เสียงธรรม 'กบในหม้อน้ำอุ่น' / พระอาจารย์ชยสาโร

ในห้อง 'ธรรมเทศนาทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 30 กันยายน 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : ตัณหา กับ ฉันทะ

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Jul 18, 2022
    ความอยากที่เป็น ‘ตัณหา’ และความอยากที่เป็น ‘ฉันทะ’ แตกต่างกันอย่างไร?
    ความอยากที่เกิดจากหรือเกิดพร้อมกับอวิชชา ความไม่รู้ ความไม่เห็นตามความเป็นจริง ท่านให้ชื่อว่าตัณหา ตัณหามี ๓ อย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา กามตัณหาคืออยากได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ถูกใจที่ชอบ ภวตัณหา อยากมีอยากเป็น คืออยากมีชื่อเสียง อยากมียศ อยากมีอำนาจ อยากให้เขารัก อยากให้เขาเคารพ อยากให้เขารู้จัก มันเป็นความอยากที่เกี่ยวกับอัตตา ตัวตน วิภวตัณหา คือไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ เหมือนการปฏิเสธ ตัณหาเกิดเมื่อไรความยึดมั่นถือมั่นที่ให้ชื่อว่าอุปาทานก็จะเกิดขึ้นตรงนั้น แล้วก็จะนำไปสู่ความทุกข์ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ทุกข์เกิดเพราะตัณหา ตัณหาเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะอวิชาหรือเกิดพร้อมกับอวิชชา ความอยากที่เกิดขึ้นเพราะวิชชา ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง หรือไม่เกี่ยวกับอัตตาตัวตน ไม่เกิดกับความบันเทิงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เรียกว่าเป็นฉันทะ ซึ่งข้อสังเกตง่ายๆ ก็คือ ฉันทะก็จะมุ่งที่การกระทำ โดยที่ตัณหามุ่งที่ผลการกระทำ ฉันทะอยากทำให้ดี หรือว่าได้ข่าวว่ามีใครเดือดร้อน มีความทุกข์ อยากช่วยเขา อันนั้นก็เรียกว่าเป็นฉันทะ อยากทำ อยากทำสิ่งที่ดีที่งาม ที่เป็นประโยชน์ อยากฝึกตน ฉันทะกับตัณหามันสลับกันได้ บางคนอาจจะเริ่มทำอะไรบางอย่างด้วยตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่พอทำไปทำมา จิตเป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้นได้ ในขณะเดียวกันบางทีอาจจะทำงานหรือว่าอาจจะปฏิบัติธรรมด้วยฉันทะ แต่ว่าเผลอไปแล้วตัณหาเข้ามาครอบงำ อยากได้สมาธิ อยากได้ฌาน อยากได้ญาณ อยากได้นั่นอยากได้นี่ พอมาปฏิบัติโดยมุ่งที่ผลของการปฏิบัติมากกว่าตัวการปฏิบัติ อันนี้ก็จะเป็นตัณหา ตัณหากับฉันทะ สรุปง่ายๆ ว่า ตัณหานี่มุ่งที่ผลการกระทำ ฉันทะก็อยู่ที่การกระทำ ตัณหาเกิดจากอวิชชา ฉันทะเกิดจากวิชชา
    พระอาจารย์ชยสาโร


     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : วิญญาณทำอะไรเราได้บ้าง

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Jul 25, 2022
    วิญญาณคืออะไร คำว่าวิญญาณมีสองความหมาย วิญญาณในความหมายของพุทธธรรม และวิญญาณในความหมายของภาษาไทย เอาวิญญาณในความหมายทางพุทธธรรมก่อน นั้นหมายถึงความรู้ ที่เกิดขึ้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เราได้ยินเสียง อันนั้นก็เป็นวิญญาณ วิญญาณหนึ่ง เราเห็นรูป ก็เป็นวิญญาณ เราได้กลิ่นอะไรสักอย่างก็เป็นวิญญาณ เป็นเรื่องความรู้ที่เกิดขึ้น ความรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สลับกัน หมุนๆ ไป ทำให้รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียว เหมือนกับอันไหนที่มันหมุนๆ มันจะดูเป็นวงกลม ที่จริงมันก็ไม่ใช่ เพราะมันหมุนเร็ว มันจึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งเดียวกัน วิญญาณในความหมายทางภาษาไทย ก็คือผี ผีก็อยู่ในกลุ่มอมนุษย์ สิ่งที่มีชีวิตแต่ไม่ใช่มนุษย์ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ผู้มีเมตตาอยู่ในใจ เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปเถียงกันว่า ผีมีจริงหรือไม่มีจริง ซึ่งอาตมาว่ามีจริง แต่คนที่เห็นนี่ส่วนมากไม่จริงหรอก มันเป็นเรื่องอุปทานเสียส่วนใหญ่ แต่ว่าข้อนี้ไม่ต้องเถียงกันดีกว่า แต่ขอให้ทราบง่ายๆ ว่า ถ้าเรามีเมตตาธรรม เราจะเป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย และไม่ต้องกลัวว่าจะมาทำร้ายเรา แล้วถ้าผีไม่มีจริง เราก็มีเมตตาธรรมก็ได้กำไร ผีมีจริงหรือไม่มีจริง เจริญเมตตาภาวนานี่ได้กำไรชีวิตมหาศาล ก็อยากให้ถือนี่เป็นหลัก การที่เรากลัวผีกันมาก กลัววิญญาณกันมาก มักจะเป็นเพราะสัญญาที่ได้จากการดูละคร ดูการ์ตูน ดูอะไรต่ออะไร เรื่องนิทานต่างๆ เป็นเรื่องของสัญญา ความทรงจำ ขอให้รู้เท่าทันสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆ รู้เท่าทันแล้วก็ปล่อยวาง

    พระอาจารย์ชยสาโร
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : เล่นเกมเป็นสมาธิไหม

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Aug 1, 2022

    เด็กติดเกม เล่นเกมอย่างตั้งใจ ถือเป็นสมาธิไหม หากไม่ใช่ จะทำอย่างไรให้กลายเป็นสัมมาสมาธิ?
    สมาธิแนวพุทธก็ต้องอยู่ในบริบทของไตรสิกขา มีศีลเป็นฐาน แล้วเป็นสมาธิที่นำไปสู่ปัญญา การที่จิตใจจะอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ โดยไม่คิดจะทำอย่างอื่น อันนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นสมาธิ ไม่มีคุณสมบัติของสมาธิ ในความหมายของพุทธธรรม การที่จิตหมกหมุ่นหรือว่าหลงอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันก็ไม่ใช่สมาธิ เพราะขาดสติ ขาดหิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป ขาดสัมปชัญญะ รู้ว่ากำลังทำอะไรเพื่ออะไรอยู่ ที่กำลังทำอยู่เหมาะสมไหม อะไรเป็นต้น คือขาดปัญญานั่นเอง ผู้ที่เล่นเกมเป็นชั่วโมงๆ ได้ทั้งคืนนี่ พอออกจากสมาธิก็ไม่มีผลดีต่อจิตใจเลย ไม่ทำให้เบิกบาน ไม่ได้ทำให้จิตใจมีสุขภาพ มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ สมรรถภาพ ที่ดีขึ้นเลย มันคนละเรื่องกับสัมมาสมาธิ
    สัมมาสมาธิเป็นผลของการเจริญสติและสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่อง สติสัมปชัญญะต่อเนื่องทำให้มีอาการตั้งมั่น ผ่องใส เบิกบาน สงบ มีกำลัง ควรแก่งาน คือการใช้ปัญญา สัมมาสมาธิจะเกิดจากการเจริญสติในรูปแบบอย่างที่เราเรียกว่า ทำสมาธิ เดินจงกรมด้วย และการดูกาย ดูใจ การรักษากาย วาจา ใจ ในชีวิตประจำวันไปด้วย อยู่ที่การปลีกวิเวกออกจากสิ่งวุ่นวายเป็นระยะๆ เพื่อจะได้ทำแบบเข้มข้น มันเป็นเรื่องทั้งชีวิตเลย ต้องกาย ต้องวาจา ใจ ต้องสอดคล้องกันไปในทางเดียวกัน มันจึงจะเป็นสัมมาสมาธิได้
    พระอาจารย์ชยสาโร

     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2022
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : ช่วงสุดท้ายของชีวิต

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Aug 8, 2022
    ถ้ามีอาการเจ็บปวดในร่างกาย ควรปฏิบัติภาวนาอย่างไร เพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับช่วงสุดท้ายของชีวิต?


    เริ่มต้นด้วยการฝึกจิตไม่ให้กลัวความลำบากทั่วๆ ไป เพราะการที่เราจะทนหรือจะตั้งสติ จะไม่ให้จิตใจเป็นทุกข์กับเวทนาทางกาย ก็เริ่มจากการฝึกจิตกับความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน คือไม่ให้จิตไปยุ่งกับมัน ไม่ให้จิตไปหดหู่เพราะความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ในจิตใจ ทำให้จิตใจเราเข้มแข็ง
    เมื่อมีความเจ็บปวด มีโรคประจำตัว หรือว่าเกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเป็นโรคร้ายแรงอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เราควรจะจำไว้ก็คือ เวทนานั้นมี ๒ ส่วน ส่วนประกอบทางกายก็มี ซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก อันนั้นเรียกว่าเป็นกรรมเก่าก็ได้ แต่สิ่งที่เราแก้ได้ ป้องกันได้คือปฏิกิริยาทางจิตใจต่อเวทนาทางกาย ซึ่งประกอบด้วยความกลัว ความรังเกียจ ความวิตกกังวล ความน้อยใจสารพัดที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก จนกระทั่งคนทั่วไปที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
    แต่ถ้าเราตั้งสติให้ดี ฝึกจิตให้ดี เราก็สามารถแยกอาการทางกายกับอาการทางใจ สามารถปล่อยวางอาการทางใจ ปรากฏว่าความทรมานหายไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้เราโล่งใจ เราจึงได้รู้ว่า ถ้าเราดูแลจิตใจเราก็มีหลักในการปฏิบัติต่อทุกขเวทนาที่เราจะได้ใช้ได้ตลอดชีวิต ในจนกระทั่งวาระสุดท้าย
    การยอมรับการไม่รังเกียจ ไม่ให้เกิดสิ่งที่พระเราเรียกว่า วิภวตัณหา ในขณะที่เกิดทุกขเวทนานั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะสนใจฝึก เพราะถ้าฝึกได้ ปล่อยวางความรู้สึกที่เป็นอกุศลต่อเวทนาที่ไม่ชอบได้ ก็เป็นกำไรชีวิตอย่างมหาศาล
    พระอาจารย์ชยสาโร

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : ทุกข์หนัก

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Aug 15, 2022
    ในช่วงเวลาที่เรากำลังมีความทุกข์มาก ทำสมาธิก็ฟุ้งซ่านมาก จะวนเวียนคิดแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ ทำอย่างไรจึงจะทำให้จิตใจกลับมาเบิกบาน มีความสุขได้อีกครั้ง? ถ้าจิตเป็นทุกข์แล้ว แล้วคิดจะทำสมาธิเพื่อจะได้ลืมความทุกข์ เพื่อจะพ้นทุกข์ชั่วคราว แต่ก็จะเป็นความคิดที่นำไปสู่ความคับข้องใจพอสมควร เพราะมองสมาธิเป็นผลที่เราต้องการ ก็กลายเป็นการปฏิบัติด้วยตัณหา ถ้าเราสังเกตเห็นว่าความคิดปรุงแต่ง ความฟุ้งซ่านต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจเราทุกข์เหลือเกิน เราก็ใช้เครื่องมือ ใช้ข้อวัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้าก็ค่อยๆ ขัดเกลา ซึ่งการทำความเพียรเพื่อปล่อยวาง อันนี้ตัวนี้ที่เป็นตัวบุญ ตัวกำไร ก็ไม่ต้องเอาผล คือความสงบเป็นหลัก เอาการทำความเพียร ถ้าเราทำความเพียรความพยายามอย่างต่อเนื่อง เราจะค่อยๆ ได้ผล

    แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่านวุ่นวาย ไม่อยากให้ฟุ้งซ่านวุ่นวาย อยากให้มันสงบอยากให้มันเป็นอย่างใจ อันนี้ความคิดอย่างนั้นไม่ใช่ทางออกจากปัญหา แล้วเป็นสิ่งที่จะทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเราดูเหตุปัจจัยของความทุกข์ความเดือดร้อน คิดว่าเดี๋ยวนี้เราทำอะไรได้ ที่จะทำให้มันลดน้อยลง ควรจะทำอย่างไร
    ความเบิกบานใจมันก็จะเกิดขึ้นได้ มันก็แล้วแต่กรณีแล้วแต่บุคคล อย่างเช่น มันเป็นปัญหาเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะการกระทำของตัวเอง หรือเกิดเพราะการกระทำของคนอื่น มันเป็นปัญหาเรื่องทางศีลธรรม เป็นปัญหาอย่างไร ถ้าไม่มีรายละเอียดเราก็ตอบในรายละเอียดไม่ได้
    แต่ขอให้ทราบว่าการทำสติ การฝึกสติ ก็เป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด เพราะจิตที่ขาดสติมีทางเลือกน้อย จิตที่ตั้งสติมีทางเลือกมาก การที่จะรู้เท่าทัน ที่จะจับประเด็น ที่จะเริ่มแก้ไขทุกอย่าง มีเงื่อนไขสำคัญก็คือการตั้งสติ ก็ไม่ต้องเอาถึงสมาธิหรอก เอาการฝึกสติ ให้การตั้งสติเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก ล้มแล้วก็ลุก ล้มแล้วก็ลุก ล้มแล้วก็ลุก ล้มแล้วก็ลุก ในที่สุดแล้วก็จะได้พ้นจากปัญหา
    พระอาจารย์ชยสาโร
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    พิธีบำเพ็ญกุศลสำหรับ คุณจูน ชิเวอร์ตัน โยมแม่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมพัชรญาณมุนี

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    3 hours ago
    พิธีบำเพ็ญกุศลสำหรับ คุณจูน ชิเวอร์ตัน โยมแม่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมพัชรญาณมุนี วันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น.

     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : ความสามัคคี

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    เราจะสร้างความสามัคคีในกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างหรือขัดแย้งกันได้อย่างไร? ความแตกแยกมันมักจะเกิดในหมู่คณะหรือว่าในกลุ่มทำงาน มันก็จะมี หนึ่งเพราะตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น สอง เพราะความยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเห็น หรือว่าเพราะทิฐิมานะ ซึ่งเราต้องระมัดระวัง

    ในการที่จะป้องกันปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องอื่นไกล ก็เป็นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มต้นด้วยการกระทำต่อกันและกันด้วยความเคารพ ด้วยความเรียบร้อยด้วยความสำรวม และเรื่องการพูดการแสดงออกก็ให้เป็นสุภาษิต พูดความจริง เป็นประโยชน์ ถูกกาลเทศะ พูดด้วยความหวังดี พูดอย่างสุภาพอ่อนน้อม แล้วก็ระมัดระวังเรื่องมิจฉาวาจา โดยเฉพาะการนินทาลับหลัง อันนี้จะเป็นตัวร้ายมาก
    ก่อนจะกล่าวถึงคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้า ก็ควรจะถามตัวเองว่า ถ้าเขาอยู่ตรงนี้จะพูดไหมคำนี้ จะกล้าพูดต่อหน้าไหม แล้วถ้าไม่กล้าพูดต่อหน้าต้องถามตัวเองต่อว่า แล้วพูดทำไม เพื่ออะไร
    บางทีมันก็จำเป็นจะต้องกล่าวถึงความไม่ดีหรือพูดเรื่องคนอื่นในสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ แต่เราก็ต้องมีความชัดเจน ความมั่นใจว่าพูดด้วยความหวังดี ถ้าพูดด้วยความต้องการจะยกตนข่มท่าน หรือจะสร้างความแตกแยกในรูปใดรูปหนึ่ง อันนี้ว่า ไม่สมควรพูดอย่างยิ่ง
    ในขณะเดียวกันการที่เราจะปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพนับถือ จะพูดกันด้วยปิยะวาจา วาจาที่น่ารักน่าฟัง มันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจเราด้วย การที่เราฝึกสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ในการที่เราเจริญเมตตาภาวนา ในการเจริญความอดทน ที่สำคัญก็มีปัญญาคอยเรียนรู้เรื่องเหตุปัจจัยของความเจริญ เหตุปัจจัยของความเสื่อม เราก็ถือว่าการทำงานยังสมานสามัคคี นั่นก็เป็นเป้าหมายสำคัญของการทำงาน นอกเหนือจากผลงานที่วัดได้ หรือที่เป็นผลผลิตที่สำคัญข้อหนึ่งที่วัดไม่ได้ ก็คือความรู้สึกต่อกันและกันอยู่ในกลุ่มทำงาน
    พระอาจารย์ชยสาโร

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : ต่างศาสนา

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Sep 5, 2022
    เราจะสามารถอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างศาสนาได้อย่างไรโดยไม่รู้สึกขัดแย้ง?

    ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร เพราะว่าเราถือว่าเราทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาอะไรก็แล้วแต่ ที่จริงดูประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ก่อนหน้านี้ความสามัคคีในสังคมไทยนี่เป็นที่น่าชื่นชม อย่างพระผู้ใหญ่เล่าถึงสมัยก่อนในปักษ์ใต้ ชาวพุทธ ชาวอิสลามนี่สมานสามัคคีกันดีมาก เวลาชาวพุทธจะสร้างโบสถ์ เพื่อนชาวอิสลามมาช่วยกันสร้าง เวลาจะสร้างมัสยิด ชาวพุทธก็ช่วยกันสร้าง ไม่ถือว่าศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาเรา ให้ในการที่เราไม่ถือว่า การขึ้นสวรรค์หลังตาย ขึ้นอยู่กับความเชื่อในคัมภีร์ แต่เราเชื่อว่าการขึ้นสวรรค์ ขึ้นอยู่กับคุณงามความดี ฉะนั้นถ้าชาวพุทธแต่ไม่มีคุณงามความดีอยู่ในตัว ก็ไม่ขึ้นสวรรค์เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นชาวคริสต์ ชาวอิสลาม แล้วก็ไม่มีศาสนา แต่ถ้าเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขาก็มีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์ได้เหมือนกัน ในเมื่อชาวพุทธเราไม่มีอุดมการณ์ในการที่จะบังคับหรือที่จะชักชวนให้คนที่นับถือศาสนาอื่นหันมาเป็นพุทธ พุทธเราก็อยู่กับใครก็ได้ เราก็ไม่เป็นปัญหา แต่เขาจะเป็นปัญหากับเรานี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนทุกคน ถ้าเราเป็นพุทธแล้ว เราควรจะรักศาสนาของตัวเอง อย่าเพิ่งทิ้งศาสนาของตัวเองง่ายๆ ทุกวันนี้ถ้าคนไทยชาวพุทธไปแต่งงานกับคนต่างศาสนา ส่วนมากจะทิ้งศาสนาตัวเอง ซึ่งอาตมาไม่เห็นด้วยในข้อนี้นัก อาตมาว่าถ้ารักกันได้ เราก็น่าจะอยู่ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน เคารพในศาสนาและความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันได้ ฉะนั้นในความเมตตาต่อกัน ความเคารพต่อกันและกัน การคำนึงถึงสิ่งที่เหมือนกันมากกว่าสิ่งที่แตกต่างกัน ก็ถือว่าเป็นหลักที่เราจะอยู่ร่วมกันได้
    พระอาจารย์ชยสาโร
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    อัศวินเขียว / พระธรรมเทศนาพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ

    hiphoplanla
    Mar 5, 2013
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ถ่ายทอดสด : พระธรรมเทศนา 'โกหกใหญ่' บ้านบุญวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๕

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    ถ่ายทอดสด : บ้านบุญวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๕ ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070
    ธรรมละนิด : พระกับเพลง

    ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
    Sep 19, 2022
    ทำไมพระถึงไม่ควรฟังเพลง?

    ก็มีเหตุผลหลายประการ ประการแรกก็คือ เวลา คือพระเป็นผู้ที่ต้องมุ่งมั่นต่อการศึกษา การปฏิบัติ การเผยแผ่ธรรม เพราะฉะนั้นกิจกรรมอันไหนที่ไม่เหมาะกับสมณะ ไม่เหมาะกับผู้ที่ออกจากโลกเพื่อความเจริญทางธรรม เราก็ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยว เพราะถือว่าเป็นการเสียเวลา สอง สมณะหรือว่านักบวชเป็นผู้ที่มีหน้าที่พิสูจน์ให้โยมเห็นว่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสุขกับสิ่งบันเทิงต่างๆ ก็ยังมีความสุขได้นะ ความสุขที่เกิดจากปฏิบัติธรรม การศึกษาและการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคำพูดของพระท่านจะมีน้ำหนัก ในเมื่อท่านเองก็ทำเป็นตัวอย่าง แต่ถ้าท่านก็ โอย...ไม่ต้องฟังเพลงก็ได้ ไม่ต้องไปเสียเวลา แต่ท่านเองก็ชอบฟัง คำพูดของท่านก็คงไม่มีน้ำหนักเท่าไร ทีนี้ในการปฏิบัติเราแบ่งความสุขออกเป็น ๒ ประเภท เรียกว่า อามิสสุข กับ นิรามิสสุข อามิสสะ แปลว่า อามิส คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ได้ความสุขจากการเห็นสิ่งสวยงาม การได้ฟังเพลงอันไพเราะ เป็นต้น อันนี้เรียกว่าได้ความสุขเพราะอามิส เพราะรูปเป็นอามิส เพราะเสียงเป็นอามิส แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม เราฝึกจิตให้พ้นจากสิ่งเศร้าหมองในจิตใจ จิตใจพ้นจากนิวรณ์ ความสุขอีกแบบหนึ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่ความสุขจากการสัมผัสสิ่งนอกตัว แต่ความสุขที่เป็นธรรมชาติของจิตที่พ้นจากนิวรณ์ พ้นจากกิเลส ถึงจะชั่วคราวก็ตาม เพราะฉะนั้นในการที่จะเข้าถึงความสุขประเภทนี้ เราก็ต้องยอมสละความสุขทางเนื้อหนัง ความสุขประเภทอามิสสุขบ้าง ฉะนั้นการที่ไม่ฟังเพลง ไม่หาความบันเทิงต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้พระได้สำรวม ได้เสียสละความหลงใหลทางโลก เพื่อจะเข้าสู่หลักธรรม
    พระอาจารย์ชยสาโร
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,070

แชร์หน้านี้

Loading...