอื่นบอกกล่าวไม่ได้ หลายต่อหลายคนเกลียดพ่อเกลียดแม่ตัวเอง เพราะว่าพ่อแม่บางทีก็ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยอธิบาย เห็นทำผิดก็ลงโทษเลย แต่ว่าในปัจจุบันนี้พ่อแม่จำนวนมากก็ทำให้ลูกเสียคน เพราะว่าเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ก็คือเลี้ยงลูกเป็นเพื่อน

    ขอให้พวกเราเชื่อว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่โบราณว่ามา เป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกแล้ว มีโอกาสเป็นความจริงเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น..ที่โบราณบอกว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าหากว่าเด็กดื้อไม่ฟัง ไม่ใช่ไปปล่อยเอาไว้

    ถ้าไปปล่อยเอาไว้แล้ว ก็จะเกิดประมาณว่า "ลูกเทวดา" หรือว่า "เด็กนรก" อย่างที่คนสมัยนี้เขาเรียกกัน เพราะว่าเด็ก ๆ ถ้าหากว่าไม่สั่งไม่สอน แม้กระทั่งบรรดาญาติโยมที่มาวัดประจำของเราก็มี ก็คือไม่สั่งไม่สอน ไม่บอกไม่กล่าวอะไรลูกตัวเองเลย ปล่อยให้ทำอะไรตามใจ จนกระผม/อาตมภาพเองต้องดุแทนไปหลายต่อหลายครั้ง

    ความจริงเด็กเป็นคนว่าง่ายมาก บอกไปเขาก็รู้จักแก้ไข แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าแม่คิดอะไรอยู่ ไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้ลูกงมด้วยประสบการณ์ตัวเอง ซึ่งโอกาสทำผิดทำพลาดมีเยอะมาก แล้วข้อผิดพลาดบางอย่างก็อันตรายถึงชีวิต อย่างเช่นว่าขึ้นไปบนยอดเขาพระพุทธเจติยคีรี แล้วก็ไปนั่งบนรั้วกันตก นั่นพลาดนิดเดียวก็เป็นอันว่าได้สวดได้เผากันเลย..!

    ดังนั้น..ส่วนใหญ่แล้วในยุคปัจจุบันนี้เด็กที่เสียเพราะการเลี้ยงของพ่อแม่มีเยอะมาก ก็เพราะว่าไม่กล้าลงโทษลูกของตัวเอง กระผม/อาตมภาพดัดนิสัยเด็กมามากต่อมากแล้ว เพราะว่าเลี้ยงเด็กมา ๓๒ คน เนื่องจากว่าเป็นครอบครัวคนจีน เขาต้องการลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง มีพี่อยู่ ๘ คน เขาหาหลานมาให้ ๓๒ คน..! ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้มีอีกเท่าไร แต่ว่าหลานนั้นหาเหลนมาให้เยอะมากแล้ว เหตุที่ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้มีเท่าไร ก็เพราะว่ามาบวชเสียก่อน ก็เลยจบลงแค่ ๓๒ คน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เด็กบางคนถึงเวลาร้อง จะเอาให้ได้อย่างใจก็แผดเสียงลั่นบ้าน กระผม/อาตมภาพใช้วิธี "ตีถวายเจ้า" มาแล้ว ตีอย่างชนิดที่คนเป็นพ่อเป็นแม่นั่งน้ำตาไหล ตีจนเด็กร้องจนหมดเสียง แล้วก็เอาน้ำให้กิน กินเสร็จแล้วตีต่อ บอกว่า "ให้ร้องดัง ๆ อยากฟัง" โดนเข้าไปครั้งเดียวเข็ดไปตลอดชีวิต ไอ้ประเภทแผดเสียงลั่นบ้านนี่ไม่มีอีกเลย..!

    เพียงแต่ว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นมีแต่เมตตากรุณา แต่ขาดอุเบกขา ในเมื่อขาดอุเบกขา ไม่กล้าลงโทษลูกของตัวเอง ก็จะตกอยู่ในแง่ "พ่อแม่รังแกฉัน" แล้วเด็กสมัยนี้ ในเมื่อไม่ได้เรียนในเรื่องของหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ห่างวัดห่างวา เรื่องของความกตัญญูกตเวทิตาก็ไม่ต้องไปพูดถึง

    ต่อให้ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียนตำราทั้งหลายเหล่านี้อยู่ บรรดาลูก ๆ ที่เห็นแก่ตัวก็ยังคงทำตัวน่าเกลียดน่าชัง พอพ่อแม่โอนสมบัติให้ก็ทิ้งเลย ปล่อยให้ไปหากินเอง ปล่อยให้ไปตายที่วัด จนกระทั่งหลายรายต้องฟ้องร้องเพื่อเรียกสมบัติคืน

    เรื่องพวกนี้แม้แต่ในธรรมบท คือในพระไตรปิฎกก็มี จนกระทั่งเขามาผูกเป็นประโยคว่า "ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู" เพราะอย่างน้อย ๆ ไม้เท้าก็ช่วยพยุง ช่วยค้ำไม่ให้ล้ม ช่วยป้องกันอันตรายอย่างเช่นว่าหมาจะกัด เป็นต้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของผู้ที่จะมีจิตสำนึกในการดูแลพ่อแม่ แม้ว่าจะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม เป็นเรื่องที่หายากมาก เป็น ๑ ในวัตรบท ๗ ประการ ที่จะทำให้บุคคลสามารถดำรงตำแหน่งพระอินทร์ ที่เป็นเทวราชาของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นได้ แล้วบุคคลประเภทนี้ต้องปฏิบัติวัตรบท ๗ ประการตั้งแต่ต้นจนสิ้นชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องออกจากจิตจากใจจริง ๆ

    ดังนั้น..บุคคลที่จะเกิดเป็นพระอินทร์ได้จึงหายากมาก จนถึงระดับยากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าลูกสาวของแม่ชีจะปฏิเสธภาระในการดูแลแม่ตัวเอง ถ้าไม่มีใครดูแลจริง ๆ ทางวัดก็ดูแลไป จนกว่าแกจะล้มหายตายจากไปเองก็แล้วกัน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...